บทที่หนึ่ง
การสมรสที่ไม่ต้องการ
เช้าตรู่ที่หมอกบางๆ ลอยอ้อยอิ่งเหนือเมืองหลวง หลี่ฟางตวนบิดาของหลี่รุ่ยหลินออกมายืนหน้าประตูจวน กวาดตามองไปยังบุตรสาวและภรรยาที่รออยู่ สายตาของเขาสั่นคลอนเล็กน้อยด้วยความรู้สึกเศร้าสร้อยที่จะต้องจากไปทำงานใหญ่ครั้งนี้
“รุ่ยหลิน…ดูแลแม่ของเจ้ากับสำนักของเราตอนที่พ่อกับพี่ชายของเจ้าไม่อยู่ให้ดี แล้วก็อย่าปฏิเสธงานมากจนเกินไปเล่า ประเดี๋ยวจะไม่มีเงินเลี้ยงดูเหล่าพี่น้องของเรา” บิดากล่าวเสียงแผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยความหนักแน่น
“เจ้าค่ะท่านพ่อ” หลี่รุ่ยหลินตอบอย่างไม่ลังเล ดวงตาของนางฉายแววความมุ่งมั่น ทุกครั้งที่บิดากับพี่ชายไม่อยู่นางในนามของคุณหนูเล็กก็จะได้เลื่อนขึ้นมาเป็นหัวหน้าสำนักรักษาการณ์ในทันทีและนางก็ชื่นชอบหน้าที่นี้เป็นอย่างมาก
หลี่เว่ยตงพี่ชายของหลี่รุ่ยหลินยืนอยู่ข้างบิดา เขาวางมือลงบนบ่าของน้องสาวเบาๆ “อย่าลืมฝึกวิชาที่พี่สอนเจ้าไว้ มันจะมีประโยชน์ในยามคับขัน”
“ข้าจะฝึกอย่างไม่ขาดตกบกพร่องเลยเจ้าค่ะ” หลี่รุ่ยหลินรับคำด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ไปเถิด อย่าให้คหบดีเจียงต้องคอยนาน” หลี่ฮูหยินพูดขึ้น ถึงแม้ว่าจะบอกให้สองพ่อลูกรีบไปทว่าดวงตาของนางก็เต็มไปด้วยความกังวล
“ท่านแม่ ท่านต้องดูแลตัวเองด้วยนะ” หลี่เว่ยตงกล่าวพลางกอดมารดาแน่น
หลี่ฟางตวนหันมากำชับเรื่องสำคัญครั้งสุดท้าย “รุ่ยหลิน เจ้ายังจำเรื่องที่พ่อพูดได้หรือไม่”
“เรื่องแต่งงานนะหรือเจ้าคะ” หลี่รุ่ยหลินตอบกลับอย่างไม่สบอารมณ์เท่าไร นางไม่ได้อยากแต่งงานตั้งแต่แรกแต่ทว่าบิดาก็ยังคงดึงดันจะให้นางแต่งให้ได้
หลี่ฟางตวนได้พูดคุยกับคหบดีเจียงเอาไว้แล้วว่าหลังจากภารกิจส่งของไปที่เมืองสุ่ยเสร็จเรียบร้อย พอเขากลับมาก็จะจัดการหมั้นหมายให้หลี่รุ่ยหลินกับคุณชายเจียงบุตรชายของคหบดีเจียงในทันที เขาเห็นดีเห็นงามให้บุตรสาวแต่งเข้าตระกูลเจียงเพราะทำงานสนิทสนมกับสกุลเจียงมานานและสกุลเจียงเองก็ร่ำรวย รับรองว่าหลี่รุ่ยหลินแต่งเข้าไปไม่มีทางลำบากอย่างแน่นอน
"เมื่อพ่อกลับมา พ่อจะจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย” หลี่ฟางตวนกล่าว
“แต่ข้าไม่อยากแต่งกับเขา” หลี่รุ่ยหลินเอ่ยเสียงดังพลางเบือนหน้าหนี
“สตรีถึงวัยแล้วอย่างไรก็ต้องแต่งงาน เจ้าจะอยู่คนเดียวไปตลอดชีวิตนั้นเป็นไปไม่ได้หรอก” บิดายืนยันหนักแน่น
หลี่รุ่ยหลินหันหลังให้บิดา ดวงตาเต็มไปด้วยน้ำตาที่ไม่อาจหยุดยั้งได้ นางก้าวเท้าหนีไปโดยไม่กล่าวคำลา
บิดามองตามหลังบุตรสาวด้วยความหนักใจ ก่อนจะหันไปหาภรรยาและลูกชายอีกครั้ง “เราไปกันเถิด”
จากนั้นทั้งหลี่ฟางตวนและหลี่เว่ยตงจึงออกเดินทางไปยังจวนของคหบดีเจียงเพื่อสมทบกับขบวนส่งสินค้าที่รออยู่ โดยที่ในใจต่างห่วงใยและคิดถึงครอบครัวที่ต้องทิ้งไว้เบื้องหลัง
สำนักคุ้มภัยต้าอันฉวนนั้นเป็นสำนักคุ้มภัยอันดับหนึ่งของแคว้นเว่ย ไม่ว่าจะเป็นคหบดีใหญ่ ขุนนาง หรือแม้กระทั่งเชื้อพระวงศ์หากว่าต้องเรียกใช้งานสำนักคุ้มภัยพวกเขาก็จะนึกถึงต้าอันฉวนเป็นอันดับแรก สำนักคุ้มภัยแห่งนี้มีงานไม่เว้นแต่ละวันจนต้องขยายสำนักใหญ่โตมีพี่น้องในสำนักมากมายร่วมหนึ่งร้อยห้าสิบคน หากว่าเป็นงานใหญ่ที่มูลค่าของสิ่งของมาก ๆ หรือว่างานของบุคคลสำคัญหลี่ฟางตวนกับหลี่เว่ยตงก็จะทำหน้าที่นำคณะคุ้มภัยด้วยตัวเอง แต่ถ้าหากว่าเป็นงานที่ดูอันตรายน้อยกว่าเขาก็จะให้หัวหน้าหน่วยย่อยของเขาเป็นผู้นำคณะไป
ครั้งนี้เป็นการส่งสินค้าชุดใหญ่ของคหบดีเจียงซึ่งเป็นลูกค้าที่อยู่กับสำนักคุ้มภัยต้าอันฉวนมานาน อีกทั้งการส่งสินค้าปลายปีนั้นส่งของจำนวนมากราวสิบห้าคันรถได้จึงต้องการการดูแลมากเป็นพี่เศษ สองพ่อลูกจึงเดินทางไปด้วยตนเอง
หลี่รุ่ยหลินหญิงสาววัยสิบห้าปีซึ่งผ่านพิธีปักปิ่นมาเมื่อไม่กี่เดือนนั้นยังไม่ได้คิดว่าตนเองรีบร้อนจะแต่งงาน ทั้งที่มีบุรุษมาสนใจนางมากมายเพราะใบหน้าที่งดงามราวกับภาพวาดทั้งยังมีวรยุทธ์อีก ทั่วทั้งเมืองหลวงไม่สามารถหาสตรีเช่นนี้ได้ง่าย ๆ แต่นางมีความคิดเพียงแต่เพียงว่าจะฝึกวรยุทธ์ให้เก่งกาจแล้วขยายสาขาของสำนักคุ้มภัยต้าอันฉวนไปที่เมืองอื่น วาดฝันถึงความมั่งคั่งที่จะเกิดขึ้นในภายภาคหน้าเอาไว้ในหัวแล้ว ใบหน้าของพวกคุณชายเหล่านั้นหาได้อยู่ในความคิดของนางไม่
เมื่อบิดากับพี่ชายออกจากสำนักไปแล้วหลี่รุ่ยหลินก็มานั่งคิดไม่ตกอยู่ในห้องนอนของตนเอง หากว่านางต้องแต่งงานกับคุณชายเจียงจริง ๆ ชีวิตต่อจากนี้ไปคงไม่มีความสุขเป็นแน่ ถึงแม้ว่าหญิงสาวเกือบครึ่งเมืองหลวงจะหมายปองเขาก็ตามแต่ทว่าสำหรับนางแล้วเขาก็เพียงแค่ผักกาดขาวต้มเท่านั้น
เพราะว่าคุณชายเจียงผู้นี้เป็นคุณชายเสเพลอย่างแท้จริง มีดีก็แต่บ้านรวยเป็นอันดับหนึ่งของเมืองหลวง แต่ว่าเขากลับเป็นคนไม่เอาถ่าน ไม่สนใจร่ำเรียนเอาแต่เที่ยวดื่มสุรากับพวกเพื่อนเสเพล ใช้เงินไปวัน ๆ ถึงแม้ว่าจะไม่มีปัญหาเรื่องผู้หญิงแต่ว่าคนไร้ประโยชน์เช่นนี้ต่อให้รวยแค่ไหนในภายภาคหน้าก็คงรักษาทรัพย์สมบัติที่บิดาทิ้งเอาไว้ให้ได้ไม่นานอยู่ดี และก็รู้ว่าที่คหบดีเจียงอยากได้นางเป็นลูกสะใภ้ก็เพราะว่านางเป็นคนจัดการเรื่องเงินเก่ง ในภายภาคหน้าคงช่วยบุตรชายของเขาดูแลทรัพย์สมบัติสกุลเจียงได้เป็นแน่
หลี่รุ่ยหลินพูดคุยกับบิดาถึงเรื่องลักษณะนิสัยของคุณชายเจียงผู้นี้ไปแล้วแต่ทว่าบิดาของนางก็ให้ข้ออ้างกลับมาว่าเมื่อเขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ย่อมจะมีความรับผิดชอบมากขึ้น ในที่สุดก็จะเลิกนิสัยเจ้าสำราญนี้ไปได้เอง ส่วนมารดาของหลี่รุ่ยหลินนั้นไม่ใช่ว่าจะเห็นดีเห็นงามด้วยแต่ด้วยความที่ไม่สามารถขัดแย้งกับสามีได้จึงได้แต่ตามน้ำไป ส่วนพี่ชายของนางนั้นเขาเป็นเพียงคนเดียวที่เข้าข้างนางและเห็นว่าคุณชายเจียงผู้นี้ไม่เหมาะสมกับน้องสาวของเขาเป็นอย่างยิ่ง
"เจ้าเองก็อย่าได้คิดมากไปเลย พ่อของเจ้าเพียงแต่ต้องการจัดหาคู่ครองที่ดีที่สุดให้เจ้าก็เท่านั้น" หลี่ฮูหยินกล่าวกับบุตรสาว มือข้างหนึ่งก็ลูบบ่าของนางเบา ๆ เพื่อให่้ใจเย็นลง
"ท่านแม่…คนอย่างข้าไม่จำเป็นต้องพึ่งพาบุรุษใดท่านก็รู้ หากว่าไม่มีคนมาสู่ขอจริง ๆ ข้าก็เพียงแต่ทำงานอยู่ในสำนักคุ้มภัยนี้ช่วยเหลือพี่ใหญ่ก็เท่านั้น อีกอย่างสำนักคุ้มภัยของเรามีแต่จะขยายใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ยิ่งต้องการคนมาก จะให้ข้าตัดใจทิ้งให้ทุกคนทำงานหนักแล้วแต่งไปอยู่ที่อื่นอย่างนั้นหรือ" หลี่รุ่ยหลินกล่าว
อย่าว่าแต่แต่งกับคุณชายเจียงเลยต่อให้เป็นบุรุษคนใดนางก็ไม่ยินดีที่จะแต่งด้วยทั้งนั้น น้อยคนนักที่จะมีความคิดเช่นนางซึ่งก็คือผู้หญิงสามารถยืนหยัดและดูแลตัวเองได้ นางเองก็ไม่ใช่ผู้หญิงทั่วไปที่จะต้องพึ่งพาบุรุษ นางมีความรู้ มีวรยุทธ์ บางทีอาจจะทำงานได้ดีกว่าบุรุษบางคนก็เป็นได้
"พ่อของเจ้าก็คงไม่อยากให้เจ้าต้องลำบาก" หลี่ฮูหยินกล่าว
"แล้วมั่นใจได้อย่างไรว่าคุณชายเจียงนั่นจะดูแลข้าได้ ข้าไม่คุยกับท่านแม่แล้ว ขอไปตรวจดูรายชื่อลูกค้าจ้างงานคุ้มภัยในช่วงนี้ก่อน" หลี่รุ่ยหลินพูดจบก็เดินออกจากห้องไปมุ่งหน้าสู่ห้องหนังสือทันที ที่นั่นมีงานมากมายรอให้นางไปสะสาง
หลี่ฟางตวนกับหลี่เว่ยตงออกเดินทางคุ้มกันขบวนสินค้าของคหบดีเจียงไปจนถึงหุบเขาไจ่เซียงมุ่งหน้าสู่แดนตะวันตก ในระหว่างที่ตั้งค่ายพักแรมกันในหุบเขาไจ่เซียงนั้นก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติ พวกสำนักคุ้มภัยเตรียมตัวพร้อมเพราะรู้อยู่แล้วว่าพื้นที่ช่วงหุบเขาไจ่เซียงนั้นอันตรายยิ่งและเกิดการดักปล้นแย่งชิงสินค้าอยู่บ่อยครั้ง และนี่คือสาเหตุหนึ่งที่หลี่ฟางตวนกับหลี่เว่ยตงตัดสินใจคุ้มกันขบวนสินค้าด้วยตัวเอง
ภายใต้แสงจันทร์ที่มืดสลัวนั้นโจรกลุ่มหนึ่งก็บุกเข้ามาในค่ายพักแรมของขบวนสินค้า โจรกลุ่มนี้หลี่ฟางตวนกับหลี่เว่ยตงรู้จักดีเนื่องจากเคยปะทะกันมาหลายครั้งแต่ทว่าพวกมันไม่เคยปล้นขบวนสินค้าที่สองพ่อลูกคุ้มกันมาสำเร็จเลยสักครั้ง ครั้งนี้พวกมันจึงรวบรวมพรรคพวกมามากเป็นพิเศษเพราะคิดว่าจะฆ่าหัวหน้าสำนักคุ้มภัยต้าอันฉวนคนนี้เสีย การปล้นในครั้งต่อไปจะได้ไม่มีอุปสรรคอีก
พวกโจรนำโดยจงเหยียนหัวหน้าใหญ่และลูกน้องราวร้อยกว่คนบุกเข้ามาอย่างรวดเร็ว คนของสำนักคุ้มภัยที่มีน้อยกว่าเสียเปรียบมาก ต่อให้หลี่ฟางตวนกับหลี่เว่ยตงจะมีฝีมือแค่ไหนแต่ก็ยังคงต้านทานโจรมากมายถึงเพียงนั้นไม่ไหวอยู่ดี ในที่สุดก็ถูกสังหารภายใต้น้ำมือของจงเหยียนนั่นเอง สิ่งที่หลี่ฟางตวนทำได้ก่อนที่ลมหายใจสุดท้ายจะหมดลงนั้นก็คือส่งคนที่พอจะรอดชีวิตหนึ่งคนขี่ม้าไปบอกข่าวกับบุตรสาวและภรรยาที่เมืองหลวง
หิมะที่ตกลงมาโปรยปรายเริ่มตกหนักขึ้น รถม้าขนส่งสินค้าทั้งสิบหาคันถูกพวกโจรลากไปแล้ว ทิ้งไว้ก็แตเพียงซากศพของหลี่ฟางตวน หลี่เว่ยตงและคนสำนักคุ้มภัยกับบ่าวรับใช้จวนคนหบดีอีกกว่าห้าสิบชีวิตที่ตอนนี้หิมะแทบจะถมทับพวกเขาไว้ข้างใต้แล้ว
บทที่สองช่วงเวลาแห่งการสูญเสียเสียงฝีเท้าม้าวิ่งมาอย่างเร่งรีบหยุดลงที่หน้าประตูสำนักคุ้มภัยต้าอันฉวน ร่างที่เต็มไปด้วยเลือดของพี่น้องสำนักคุ้มภัยคนหนึ่งร่วงลงมาจากหลังม้า คนที่เฝ้าประตูอยู่รีบไปประคองเขาทันที ทั้งเนื้อทั้งตัวของเขามีแต่คราบเลือดเต็มไปหมดทั้งยังมีบาดแผลอีกมากมาย เขารอดมาจนถึงสำนักได้นั้นก็ถือว่าโชคดีมากแล้ว"พี่ซีหยาง…เกิดเรื่องอันใดขึ้น" นายประตูถาม"พาข้าไปหาฮูหยินกับคุณหนู…ตอนนี้" เขากล่าวด้วยเสียงที่แผ่วเบานายประตูทั้งสองคนรีบหามร่างที่บาดเจ็บสาหัสของซีหยางเข้าไป เขาไม่ยอมไปรักษาตัวยืนยันว่าถึงอย่างไรก็ต้องพบฮูหยินกับคุณหนูก่อน พวกเขาจึงพาไปยังห้องหนังสือ ที่นั่นหลี่รุ่ยหลินนั่งทำงานอยู่อย่างเคร่งเครียด เหลือก็แต่เพียงหลี่ฮูหยินมารดาของนางที่กำลังรีบมา"พี่ซีหยางเกิดเรื่องอันใดขึ้น เหตุใดท่านถึงได้กลับมาในสภาพเช่นนี้" หลี่รุ่ยหลินกล่าวด้วยความตกใจ จากนั้นลุกขึ้น
บทที่สามจุดพลิกผันสู่เจ้าสำนักน้อยเมื่อจัดการพิธีศพเรียบร้อยแล้วก็ไม่มีเวลาให้พวกเขาได้โศกเศร้าเสียใจมากนักเนื่องจากมีงานคั่งค้างที่ต้องสะสางอีกมากมาย ทั้งเรื่องเงินชดเชยที่จะต้องมอบให้กับบิดามารดาของพี่น้องที่เสียชีวิตไปและเรื่องงานที่รับจ้างไว้ก่อนหน้าที่หลี่ฟางตวนจะเสียชีวิต ทำเอาหลี่รุ่ยหลินวุ่นวายไปหมด"พี่ซีหยาง…นี่พวกเราถูกยกเลิกเลิกงานมากมายถึงเพียงนี้เลยหรือ" หลี่รุ่ยหลินถามอย่างประหลาดใจเมื่อเห็นบัญชีรายชื่อลูกค้าที่จ้างงานถูกขีดฆ่าชื่ออกไปมากมายซีหยางยิ้มแหย ๆ ให้กับนางเพราะไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไรดีให้กระทบกระเทือนจิตใจของหัวหน้าสำนักน้อยผู้นี้ให้น้อยที่สุด "เอ่อ…คือว่าลูกค้าของพวกเราหายไปราว ๆ เจ็ดส่วนขอรับคุณหนู เอ้ย…ขอรับนายหญิง"ด้วยความที่ยังไม่เคยชินที่จะเรียกหลีรุ่ยหลินว่านายหญิงพี่น้องสำนักคุ้มภัยต่างก็
บทที่สี่ประเดิมงานแรกเมื่อสองพ่อลูกขึ้นรถม้าไปแล้วหลีรุ่ยหลินกับไป๋ฮ่าวเทียนหัวหน้าหน่วยย่อยของสำนักคุ้มภัยก็เดินตรวจตราขบวนเดินทาง ระยะทางจากเมืองหลวงไปยังเมืองบ้านเกิดของอดีตอัครเสนาบดีหวังนั้นไกลพอสมควร ดังนั้นการตรวจขบวนเดินทางให้เรียบร้อยจึงสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ขบวนเดินทางค่อนข้างใหญ่มีข้าวของมากมายอาจจะทำให้การเดินทางล้าช้าไปบ้าง ไป๋ฮ่าวเทียนจึงคิดว่ากำลังคนที่เตรียมมาในครั้งนี้ไม่น่าจะพอ"นายหญิงแน่ใจแล้วหรือขอรับว่าจะไม่เรียกคนมาเพิ่ม จากที่ตรวจดูรายชื่อสมบัติและมูลค่าของที่ต้องคุ้มกันค่อนข้างสูงอยู่นะขอรับ" ไป๋ฮ่าวเทียนกล่าวไป๋ฮ่าวเทียนเคยนำขบวนคุ้มกันด้วยตนเองมาก่อน จากประสบการณ์ของเขาแล้วขบวนยาวถึงเพียงนี้ใช้คนคุ้มกันเพียงแค่สามสิบคนถือว่าน้อยเกินไป เพราะทุกครั้งที่เขาออกเดินทางหากว่าไม่ได้ไปกับนายท่านและคุณชายแล้วละก็จะต้องมีพรรคพวกไปด้วยไม่ต่ำกว่าห้าสิบคน ครั้
บทที่ห้าน้ำใจจากคุณชายหน้าขาว จุดหมายต่อไปที่พวกเขาจะเดินทางไปก็คือเมื่องเอี๋ยนเสียง แต่กว่าจะถึงเมืองเอี๋ยนเสียงนั้นยังคงต้องนอนในในป่ากันอีกราว ๆ สองคืนหากว่าเดินทางเร็ว แต่เท่าที่คาดการณ์แล้วคงเดินทางเร็วเกินไปไม่ได้เพราะท่านผู้เฒ่าหวังอดีตอัครเสนาบดีนั้นเริ่มชราแล้ว ระหว่างที่เดินทางสามวันสามคืนในป่านั้นทุกอย่างก็ปกติดี อัครเสานบดีหวังเองก็ไม่ได้อ่อนแออย่างที่คิด เขายังเดินเหินไปมาได้สะดวกทั้งยังใจดีทำอาหารแจกจ่ายให้กับบ่าวรับใช้และคนของสำนักคุ้มภัยด้วย หลี่รุ่ยหลินเองก็ไม่คิดว่าเขาจะเป็นคนดีถึงเพียงนี้ น่าเสียดายที่ราชสำนักไม่เห็นค่าคนดี ๆ เช่นเขา ส่วนคุณชายหน้าขาวนั้นก็หาได้เป็นภาระอะไรไม่ ผิดกับที่หลี่รุ่ยหลินคาดการณ
บทที่หกคิดจะลองดีกับต้าอันฉวนอย่างนั้นหรือพวกเขาออกจากเมืองเอี๋ยนเสียงในตอนเช้ามุ่งหน้าเข้าสู่เขตของเทือกเขาเถาซานซึ่งมีระยะทางยาวราวสามร้อยลี้ คณะเดินทางจะต้องพักแรมกันในเทือกเขาแห่งนี้ราวเจ็ดถึงสิบวันขึ้นอยู่กับความรวดเร็วในการเดินทาง ถนนหนทางในหุบเขาค่อนข้างจะลำบาก ไหนอาจจะมีเหตุที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นอีก ระยะทางต่อจากนี้เป็นช่วงที่อันตรายยิ่ง เพราะต้องเดินทางผ่านหุบเขาอันคดเคี้ยว จากนั้นก็พื้นที่ป่าไม่สะดวกสบายเหมือนเส้นทางที่ผ่านมา ไหนจะลมหนาวที่หนาวเย็นมากขึ้น หมอกที่ปกคลุมอยู่ตลอดทั้งวัน และพื้นที่ช่วงนี้เป็นช่วงที่ต้องระวังความปลอดภัยมากที่สุดเพราะเกิดการดักปล้นชิงกันอยู่บ่อยครั้ง ระหว่างที่เดินทางนั้นหลี่รุ่ยหลินกับหวังข่ายมองกันไปมาด้วยสายตาที่ไม่ค่อยพอใจนัก
บทที่เจ็ดการต่อสู้ที่ดุเดือด ในยุคที่บ้านเมืองแตกแยกและอยู่ในสภาวะระส่ำระสาย การปล้นชิงทรัพย์สินเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง ไม่ว่าจะเป็นในเมืองใหญ่หรือตามชนบท ราษฎรที่อดอยากและยากจนก็มักจะหันมาใช้วิธีการนี้ในการเลี้ยงชีพ ด้วยสภาพที่แทบจะเรียกได้ว่าล่มสลายและความขัดแย้งที่ปะทุขึ้นเรื่อยๆ ระหว่างกลุ่มอำนาจต่างๆ ในราชสำนัก ทำให้บ้านเมืองเข้าสู่ยุคมืดที่ไร้ซึ่งความมีศีลธรรมที่ราชสำนักเมื่อตระหนักถึงความอ่อนแอและการทุจริตในหมู่ขุนนาง ผู้มีอำนาจกลับใช้โอกาสนี้ในการกอบโกยทรัพย์สินและอำนาจ ทำให้ราชวงศ์ค่อยๆ สูญเสียความน่าเชื่อถือและอำนาจในการปกครองอัครเสนาบดีหวังซึ่งเคยเป็นเสาหลักในการบริหารแผ่นดิน ยืนหยัดทำหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์และมุ่งมั่นมาตลอดชีวิต แต่เมื่อเวลาผ่านไปเขาก็เริ่มรู้สึกถึงการเป
บทที่แปดออกเดินทางต่อ หลังจากการต่อสู้ที่ดุเดือดและยาวนานจบลง ความเงียบสงัดก็เข้ามาปกคลุมแทนที่ เสียงหอบหายใจของเหล่าพี่น้องสำนักคุ้มภัยดังขึ้นท่ามกลางบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า พวกเขายืนอยู่ท่ามกลางซากศพของพวกโจรที่ถูกกำจัดจนหมดสิ้นไม่มีผู้ใดเหลือรอดจากการปะทะครั้งนี้หลี่รุ่ยหลินมองไปรอบๆ นางเห็นพี่น้องสำนักคุ้มภัยหลายคนได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้ แต่ก็เป็นเพียงบาดแผลเล็กน้อยเท่านั้นไม่ได้เป็นอันตรายถึงชีวิต ทุกคนต่างเหนื่อยล้าจากการสู้รบแต่ยังคงยืนหยัดอยู่ได้ด้วยพลังใจที่เข้มแข็ง“พี่น้องต้าอันฉวน การต่อสู้จบลงแล้ว” หลี่รุ่ยหลินกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความภูมิใจแต่ก็ยังมีความรู้สึกเหนื่อยล้าแสดงออกมาให้เห็นจากน้ำเสียงนั้นพี่น้องสำนักคุ้มภัยต่างพยั
บทที่เก้าจบงาน ณ เมืองเสวียนเทียนค่ำคืนนี้เมืองเสวียนเทียนถูกปกคลุมด้วยบรรยากาศที่คึกคักและอบอุ่น หลังจากที่พวกเขาเดินทางมาอย่างยาวนานในที่สุดก็ได้มาถึงเมืองที่เป็นบ้านเกิดของอดีตอัครเสนาบดีเสียที เมืองชายแดนอันเงียบสงบล้อมรอบไปด้วยภูเขาและป่าไม้เมื่อคณะของหลี่รุ่ยหลินเดินทางเข้ามาในเมืองทุกอย่างก็เป็นไปอย่างราบรื่น พวกชาวเมืองต่างให้การต้อนรับเป็นอย่างดี พวกเขาเคารพอัครเสนาบดีหวังซึ่งเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงและทำคุณประโยชน์แก่แผ่นดิน เจ้าเมืองเสวียนเทียนได้จัดงานเลี้ยงต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่ขึ้น เพื่อเป็นการขอบคุณหลี่รุ่ยหลินและพี่น้องสำนักคุ้มภัยที่ช่วยคุ้มกันและดูแลความปลอดภัยของอดีตอัครเสนาบดีมาตลอดการเดินทางงานเลี้ยงถูกจัดขึ้นที่จวนของเจ้าเมือง ทั้งจวนประดับประดาไปด้วยโคมไฟหลากสีและดอกไม้สดที่ถูกจัด