Share

บทที่ 7 การต่อสู้ที่ดุเดือด

บทที่เจ็ด 

การต่อสู้ที่ดุเดือด

         ในยุคที่บ้านเมืองแตกแยกและอยู่ในสภาวะระส่ำระสาย การปล้นชิงทรัพย์สินเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง ไม่ว่าจะเป็นในเมืองใหญ่หรือตามชนบท ราษฎรที่อดอยากและยากจนก็มักจะหันมาใช้วิธีการนี้ในการเลี้ยงชีพ ด้วยสภาพที่แทบจะเรียกได้ว่าล่มสลายและความขัดแย้งที่ปะทุขึ้นเรื่อยๆ ระหว่างกลุ่มอำนาจต่างๆ ในราชสำนัก ทำให้บ้านเมืองเข้าสู่ยุคมืดที่ไร้ซึ่งความมีศีลธรรม

ที่ราชสำนักเมื่อตระหนักถึงความอ่อนแอและการทุจริตในหมู่ขุนนาง ผู้มีอำนาจกลับใช้โอกาสนี้ในการกอบโกยทรัพย์สินและอำนาจ ทำให้ราชวงศ์ค่อยๆ สูญเสียความน่าเชื่อถือและอำนาจในการปกครอง

อัครเสนาบดีหวังซึ่งเคยเป็นเสาหลักในการบริหารแผ่นดิน ยืนหยัดทำหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์และมุ่งมั่นมาตลอดชีวิต แต่เมื่อเวลาผ่านไปเขาก็เริ่มรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงที่ไม่อาจทนทานได้ สภาพบ้านเมืองที่วุ่นวายและราชสำนักที่เต็มไปด้วยการทุจริตทำให้เขาต้องกลับมาทบทวนชีวิตตนเอง และนี่คือเหตุผลที่เขาตัดสินใจเกษียณตัวเองกลับบ้านเกิด

ท่ามกลางความเงียบสงัดของหุบเขาเงาของพี่น้องสำนักคุ้มภัยทั้งสามสิบคนต่างจับอาวุธอยู่ในท่าเตรียมพร้อม สายตาของพวกเขาจับจ้องไปยังสองข้างทางด้วยความเคร่งเครียดและระมัดระวัง ทุกคนรู้ดีว่าจะต้องรับมือกับอะไร แต่พวกเขาก็พร้อมที่จะต่อสู้เพื่อปกป้องลูกค้าและทรัพย์สมบัติในขบวน

หลี่รุ่ยหลินขี่ม้าอยู่เบื้องหน้ามองดูพี่น้องสำนักคุ้มภัยที่เคยฝึกฝนวิชาด้วยกันมาตั้งแต่วัยเยาว์ ความรู้สึกของนางเป็นเหมือนกับเปลวไฟที่ยังคงลุกโชนอยู่ในใจ แม้จะมีความกลัวแต่ความมุ่งมั่นที่จะทำหน้าที่ของตนเองก็เหนือกว่าสิ่งใด นางรู้ว่าในสถานการณ์เช่นนี้จะต้องตัดสินใจให้ถูกต้องและรวดเร็วเพื่อปกป้องทุกคน

“อย่าลืมสัญญาณจากข้า” หลี่รุ่ยหลินกล่าวเบาๆ แต่ชัดเจนกับพี่น้องสำนักคุ้มภัย 

พี่น้องสำนักคุ้มภัยต่างพยักหน้ารับ นัยน์ตาของพวกเขาแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นและความพร้อมที่จะสู้จนตัวตายหากจำเป็น

ส่วนพวกบ่าวรับใช้ของจวนเสนาบดีนั้นทุกคนต่างรู้สึกตื่นเต้นและหวาดกลัว แต่ก็เชื่อมั่นในตัวหลี่รุ่ยหลิน นางได้กำชับพวกเขาไว้อย่างหนักแน่นว่าหากนางให้สัญญาณเมื่อไรพวกเขาจะต้องรีบหลบเข้าใต้ท้องรถม้าทันทีเพื่อความปลอดภัยของพวกเขาเอง

นางยกมือขึ้นช้าๆ เป็นสัญญาณให้พี่น้องสำนักคุ้มภัยเตรียมพร้อมและให้บ่าวรับใช้หลบเข้าใต้ท้องรถม้าตามที่บอกไว้ก่อนหน้านี้ พี่น้องสำนักคุ้มภัยต่างชักดาบออกมา 

ห่าธนูระลอกแรกพุ่งเข้ามาอย่างไม่ทันตั้งตัว เสียงของลูกธนูเฉียดผ่านอากาศดังแหลมเหมือนเสียงของเหยี่ยวที่กำลังโฉบลงมาจับเหยื่อ หลี่รุ่ยหลินมองเห็นแสงสะท้อนจากลูกธนูที่พุ่งเข้ามาจากสองข้างทาง สัญชาตญาณของนางสั่งให้นางไม่รอช้ารีบออกคำสั่งให้พี่น้องสำนักคุ้มภัยขึ้นมาป้องกันทันที

"เตรียมพร้อม! ป้องกัน!" นางตะโกนออกคำสั่ง ในมือของนางกวัดแกว่งพลองยาวที่ทำจากเหล็กกล้า น้ำหนักของมันหนักพอดีและสมดุลจนทำให้นางรู้สึกว่ามันเป็นเหมือนกับส่วนหนึ่งของร่างกาย

พี่น้องสำนักคุ้มภัยทั้งสามสิบคนกระจายตัวออกอย่างรวดเร็ว พวกเขาต่างยกดาบขึ้นมากวัดแกว่งเพื่อป้องกันลูกธนูที่พุ่งเข้ามาราวกับว่าสายลมที่พัดผ่านลูกธนูเหล่านั้นถูกดาบของพวกเขาปัดป้องจนกระเด็นออกไปไกลและกองอยู่กับพื้นราวกับเป็นใบไม้ร่วงกลุ่มหนึ่ง

หลี่รุ่ยหลินขี่ม้าพุ่งเข้าไปในท่ามกลางห่าธนู นางกวัดแกว่งพลองยาวในมืออย่างคล่องแคล่ว การเคลื่อนไหวของนางราวกับรวดเร็วและเฉียบขาด ลูกธนูที่พุ่งเข้ามาใกล้ตัวนางถูกปัดป้องด้วยพลองเหล็กกล้า ทุกครั้งที่พลองฟาดลงลูกธนูที่พุ่งมาเป็นปึกๆ ลูกธนูเหล่านั้นก็ถูกทำลายไปอย่างง่ายดายราวกับเป็นเพียงแค่กิ่งไม้ที่ถูกพายุพัดปลิวไป

การต่อสู้กับลูกธนูเหล่านั้นดำเนินไปอยู่พักใหญ่จนกระทั่งในที่สุดห่าธนูก็หยุดลง ทุกคนต่างรู้สึกเหนื่อยล้าแต่ก็โล่งใจที่สามารถป้องกันได้สำเร็จ หลี่รุ่ยหลินลดพลองยาวลงมองไปรอบๆ เพื่อประเมินสถานการณ์ แม้จะมีบาดแผลบางส่วนจากลูกธนูแต่พวกเขายังยืนหยัดอยู่ได้

เมื่อเสียงห่าธนูเงียบลงบรรยากาศที่นิ่งสงัดถูกแทนที่ด้วยเสียงเฮของพวกโจรที่ดังขึ้นมาจากทุกทิศทาง พวกมันวิ่งกรูกันเข้ามาอย่างรวดเร็วราวกับคลื่นน้ำที่ซัดเข้าหาฝั่ง ความดุเดือดของสถานการณ์ทำให้พี่น้องสำนักคุ้มภัยต้องเตรียมพร้อมสำหรับการปะทะในทันที

“พี่น้องต้าอันฉวน เตรียมพร้อม!” หลี่รุ่ยหลินตะโกนสั่งการ นางจับพลองในมือแน่นขึ้นพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับศัตรูที่กำลังบุกเข้ามา

พวกโจรบุกเข้ามาอย่างไม่ลดละ พวกมันวิ่งเข้าปะทะกับพี่น้องสำนักคุ้มภัยด้วยความรุนแรง อาวุธในมือของพวกมันเงาวาววับในความมืดราวกับเงาของความตายที่กำลังเข้ามาประชิดตัว การต่อสู้เริ่มต้นขึ้นอย่างดุเดือด ไม่มีการพูดจา ไม่มีการลังเลมีแต่การฟาดฟันและการโจมตีเพื่อเอาชีวิต

หลี่รุ่ยหลินกระโดดลงจากหลังม้าเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วและพลิ้วไหว พลองในมือของนางหมุนวนอย่างคล่องแคล่วฟาดฟันโจรที่เข้ามาใกล้ราวกับเป็นเพียงเศษกระดาษ พลองเหล็กกล้าของนางพุ่งตรงไปยังศัตรูทุกคนที่เข้ามาในระยะการโจมตี ไม่มีผู้ใดสามารถเข้ามาใกล้นางได้โดยไม่ถูกพลองของนางตีเข้า

หนึ่งในโจรที่ดูเหมือนจะอุกอาจที่สุดบุกเข้ามาหานางพร้อมดาบยาวในมือ มันหวังที่จะฟันนางเป็นสองท่อนแต่หลี่รุ่ยหลินไม่ให้โอกาสนั้น นางหมุนตัวเล็กน้อยหลีกเลี่ยงการโจมตีของมันอย่างง่ายดาย ก่อนที่พลองในมือของนางจะพุ่งไปหามันแล้วกระแทกเข้าที่หน้าอกของเขาอย่างแรง เสียงกระดูกแตกดังขึ้นพร้อมกับเสียงร้องโหยหวน ร่างของมันกระเด็นออกไปไกลก่อนจะล้มลงกับพื้นอย่างไร้ชีวิต

หลี่รุ่ยหลินมองไปรอบๆ นางเห็นพี่น้องสำนักคุ้มภัยกำลังต่อสู้อย่างไม่ลดละ พวกเขาใช้ทักษะและความแข็งแกร่งที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีเพื่อปกป้องลูกค้าและทรัพย์สมบัติแต่พวกโจรก็ยังคงบุกเข้ามาไม่หยุดหย่อน การต่อสู้เป็นไปด้วยความดุเดือด

ในขณะเดียวกันหวังข่ายที่นั่งอยู่ในรถม้ากับอัครเสนาบดีหวังผู้เป็นบิดามองออกไปทางหน้าต่างเห็นหลี่รุ่ยหลินกำลังแสดงฝีมือ เขาตื่นตะลึงกับความสามารถของนาง นางไม่เพียงแต่มีทักษะการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยมแต่ยังมีความมั่นใจและกล้าหาญทำให้เขารู้สึกประทับใจยิ่งนัก

แต่แล้วสายตาของหวังข่ายก็ไปสะดุดกับโจรผู้หนึ่งที่บุกเข้ามาใกล้รถม้าอย่างรวดเร็ว ดาบยาวในมือของมันชี้ตรงไปยังรถม้า มันเคลื่อนที่เข้ามาอย่างรวดเร็วและมั่นคงเหมือนเสือที่กำลังโถมตัวเข้าหาเหยื่อหมายจะฆ่าคนที่อยู่ข้างในโดยไม่รอช้า

หวังข่ายไม่ได้เกิดความรู้สึกกลัวแต่อย่างใด เขาเพียงแค่อยากจะรู้ว่าระหว่างโจรผู้นี้กับหลี่รุ่ยหลินนั้นผู้ใดจะเร็วกว่ากัน ดังนั้นจึงไม่พยายามที่จะปกป้องตนเองเพียงแต่นั่งอยู่ในรถม้าด้วยท่าทีที่สงบเยือกเย็นราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

แต่ก่อนที่โจรผู้นั้นจะได้ทำร้ายผู้ใดหลี่รุ่ยหลินก็พุ่งเข้ามาขวางไว้ได้ทันเวลา นางกระโจนเข้ามายืนระหว่างรถม้ากับโจรผู้นั้น พลองยาวในมือยกขึ้นป้องกันการโจมตี ดาบของโจรปะทะเข้ากับพลองเหล็กเกิดเสียงดังสนั่น แต่หลี่รุ่ยหลินไม่ยอมถอยนางใช้พลองเหล็กหมุนวนแล้วฟาดลงไปอย่างรวดเร็ว

โจรผู้นั้นไม่ทันตั้งตัวกับความรวดเร็วของนาง พลองเหล็กของหลี่รุ่ยหลินฟาดเข้าที่ข้อมือของมันอย่างแรงทำให้ดาบในมือของเขาหลุดกระเด็นออกไป มันร้องออกมาเสียงดังด้วยความเจ็บปวดแต่หลี่รุ่ยหลินไม่ให้โอกาสมันได้ตั้งตัว ก้าวเข้าไปใกล้แล้วใช้พลองเหล็กฟาดลงไปที่ศีรษะของมันด้วยแรงทั้งหมดที่มี ร่างของโจรผู้นั้นล้มลงกับพื้นทันที เลือดไหลออกมาจากศีรษะ หลี่รุ่ยหลินไม่แม้แต่จะเหลียวมองนางกลับไปที่การต่อสู้อีกครั้งทันที

หวังข่ายเห็นภาพนั้นอย่างชัดเจน เขารู้สึกถึงความประทับใจและความรู้สึกขอบคุณที่พุ่งเข้ามาในใจ หลี่รุ่ยหลินไม่ได้เป็นเพียงนักรบที่เก่งกาจแต่ยังเป็นคนที่พร้อมจะเสี่ยงชีวิตเพื่อปกป้องคนอื่น นางเป็นหญิงที่มีคุณค่าและมีความกล้าหาญที่เขาไม่เคยพบมาก่อน

ในขณะเดียวกันการต่อสู้ยังคงดำเนินต่อไป พี่น้องสำนักคุ้มภัยยังคงต่อสู้กับพวกโจรที่บุกเข้ามา เสียงของการต่อสู้ เสียงของอาวุธที่ปะทะกัน และเสียงของความเจ็บปวดต่างดังก้องไปทั่วทั้งบริเวณ

หลี่รุ่ยหลินหันไปมองพี่น้องสำนักคุ้มภัยที่กำลังต่อสู้อย่างมุ่มั่น นางมั่นใจในพวกเขาและรู้ว่าพวกเขาจะยืนหยัดต่อสู้จนถึงที่สุด แต่ก็ต้องคอยเตือนตัวเองว่าไม่สามารถละความระวังได้

ในขณะที่กำลังประเมินสถานการณ์ก็มีโจรผู้หนึ่งที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืดพุ่งเข้ามาทางด้านหลังของนาง มันใช้มีดสั้นที่ซ่อนอยู่ในมือหวังจะโจมตีโดยไม่ให้นางรู้ตัว แต่หลี่รุ่ยหลินรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของมัน นางหมุนตัวกลับมาทันทีพลองเหล็กในมือก็หมุนวนอย่างรวดเร็วฟาดลงไปที่แขนของมันทำให้แขนหักในทันที

นางใช้โอกาสนี้กวาดพลองลงไปที่ขาของมัน ทำให้มันล้มลงกับพื้นก่อนที่จะฟาดพลองลงไปที่หน้าอกอย่างแรง เสียงกระดูกแตกดังขึ้นร่างของมันกระตุกเล็กน้อยก่อนจะหยุดเคลื่อนไหว

หลี่รุ่ยหลินยืนหอบเล็กน้อยแต่สายตายังคงมองไปรอบ ๆ อย่างระแวดระวัง นางรู้ว่าการต่อสู้ครั้งนี้ยังไม่จบ พวกโจรยังคงอยู่และนางจะต้องพร้อมรับมือกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้น

Related chapter

Latest chapter

DMCA.com Protection Status