บทที่สิบห้า
เต็มไปด้วยความรัก
เมื่อทุกอย่างถูกจัดการเรียบร้อย หวังข่ายรู้สึกถึงความโล่งใจที่ไม่ต้องกังวลเรื่องหลิวผิงผิงอีกต่อไป แต่ด้วยความเป็นห่วงที่ยังอยูในใจกลัวว่านอกจากหลิวผิงผิงแล้วจะยังมีเรื่องอื่นมาทำให้หลี่รุ่ยหลินคนรักของเขาไม่สบายใจอีก เขาจึงได้ตัดสินใจทำสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต
ในช่วงเช้าของวันหนึ่งท้องฟ้าแจ่มใสและมีแสงแดดอ่อน ๆ อาบลานหน้าสำนักคุ้มภัย หวังข่ายตัดสินใจที่จะไม่รอช้าอีกต่อไป เขารู้ว่าเขาอยากจะใช้ชีวิตร่วมกับหลี่รุ่ยหลินไปตลอดและไม่ต้องการให้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาถูกชะงักอีก
หวังข่ายเดินทางไปยังสำนักคุ้มภัยต้าอันฉวน เมื่อเขามาถึงบรรยากาศที่สำนักคุ้มภัยเต็มไปด้วยพี่น้องในสำนักที่ต่างกำลังฝึกซ้อมและเตรียมตัวสำหรับงานต่าง ๆ ที่พวกเขาจะต้องทำ แต่เมื่อเห็นหวังข่ายเดินเข้ามา ทุกคนต่างหยุดกิจกรรมของตนและหันไปมองด้วยความสนใจ เพราะพวกเขาสัมผัสได้ถึงบางอย่างที่กำลังจะเกิดขึ้น
"คุณชายหวัง…มาหานายหญิงหรือขอรับ นายหญิงอยู่ด้านใน" พี่น้องสำนักคุ้มภัยคนหนึ่งกล่าว
"ขอบใจมาก" หวังข่ายเดินผ่านเข้าไปยังลานด้านในหลี่รุ่ยหลินที่กำลังยืนคุยงานกับซีหยางผู้ช่วยของนางหันไปมองหวังข่ายด้วยความสงสัย นางไม่ได้คาดคิดว่าเขาจะมาที่นี่ในวันนี้ หัวใจของนางเริ่มเต้นแรงขึ้นเมื่อเห็นแววตามุ่งมั่นของเขาที่มองตรงมา
หวังข่ายเดินเข้ามาหยุดยืนตรงหน้าหลี่รุ่ยหลินท่ามกลางสายตาของพี่น้องสำนักคุ้มภัยกว่าร้อยชีวิตที่กำลังมองดูพวกเขาอยู่ เขาสูดลมหายใจลึก และในชั่วขณะนั้นทุกเสียงรอบตัวก็เงียบลงเหลือเพียงเสียงหัวใจของเขาที่เต้นอยู่ในอก
“รุ่ยหลิน” หวังข่ายเอ่ยชื่อของนางด้วยเสียงนุ่มนวล เขามองเข้าไปในดวงตาของนางที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจและความสนใจ “ข้าคิดทบทวนเรื่องระหว่างพวกเรามานานแล้วและตอนนี้ข้าก็แน่ใจในสิ่งที่ข้าต้องการ”
หลี่รุ่ยหลินนิ่งฟังคำพูดของเขา เพียงแค่มองจากท่าทางของเขานางก็รู้สึกได้ว่าเรื่องที่เขาจะพูดนั้นย่อมเป็นเรื่องสำคัญ
“ตั้งแต่วันที่ข้าได้พบเจ้าข้าก็รู้สึกว่าเจ้าเป็นคนพิเศษสำหรับข้า เจ้าไม่เพียงแต่เป็นคนที่เก่งกาจและฉลาดเฉลียวแต่ยังเป็นคนที่มีหัวใจที่เข้มแข็งและจริงใจ” หวังข่ายพูดต่อด้วยเสียงที่เบาแต่หนักแน่น “
เขาหยุดครู่หนึ่งจากนั้นจึงพูดต่อ "ข้ารู้ว่าข้าอยากจะใช้ชีวิตร่วมกับเจ้า อยากจะปกป้องเจ้าและเดินเคียงข้างเจ้าไปตลอดชีวิต”
พี่น้องสำนักคุ้มภัยที่ยืนอยู่รอบ ๆ ต่างยืนนิ่ง ฟังคำพูดของหวังข่ายด้วยความสนใจและตื่นเต้น หลายคนยิ้มออกมาอย่างมีความสุขเมื่อพวกเขาเห็นว่าหวังข่ายกำลังจะพูดในสิ่งที่ทุกคนคาดหวัง
หวังข่ายหยิบกล่องไม้เล็ก ๆ ออกมาจากแขนเสื้อ เขาเปิดกล่องนั้นออกมาเผยให้เห็นแหวนหยกที่มีลวดลายประณีตและงดงาม “รุ่ยหลิน ข้าอยากให้เจ้าเป็นภรรยาของข้า เจ้ายินดีจะแต่งงานกับข้าหรือไม่”
แหวนนี้เป็นแหวนที่มารดาของเขาให้เอาไว้ในตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ ตอนที่ให้แหวนมานางยังบอกกับเขาว่าให้นำไปมอบให้กับคนที่จะเป็นภรรยาของเขา ดังนั้นวันนี้เขาจึงนำมันมามอบให้กับหลี่รุ่ยหลิน
หลี่รุ่ยหลินที่ได้ยินคำพูดนั้นถึงกับนิ่งอึ้ง นางไม่คาดคิดว่าเขาจะขอนางแต่งงานท่ามกลางพี่น้องสำนักคุ้มภัยที่เคารพรัก แต่หัวใจของนางกลับเต็มไปด้วยความสุขที่ยากจะบรรยาย
น้ำตาเริ่มเอ่อขึ้นมาในดวงตาของหลี่รุ่ยหลิน เมื่อนางตระหนักถึงความจริงที่ว่าหวังข่ายเป็นคนที่นางรักอย่างสุดหัวใจ นางรู้สึกได้ถึงความรักและความจริงใจที่เขามอบให้และไม่อาจปฏิเสธความรู้สึกเหล่านั้นได้
“ข้าตกลงแต่งกับท่าน” หลี่รุ่ยหลินตอบด้วยเสียงแผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยความมั่นใจและความสุข
ทันทีที่คำตอบของหลี่รุ่ยหลินออกจากปาก เสียงโห่ร้องและเสียงปรบมือดังก้องขึ้นจากพี่น้องสำนักคุ้มภัยที่อยู่รอบๆ พวกเขาทุกคนต่างแสดงความยินดีและมีความสุขที่ได้เห็นคู่รักสองคนนี้ได้ตัดสินใจที่จะสร้างชีวิตร่วมกัน
หวังข่ายยิ้มกว้างด้วยความสุข เขาสวมแหวนหยกลงบนนิ้วของหลี่รุ่ยหลินอย่างอ่อนโยนแล้วดึงนางเข้ามาสวมกอด ท่ามกลางเสียงร้องและเสียงยินดีจากผู้คนที่อยู่รอบๆ หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความรักและความสุขที่ได้รู้ว่าเขาจะได้ใช้ชีวิตร่วมกับหญิงสาวที่เขารักอย่างสุดหัวใจ
หลี่รุ่ยหลินก็ยิ้มออกมาอย่างมีความสุขด้วยเช่นกัน นางกอดตอบเขาแน่น ๆ และรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่แผ่ออกมาจากเขา นี่คือช่วงเวลาที่นางรอคอยมานานและทำให้นางรู้สึกว่าเป็นคนที่โชคดีที่สุด
วันแห่งความยินดีและความสุขก็มาถึง ขบวนรับเจ้าสาวของหวังข่ายปรากฏตัวขึ้นที่หน้าสำนักคุ้มภัยต้าอันฉวน ท้องฟ้าแจ่มใสและแสงอาทิตย์อ่อน ๆ สาดส่องลงมาอาบทั่วทั้งย่านการค้า ขบวนรับเจ้าสาวที่มาในครั้งนี้ถูกจัดอย่างอลังการ ยิ่งใหญ่สมกับสถานะของราชบัณฑิตและว่าที่เจ้าสาวผู้เก่งกาจอย่างหลี่รุ่ยหลิน
เสียงกลองและฉาบดังขึ้นเป็นจังหวะอย่างพร้อมเพรียงผสมกับเสียงแตรทองที่เป่าอย่างกังวาน ขบวนม้าตัวใหญ่และสง่างามที่ถูกประดับด้วยผ้าไหมสีแดงสดสลับกับสีทอง เป็นผืนผ้าที่ถูกคัดสรรมาอย่างดีเพื่อแสดงถึงความมั่งคั่งและเกียรติยศ ขบวนเกี้ยวเจ้าสาวที่หรูหราและงดงามถูกยกด้วยชายฉกรรจ์สวมชุดสีแดงสดใส เกี้ยวนั้นถูกปักประดับด้วยดอกไม้ทองคำและเครื่องเงินที่เปล่งประกายแวววาว
หวังข่ายเป็นผู้นำขบวนด้วยตัวเอง เขาขี่ม้าตัวใหญ่ที่ถูกตกแต่งด้วยผ้าไหมสีแดงสดและมีระย้าเงินระยิบระยับห้อยตามกรอบอานม้า ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความมั่นใจและความภาคภูมิใจเมื่อได้เห็นภาพของขบวนรับเจ้าสาวที่งดงามดั่งฝันนี้ เขาสวมชุดเจ้าบ่าวสีแดงเข้มปักลายสีทอง เป็นชุดที่ถูกออกแบบมาเป็นพิเศษสำหรับวันนี้โดยเฉพาะ ทุกสายตาต่างจ้องมองเขาด้วยความชื่นชมและความยินดี
เมื่อขบวนมาถึงหน้าสำนักคุ้มภัยต้าอันฉวนพี่น้องในสำนักที่แต่งกายด้วยชุดเครื่องแบบของสำนักต่างออกมาต้อนรับขบวนด้วยรอยยิ้มและเสียงปรบมือ ทุกคนรู้สึกยินดีที่ได้เห็นหวังข่ายและหลี่รุ่ยหลินกำลังจะเริ่มต้นชีวิตคู่ที่มีความสุข
หลี่รุ่ยหลินในชุดเจ้าสาวสีแดงที่งดงามและประณีตก้าวออกจากสำนักคุ้มภัยต้าอันฉวนมาพร้อมกับมารดาของนาง นางมองบุตรสาวด้วยความภาคภูมิใจและความยินดี น้ำตาแห่งความสุขไหลออกมาอย่างไม่รู้ตัว เพราะนางรู้ว่าหลี่รุ่ยหลินจะมีคนที่รักและคอยดูแลตลอดไป
หวังข่ายก้าวลงจากม้าและเดินเข้ามาหาหลี่รุ่ยหลิน เขาเอื้อมมือไปจับมือของนางด้วยความอ่อนโยนและมั่นคง ทั้งสองยืนอยู่เคียงข้างกันท่ามกลางเสียงโห่ร้องและความยินดีจากผู้คนรอบข้าง ภายใต้ผ้าคลุมศีรษะนั้นหลี่รุ่ยหลินยิ้มด้วยความสุข
หลังจากพิธีที่สำนักคุ้มภัยต้าอันฉวนเสร็จสิ้น ขบวนเจ้าสาวก็เริ่มเคลื่อนตัวไปยังจวนอัครเสนาบดีที่บัดนี้เปลี่ยนมาเป็นจวนราชบัณฑิตแล้ว ภายในจวนนั้นถูกตกแต่งอย่างหรูหราและงดงามเพื่อรองรับงานมงคลที่ยิ่งใหญ่ในครั้งนี้ ตำหนักหลักถูกประดับด้วยผ้าไหมสีแดงและทองปักลายดอกไม้อันงดงาม โคมไฟประดับที่ห้อยตามทางเดินและบนกำแพงทำให้จวนทั้งจวนเปล่งประกายด้วยแสงสว่างอันอบอุ่นและน่าตื่นตาตื่นใจ
เมื่อขบวนเจ้าสาวมาถึงจวนราชบัณฑิต เสียงพลุที่จุดขึ้นส่งเสียงดังไปทั่วบริเวณแสดงถึงความยินดีและความเป็นสิริมงคลสำหรับคู่บ่าวสาว แขกเหรื่อที่มาร่วมงานแต่งในครั้งนี้มากมายจนแทบจะเต็มทุกมุมของจวน เหล่าขุนนาง แม่ทัพ ราชครู และสหายบัณฑิตของหวังข่ายต่างก็มาแสดงความยินดีและมอบของขวัญเพื่อแสดงถึงมิตรภาพด้วย
อัครเสนาบดีหวังเดินทางมาจากบ้านเกิดของเขาเพื่อมาเป็นผู้ใหญ่ในพิธีแต่งงานของบุตรชาย หวังข่ายรู้สึกยินดีและซาบซึ้งที่บิดาของเขามาร่วมในพิธีนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่อดีตอัครเสนาบดีได้เห็นเขาในชุดเจ้าบ่าว และบิดาก็มีความสุขที่ได้เห็นบุตรชายของตนเริ่มต้นชีวิตใหม่กับหญิงอันเป็นที่รัก
ในพิธีแต่งงานหลี่รุ่ยหลินก้าวเข้ามายังห้องพิธีพร้อมกับมารดาของนาง ใบหน้าเปล่งประกายด้วยความสุขที่เต็มเปี่ยม ผู้เป็นมารดามองดูบุตรสาวด้วยความภาคภูมิใจและความยินดี
พิธีแต่งงานดำเนินไปอย่างอบอุ่นและเต็มไปด้วยความสุข แขกเหรื่อทุกคนต่างมีความสุขที่ได้เห็นคู่รักที่มีความรักและความเชื่อมั่นต่อกัน หวังข่ายและหลี่รุ่ยหลินแลกคำสาบานกันด้วยความมั่นใจว่าจะรักและดูแลกันและกันตลอดไป
หลังจากพิธีเสร็จสิ้นแขกเหรื่อต่างก็เข้ามาแสดงความยินดีและมอบของขวัญให้กับคู่บ่าวสาว หวังข่ายและหลี่รุ่ยหลินยืนเคียงข้างกันรับความยินดีจากผู้คนมากมายที่มาร่วมงานนี้
งานแต่งงานที่ยิ่งใหญ่นี้เป็นสัญญาณเริ่มต้นของชีวิตคู่ที่มีความสุขและสมหวัง หวังข่ายและหลี่รุ่ยหลินรู้ว่าชีวิตข้างหน้านั้นจะมีทั้งช่วงเวลาที่ดีและอาจมีอุปสรรคที่ต้องฝ่าฟัน แต่ด้วยความรักและความเชื่อมั่นที่พวกเขามีต่อกัน พวกเขาก็มั่นใจว่าจะสามารถผ่านพ้นทุกสิ่งไปได้และพร้อมจะสร้างชีวิตที่เต็มไปด้วยความสุขและความสำเร็จร่วมกัน
บทที่หนึ่งการสมรสที่ไม่ต้องการเช้าตรู่ที่หมอกบางๆ ลอยอ้อยอิ่งเหนือเมืองหลวง หลี่ฟางตวนบิดาของหลี่รุ่ยหลินออกมายืนหน้าประตูจวน กวาดตามองไปยังบุตรสาวและภรรยาที่รออยู่ สายตาของเขาสั่นคลอนเล็กน้อยด้วยความรู้สึกเศร้าสร้อยที่จะต้องจากไปทำงานใหญ่ครั้งนี้“รุ่ยหลิน…ดูแลแม่ของเจ้ากับสำนักของเราตอนที่พ่อกับพี่ชายของเจ้าไม่อยู่ให้ดี แล้วก็อย่าปฏิเสธงานมากจนเกินไปเล่า ประเดี๋ยวจะไม่มีเงินเลี้ยงดูเหล่าพี่น้องของเรา” บิดากล่าวเสียงแผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยความหนักแน่น“เจ้าค่ะท่านพ่อ” หลี่รุ่ยหลินตอบอย่างไม่ลังเล ดวงตาของนางฉายแววความมุ่งมั่น ทุกครั้งที่บิดากับพี่ชายไม่อยู่นางในนามของคุณหนูเล็กก็จะได้เลื่อนขึ้นมาเป็นหัวหน้าสำนักรักษาการณ์ในทันทีและนางก็ชื่นชอบหน้าที่นี้เป็นอย่างมากหลี่เว่ยตงพี่ชายของหลี่รุ่ยหลินยืนอยู่ข้างบิดา เขาวางมือลงบนบ่าของน้องสาวเบาๆ “อย่าลืมฝึกวิชาที่พี่สอนเจ้าไว้ มันจะมีประโยชน์ในยามคับขัน”“ข้าจะฝึกอย่างไม่ขาดตกบกพร่องเลยเจ้าค่ะ” หลี่รุ่ยหลินรับคำด้วยน้ำเสียงจริงจัง“ไปเถิด อย่าให้คหบดีเจียงต้องคอยนาน” หลี่ฮูหยินพูดขึ้น ถึงแม้ว่าจะบอกให้สองพ่อลูกรีบไปทว่าดวงตาของนางก็เต็มไป
บทที่สองช่วงเวลาแห่งการสูญเสียเสียงฝีเท้าม้าวิ่งมาอย่างเร่งรีบหยุดลงที่หน้าประตูสำนักคุ้มภัยต้าอันฉวน ร่างที่เต็มไปด้วยเลือดของพี่น้องสำนักคุ้มภัยคนหนึ่งร่วงลงมาจากหลังม้า คนที่เฝ้าประตูอยู่รีบไปประคองเขาทันที ทั้งเนื้อทั้งตัวของเขามีแต่คราบเลือดเต็มไปหมดทั้งยังมีบาดแผลอีกมากมาย เขารอดมาจนถึงสำนักได้นั้นก็ถือว่าโชคดีมากแล้ว"พี่ซีหยาง…เกิดเรื่องอันใดขึ้น" นายประตูถาม"พาข้าไปหาฮูหยินกับคุณหนู…ตอนนี้" เขากล่าวด้วยเสียงที่แผ่วเบานายประตูทั้งสองคนรีบหามร่างที่บาดเจ็บสาหัสของซีหยางเข้าไป เขาไม่ยอมไปรักษาตัวยืนยันว่าถึงอย่างไรก็ต้องพบฮูหยินกับคุณหนูก่อน พวกเขาจึงพาไปยังห้องหนังสือ ที่นั่นหลี่รุ่ยหลินนั่งทำงานอยู่อย่างเคร่งเครียด เหลือก็แต่เพียงหลี่ฮูหยินมารดาของนางที่กำลังรีบมา"พี่ซีหยางเกิดเรื่องอันใดขึ้น เหตุใดท่านถึงได้กลับมาในสภาพเช่นนี้" หลี่รุ่ยหลินกล่าวด้วยความตกใจ จากนั้นลุกขึ้น
บทที่สามจุดพลิกผันสู่เจ้าสำนักน้อยเมื่อจัดการพิธีศพเรียบร้อยแล้วก็ไม่มีเวลาให้พวกเขาได้โศกเศร้าเสียใจมากนักเนื่องจากมีงานคั่งค้างที่ต้องสะสางอีกมากมาย ทั้งเรื่องเงินชดเชยที่จะต้องมอบให้กับบิดามารดาของพี่น้องที่เสียชีวิตไปและเรื่องงานที่รับจ้างไว้ก่อนหน้าที่หลี่ฟางตวนจะเสียชีวิต ทำเอาหลี่รุ่ยหลินวุ่นวายไปหมด"พี่ซีหยาง…นี่พวกเราถูกยกเลิกเลิกงานมากมายถึงเพียงนี้เลยหรือ" หลี่รุ่ยหลินถามอย่างประหลาดใจเมื่อเห็นบัญชีรายชื่อลูกค้าที่จ้างงานถูกขีดฆ่าชื่ออกไปมากมายซีหยางยิ้มแหย ๆ ให้กับนางเพราะไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไรดีให้กระทบกระเทือนจิตใจของหัวหน้าสำนักน้อยผู้นี้ให้น้อยที่สุด "เอ่อ…คือว่าลูกค้าของพวกเราหายไปราว ๆ เจ็ดส่วนขอรับคุณหนู เอ้ย…ขอรับนายหญิง"ด้วยความที่ยังไม่เคยชินที่จะเรียกหลีรุ่ยหลินว่านายหญิงพี่น้องสำนักคุ้มภัยต่างก็
บทที่สี่ประเดิมงานแรกเมื่อสองพ่อลูกขึ้นรถม้าไปแล้วหลีรุ่ยหลินกับไป๋ฮ่าวเทียนหัวหน้าหน่วยย่อยของสำนักคุ้มภัยก็เดินตรวจตราขบวนเดินทาง ระยะทางจากเมืองหลวงไปยังเมืองบ้านเกิดของอดีตอัครเสนาบดีหวังนั้นไกลพอสมควร ดังนั้นการตรวจขบวนเดินทางให้เรียบร้อยจึงสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ขบวนเดินทางค่อนข้างใหญ่มีข้าวของมากมายอาจจะทำให้การเดินทางล้าช้าไปบ้าง ไป๋ฮ่าวเทียนจึงคิดว่ากำลังคนที่เตรียมมาในครั้งนี้ไม่น่าจะพอ"นายหญิงแน่ใจแล้วหรือขอรับว่าจะไม่เรียกคนมาเพิ่ม จากที่ตรวจดูรายชื่อสมบัติและมูลค่าของที่ต้องคุ้มกันค่อนข้างสูงอยู่นะขอรับ" ไป๋ฮ่าวเทียนกล่าวไป๋ฮ่าวเทียนเคยนำขบวนคุ้มกันด้วยตนเองมาก่อน จากประสบการณ์ของเขาแล้วขบวนยาวถึงเพียงนี้ใช้คนคุ้มกันเพียงแค่สามสิบคนถือว่าน้อยเกินไป เพราะทุกครั้งที่เขาออกเดินทางหากว่าไม่ได้ไปกับนายท่านและคุณชายแล้วละก็จะต้องมีพรรคพวกไปด้วยไม่ต่ำกว่าห้าสิบคน ครั้
บทที่ห้าน้ำใจจากคุณชายหน้าขาว จุดหมายต่อไปที่พวกเขาจะเดินทางไปก็คือเมื่องเอี๋ยนเสียง แต่กว่าจะถึงเมืองเอี๋ยนเสียงนั้นยังคงต้องนอนในในป่ากันอีกราว ๆ สองคืนหากว่าเดินทางเร็ว แต่เท่าที่คาดการณ์แล้วคงเดินทางเร็วเกินไปไม่ได้เพราะท่านผู้เฒ่าหวังอดีตอัครเสนาบดีนั้นเริ่มชราแล้ว ระหว่างที่เดินทางสามวันสามคืนในป่านั้นทุกอย่างก็ปกติดี อัครเสานบดีหวังเองก็ไม่ได้อ่อนแออย่างที่คิด เขายังเดินเหินไปมาได้สะดวกทั้งยังใจดีทำอาหารแจกจ่ายให้กับบ่าวรับใช้และคนของสำนักคุ้มภัยด้วย หลี่รุ่ยหลินเองก็ไม่คิดว่าเขาจะเป็นคนดีถึงเพียงนี้ น่าเสียดายที่ราชสำนักไม่เห็นค่าคนดี ๆ เช่นเขา ส่วนคุณชายหน้าขาวนั้นก็หาได้เป็นภาระอะไรไม่ ผิดกับที่หลี่รุ่ยหลินคาดการณ
บทที่หกคิดจะลองดีกับต้าอันฉวนอย่างนั้นหรือพวกเขาออกจากเมืองเอี๋ยนเสียงในตอนเช้ามุ่งหน้าเข้าสู่เขตของเทือกเขาเถาซานซึ่งมีระยะทางยาวราวสามร้อยลี้ คณะเดินทางจะต้องพักแรมกันในเทือกเขาแห่งนี้ราวเจ็ดถึงสิบวันขึ้นอยู่กับความรวดเร็วในการเดินทาง ถนนหนทางในหุบเขาค่อนข้างจะลำบาก ไหนอาจจะมีเหตุที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นอีก ระยะทางต่อจากนี้เป็นช่วงที่อันตรายยิ่ง เพราะต้องเดินทางผ่านหุบเขาอันคดเคี้ยว จากนั้นก็พื้นที่ป่าไม่สะดวกสบายเหมือนเส้นทางที่ผ่านมา ไหนจะลมหนาวที่หนาวเย็นมากขึ้น หมอกที่ปกคลุมอยู่ตลอดทั้งวัน และพื้นที่ช่วงนี้เป็นช่วงที่ต้องระวังความปลอดภัยมากที่สุดเพราะเกิดการดักปล้นชิงกันอยู่บ่อยครั้ง ระหว่างที่เดินทางนั้นหลี่รุ่ยหลินกับหวังข่ายมองกันไปมาด้วยสายตาที่ไม่ค่อยพอใจนัก
บทที่เจ็ดการต่อสู้ที่ดุเดือด ในยุคที่บ้านเมืองแตกแยกและอยู่ในสภาวะระส่ำระสาย การปล้นชิงทรัพย์สินเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง ไม่ว่าจะเป็นในเมืองใหญ่หรือตามชนบท ราษฎรที่อดอยากและยากจนก็มักจะหันมาใช้วิธีการนี้ในการเลี้ยงชีพ ด้วยสภาพที่แทบจะเรียกได้ว่าล่มสลายและความขัดแย้งที่ปะทุขึ้นเรื่อยๆ ระหว่างกลุ่มอำนาจต่างๆ ในราชสำนัก ทำให้บ้านเมืองเข้าสู่ยุคมืดที่ไร้ซึ่งความมีศีลธรรมที่ราชสำนักเมื่อตระหนักถึงความอ่อนแอและการทุจริตในหมู่ขุนนาง ผู้มีอำนาจกลับใช้โอกาสนี้ในการกอบโกยทรัพย์สินและอำนาจ ทำให้ราชวงศ์ค่อยๆ สูญเสียความน่าเชื่อถือและอำนาจในการปกครองอัครเสนาบดีหวังซึ่งเคยเป็นเสาหลักในการบริหารแผ่นดิน ยืนหยัดทำหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์และมุ่งมั่นมาตลอดชีวิต แต่เมื่อเวลาผ่านไปเขาก็เริ่มรู้สึกถึงการเป
บทที่แปดออกเดินทางต่อ หลังจากการต่อสู้ที่ดุเดือดและยาวนานจบลง ความเงียบสงัดก็เข้ามาปกคลุมแทนที่ เสียงหอบหายใจของเหล่าพี่น้องสำนักคุ้มภัยดังขึ้นท่ามกลางบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า พวกเขายืนอยู่ท่ามกลางซากศพของพวกโจรที่ถูกกำจัดจนหมดสิ้นไม่มีผู้ใดเหลือรอดจากการปะทะครั้งนี้หลี่รุ่ยหลินมองไปรอบๆ นางเห็นพี่น้องสำนักคุ้มภัยหลายคนได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้ แต่ก็เป็นเพียงบาดแผลเล็กน้อยเท่านั้นไม่ได้เป็นอันตรายถึงชีวิต ทุกคนต่างเหนื่อยล้าจากการสู้รบแต่ยังคงยืนหยัดอยู่ได้ด้วยพลังใจที่เข้มแข็ง“พี่น้องต้าอันฉวน การต่อสู้จบลงแล้ว” หลี่รุ่ยหลินกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความภูมิใจแต่ก็ยังมีความรู้สึกเหนื่อยล้าแสดงออกมาให้เห็นจากน้ำเสียงนั้นพี่น้องสำนักคุ้มภัยต่างพยั