บทที่เจ็ด
การต่อสู้ที่ดุเดือด
ในยุคที่บ้านเมืองแตกแยกและอยู่ในสภาวะระส่ำระสาย การปล้นชิงทรัพย์สินเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง ไม่ว่าจะเป็นในเมืองใหญ่หรือตามชนบท ราษฎรที่อดอยากและยากจนก็มักจะหันมาใช้วิธีการนี้ในการเลี้ยงชีพ ด้วยสภาพที่แทบจะเรียกได้ว่าล่มสลายและความขัดแย้งที่ปะทุขึ้นเรื่อยๆ ระหว่างกลุ่มอำนาจต่างๆ ในราชสำนัก ทำให้บ้านเมืองเข้าสู่ยุคมืดที่ไร้ซึ่งความมีศีลธรรม
ที่ราชสำนักเมื่อตระหนักถึงความอ่อนแอและการทุจริตในหมู่ขุนนาง ผู้มีอำนาจกลับใช้โอกาสนี้ในการกอบโกยทรัพย์สินและอำนาจ ทำให้ราชวงศ์ค่อยๆ สูญเสียความน่าเชื่อถือและอำนาจในการปกครอง
อัครเสนาบดีหวังซึ่งเคยเป็นเสาหลักในการบริหารแผ่นดิน ยืนหยัดทำหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์และมุ่งมั่นมาตลอดชีวิต แต่เมื่อเวลาผ่านไปเขาก็เริ่มรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงที่ไม่อาจทนทานได้ สภาพบ้านเมืองที่วุ่นวายและราชสำนักที่เต็มไปด้วยการทุจริตทำให้เขาต้องกลับมาทบทวนชีวิตตนเอง และนี่คือเหตุผลที่เขาตัดสินใจเกษียณตัวเองกลับบ้านเกิด
ท่ามกลางความเงียบสงัดของหุบเขาเงาของพี่น้องสำนักคุ้มภัยทั้งสามสิบคนต่างจับอาวุธอยู่ในท่าเตรียมพร้อม สายตาของพวกเขาจับจ้องไปยังสองข้างทางด้วยความเคร่งเครียดและระมัดระวัง ทุกคนรู้ดีว่าจะต้องรับมือกับอะไร แต่พวกเขาก็พร้อมที่จะต่อสู้เพื่อปกป้องลูกค้าและทรัพย์สมบัติในขบวน
หลี่รุ่ยหลินขี่ม้าอยู่เบื้องหน้ามองดูพี่น้องสำนักคุ้มภัยที่เคยฝึกฝนวิชาด้วยกันมาตั้งแต่วัยเยาว์ ความรู้สึกของนางเป็นเหมือนกับเปลวไฟที่ยังคงลุกโชนอยู่ในใจ แม้จะมีความกลัวแต่ความมุ่งมั่นที่จะทำหน้าที่ของตนเองก็เหนือกว่าสิ่งใด นางรู้ว่าในสถานการณ์เช่นนี้จะต้องตัดสินใจให้ถูกต้องและรวดเร็วเพื่อปกป้องทุกคน
“อย่าลืมสัญญาณจากข้า” หลี่รุ่ยหลินกล่าวเบาๆ แต่ชัดเจนกับพี่น้องสำนักคุ้มภัย
พี่น้องสำนักคุ้มภัยต่างพยักหน้ารับ นัยน์ตาของพวกเขาแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นและความพร้อมที่จะสู้จนตัวตายหากจำเป็น
ส่วนพวกบ่าวรับใช้ของจวนเสนาบดีนั้นทุกคนต่างรู้สึกตื่นเต้นและหวาดกลัว แต่ก็เชื่อมั่นในตัวหลี่รุ่ยหลิน นางได้กำชับพวกเขาไว้อย่างหนักแน่นว่าหากนางให้สัญญาณเมื่อไรพวกเขาจะต้องรีบหลบเข้าใต้ท้องรถม้าทันทีเพื่อความปลอดภัยของพวกเขาเอง
นางยกมือขึ้นช้าๆ เป็นสัญญาณให้พี่น้องสำนักคุ้มภัยเตรียมพร้อมและให้บ่าวรับใช้หลบเข้าใต้ท้องรถม้าตามที่บอกไว้ก่อนหน้านี้ พี่น้องสำนักคุ้มภัยต่างชักดาบออกมา
ห่าธนูระลอกแรกพุ่งเข้ามาอย่างไม่ทันตั้งตัว เสียงของลูกธนูเฉียดผ่านอากาศดังแหลมเหมือนเสียงของเหยี่ยวที่กำลังโฉบลงมาจับเหยื่อ หลี่รุ่ยหลินมองเห็นแสงสะท้อนจากลูกธนูที่พุ่งเข้ามาจากสองข้างทาง สัญชาตญาณของนางสั่งให้นางไม่รอช้ารีบออกคำสั่งให้พี่น้องสำนักคุ้มภัยขึ้นมาป้องกันทันที
"เตรียมพร้อม! ป้องกัน!" นางตะโกนออกคำสั่ง ในมือของนางกวัดแกว่งพลองยาวที่ทำจากเหล็กกล้า น้ำหนักของมันหนักพอดีและสมดุลจนทำให้นางรู้สึกว่ามันเป็นเหมือนกับส่วนหนึ่งของร่างกาย
พี่น้องสำนักคุ้มภัยทั้งสามสิบคนกระจายตัวออกอย่างรวดเร็ว พวกเขาต่างยกดาบขึ้นมากวัดแกว่งเพื่อป้องกันลูกธนูที่พุ่งเข้ามาราวกับว่าสายลมที่พัดผ่านลูกธนูเหล่านั้นถูกดาบของพวกเขาปัดป้องจนกระเด็นออกไปไกลและกองอยู่กับพื้นราวกับเป็นใบไม้ร่วงกลุ่มหนึ่ง
หลี่รุ่ยหลินขี่ม้าพุ่งเข้าไปในท่ามกลางห่าธนู นางกวัดแกว่งพลองยาวในมืออย่างคล่องแคล่ว การเคลื่อนไหวของนางราวกับรวดเร็วและเฉียบขาด ลูกธนูที่พุ่งเข้ามาใกล้ตัวนางถูกปัดป้องด้วยพลองเหล็กกล้า ทุกครั้งที่พลองฟาดลงลูกธนูที่พุ่งมาเป็นปึกๆ ลูกธนูเหล่านั้นก็ถูกทำลายไปอย่างง่ายดายราวกับเป็นเพียงแค่กิ่งไม้ที่ถูกพายุพัดปลิวไป
การต่อสู้กับลูกธนูเหล่านั้นดำเนินไปอยู่พักใหญ่จนกระทั่งในที่สุดห่าธนูก็หยุดลง ทุกคนต่างรู้สึกเหนื่อยล้าแต่ก็โล่งใจที่สามารถป้องกันได้สำเร็จ หลี่รุ่ยหลินลดพลองยาวลงมองไปรอบๆ เพื่อประเมินสถานการณ์ แม้จะมีบาดแผลบางส่วนจากลูกธนูแต่พวกเขายังยืนหยัดอยู่ได้
เมื่อเสียงห่าธนูเงียบลงบรรยากาศที่นิ่งสงัดถูกแทนที่ด้วยเสียงเฮของพวกโจรที่ดังขึ้นมาจากทุกทิศทาง พวกมันวิ่งกรูกันเข้ามาอย่างรวดเร็วราวกับคลื่นน้ำที่ซัดเข้าหาฝั่ง ความดุเดือดของสถานการณ์ทำให้พี่น้องสำนักคุ้มภัยต้องเตรียมพร้อมสำหรับการปะทะในทันที
“พี่น้องต้าอันฉวน เตรียมพร้อม!” หลี่รุ่ยหลินตะโกนสั่งการ นางจับพลองในมือแน่นขึ้นพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับศัตรูที่กำลังบุกเข้ามา
พวกโจรบุกเข้ามาอย่างไม่ลดละ พวกมันวิ่งเข้าปะทะกับพี่น้องสำนักคุ้มภัยด้วยความรุนแรง อาวุธในมือของพวกมันเงาวาววับในความมืดราวกับเงาของความตายที่กำลังเข้ามาประชิดตัว การต่อสู้เริ่มต้นขึ้นอย่างดุเดือด ไม่มีการพูดจา ไม่มีการลังเลมีแต่การฟาดฟันและการโจมตีเพื่อเอาชีวิต
หลี่รุ่ยหลินกระโดดลงจากหลังม้าเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วและพลิ้วไหว พลองในมือของนางหมุนวนอย่างคล่องแคล่วฟาดฟันโจรที่เข้ามาใกล้ราวกับเป็นเพียงเศษกระดาษ พลองเหล็กกล้าของนางพุ่งตรงไปยังศัตรูทุกคนที่เข้ามาในระยะการโจมตี ไม่มีผู้ใดสามารถเข้ามาใกล้นางได้โดยไม่ถูกพลองของนางตีเข้า
หนึ่งในโจรที่ดูเหมือนจะอุกอาจที่สุดบุกเข้ามาหานางพร้อมดาบยาวในมือ มันหวังที่จะฟันนางเป็นสองท่อนแต่หลี่รุ่ยหลินไม่ให้โอกาสนั้น นางหมุนตัวเล็กน้อยหลีกเลี่ยงการโจมตีของมันอย่างง่ายดาย ก่อนที่พลองในมือของนางจะพุ่งไปหามันแล้วกระแทกเข้าที่หน้าอกของเขาอย่างแรง เสียงกระดูกแตกดังขึ้นพร้อมกับเสียงร้องโหยหวน ร่างของมันกระเด็นออกไปไกลก่อนจะล้มลงกับพื้นอย่างไร้ชีวิต
หลี่รุ่ยหลินมองไปรอบๆ นางเห็นพี่น้องสำนักคุ้มภัยกำลังต่อสู้อย่างไม่ลดละ พวกเขาใช้ทักษะและความแข็งแกร่งที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีเพื่อปกป้องลูกค้าและทรัพย์สมบัติแต่พวกโจรก็ยังคงบุกเข้ามาไม่หยุดหย่อน การต่อสู้เป็นไปด้วยความดุเดือด
ในขณะเดียวกันหวังข่ายที่นั่งอยู่ในรถม้ากับอัครเสนาบดีหวังผู้เป็นบิดามองออกไปทางหน้าต่างเห็นหลี่รุ่ยหลินกำลังแสดงฝีมือ เขาตื่นตะลึงกับความสามารถของนาง นางไม่เพียงแต่มีทักษะการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยมแต่ยังมีความมั่นใจและกล้าหาญทำให้เขารู้สึกประทับใจยิ่งนัก
แต่แล้วสายตาของหวังข่ายก็ไปสะดุดกับโจรผู้หนึ่งที่บุกเข้ามาใกล้รถม้าอย่างรวดเร็ว ดาบยาวในมือของมันชี้ตรงไปยังรถม้า มันเคลื่อนที่เข้ามาอย่างรวดเร็วและมั่นคงเหมือนเสือที่กำลังโถมตัวเข้าหาเหยื่อหมายจะฆ่าคนที่อยู่ข้างในโดยไม่รอช้า
หวังข่ายไม่ได้เกิดความรู้สึกกลัวแต่อย่างใด เขาเพียงแค่อยากจะรู้ว่าระหว่างโจรผู้นี้กับหลี่รุ่ยหลินนั้นผู้ใดจะเร็วกว่ากัน ดังนั้นจึงไม่พยายามที่จะปกป้องตนเองเพียงแต่นั่งอยู่ในรถม้าด้วยท่าทีที่สงบเยือกเย็นราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แต่ก่อนที่โจรผู้นั้นจะได้ทำร้ายผู้ใดหลี่รุ่ยหลินก็พุ่งเข้ามาขวางไว้ได้ทันเวลา นางกระโจนเข้ามายืนระหว่างรถม้ากับโจรผู้นั้น พลองยาวในมือยกขึ้นป้องกันการโจมตี ดาบของโจรปะทะเข้ากับพลองเหล็กเกิดเสียงดังสนั่น แต่หลี่รุ่ยหลินไม่ยอมถอยนางใช้พลองเหล็กหมุนวนแล้วฟาดลงไปอย่างรวดเร็ว
โจรผู้นั้นไม่ทันตั้งตัวกับความรวดเร็วของนาง พลองเหล็กของหลี่รุ่ยหลินฟาดเข้าที่ข้อมือของมันอย่างแรงทำให้ดาบในมือของเขาหลุดกระเด็นออกไป มันร้องออกมาเสียงดังด้วยความเจ็บปวดแต่หลี่รุ่ยหลินไม่ให้โอกาสมันได้ตั้งตัว ก้าวเข้าไปใกล้แล้วใช้พลองเหล็กฟาดลงไปที่ศีรษะของมันด้วยแรงทั้งหมดที่มี ร่างของโจรผู้นั้นล้มลงกับพื้นทันที เลือดไหลออกมาจากศีรษะ หลี่รุ่ยหลินไม่แม้แต่จะเหลียวมองนางกลับไปที่การต่อสู้อีกครั้งทันที
หวังข่ายเห็นภาพนั้นอย่างชัดเจน เขารู้สึกถึงความประทับใจและความรู้สึกขอบคุณที่พุ่งเข้ามาในใจ หลี่รุ่ยหลินไม่ได้เป็นเพียงนักรบที่เก่งกาจแต่ยังเป็นคนที่พร้อมจะเสี่ยงชีวิตเพื่อปกป้องคนอื่น นางเป็นหญิงที่มีคุณค่าและมีความกล้าหาญที่เขาไม่เคยพบมาก่อน
ในขณะเดียวกันการต่อสู้ยังคงดำเนินต่อไป พี่น้องสำนักคุ้มภัยยังคงต่อสู้กับพวกโจรที่บุกเข้ามา เสียงของการต่อสู้ เสียงของอาวุธที่ปะทะกัน และเสียงของความเจ็บปวดต่างดังก้องไปทั่วทั้งบริเวณ
หลี่รุ่ยหลินหันไปมองพี่น้องสำนักคุ้มภัยที่กำลังต่อสู้อย่างมุ่มั่น นางมั่นใจในพวกเขาและรู้ว่าพวกเขาจะยืนหยัดต่อสู้จนถึงที่สุด แต่ก็ต้องคอยเตือนตัวเองว่าไม่สามารถละความระวังได้
ในขณะที่กำลังประเมินสถานการณ์ก็มีโจรผู้หนึ่งที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืดพุ่งเข้ามาทางด้านหลังของนาง มันใช้มีดสั้นที่ซ่อนอยู่ในมือหวังจะโจมตีโดยไม่ให้นางรู้ตัว แต่หลี่รุ่ยหลินรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของมัน นางหมุนตัวกลับมาทันทีพลองเหล็กในมือก็หมุนวนอย่างรวดเร็วฟาดลงไปที่แขนของมันทำให้แขนหักในทันที
นางใช้โอกาสนี้กวาดพลองลงไปที่ขาของมัน ทำให้มันล้มลงกับพื้นก่อนที่จะฟาดพลองลงไปที่หน้าอกอย่างแรง เสียงกระดูกแตกดังขึ้นร่างของมันกระตุกเล็กน้อยก่อนจะหยุดเคลื่อนไหว
หลี่รุ่ยหลินยืนหอบเล็กน้อยแต่สายตายังคงมองไปรอบ ๆ อย่างระแวดระวัง นางรู้ว่าการต่อสู้ครั้งนี้ยังไม่จบ พวกโจรยังคงอยู่และนางจะต้องพร้อมรับมือกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้น
บทที่แปดออกเดินทางต่อ หลังจากการต่อสู้ที่ดุเดือดและยาวนานจบลง ความเงียบสงัดก็เข้ามาปกคลุมแทนที่ เสียงหอบหายใจของเหล่าพี่น้องสำนักคุ้มภัยดังขึ้นท่ามกลางบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า พวกเขายืนอยู่ท่ามกลางซากศพของพวกโจรที่ถูกกำจัดจนหมดสิ้นไม่มีผู้ใดเหลือรอดจากการปะทะครั้งนี้หลี่รุ่ยหลินมองไปรอบๆ นางเห็นพี่น้องสำนักคุ้มภัยหลายคนได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้ แต่ก็เป็นเพียงบาดแผลเล็กน้อยเท่านั้นไม่ได้เป็นอันตรายถึงชีวิต ทุกคนต่างเหนื่อยล้าจากการสู้รบแต่ยังคงยืนหยัดอยู่ได้ด้วยพลังใจที่เข้มแข็ง“พี่น้องต้าอันฉวน การต่อสู้จบลงแล้ว” หลี่รุ่ยหลินกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความภูมิใจแต่ก็ยังมีความรู้สึกเหนื่อยล้าแสดงออกมาให้เห็นจากน้ำเสียงนั้นพี่น้องสำนักคุ้มภัยต่างพยั
บทที่เก้าจบงาน ณ เมืองเสวียนเทียนค่ำคืนนี้เมืองเสวียนเทียนถูกปกคลุมด้วยบรรยากาศที่คึกคักและอบอุ่น หลังจากที่พวกเขาเดินทางมาอย่างยาวนานในที่สุดก็ได้มาถึงเมืองที่เป็นบ้านเกิดของอดีตอัครเสนาบดีเสียที เมืองชายแดนอันเงียบสงบล้อมรอบไปด้วยภูเขาและป่าไม้เมื่อคณะของหลี่รุ่ยหลินเดินทางเข้ามาในเมืองทุกอย่างก็เป็นไปอย่างราบรื่น พวกชาวเมืองต่างให้การต้อนรับเป็นอย่างดี พวกเขาเคารพอัครเสนาบดีหวังซึ่งเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงและทำคุณประโยชน์แก่แผ่นดิน เจ้าเมืองเสวียนเทียนได้จัดงานเลี้ยงต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่ขึ้น เพื่อเป็นการขอบคุณหลี่รุ่ยหลินและพี่น้องสำนักคุ้มภัยที่ช่วยคุ้มกันและดูแลความปลอดภัยของอดีตอัครเสนาบดีมาตลอดการเดินทางงานเลี้ยงถูกจัดขึ้นที่จวนของเจ้าเมือง ทั้งจวนประดับประดาไปด้วยโคมไฟหลากสีและดอกไม้สดที่ถูกจัด
บทที่สิบศัตรูคู่อาฆาต การต่อสู้ดำเนินไปอย่างดุเดือด เสียงอาวุธปะทะกันดังก้องไปทั่วทั้งบริเวณ จงเหยียนมุ่งตรงเข้าหาหลี่รุ่ยหลินอย่างไม่รอช้า มันมีฝีมือที่รวดเร็วและดุดันกว่าคนอื่นๆ ที่เคยเผชิญหน้ามาก่อนทำให้หลี่รุ่ยหลินต้องโต้ตอบอย่างเต็มกำลัง แม้ว่านางจะเก่งกาจแต่จงเหยียนก็ไม่ใช่ศัตรูที่ประมือได้ง่าย หากว่ามันไม่มีฝีมือจริงก็ไม่สามารถสังหารบิดาและพี่ชายของนางได้หรอกขณะที่ทั้งสองต่อสู้กันนั้นจงเหยียนฉวยโอกาสในจังหวะที่หลี่รุ่ยหลินเผลอชักเอาขวดเล็กๆ ออกมาจากอกเสื้อ คลายจุกออกอย่างรวดเร็วแล้วสาดผงควันสีขาวนวลพุ่งเข้าหานางโดยไม่ให้ทันตั้งตัว“ควันสลบ” หลี่รุ่ยหลินรู้ทันทีว่าตนกำลังเผชิญกับอะไร นางพยายามหลบแต่ไม่ทัน ควันสีขาวปกคลุมร่างของนางในทันที เมื่อสูดเข้าไปแล้วก็ทำให้หัวเริ่มมึนงงและรู้สึ
บทที่สิบเอ็ดข้าต้องช่วยเจ้าให้ได้หวังข่ายซึ่งยืนอยู่ในมุมมืดหลังกระโจมส่งสัญญาณให้กับพี่น้องสำนักคุ้มภัยที่ซุ่มรออยู่ด้านนอก เขารู้ดีว่าการบุกเข้าไปช่วยหลี่รุ่ยหลินในครั้งนี้เป็นโอกาสสำคัญ หากพลาดไปพวกเขาอาจไม่มีโอกาสเช่นนี้อีกเมื่อพี่น้องสำนักคุ้มภัยเห็นสัญญาณจากหวังข่ายพวกเขาก็ไม่รอช้ารีบพุ่งตัวเข้าไปในค่ายของพวกโจรทันที พวกโจรที่อยู่ภายในค่ายไม่ทันได้ตั้งตัวจากการบุกโจมตีที่รวดเร็วและรุนแรง พวกมันต่างตื่นตระหนกและวิ่งหนีเป็นกันอยางแตกกระจายเพื่อหาที่หลบภัยเสียงโลหะกระทบกันดังก้องไปทั่วค่าย ความโกลาหลที่เกิดขึ้นทำให้พวกโจรที่อยู่ในค่ายตกใจและหันไปดู เมื่อเห็นพวกพ้องถูกโจมตีพวกมันก็รีบชักดาบออกมาเตรียมต่อสู้ แต่ก็สายเกินไปแล้วพวกพี่น้องสำนักคุ้มภัยที่บุกเข้ามาอย่างดุดันทำให้พวกมันไม่สามารถตั้งรับได้ทัน พวกโจรถูกฟันล้มลงทีละคนอย่างรวดเร็ว
บทที่สิบสองบังเกิดเป็นความรักหลังจากการต่อสู้ที่ยากลำบากและการเดินทางที่เต็มไปด้วยอันตรายพวกเขาก็สามารถกำจัดพวกโจรที่ก่อความเดือดร้อนได้หมดสิ้นแล้ว การเดินทางกลับไปยังเมืองหลวงจึงดำเนินไปด้วยความราบรื่นและสบายใจเมื่อเดินทางออกจาเมืองเสวียนเทียนทุกคนก็รู้สึกโล่งใจราวกับว่าพายุร้ายได้ถูกพัดหายไปแล้ว หลี่รุ่ยหลินและพี่น้องสำนักคุ้มภัยต่างก็เต็มไปด้วยความพอใจที่สามารถทำภารกิจสำเร็จ ทั้งที่เจออุปสรรคมากมาย แต่พวกเขาก็ยังคงสามารถพิชิตชัยเหนือศัตรูได้ระหว่างการเดินทางกลับสู่เมืองหลวงหวังข่ายและหลี่รุ่ยหลินเริ่มมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ความใกล้ชิดที่เริ่มงอกเงยทำให้พวกเขาเริ่มรู้จักกันมากขึ้น และการพูดคุยระหว่างของพวกเขาก็เต็มไปด้วยความเข้าใจและความไว้วางใจที่เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดแต่ละวันบนเส้นทางกลับหลี่รุ่ย
บทที่สิบสามความสัมพันธ์วัยเด็กไม่นาหลังจากที่หวังข่ายกลับมาเขาก็พบว่าบุตรสาวของเจ้ากรมการคลังหลิวผิงผิงมารอพบเขาเขาอยู่ที่หน้าประตูจวน เมื่อพ่อบ้านเปิดประตูให้นางก็วิ่งเข้ามาหาเขาทันทีพร้อมด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกระตือรือร้น"หวังข่าย…เจ้ากลับมาแล้ว" หลิวผิงผิงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่หวานหยดย้อยพลางยิ้มอย่างสดใส "ข้าเห็นว่าเจ้ากลับมาเหนื่อย ๆ เลยรีบมาหาทันที ข้าเตรียมอาหารไว้ให้เจ้าแล้ว""ผิงผิง…ขอบคุณที่เป็นห่วงข้า" หวังข่ายตอบกลับด้วยน้ำเสียงสุภาพ"ถ้าอย่างนั้นพวกเราไปกินข้าวกันเถอะ" หลิวผิงผิงชวน"อืม" หวังข่ายตอบรับอย่างยินดีเมื่อเห็นว่าหวังข่ายยอมรับความปรารถนาดีของนางหลิวผิงผิงก็ยิ้มอย่างปลื้มปิติ นางรีบนำเข้าไปที่ห้องรับแขกและจัดอาหารที่เต
บทที่สิบสี่เจ้าแย่งเขาไปจากข้า หลิวผิงผิงกลับไปที่จวนของตัวเองด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความอิจฉาและความแค้น ความคิดที่ว่าหลี่รุ่ยหลินได้แย่งหวังข่ายไปจากนางทำให้รู้สึกโกรธเคืองจนแทบจะระงับอารมณ์ไม่อยู่ นางคิดถึงทุกสิ่งที่นางทำเพื่อพยายามเข้าหาหวังข่าย ตั้งแต่การเป็นสหายที่ดี การทำให้เขาเห็นถึงความทุ่มเทและการแสดงออกถึงความรักความเอาใจใส่ แต่ทุกอย่างก็กลับถูกทำลายลงเพราะการปรากฏตัวของหลี่รุ่ยหลินนางยืนมองตัวเองในกระจก มองรูปลักษณ์ที่งดงามและถูกอบรมมารยาทอย่างดีจากตระกูลผู้ดี ทุกคนล้วนกล่าวว่านางเป็นหญิงสาวที่เพียบพร้อม แต่เหตุใดหวังข่ายถึงไม่เห็นค่านาง เหตุใดหัวใจของเขาถึงเลือกหลี่รุ่ยหลินแทนที่จะเป็นนางความคิดนี้ยิ่งทำให้รู้สึกโกรธมากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดความคิดที่จะทำร้ายหลี่รุ่ยหลินก็เริ่มก่อตัวขึ้นใ
บทที่สิบห้าเต็มไปด้วยความรัก เมื่อทุกอย่างถูกจัดการเรียบร้อย หวังข่ายรู้สึกถึงความโล่งใจที่ไม่ต้องกังวลเรื่องหลิวผิงผิงอีกต่อไป แต่ด้วยความเป็นห่วงที่ยังอยูในใจกลัวว่านอกจากหลิวผิงผิงแล้วจะยังมีเรื่องอื่นมาทำให้หลี่รุ่ยหลินคนรักของเขาไม่สบายใจอีก เขาจึงได้ตัดสินใจทำสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตในช่วงเช้าของวันหนึ่งท้องฟ้าแจ่มใสและมีแสงแดดอ่อน ๆ อาบลานหน้าสำนักคุ้มภัย หวังข่ายตัดสินใจที่จะไม่รอช้าอีกต่อไป เขารู้ว่าเขาอยากจะใช้ชีวิตร่วมกับหลี่รุ่ยหลินไปตลอดและไม่ต้องการให้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาถูกชะงักอีกหวังข่ายเดินทางไปยังสำนักคุ้มภัยต้าอันฉวน เมื่อเขามาถึงบรรยากาศที่สำนักคุ้มภัยเต็มไปด้วยพี่น้องในสำนักที่ต่างกำลังฝึกซ้อมและเตรียมตัวสำหรับงานต่าง ๆ ที่พวกเขาจะต้องทำ แต่เมื่อเห็นหว