บทที่สิบ
ศัตรูคู่อาฆาต
การต่อสู้ดำเนินไปอย่างดุเดือด เสียงอาวุธปะทะกันดังก้องไปทั่วทั้งบริเวณ จงเหยียนมุ่งตรงเข้าหาหลี่รุ่ยหลินอย่างไม่รอช้า มันมีฝีมือที่รวดเร็วและดุดันกว่าคนอื่นๆ ที่เคยเผชิญหน้ามาก่อนทำให้หลี่รุ่ยหลินต้องโต้ตอบอย่างเต็มกำลัง แม้ว่านางจะเก่งกาจแต่จงเหยียนก็ไม่ใช่ศัตรูที่ประมือได้ง่าย หากว่ามันไม่มีฝีมือจริงก็ไม่สามารถสังหารบิดาและพี่ชายของนางได้หรอก
ขณะที่ทั้งสองต่อสู้กันนั้นจงเหยียนฉวยโอกาสในจังหวะที่หลี่รุ่ยหลินเผลอชักเอาขวดเล็กๆ ออกมาจากอกเสื้อ คลายจุกออกอย่างรวดเร็วแล้วสาดผงควันสีขาวนวลพุ่งเข้าหานางโดยไม่ให้ทันตั้งตัว
“ควันสลบ” หลี่รุ่ยหลินรู้ทันทีว่าตนกำลังเผชิญกับอะไร นางพยายามหลบแต่ไม่ทัน ควันสีขาวปกคลุมร่างของนางในทันที เมื่อสูดเข้าไปแล้วก็ทำให้หัวเริ่มมึนงงและรู้สึกหนักขึ้นเรื่อยๆ มือที่จับพลองแน่นก็เริ่มคลายลง ความคิดที่ชัดเจนกลายเป็นฝ้าฟาง ตาของนางพร่าเลือนและในที่สุดก็ล้มลงกับพื้นหมดสติไป
จงเหยียนหัวเราะเบาๆ อย่างพอใจ มันก้มตัวลงอุ้มหลี่รุ่ยหลินที่สลบอยู่ขึ้นมาขึ้นมาแล้วควบม้าหนีไปอย่างรวดเร็วโดยไม่มีใครทันได้สังเกต
หวังข่ายที่กำลังต่อสู้กับพวกโจรอยู่หันมองไปทางหลี่รุ่ยหลินด้วยความเป็นห่วง เมื่อไม่เห็นนางในที่ที่ควรจะอยู่ความกังวลในใจเขาก็เพิ่มมากขึ้น และแล้วเขาก็เหลือบเห็นจงเหยียนที่พาหลี่รุ่ยหลินควบม้าออกจากสนามรบไปในทิศทางที่ตรงกันข้ามกับการต่อสู้
“รุ่ยหลิน” หวังข่ายตะโกนเรียกด้วยเสียงอันดัง หัวใจเขาเต้นแรงขึ้นด้วยความเป็นห่วง
เขาพยายามเร่งฝีเท้าวิ่งตามไป แต่ในขณะที่กำลังจะก้าวขาไปข้างหน้าก็ถูกโจรฟันเข้าที่หลังแผลหนึ่ง แม้ความเจ็บปวดแล่นผ่านร่างกายของแต่เขาก็ยังไม่ละทิ้งความตั้งใจ หวังข่ายพยายามจะยกกระบี่ขึ้นป้องกันตัวแต่ทว่าความเจ็บปวดทำให้เขาเสียหลักและล้มลงกับพื้น
สายตาของหวังข่ายเต็มไปด้วยความเจ็บใจ เขาพยายามที่จะลุกขึ้นแต่บาดแผลที่หลังทำให้รู้สึกถึงความเจ็บปวดทุกครั้งที่ขยับตัว หยดเลือดหยดลงบนพื้นดิน แต่ในความคิดนั้นมีเพียงความเป็นห่วงหลี่รุ่ยหลินเท่านั้น
“ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าต้องเป็นอันตราย” หวังข่ายกัดฟันกล่าวด้วยเสียงอ่อนแรง
หลังจากที่จงเหยียนได้พาหลี่รุ่ยหลินไปแล้ว พวกโจรที่เหลือก็เริ่มถอนกำลังกลับไป ฝ่ายของหลี่รุ่ยหลินที่เหลืออยู่เห็นดังนั้นจึงตัดสินใจไม่ไล่ตามเนื่องจากตอนนี้กำลังของพวกเขาอยู่ในสภาพย่ำแย่ หวังข่ายและพี่น้องสำนักคุ้มภัยหลายคนต่างบาดเจ็บหนักจากการต่อสู้ ทำให้การไล่ตามเพื่อชิงตัวหลี่รุ่ยหลินกลับมาในตอนนี้ไม่ใช่ทางเลือกที่ดี
"พวกเราจะทำอย่างไรต่อไปดี" หวังข่ายเอ่ยถามเสียงแหบแห้งขณะที่พยายามลุกขึ้นนั่ง
ผู้ช่วยสำนักคุ้มภัยอีกคนหนึ่งที่ชื่อเฉินลี่หยางก้าวเข้ามาหาเขา ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเคร่งขรึม "ในสภาพนี้ พวกเราคงไม่สามารถไล่ตามไปได้ ขืนไปตอนนี้ก็คงมีแต่พ่ายแพ้กลับมา"
หวังข่ายกำหมัดแน่น รู้สึกเจ็บใจที่ไม่สามารถช่วยหลี่รุ่ยหลินได้ในทันที เขากล่าวด้วยเสียงกร้าว "แต่เราจะปล่อยให้นางอยู่ในเงื้อมมือของพวกมันแบบนี้ไม่ได้"
"พวกเรารู้ดี ไม่ใช่เพียงแค่ท่านที่เป็นห่วง พวกเราเองก็เป็นห่วงนายหญิงเช่นกัน" ไป๋ฮ่าวเทียนตอบ "แต่ตอนนี้พวกเราต้องตั้งสติและพักฟื้นก่อน ถ้าฝืนไปมีแต่จะเพิ่มจำนวนศพให้กับพวกมันเท่านั้น"
หวังข่ายพยักหน้าเข้าใจ รู้ว่าคำพูดของไป๋ฮ่าวเทียนถูกต้อง เขามองไปยังพี่น้องสำนักคุ้มภัยที่นอนบาดเจ็บอยู่รอบๆ บางคนมีแผลลึกและต้องการการรักษาอย่างเร่งด่วน
"ถ้าอย่างนั้นกลับไปที่บ้านของพ่อข้าที่เมืองเสวียนเทียนก่อน ที่นั่นมีเสบียงและยารักษาที่เพียงพอ" หวังข่ายกล่าวกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
ตลอดการเดินทางกลับเมืองเสวียนเทียนหวังข่ายไม่สามารถละทิ้งความกังวลในใจได้เลย เขาคิดถึงหลี่รุ่ยหลินที่ไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นอย่างไรแล้ว ในหัวของเขาเต็มไปด้วยภาพความทรงจำของนาง
หวังข่ายนั่งอยู่ในห้องพักรักษาตัว เขารู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดที่ยังหลงเหลืออยู่จากบาดแผลบนหลัง แม้ร่างกายจะต้องการพักผ่อนแต่จิตใจของเขากลับเต็มไปด้วยความวิตกกังวลและความคิดถึงหลี่รุ่ยหลิน นางถูกพาตัวไปตั้งแต่วันนั้นและเขายังไม่มีโอกาสแม้แต่จะพยายามช่วยเหลือนาง ความรู้สึกเช่นนี้ทำให้เขาทรมานใจยิ่งนัก
"ข้าจะต้องช่วยนางให้ได้..." หวังข่ายพึมพำกับตัวเองขณะที่มือกำหมัดแน่น
เขาไม่รู้ว่าความรู้สึกเช่นนี้เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่เมื่อไร ทั้งที่ก่อนหน้านี่ก็ไม่เคยใส่ใจนางเลยแม้แต่น้อย ออกจะทะเลาะกันบ่อยเสียด้วยซ้ำ แต่มาวันนี้ความรู้สึกกลับไม่เป็นเช่นนั้นอีกแล้ว เขารู้สึกได้ว่าไม่อยากสูญเสียนางไป
"ข้าต้องทำอะไรสักอย่าง" หวังข่ายคิดขณะลุกขึ้นจากเตียง
เขาเริ่มค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับพวกโจรที่พาหลี่รุ่ยหลินไป แม้ว่าเขาจะรู้ว่าการหาที่อยู่ของพวกมันไม่ใช่เรื่องง่ายแต่ก็ไม่ยอมแพ้ เขาถามไถ่จากพี่น้องในสำนักคุ้มภัยที่เหลืออยู่ว่าพวกโจรเหล่านั้นอาจซ่อนตัวอยู่ที่ไหนบ้างและพวกเขาจะหาหนทางนำตัวหลี่รุ่ยหลินกลับมา
หวังข่ายรู้ดีว่าการบุกเข้าไปช่วยหลี่รุ่ยหลินโดยไม่มีกำลังเพียงพออาจจะเป็นการเสี่ยงเกินไป เขาจึงตัดสินใจประชุมกับพี่น้องสำนักคุ้มภัยเพื่อหาวิธีการที่ดีที่สุด
ในการประชุมหวังข่ายยืนอยู่กลางห้องมองดูพี่น้องที่มีสีหน้าจริงจังเช่นเดียวกับเขา "พวกเราจำเป็นต้องเพิ่มกำลังคน หากเราจะบุกเข้าไปช่วยรุ่ยหลิน กำลังที่มีอยู่ตอนนี้อาจจะไม่พอที่จะต่อกรกับพวกมัน"
เฉินลี่หยางพยักหน้าเห็นด้วย "ข้าเห็นด้วยกับคุณชาย"
หลังจากหารือกันอย่างละเอียด พวกเขาตัดสินใจว่าทางเดียวที่จะได้กำลังเสริมมาอย่างรวดเร็วคือการเรียกพี่น้องสำนักคุ้มภัยต้าอันฉวนทั้งหมดมา เพื่อนายหญิงของพวกเขาแล้วพวกเขาย่อมทำอย่างเต็มที่
หวังข่ายหันไปมองไป๋ฮ่าวเทียน "พี่ฮ่าวเทียน ข้าขอให้ท่านเป็นผู้เขียนจดหมายถึงสำนักคุ้มภัย แจ้งเรื่องที่เกิดขึ้น"
ไป๋ฮ่าวเทียนพยักหน้าแล้วเริ่มลงมือเขียนจดหมายทันที ข้อความในจดหมายนั้นสรุปเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดและบอกด้วยว่าตอนนี้นายหญิงของพวกเขาถูกจับตัวไปแล้ว เมื่อเขียนจดหมายเสร็จสิ้นก็มอบให้กับผู้ส่งสารโดยกำชับว่าให้รีบส่งจดหมายนี้ถึงสำนักโดยเร็วที่สุด
เมื่อกำลังเสริมมาถึงหวังข่ายก็ไม่รอช้า เขาแบ่งพี่น้องในสำนักออกเป็นหลายกลุ่ม เพื่อกระจายการค้นหาทั่วทุกพื้นที่ที่คาดว่าพวกโจรอาจซ่อนตัวอยู่ การค้นหานั้นใช้เวลาหลายวันแต่ในที่สุดพวกเขาก็พบร่องรอยที่สำคัญ กลุ่มหนึ่งของพี่น้องในสำนักพบว่าพวกโจรได้ซ่อนตัวอยู่ในหุบเขาลึกที่ห่างไกล มีร่องรอยของคนที่เคยผ่านเข้าออกและรอยเท้าม้ามากมายเป็นกลุ่มใหญ่
"พี่น้องทั้งหลาย ข้าขอให้ทุกคนระวังตัวและทำตามแผนที่เราได้วางไว้" ไป๋ฮ่าวเทียนกล่าวกับพี่น้องสำนักต้าอันฉวนทุกคน
พี่น้องในสำนักพยักหน้าอย่างเข้าใจ พวกเขารู้ดีว่าการต่อสู้ครั้งนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง ทุกคนต่างมีความตั้งใจที่จะช่วยนายหญิงของพวกเขาออกมาให้ได้
เมื่อทุกอย่างเตรียมพร้อมไป๋ฮ่าวเทียนก็ออกคำสั่งให้เริ่มการบุก พวกเขาแบ่งกำลังออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกจะเป็นกลุ่มที่แฝงตัวลอบเข้าไปในหุบเขาอย่างเงียบๆ เพื่อตรวจสอบสถานการณ์และหาตำแหน่งที่หลี่รุ่ยหลินถูกขัง ส่วนที่สองจะรอคำสั่งพร้อมบุกเข้าไปเมื่อได้รับสัญญาณ
หวังข่ายนำกลุ่มแรก เขาเคลื่อนที่ไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง เมื่อเข้าไปถึงพื้นที่ที่พวกมันกางกระโจมหวังข่ายก็มุ่งตรงไปยังกระโจมที่ใหญ่ที่สุดในทันทีเพราะคาดว่าน่าจะเป็นที่พักของจงเหยียน เมื่อเขาแอบมองเข้าไปข้างในก็เห็นหลงลี่หลินอยู่ในนั้น
ภายในกระโจมของจงเหยียนหลี่รุ่ยหลินที่ถูกขังอยู่นั้นพยายามข่มความกลัวในใจ นางถูกมัดด้วยเชือกหนาๆ ที่พันธนาการมือและเท้าไว้ติดกับเตียง นางพยายามดิ้นรนเพื่อหลุดพ้นแต่ความพยายามทั้งหมดกลับไร้ผล แรงของนางตอนนี้เทียบกับเชือกแข็งแรงนั้นไม่ได้เลย
จงเหยียนเดินเข้ามาในกระโจม ใบหน้าของมันแสดงถึงความพอใจอย่างยิ่งเมื่อเห็นหลี่รุ่ยหลินถูกจับมัดไว้แน่นหนาตรงหน้า ดวงตาของมันเปล่งประกายของความชั่วร้าย มันเดินเข้ามาใกล้เตียงที่นางถูกจับมัดไว้ แล้วนั่งลงข้างๆ ด้วยท่าทีที่ของบุรุษหื่นกาม
“เจ้าไม่ต้องกลัว หากเจ้ายอมเป็นภรรยาของข้าดีๆ เจ้าก็จะไม่ต้องเจ็บตัว” จงเหยียนกล่าวด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย
หลี่รุ่ยหลินเงยหน้าขึ้นมองมันด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง นางพยายามพูดออกมาด้วยเสียงที่แข็งแกร่งแม้ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่อ่อนแอ “อย่าคิดว่าข้าจะยอมเจ้า ข้ายอมตายดีกว่าที่จะต้องมาเป็นภรรยาของคนอย่างเจ้า”
เมื่อได้ยินคำพูดของนางจงเหยียนก็หัวเราะอย่างเยาะเย้ย “เจ้าคิดว่าการตายจะง่ายถึงเพียงนั้นหรือ ข้าไม่ยอมให้เจ้าตายง่ายๆ หรอก เจ้าจะต้องเป็นของข้าอย่างไม่มีทางเลือก เจ้าลองคิดดูดี ๆ เพราะถ้าเจ้ายอมข้าชีวิตของเจ้าสบายกว่าเดิม ข้าสัญญาว่าจะไม่ปล้นขบวนคุ้มภัยของสำนักคุ้มภัยต้าอันฉวนอีก”
“เจ้าฝันไปเถอะ” นางกล่าวอย่างเด็ดเดี่ยว
แววตาโกรธแค้นฉายออกมาจากแววตาของจงเหยียน มันลุกขึ้นแล้วจับข้อมือของนางแน่นด้วยความโกรธ “ถ้าเจ้าไม่ยอมดีๆ อย่างนั้นข้าจะใช้วิธีที่รุนแรงขึ้น”
หลี่รุ่ยหลินพยายามสู้เท่าที่สามารถ แต่ด้วยแรงน้อยนิดที่นางมีตอนนี้ก็ไม่อาจสู้กับแรงของจงเหยียนได้
บทที่สิบเอ็ดข้าต้องช่วยเจ้าให้ได้หวังข่ายซึ่งยืนอยู่ในมุมมืดหลังกระโจมส่งสัญญาณให้กับพี่น้องสำนักคุ้มภัยที่ซุ่มรออยู่ด้านนอก เขารู้ดีว่าการบุกเข้าไปช่วยหลี่รุ่ยหลินในครั้งนี้เป็นโอกาสสำคัญ หากพลาดไปพวกเขาอาจไม่มีโอกาสเช่นนี้อีกเมื่อพี่น้องสำนักคุ้มภัยเห็นสัญญาณจากหวังข่ายพวกเขาก็ไม่รอช้ารีบพุ่งตัวเข้าไปในค่ายของพวกโจรทันที พวกโจรที่อยู่ภายในค่ายไม่ทันได้ตั้งตัวจากการบุกโจมตีที่รวดเร็วและรุนแรง พวกมันต่างตื่นตระหนกและวิ่งหนีเป็นกันอยางแตกกระจายเพื่อหาที่หลบภัยเสียงโลหะกระทบกันดังก้องไปทั่วค่าย ความโกลาหลที่เกิดขึ้นทำให้พวกโจรที่อยู่ในค่ายตกใจและหันไปดู เมื่อเห็นพวกพ้องถูกโจมตีพวกมันก็รีบชักดาบออกมาเตรียมต่อสู้ แต่ก็สายเกินไปแล้วพวกพี่น้องสำนักคุ้มภัยที่บุกเข้ามาอย่างดุดันทำให้พวกมันไม่สามารถตั้งรับได้ทัน พวกโจรถูกฟันล้มลงทีละคนอย่างรวดเร็ว
บทที่สิบสองบังเกิดเป็นความรักหลังจากการต่อสู้ที่ยากลำบากและการเดินทางที่เต็มไปด้วยอันตรายพวกเขาก็สามารถกำจัดพวกโจรที่ก่อความเดือดร้อนได้หมดสิ้นแล้ว การเดินทางกลับไปยังเมืองหลวงจึงดำเนินไปด้วยความราบรื่นและสบายใจเมื่อเดินทางออกจาเมืองเสวียนเทียนทุกคนก็รู้สึกโล่งใจราวกับว่าพายุร้ายได้ถูกพัดหายไปแล้ว หลี่รุ่ยหลินและพี่น้องสำนักคุ้มภัยต่างก็เต็มไปด้วยความพอใจที่สามารถทำภารกิจสำเร็จ ทั้งที่เจออุปสรรคมากมาย แต่พวกเขาก็ยังคงสามารถพิชิตชัยเหนือศัตรูได้ระหว่างการเดินทางกลับสู่เมืองหลวงหวังข่ายและหลี่รุ่ยหลินเริ่มมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ความใกล้ชิดที่เริ่มงอกเงยทำให้พวกเขาเริ่มรู้จักกันมากขึ้น และการพูดคุยระหว่างของพวกเขาก็เต็มไปด้วยความเข้าใจและความไว้วางใจที่เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดแต่ละวันบนเส้นทางกลับหลี่รุ่ย
บทที่สิบสามความสัมพันธ์วัยเด็กไม่นาหลังจากที่หวังข่ายกลับมาเขาก็พบว่าบุตรสาวของเจ้ากรมการคลังหลิวผิงผิงมารอพบเขาเขาอยู่ที่หน้าประตูจวน เมื่อพ่อบ้านเปิดประตูให้นางก็วิ่งเข้ามาหาเขาทันทีพร้อมด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกระตือรือร้น"หวังข่าย…เจ้ากลับมาแล้ว" หลิวผิงผิงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่หวานหยดย้อยพลางยิ้มอย่างสดใส "ข้าเห็นว่าเจ้ากลับมาเหนื่อย ๆ เลยรีบมาหาทันที ข้าเตรียมอาหารไว้ให้เจ้าแล้ว""ผิงผิง…ขอบคุณที่เป็นห่วงข้า" หวังข่ายตอบกลับด้วยน้ำเสียงสุภาพ"ถ้าอย่างนั้นพวกเราไปกินข้าวกันเถอะ" หลิวผิงผิงชวน"อืม" หวังข่ายตอบรับอย่างยินดีเมื่อเห็นว่าหวังข่ายยอมรับความปรารถนาดีของนางหลิวผิงผิงก็ยิ้มอย่างปลื้มปิติ นางรีบนำเข้าไปที่ห้องรับแขกและจัดอาหารที่เต
บทที่สิบสี่เจ้าแย่งเขาไปจากข้า หลิวผิงผิงกลับไปที่จวนของตัวเองด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความอิจฉาและความแค้น ความคิดที่ว่าหลี่รุ่ยหลินได้แย่งหวังข่ายไปจากนางทำให้รู้สึกโกรธเคืองจนแทบจะระงับอารมณ์ไม่อยู่ นางคิดถึงทุกสิ่งที่นางทำเพื่อพยายามเข้าหาหวังข่าย ตั้งแต่การเป็นสหายที่ดี การทำให้เขาเห็นถึงความทุ่มเทและการแสดงออกถึงความรักความเอาใจใส่ แต่ทุกอย่างก็กลับถูกทำลายลงเพราะการปรากฏตัวของหลี่รุ่ยหลินนางยืนมองตัวเองในกระจก มองรูปลักษณ์ที่งดงามและถูกอบรมมารยาทอย่างดีจากตระกูลผู้ดี ทุกคนล้วนกล่าวว่านางเป็นหญิงสาวที่เพียบพร้อม แต่เหตุใดหวังข่ายถึงไม่เห็นค่านาง เหตุใดหัวใจของเขาถึงเลือกหลี่รุ่ยหลินแทนที่จะเป็นนางความคิดนี้ยิ่งทำให้รู้สึกโกรธมากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดความคิดที่จะทำร้ายหลี่รุ่ยหลินก็เริ่มก่อตัวขึ้นใ
บทที่สิบห้าเต็มไปด้วยความรัก เมื่อทุกอย่างถูกจัดการเรียบร้อย หวังข่ายรู้สึกถึงความโล่งใจที่ไม่ต้องกังวลเรื่องหลิวผิงผิงอีกต่อไป แต่ด้วยความเป็นห่วงที่ยังอยูในใจกลัวว่านอกจากหลิวผิงผิงแล้วจะยังมีเรื่องอื่นมาทำให้หลี่รุ่ยหลินคนรักของเขาไม่สบายใจอีก เขาจึงได้ตัดสินใจทำสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตในช่วงเช้าของวันหนึ่งท้องฟ้าแจ่มใสและมีแสงแดดอ่อน ๆ อาบลานหน้าสำนักคุ้มภัย หวังข่ายตัดสินใจที่จะไม่รอช้าอีกต่อไป เขารู้ว่าเขาอยากจะใช้ชีวิตร่วมกับหลี่รุ่ยหลินไปตลอดและไม่ต้องการให้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาถูกชะงักอีกหวังข่ายเดินทางไปยังสำนักคุ้มภัยต้าอันฉวน เมื่อเขามาถึงบรรยากาศที่สำนักคุ้มภัยเต็มไปด้วยพี่น้องในสำนักที่ต่างกำลังฝึกซ้อมและเตรียมตัวสำหรับงานต่าง ๆ ที่พวกเขาจะต้องทำ แต่เมื่อเห็นหว
บทที่หนึ่งการสมรสที่ไม่ต้องการเช้าตรู่ที่หมอกบางๆ ลอยอ้อยอิ่งเหนือเมืองหลวง หลี่ฟางตวนบิดาของหลี่รุ่ยหลินออกมายืนหน้าประตูจวน กวาดตามองไปยังบุตรสาวและภรรยาที่รออยู่ สายตาของเขาสั่นคลอนเล็กน้อยด้วยความรู้สึกเศร้าสร้อยที่จะต้องจากไปทำงานใหญ่ครั้งนี้“รุ่ยหลิน…ดูแลแม่ของเจ้ากับสำนักของเราตอนที่พ่อกับพี่ชายของเจ้าไม่อยู่ให้ดี แล้วก็อย่าปฏิเสธงานมากจนเกินไปเล่า ประเดี๋ยวจะไม่มีเงินเลี้ยงดูเหล่าพี่น้องของเรา” บิดากล่าวเสียงแผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยความหนักแน่น“เจ้าค่ะท่านพ่อ” หลี่รุ่ยหลินตอบอย่างไม่ลังเล ดวงตาของนางฉายแววความมุ่งมั่น ทุกครั้งที่บิดากับพี่ชายไม่อยู่นางในนามของคุณหนูเล็กก็จะได้เลื่อนขึ้นมาเป็นหัวหน้าสำนักรักษาการณ์ในทันทีและนางก็ชื่นชอบหน้าที่นี้เป็นอย่างมากหลี่เว่ยตงพี่ชายของหลี่รุ่ยหลินยืนอยู่ข้างบิดา เขาวางมือลงบนบ่าของน้องสาวเบาๆ “อย่าลืมฝึกวิชาที่พี่สอนเจ้าไว้ มันจะมีประโยชน์ในยามคับขัน”“ข้าจะฝึกอย่างไม่ขาดตกบกพร่องเลยเจ้าค่ะ” หลี่รุ่ยหลินรับคำด้วยน้ำเสียงจริงจัง“ไปเถิด อย่าให้คหบดีเจียงต้องคอยนาน” หลี่ฮูหยินพูดขึ้น ถึงแม้ว่าจะบอกให้สองพ่อลูกรีบไปทว่าดวงตาของนางก็เต็มไป
บทที่สองช่วงเวลาแห่งการสูญเสียเสียงฝีเท้าม้าวิ่งมาอย่างเร่งรีบหยุดลงที่หน้าประตูสำนักคุ้มภัยต้าอันฉวน ร่างที่เต็มไปด้วยเลือดของพี่น้องสำนักคุ้มภัยคนหนึ่งร่วงลงมาจากหลังม้า คนที่เฝ้าประตูอยู่รีบไปประคองเขาทันที ทั้งเนื้อทั้งตัวของเขามีแต่คราบเลือดเต็มไปหมดทั้งยังมีบาดแผลอีกมากมาย เขารอดมาจนถึงสำนักได้นั้นก็ถือว่าโชคดีมากแล้ว"พี่ซีหยาง…เกิดเรื่องอันใดขึ้น" นายประตูถาม"พาข้าไปหาฮูหยินกับคุณหนู…ตอนนี้" เขากล่าวด้วยเสียงที่แผ่วเบานายประตูทั้งสองคนรีบหามร่างที่บาดเจ็บสาหัสของซีหยางเข้าไป เขาไม่ยอมไปรักษาตัวยืนยันว่าถึงอย่างไรก็ต้องพบฮูหยินกับคุณหนูก่อน พวกเขาจึงพาไปยังห้องหนังสือ ที่นั่นหลี่รุ่ยหลินนั่งทำงานอยู่อย่างเคร่งเครียด เหลือก็แต่เพียงหลี่ฮูหยินมารดาของนางที่กำลังรีบมา"พี่ซีหยางเกิดเรื่องอันใดขึ้น เหตุใดท่านถึงได้กลับมาในสภาพเช่นนี้" หลี่รุ่ยหลินกล่าวด้วยความตกใจ จากนั้นลุกขึ้น
บทที่สามจุดพลิกผันสู่เจ้าสำนักน้อยเมื่อจัดการพิธีศพเรียบร้อยแล้วก็ไม่มีเวลาให้พวกเขาได้โศกเศร้าเสียใจมากนักเนื่องจากมีงานคั่งค้างที่ต้องสะสางอีกมากมาย ทั้งเรื่องเงินชดเชยที่จะต้องมอบให้กับบิดามารดาของพี่น้องที่เสียชีวิตไปและเรื่องงานที่รับจ้างไว้ก่อนหน้าที่หลี่ฟางตวนจะเสียชีวิต ทำเอาหลี่รุ่ยหลินวุ่นวายไปหมด"พี่ซีหยาง…นี่พวกเราถูกยกเลิกเลิกงานมากมายถึงเพียงนี้เลยหรือ" หลี่รุ่ยหลินถามอย่างประหลาดใจเมื่อเห็นบัญชีรายชื่อลูกค้าที่จ้างงานถูกขีดฆ่าชื่ออกไปมากมายซีหยางยิ้มแหย ๆ ให้กับนางเพราะไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไรดีให้กระทบกระเทือนจิตใจของหัวหน้าสำนักน้อยผู้นี้ให้น้อยที่สุด "เอ่อ…คือว่าลูกค้าของพวกเราหายไปราว ๆ เจ็ดส่วนขอรับคุณหนู เอ้ย…ขอรับนายหญิง"ด้วยความที่ยังไม่เคยชินที่จะเรียกหลีรุ่ยหลินว่านายหญิงพี่น้องสำนักคุ้มภัยต่างก็