บทที่เก้า
จบงาน ณ เมืองเสวียนเทียน
ค่ำคืนนี้เมืองเสวียนเทียนถูกปกคลุมด้วยบรรยากาศที่คึกคักและอบอุ่น หลังจากที่พวกเขาเดินทางมาอย่างยาวนานในที่สุดก็ได้มาถึงเมืองที่เป็นบ้านเกิดของอดีตอัครเสนาบดีเสียที เมืองชายแดนอันเงียบสงบล้อมรอบไปด้วยภูเขาและป่าไม้
เมื่อคณะของหลี่รุ่ยหลินเดินทางเข้ามาในเมืองทุกอย่างก็เป็นไปอย่างราบรื่น พวกชาวเมืองต่างให้การต้อนรับเป็นอย่างดี พวกเขาเคารพอัครเสนาบดีหวังซึ่งเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงและทำคุณประโยชน์แก่แผ่นดิน เจ้าเมืองเสวียนเทียนได้จัดงานเลี้ยงต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่ขึ้น เพื่อเป็นการขอบคุณหลี่รุ่ยหลินและพี่น้องสำนักคุ้มภัยที่ช่วยคุ้มกันและดูแลความปลอดภัยของอดีตอัครเสนาบดีมาตลอดการเดินทาง
งานเลี้ยงถูกจัดขึ้นที่จวนของเจ้าเมือง ทั้งจวนประดับประดาไปด้วยโคมไฟหลากสีและดอกไม้สดที่ถูกจัดอย่างสวยงาม กลิ่นหอมของอาหารที่ถูกปรุงอย่างประณีตลอยฟุ้งไปทั่ว ทั้งโต๊ะถูกจัดเรียงด้วยอาหารเลิศรสจากทั่วสารทิศ ไม่ว่าจะเป็นเนื้อสัตว์ย่างรสเลิศ น้ำแกงสมุนไพรที่มีคุณค่าทางยาช่วยฟื้นบำรุงร่างกาย และผลไม้สดใหม่จากสวนในท้องถิ่น
หลี่รุ่ยหลินในชุดเครื่องแต่งกายที่งดงามตามแบบที่เหล่าสตรีสวมใส่กันเดินไปยังโต๊ะอาหารที่ถูกจัดเตรียมไว้สำหรับพวกเขา นางได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากอัครเสนาบดีหวังและพี่น้องสำนักคุ้มภัยที่นั่งอยู่รอบโต๊ะ หวังข่ายนั่งอยู่ข้าง ๆ หลี่รุ่ยหลินสายตาของเขาที่เห็นนางงดงามอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนก็ถึงกับค้างไปชั่วขณะ
"ข้าขอขอบคุณเจ้ามากที่ช่วยคุ้มครองและดูแลข้ากับทุกคนในระหว่างการเดินทาง ข้ารู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องง่าย ไหนพวกเราจะต้องมาเจอโจรปล้นกลางทางอีก แต่พวกเจ้าก็สามารถจัดการกับโจรพวกนั้นได้ ยอดเยี่ยมจริง ๆ" อัครเสนาบดีหวังกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความซาบซึ้งจากนั้นยกจอกสุราขึ้นมาเพื่อดื่มขอบคุณ
หลี่รุ่ยหลินยกจอกสุราขึ้นพร้อมรอยยิ้ม "ขอบคุณท่านอัครเสนาบดีสำหรับความไว้วางใจและการต้อนรับอย่างอบอุ่นในคืนนี้ ข้าและพี่น้องสำนักคุ้มภัยถือเป็นเกียรติที่ได้รับหน้าที่นี้ ข้าขอดื่มเพื่อขอบคุณท่านและชาวเมืองเสวียนเทียนเช่นกันเจ้าค่ะ"
เสียงจอกสุราที่กระทบกันดังกังวานไปทั่วโต๊ะ พี่น้องสำนักคุ้มภัยทุกคนต่างยกจอกสุราของตนขึ้นเพื่อดื่มฉลอง การดื่มสุราในคืนนี้ไม่ใช่แค่การดื่มเพื่อฉลองความสำเร็จในการเดินทาง แต่ยังเป็นการขอบคุณและเคารพต่อหัวหน้าสำนักของพวกเขาที่นำพาพวกเขามาจนภารกิจครั้งนี้ประสบความสำเร็จ
หวังข่ายมองหลี่รุ่ยหลินด้วยความชื่นชม ตั้งแต่นางเดินเข้ามาสายตาของเขาก็ไม่ละไปจากนางเลย หญิงสาวแข็งกร้าวที่เขาเห็นมาตลอดหลายวันนั้นมาบัดนี้กลับกลายเป็นหญิงสาวที่อ่อนช้อยงดงาม ทำเอาหัวใจของเขาเต้นไม่เป็นจังหวะเลยทีเดียว
"เจ้าดื่มเก่งจริงๆ นะ" หวังข่ายพูดด้วยรอยยิ้มขณะที่เขาเห็นหลี่รุ่ยหลินดื่มสุราอย่างต่อเนื่อง
หลี่รุ่ยหลินหัวเราะเบาๆ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงสบาย "ในฐานะหัวหน้าสำนัก ข้าต้องสามารถทนรับทุกสถานการณ์ได้แม้กระทั่งการดื่มสุราในงานเลี้ยง"
หวังข่ายยิ้มรับ "ไม่ใช่ว่าแอบดื่มตั้งแต่ยังเด็กหรอกหรือ"
หลีรุ่ยหลินขมวดคิ้วโก่งงามของนางให้เขาคราหนึ่งแล้วกล่าว"เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว ทั้งสำนักมีแต่บุรุษ มีท่านแม่กับข้าเป็นสตรีเพียงแค่สองคน หากข้าจะทำอะไรเช่นที่บุรุษทำกันย่อมไม่แปลก"
"ข้าเพียงแต่ล้อเจ้าเล่น เจ้าทำเป็นจริงจังไปได้" หวังข่ายกล่าวด้วยน้ำเสียงแกมหยอกล้อ
บรรยากาศในงานเลี้ยงเป็นไปด้วยความสนุกสนานและอบอุ่น พี่น้องสำนักคุ้มภัยต่างพูดคุยและหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน หลี่รุ่ยหลินได้รับคำขอบคุณและคำยกย่องจากทุกคนในงาน ไม่ว่าจะเป็นชาวเมืองหรือพี่น้องสำนักคุ้มภัย ทุกคนต่างชื่นชมในความสามารถและความมุ่งมั่นของนาง
ในยามเช้าที่บ้านอดีตอัครเสนาบดีหวัง เมืองเสวียนเทียนกลับมาเงียบสงบอีกครั้งหลังจากที่พี่น้องสำนักคุ้มภัยได้พักฟื้นและฟื้นฟูความเหนื่อยล้าจากการเดินทางอันยาวนาน หลี่รุ่ยหลินรู้ว่าถึงเวลาที่พวกเขาจะต้องเดินทางกลับสู่สำนักของตนแล้วนางจึงเริ่มต้นเตรียมตัวและจัดขบวนการเดินทางอีกครั้ง
ในช่วงเวลาที่พวกเขากำลังจัดเตรียมสิ่งของ หลี่รุ่ยหลินได้เข้าไปกล่าวลากับอดีตอัครเสนาบดีหวังและหวังข่าย นางยืนอยู่ตรงหน้าสองพ่อลูกด้วยท่าทีที่สงบและมั่นคง "ข้าและพี่น้องสำนักคุ้มภัยขอขอบคุณท่านอัครเสนาบดีสำหรับการต้อนรับและการดูแลในช่วงเวลาที่พวกเราได้พักที่นี่ แต่ตอนนี้ถึงเวลาที่พวกเราจะต้องกลับแล้ว"
อัครเสนาบดีหวังพยักหน้าและยิ้มอย่างอบอุ่น "ข้าขอให้พวกเจ้าเดินทางกลับอย่างปลอดภัย หลี่รุ่ยหลิน…เจ้าเป็นผู้นำที่มีความสามารถ จงตั้งใจสืบสอดสำนักต่อจากบิดาและพี่ชายให้ดี"
หลี่รุ่ยหลินโค้งคำนับอย่างเคารพ "ขอบคุณท่านอัครเสนาบดี ข้าจะทำให้ดีที่สุดเจ้าค่ะ"
จากนั้นนางก็หันไปหาหวังข่าย "ข้าคิดว่าคุณชายหวังจะพักที่นี่กับบิดาท่านอีกสักระยะหนึ่งก่อนจึงค่อยเดินทางกลับเสียอีก แต่เห็นว่าท่านเตรียมตัวออกเดินทางพร้อมกับพวกเรา ข้าไม่แน่ใจว่าท่านได้ตัดสินใจเช่นนั้นจริงหรือ"
หวังข่ายยิ้มเล็กน้อยแล้วตอบกลับ "ใช่ ข้าตัดสินใจแล้ว ข้าจะเดินทางกลับไปพร้อมกับพวกเจ้า"
หลี่รุ่ยหลินเงียบไปชั่วขณะก่อนจะกล่าวต่อ "หากท่านตั้งใจจะเดินทางกลับไปพร้อมกับพวกเราข้าก็ไม่มีปัญหา แต่ข้าต้องบอกท่านไว้ก่อนว่าหากเกิดเหตุอันใดขึ้นท่านจะต้องพึ่งพาตนเอง เพราะการเดินทางกลับนี้ไม่ได้มีสัญญาจ้างใด ๆ ระหว่างพวกเรา"
หวังข่ายหัวเราะเบา ๆ "ถ้าเช่นนั้นข้าจะจ้าง เจ้าตกลงค่าจ้างมาเลย"
หลี่รุ่ยหลินมองหวังข่ายด้วยสายตาที่ผสมผสานระหว่างความท้าทายและความงุนงง "หากว่าท่านคิดดีแล้วข้าก็จะคิดค่าจ้างแค่สามส่วนของค่าจ้างขามาก็แล้วกัน เพราะถึงอย่างไรพวกเราพี่น้องสำนักคุ้มภัยก็จะเดินทางกลับกันอยู่แล้ว"
หวังข่ายยิ้มและตอบตกลงทันที "ตกลง ข้าจะจ่ายค่าจ้างตามที่เจ้าว่ามา"
เมื่อการเจรจาสิ้นสุดลงทั้งสองต่างรู้สึกถึงความผูกพันที่เริ่มลึกซึ้งมากขึ้นในใจของตนเอง แม้ว่าหลี่รุ่ยหลินจะรักษาท่าทีในฐานะที่เป็นหัวหน้าสำนักคุ้มภัยและมีความรับผิดชอบที่หนักหน่วง แต่ความใกล้ชิดระหว่างนางกับหวังข่ายก็ดูเหมือนจะเติบโตขึ้นอย่างไม่รู้ตัว
ในขณะที่คณะสำนักคุ้มภัยเตรียมตัวเสร็จเรียบร้อยและพร้อมที่จะออกเดินทาง อดีตอัครเสนาบดีหวังก็ออกมาส่งพวกเขาที่หน้าประตูบ้าน "ขอให้เดินทางกลับอย่างปลอดภัย ข้าขอให้เจ้าโชคดีและหวังว่าเราจะได้พบกันอีก"
หลี่รุ่ยหลินโค้งคำนับอย่างสุภาพให้เขาอีกครั้ง "ขอบคุณท่านอัครเสนาบดี ข้าขอให้ท่านสุขภาพแข็งแรงและขอให้ท่านได้ใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างสงบสุขเจ้าค่ะ"
คณะสำนักคุ้มภัยเริ่มเคลื่อนขบวนออกจากเมืองเสวียนเทียน หลี่รุ่ยหลินขี่ม้าอยู่หน้าขบวนขณะที่หวังข่ายตามมาเคียงข้างนาง หวังข่ายรู้สึกถึงความอบอุ่นที่เพิ่มขึ้นในใจเมื่อได้อยู่ใกล้หลี่รุ่ยหลินอีกครั้ง
ขบวนสำนักคุ้มภัยเคลื่อนตัวออกจากเมืองเสวียนเทียนอย่างราบรื่น พวกเขามุ่งหน้าสู่เส้นทางที่ต้องผ่านหุบเขาเล็ก ๆ ที่รายล้อมไปด้วยต้นไม้หนาทึบ หลี่รุ่ยหลินยังคงเป็นผู้นำขบวนขี่ม้านำหน้าทุกคน สายตาของนางจับจ้องมองไปยังเส้นทางข้างหน้าอย่างระมัดระวัง ขณะที่หวังข่ายขี่ม้าเคียงข้างนาง คอยพูดคุยเบา ๆ เพื่อคลายความเงียบเหงาของการเดินทาง
ทว่าเมื่อพวกเขาเดินทางมาได้ไม่ไกลจากเมืองเสวียนเทียน สัญชาตญาณของหลี่รุ่ยหลินก็เริ่มเตือนถึงความไม่ปลอดภัย นางหยุดม้าทันทีและเงี่ยหูฟัง บรรยากาศเงียบงันจนได้ยินเสียงลมพัดใบไม้ไหวเบา ๆ ที่น่าแปลกใจคือการที่ไม่มีเสียงนกหรือเสียงสัตว์ใด ๆ เลย นางรู้ทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติ
"มีบางสิ่งไม่ชอบมาพากล" หลี่รุ่ยหลินเอ่ยเสียงต่ำพร้อมกับหันไปบอกพี่น้องสำนักคุ้มภัยให้เตรียมพร้อม
หวังข่ายสังเกตเห็นสีหน้าของหลี่รุ่ยหลินที่แสดงถึงความระมัดระวัง เขาถามด้วยความเป็นห่วง "เกิดอะไรขึ้น เจ้ารู้สึกถึงอะไร"
หลี่รุ่ยหลินพยักหน้า "ข้าสัมผัสได้ถึงบางอย่างที่ไม่ถูกต้อง พวกเราควรเตรียมพร้อม พี่น้องทุกคนตั้งรับ!"
ทันใดนั้นเสียงฝีเท้าของม้าหลายตัวก็ดังขึ้นจากทุกทิศทาง พวกเขาเห็นเงาดำของคนหลายสิบคนที่ขี่ม้าล้อมรอบขบวนเดินทาง หลี่รุ่ยหลินจ้องมองไปยังผู้นำของพวกมัน
จงเหยียนหัวหน้ากลุ่มโจรยิ้มอย่างชั่วร้ายเมื่อเห็นหลี่รุ่ยหลิน
"หลี่รุ่ยหลิน…หัวหน้าสำนักคุ้มภัยคนใหม่อย่างนั้นหรือ" จงเหยียนกล่าวด้วยน้ำเสียงเต็มไปด้วยความเหี้ยมเกรียม "ครั้งที่แล้วเจ้าเป็นคนทำให้ลูกน้องข้าตายไปกว่าห้าสิบคน วันนี้ข้าจะมาแก้แค้นแทนพวกมันและข้าจะฆ่าเจ้าให้ตายตามพ่อกับพี่ชายของเจ้าไปด้วย"
หลี่รุ่ยหลินมองจงเหยียนด้วยสายตาเยือกเย็น จากคำพูดของมันนางก็รู้ได้ทันทีว่าหัวหน้าโจรผู้นี้แหละคือจงเหยียนคนที่ฆ่าบิดาและพี่ชายของนาง ความแค้นทำให้นางโกรธจัดจนแทบจะพุ่งตัวเข้าใส่จงเหยียนให้รู้แล้วรู้รอด "ข้าต่างหากที่จะแก้แค้นให้กับพ่อและพี่ชายของข้า ข้าจะตีร่างเจ้าให้แหลกไม่มีชิ้นดี"
จงเหยียนเห็นหลี่รุ่ยหลินเพียงแวบเดียวความชอบพอก็พลุ่งพล่านขึ้นมาภายในใจของมัน ความคิดชั่วร้ายเกิดก็บังเกิดขึ้นมาในทันที มันกระซิบบอกลูกน้องที่อยู่ข้างกาย "อย่างไรก็ต้องจับตัวนางกลับไปให้ได้ นางจะต้องตกเป็นภรรยาของข้า"
ลูกน้องของจงเหยียนต่างรู้จักนิสัยหัวหน้าของตนดี พวกมันพยักหน้าเข้าใจในความคิดของจงเหยียนโดยไม่ต้องพูดมาก และในทันทีที่จงเหยียนออกคำสั่งพวกโจรก็เริ่มบุกเข้ามายังขบวนของสำนักคุ้มภัยทันที
หลี่รุ่ยหลินเห็นการเคลื่อนไหวของพวกโจรก็รู้ได้ว่าต้องมีการต่อสู้ที่รุนแรงเกิดขึ้นอีกครั้ง นางไม่รอช้ากระชับทวนที่ถืออยู่ในมือให้มั่นจากนั้นก็ตะโกนสั่งพี่น้องในสำนักคุ้มภัย "ทุกคนเตรียมพร้อม! พวกโจรจะบุกเข้ามาล้อมพวกเราอีกครั้ง ระวังตัวด้วย"
พี่น้องสำนักคุ้มภัยต่างตั้งท่ารับมืออย่างมั่นคง อาวุธในมือของพวกเขาพร้อมที่จะต่อกรกับโจรที่กำลังวิ่งเข้ามา หวังข่ายเองก็ไม่รอช้าปลดกระบี่อ่อนที่พันรอบเอวออกมา กระบี่เล่มนั้นยืดออกจากร่างกายของเขาอย่างคล่องแคล่ว เสียงกระบี่ที่เรียวบางราวกับสายน้ำเคลื่อนที่ในอากาศนั้นสร้างความหวาดหวั่นให้กับพวกโจรไม่น้อย
จงเหยียนจับจ้องมองไปยังหลี่รุ่ยหลินเพียงคนเดียว ความต้องการในตัวนางทำให้มันเร่งเร้าเข้าสู่สนามรบโดยไม่คิดจะรั้งรอ มันพุ่งตรงไปหานางด้วยความดุดันและความมุ่งมั่นที่จะแย่งชิงนางกลับไปเป็นของตนให้ได้
บทที่สิบศัตรูคู่อาฆาต การต่อสู้ดำเนินไปอย่างดุเดือด เสียงอาวุธปะทะกันดังก้องไปทั่วทั้งบริเวณ จงเหยียนมุ่งตรงเข้าหาหลี่รุ่ยหลินอย่างไม่รอช้า มันมีฝีมือที่รวดเร็วและดุดันกว่าคนอื่นๆ ที่เคยเผชิญหน้ามาก่อนทำให้หลี่รุ่ยหลินต้องโต้ตอบอย่างเต็มกำลัง แม้ว่านางจะเก่งกาจแต่จงเหยียนก็ไม่ใช่ศัตรูที่ประมือได้ง่าย หากว่ามันไม่มีฝีมือจริงก็ไม่สามารถสังหารบิดาและพี่ชายของนางได้หรอกขณะที่ทั้งสองต่อสู้กันนั้นจงเหยียนฉวยโอกาสในจังหวะที่หลี่รุ่ยหลินเผลอชักเอาขวดเล็กๆ ออกมาจากอกเสื้อ คลายจุกออกอย่างรวดเร็วแล้วสาดผงควันสีขาวนวลพุ่งเข้าหานางโดยไม่ให้ทันตั้งตัว“ควันสลบ” หลี่รุ่ยหลินรู้ทันทีว่าตนกำลังเผชิญกับอะไร นางพยายามหลบแต่ไม่ทัน ควันสีขาวปกคลุมร่างของนางในทันที เมื่อสูดเข้าไปแล้วก็ทำให้หัวเริ่มมึนงงและรู้สึ
บทที่สิบเอ็ดข้าต้องช่วยเจ้าให้ได้หวังข่ายซึ่งยืนอยู่ในมุมมืดหลังกระโจมส่งสัญญาณให้กับพี่น้องสำนักคุ้มภัยที่ซุ่มรออยู่ด้านนอก เขารู้ดีว่าการบุกเข้าไปช่วยหลี่รุ่ยหลินในครั้งนี้เป็นโอกาสสำคัญ หากพลาดไปพวกเขาอาจไม่มีโอกาสเช่นนี้อีกเมื่อพี่น้องสำนักคุ้มภัยเห็นสัญญาณจากหวังข่ายพวกเขาก็ไม่รอช้ารีบพุ่งตัวเข้าไปในค่ายของพวกโจรทันที พวกโจรที่อยู่ภายในค่ายไม่ทันได้ตั้งตัวจากการบุกโจมตีที่รวดเร็วและรุนแรง พวกมันต่างตื่นตระหนกและวิ่งหนีเป็นกันอยางแตกกระจายเพื่อหาที่หลบภัยเสียงโลหะกระทบกันดังก้องไปทั่วค่าย ความโกลาหลที่เกิดขึ้นทำให้พวกโจรที่อยู่ในค่ายตกใจและหันไปดู เมื่อเห็นพวกพ้องถูกโจมตีพวกมันก็รีบชักดาบออกมาเตรียมต่อสู้ แต่ก็สายเกินไปแล้วพวกพี่น้องสำนักคุ้มภัยที่บุกเข้ามาอย่างดุดันทำให้พวกมันไม่สามารถตั้งรับได้ทัน พวกโจรถูกฟันล้มลงทีละคนอย่างรวดเร็ว
บทที่สิบสองบังเกิดเป็นความรักหลังจากการต่อสู้ที่ยากลำบากและการเดินทางที่เต็มไปด้วยอันตรายพวกเขาก็สามารถกำจัดพวกโจรที่ก่อความเดือดร้อนได้หมดสิ้นแล้ว การเดินทางกลับไปยังเมืองหลวงจึงดำเนินไปด้วยความราบรื่นและสบายใจเมื่อเดินทางออกจาเมืองเสวียนเทียนทุกคนก็รู้สึกโล่งใจราวกับว่าพายุร้ายได้ถูกพัดหายไปแล้ว หลี่รุ่ยหลินและพี่น้องสำนักคุ้มภัยต่างก็เต็มไปด้วยความพอใจที่สามารถทำภารกิจสำเร็จ ทั้งที่เจออุปสรรคมากมาย แต่พวกเขาก็ยังคงสามารถพิชิตชัยเหนือศัตรูได้ระหว่างการเดินทางกลับสู่เมืองหลวงหวังข่ายและหลี่รุ่ยหลินเริ่มมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ความใกล้ชิดที่เริ่มงอกเงยทำให้พวกเขาเริ่มรู้จักกันมากขึ้น และการพูดคุยระหว่างของพวกเขาก็เต็มไปด้วยความเข้าใจและความไว้วางใจที่เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดแต่ละวันบนเส้นทางกลับหลี่รุ่ย
บทที่สิบสามความสัมพันธ์วัยเด็กไม่นาหลังจากที่หวังข่ายกลับมาเขาก็พบว่าบุตรสาวของเจ้ากรมการคลังหลิวผิงผิงมารอพบเขาเขาอยู่ที่หน้าประตูจวน เมื่อพ่อบ้านเปิดประตูให้นางก็วิ่งเข้ามาหาเขาทันทีพร้อมด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกระตือรือร้น"หวังข่าย…เจ้ากลับมาแล้ว" หลิวผิงผิงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่หวานหยดย้อยพลางยิ้มอย่างสดใส "ข้าเห็นว่าเจ้ากลับมาเหนื่อย ๆ เลยรีบมาหาทันที ข้าเตรียมอาหารไว้ให้เจ้าแล้ว""ผิงผิง…ขอบคุณที่เป็นห่วงข้า" หวังข่ายตอบกลับด้วยน้ำเสียงสุภาพ"ถ้าอย่างนั้นพวกเราไปกินข้าวกันเถอะ" หลิวผิงผิงชวน"อืม" หวังข่ายตอบรับอย่างยินดีเมื่อเห็นว่าหวังข่ายยอมรับความปรารถนาดีของนางหลิวผิงผิงก็ยิ้มอย่างปลื้มปิติ นางรีบนำเข้าไปที่ห้องรับแขกและจัดอาหารที่เต
บทที่สิบสี่เจ้าแย่งเขาไปจากข้า หลิวผิงผิงกลับไปที่จวนของตัวเองด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความอิจฉาและความแค้น ความคิดที่ว่าหลี่รุ่ยหลินได้แย่งหวังข่ายไปจากนางทำให้รู้สึกโกรธเคืองจนแทบจะระงับอารมณ์ไม่อยู่ นางคิดถึงทุกสิ่งที่นางทำเพื่อพยายามเข้าหาหวังข่าย ตั้งแต่การเป็นสหายที่ดี การทำให้เขาเห็นถึงความทุ่มเทและการแสดงออกถึงความรักความเอาใจใส่ แต่ทุกอย่างก็กลับถูกทำลายลงเพราะการปรากฏตัวของหลี่รุ่ยหลินนางยืนมองตัวเองในกระจก มองรูปลักษณ์ที่งดงามและถูกอบรมมารยาทอย่างดีจากตระกูลผู้ดี ทุกคนล้วนกล่าวว่านางเป็นหญิงสาวที่เพียบพร้อม แต่เหตุใดหวังข่ายถึงไม่เห็นค่านาง เหตุใดหัวใจของเขาถึงเลือกหลี่รุ่ยหลินแทนที่จะเป็นนางความคิดนี้ยิ่งทำให้รู้สึกโกรธมากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดความคิดที่จะทำร้ายหลี่รุ่ยหลินก็เริ่มก่อตัวขึ้นใ
บทที่สิบห้าเต็มไปด้วยความรัก เมื่อทุกอย่างถูกจัดการเรียบร้อย หวังข่ายรู้สึกถึงความโล่งใจที่ไม่ต้องกังวลเรื่องหลิวผิงผิงอีกต่อไป แต่ด้วยความเป็นห่วงที่ยังอยูในใจกลัวว่านอกจากหลิวผิงผิงแล้วจะยังมีเรื่องอื่นมาทำให้หลี่รุ่ยหลินคนรักของเขาไม่สบายใจอีก เขาจึงได้ตัดสินใจทำสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตในช่วงเช้าของวันหนึ่งท้องฟ้าแจ่มใสและมีแสงแดดอ่อน ๆ อาบลานหน้าสำนักคุ้มภัย หวังข่ายตัดสินใจที่จะไม่รอช้าอีกต่อไป เขารู้ว่าเขาอยากจะใช้ชีวิตร่วมกับหลี่รุ่ยหลินไปตลอดและไม่ต้องการให้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาถูกชะงักอีกหวังข่ายเดินทางไปยังสำนักคุ้มภัยต้าอันฉวน เมื่อเขามาถึงบรรยากาศที่สำนักคุ้มภัยเต็มไปด้วยพี่น้องในสำนักที่ต่างกำลังฝึกซ้อมและเตรียมตัวสำหรับงานต่าง ๆ ที่พวกเขาจะต้องทำ แต่เมื่อเห็นหว
บทที่หนึ่งการสมรสที่ไม่ต้องการเช้าตรู่ที่หมอกบางๆ ลอยอ้อยอิ่งเหนือเมืองหลวง หลี่ฟางตวนบิดาของหลี่รุ่ยหลินออกมายืนหน้าประตูจวน กวาดตามองไปยังบุตรสาวและภรรยาที่รออยู่ สายตาของเขาสั่นคลอนเล็กน้อยด้วยความรู้สึกเศร้าสร้อยที่จะต้องจากไปทำงานใหญ่ครั้งนี้“รุ่ยหลิน…ดูแลแม่ของเจ้ากับสำนักของเราตอนที่พ่อกับพี่ชายของเจ้าไม่อยู่ให้ดี แล้วก็อย่าปฏิเสธงานมากจนเกินไปเล่า ประเดี๋ยวจะไม่มีเงินเลี้ยงดูเหล่าพี่น้องของเรา” บิดากล่าวเสียงแผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยความหนักแน่น“เจ้าค่ะท่านพ่อ” หลี่รุ่ยหลินตอบอย่างไม่ลังเล ดวงตาของนางฉายแววความมุ่งมั่น ทุกครั้งที่บิดากับพี่ชายไม่อยู่นางในนามของคุณหนูเล็กก็จะได้เลื่อนขึ้นมาเป็นหัวหน้าสำนักรักษาการณ์ในทันทีและนางก็ชื่นชอบหน้าที่นี้เป็นอย่างมากหลี่เว่ยตงพี่ชายของหลี่รุ่ยหลินยืนอยู่ข้างบิดา เขาวางมือลงบนบ่าของน้องสาวเบาๆ “อย่าลืมฝึกวิชาที่พี่สอนเจ้าไว้ มันจะมีประโยชน์ในยามคับขัน”“ข้าจะฝึกอย่างไม่ขาดตกบกพร่องเลยเจ้าค่ะ” หลี่รุ่ยหลินรับคำด้วยน้ำเสียงจริงจัง“ไปเถิด อย่าให้คหบดีเจียงต้องคอยนาน” หลี่ฮูหยินพูดขึ้น ถึงแม้ว่าจะบอกให้สองพ่อลูกรีบไปทว่าดวงตาของนางก็เต็มไป
บทที่สองช่วงเวลาแห่งการสูญเสียเสียงฝีเท้าม้าวิ่งมาอย่างเร่งรีบหยุดลงที่หน้าประตูสำนักคุ้มภัยต้าอันฉวน ร่างที่เต็มไปด้วยเลือดของพี่น้องสำนักคุ้มภัยคนหนึ่งร่วงลงมาจากหลังม้า คนที่เฝ้าประตูอยู่รีบไปประคองเขาทันที ทั้งเนื้อทั้งตัวของเขามีแต่คราบเลือดเต็มไปหมดทั้งยังมีบาดแผลอีกมากมาย เขารอดมาจนถึงสำนักได้นั้นก็ถือว่าโชคดีมากแล้ว"พี่ซีหยาง…เกิดเรื่องอันใดขึ้น" นายประตูถาม"พาข้าไปหาฮูหยินกับคุณหนู…ตอนนี้" เขากล่าวด้วยเสียงที่แผ่วเบานายประตูทั้งสองคนรีบหามร่างที่บาดเจ็บสาหัสของซีหยางเข้าไป เขาไม่ยอมไปรักษาตัวยืนยันว่าถึงอย่างไรก็ต้องพบฮูหยินกับคุณหนูก่อน พวกเขาจึงพาไปยังห้องหนังสือ ที่นั่นหลี่รุ่ยหลินนั่งทำงานอยู่อย่างเคร่งเครียด เหลือก็แต่เพียงหลี่ฮูหยินมารดาของนางที่กำลังรีบมา"พี่ซีหยางเกิดเรื่องอันใดขึ้น เหตุใดท่านถึงได้กลับมาในสภาพเช่นนี้" หลี่รุ่ยหลินกล่าวด้วยความตกใจ จากนั้นลุกขึ้น