บทที่สิบเอ็ด
ข้าต้องช่วยเจ้าให้ได้
หวังข่ายซึ่งยืนอยู่ในมุมมืดหลังกระโจมส่งสัญญาณให้กับพี่น้องสำนักคุ้มภัยที่ซุ่มรออยู่ด้านนอก เขารู้ดีว่าการบุกเข้าไปช่วยหลี่รุ่ยหลินในครั้งนี้เป็นโอกาสสำคัญ หากพลาดไปพวกเขาอาจไม่มีโอกาสเช่นนี้อีก
เมื่อพี่น้องสำนักคุ้มภัยเห็นสัญญาณจากหวังข่ายพวกเขาก็ไม่รอช้ารีบพุ่งตัวเข้าไปในค่ายของพวกโจรทันที พวกโจรที่อยู่ภายในค่ายไม่ทันได้ตั้งตัวจากการบุกโจมตีที่รวดเร็วและรุนแรง พวกมันต่างตื่นตระหนกและวิ่งหนีเป็นกันอยางแตกกระจายเพื่อหาที่หลบภัย
เสียงโลหะกระทบกันดังก้องไปทั่วค่าย ความโกลาหลที่เกิดขึ้นทำให้พวกโจรที่อยู่ในค่ายตกใจและหันไปดู เมื่อเห็นพวกพ้องถูกโจมตีพวกมันก็รีบชักดาบออกมาเตรียมต่อสู้ แต่ก็สายเกินไปแล้วพวกพี่น้องสำนักคุ้มภัยที่บุกเข้ามาอย่างดุดันทำให้พวกมันไม่สามารถตั้งรับได้ทัน พวกโจรถูกฟันล้มลงทีละคนอย่างรวดเร็ว
ลูกน้องโจรคนหนึ่งที่หนีรอดมาจากการโจมตีได้รีบพุ่งเข้ามาในกระโจมของจงเหยียนด้วยความตื่นตระหนก เสียงลมหายใจหอบถี่ของมันแสดงให้เห็นถึงความกลัวที่แฝงอยู่ในใจ ขณะที่จงเหยียนกำลังครุ่นคิดและเตรียมที่จะขืนใจหลี่รุ่ยหลินนั้นเสียงเท้าที่รีบร้อนและท่าทีลุกลี้ลุกลนของลูกน้องก็ทำให้มันหันไปมองด้วยความไม่พอใจ
"นายท่าน" ลูกน้องคนนั้นพ่นคำออกมาพร้อมกับยืนหอบหายใจ "ฐานที่มั่นของเราถูกโจมตี พวกมันบุกเข้ามาถึงใจกลางค่ายแล้ว พวกเรากำลังเสียเปรียบ"
จงเหยียนที่ได้ยินดังนั้นก็เกิดความไม่พอใจอย่างรุนแรง อารมณ์โกรธที่คุกรุ่นในตัวมันปะทุขึ้นมาในทันที มันหันกลับมามองหลี่รุ่ยหลินที่กำลังนอนอยู่บนเตียงด้วยสายตาเย้ยหยัน “ข้าจะปล่อยเจ้าไว้ที่นี่ก่อน หากเสร็จเรื่องเมื่อไรจะมาจัดการกับเจ้า"
จงเหยียนปล่อยมือจากหลี่รุ่ยหลินแล้วชักดาบของตัวเองออกจากฝักอย่างรวดเร็วและกระแทกฝักดาบกับพื้นด้วยความโกรธ ก่อนจะรีบหมุนตัวและวิ่งออกจากกระโจมไป มันตั้งใจจะจัดการพวกที่บุกเข้ามาให้สิ้นซากไม่ว่าจะเป็นผู้ใดก็ตาม
ภายนอกกระโจมพวกโจรที่เหลืออยู่กำลังพยายามตั้งรับกับการโจมตีอย่างสิ้นหวัง พวกมันถูกพี่น้องสำนักคุ้มภัยต้าอันฉวนที่บุกเข้ามาโจมตีอย่างต่อเนื่องจนเสียขวัญ พวกโจรที่เคยโอหังกลับต้องเผชิญกับความหวาดกลัวและความตายที่ใกล้เข้ามาทุกที
เมื่อจงเหยียนก้าวออกมาจากกระโจม ดวงตาของมันมองไปรอบๆ เพื่อตรวจสอบสถานการณ์ ปรากฏว่ามีชายคนหนึ่งยืนรออยู่ตรงกลางลานค่าย โจรคนอื่นๆ ถูกจัดการจนหมดสิ้นเหลือเพียงศัตรูคนเดียวที่ยืนอย่างสงบเงียบ แต่สายตาของชายผู้นั้นกลับเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและความโกรธเกรี้ยว
หวังข่ายยืนมองจงเหยียนด้วยสายตาเย็นชา ก่อนจะเอ่ยเสียงหนักแน่น "จงเหยียน…ปล่อยตัวหลี่รุ่ยหลินเสีย"
จงเหยียนหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ร่างสูงใหญ่ของมันสั่นสะท้านแสดงออกถึงความสะใจ "ปล่อยตัวนาง… เจ้าคิดว่าข้าจะยอมปล่อยเหยื่ออันโอชะที่ข้าจับมาได้ง่าย ๆ อย่างนั้นหรือ"
"นางไม่ใช่เหยื่อของเจ้า" หวังข่ายตะโกนสวนกลับด้วยความโกรธ ดวงตาของเขาเบิกกว้างอย่างไม่อาจยอมรับได้
จงเหยียนหัวเราะออกมาอีกครั้ง ดวงตาของมันเป็นประกายเจ้าเล่ห์ "ข้าชักอยากเห็นแล้วสิว่าคนอย่างเจ้าจะทำอะไรได้ ข้าจะให้เจ้าได้รับรู้เรื่องมงคลอย่างหนึ่ง... หลี่รุ่ยหลินตกเป็นของข้าแล้ว เจ้าไม่มีสิทธิ์ที่จะมาสั่งข้า"
คำพูดของจงเหยียนทำให้หวังข่ายโกรธจัด เขาจับกระบี่อ่อนในมือแน่น เลือดในกายเดือดพล่านด้วยความแค้น เขารู้ดีว่าจงเหยียนเป็นคนโหดเหี้ยมและเจ้าเล่ห์ การเผชิญหน้ากับมันจะไม่ใช่เรื่องง่ายแต่ความโกรธและความรักที่เขามีต่อหลี่รุ่ยหลินทำให้เขาไม่อาจทนได้อีกต่อไป
"หุบปากพล่อย ๆ ของเจ้าเสีย ก่อนที่ข้าจะตัดลิ้นของเจ้าออกมา" หวังข่ายตะโกนลั่น ขณะที่กระบี่อ่อนในมือของเขาเริ่มเคลื่อนไหวด้วยความเร็วสูง วาดเป็นเส้นทางคมกริบในอากาศ
จงเหยียนมองเห็นการเคลื่อนไหวของหวังข่ายก็ไม่รอช้า มันชักดาบยาวออกจากฝักอย่างรวดเร็ว ดาบของมันเป็นอาวุธที่หนักและรุนแรงแต่ก็เชื่องช้าเมื่อเทียบกับกระบี่อ่อนของหวังข่าย ทว่าในมือของจงเหยียนดาบนี้กลับมีความร้ายกาจที่ไม่อาจประมาทได้
การต่อสู้ระหว่างทั้งสองเริ่มต้นขึ้นทันทีที่ดาบและกระบี่ปะทะกัน เสียงโลหะกระทบกันดังขึ้นก้องทั่วค่าย การโจมตีของหวังข่ายรวดเร็วและแม่นยำ เขาวาดกระบี่ก็เป็นเส้นทางแคบๆ พุ่งเข้าหาจุดอ่อนของจงเหยียน
แรงกดดันจากการโจมตีของหวังข่ายทำให้จงเหยียนถึงกับประหลาดใจ มันยกดาบขึ้นเพื่อป้องกันแต่ทุกครั้งที่ดาบของมันปะทะกับกระบี่อ่อนก็รู้สึกได้ถึงแรงสะเทือนที่รุนแรง การโจมตีของหวังข่ายนั้นรวดเร็วเสียจนมันไม่สามารถต้านทานได้ทั้งหมด
มันพยายามโต้กลับอย่างดุเดือดแต่การโจมตีของมันเริ่มที่จะพลาดเป้าหมายมากขึ้น หวังข่ายมองเห็นช่องว่างในการป้องกันของจงเหยียนและใช้โอกาสนั้นโจมตีอย่างแม่นยำ ข้อได้เปรียบของกระบี่อ่อนก็คือมันมีความยืดหยุ่นที่มากกว่าและสามารถเข้าถึงในจุดที่อาวุธอื่นไม่สามารถเข้าถึงได้ กระบี่อ่อนของเขาพุ่งเข้าหาช่องว่างระหว่างดาบของจงเหยียนและร่างกายของมัน
ความเจ็บปวดที่หน้าอกทำให้จงเหยียนรู้สึกทรมานเป็นอย่างมาก เลือดเริ่มไหลออกมาจากบาดแผลที่เกิดจากกระบี่อ่อนของหวังข่าย มันร้องเสียงดังด้วยความเจ็บปวดแต่กลับพยายามดิ้นรนต่อสู้ต่อ
“เจ้า... เจ้าไม่มีวันชนะข้าได้” จงเหยียนตะโกนขณะที่มันพยายามเงื้อดาบอีกครั้ง แต่ความเหนื่อยล้าที่เกิดจากการต่อสู้เริ่มชัดเจนขึ้น ดาบของมันหนักขึ้นทุกครั้งที่ยกขึ้นมาและช้าลงทุกครั้งที่เหวี่ยงออกไป
หวังข่ายมองเห็นความอ่อนแอของจงเหยียนอย่างชัดเจน เขาตัดสินใจที่จะจบการต่อสู้นี้อย่างรวดเร็ว กระบี่อ่อนของเขาพุ่งเข้าหาจงเหยียนด้วยความรวดเร็วเป็นครั้งสุดท้าย เส้นทางของกระบี่นั้นพุ่งตรงไปยังหัวใจของมัน
จงเหยียนพยายามยกดาบขึ้นเพื่อป้องกัน แต่ทว่ามันกลับพลาดเป้าหมาย กระบี่อ่อนของหวังข่ายพุ่งเข้าแทงทะลุอกของมัน เลือดพุ่งออกมาเป็นสาย ขณะที่มันทรุดตัวลงกับพื้นมันจับหน้าอกที่ถูกแทงด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง
“ข้า... ข้าไม่ยอมให้เจ้า...” จงเหยียนพยายามพูดแต่เสียงของมันเริ่มแผ่วเบาและขาดหายไป มันพยายามจะสู้ต่อแต่เรี่ยวแรงของมันหมดสิ้นแล้ว
หวังข่ายยืนมองจงเหยียนที่ล้มลงกับพื้นอย่างสงบ เขาถอนกระบี่ออกจากร่างของศัตรูและมองเห็นเลือดที่ไหลออกมาจากบาดแผล ความโกรธในใจของเขาค่อย ๆ จางหายไป และถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกสงบ
“เจ้าสมควรได้รับสิ่งนี้” หวังข่ายเอ่ยขึ้นเบา ๆ ก่อนจะเดินหนีจากร่างของจงเหยียนที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น
สิ่งแรกที่เขาทำหลังจากหารต่อสู้จบลงก็คือวิ่งเข้าไปในกระโจมด้วยความรีบเร่ง หัวใจของเขาเต้นแรงเมื่อนึกถึงความเป็นไปได้ที่จงเหยียนอาจทำร้ายหลี่รุ่ยหลิน แต่เมื่อเขาเห็นหลี่รุ่ยหลินอยู่ในสภาพเสื้อผ้าหลุดรุ่ย มือและเท้าของนางถูกมัดแน่นกับเตียง ความโกรธของเขาก็พลุ่งพล่านขึ้นมาอีกครั้ง
“รุ่ยหลิน” หวังข่ายเรียกนางด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความห่วงใยอย่างที่สุด เขารีบเข้าไปคลายเชือกที่มัดนางไว้ มือของเขาสั่นเล็กน้อยด้วยความตื่นเต้นและความโกรธที่ยังหลงเหลืออยู่
เมื่อเชือกถูกคลายออกเขาก็ดึงตัวหลี่รุ่ยหลินเข้ามากอดแน่น รู้สึกถึงร่างกายที่เย็นเฉียบของนางแนบชิดกับตัวเขา จากนั้นจึงถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน “เจ้าเป็นอะไรหรือไม่ จงเหยียนมันทำร้ายเจ้าหรือไม่”
หลี่รุ่ยหลินส่ายหน้าเบา ๆ สูดหายใจลึกเพื่อพยายามสงบสติอารมณ์ “ข้าไม่เป็นอะไร ดีที่ท่านมาช่วยไว้ทัน”
หวังข่ายถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขารู้สึกได้ถึงความสั่นสะท้านเล็กน้อยในร่างกายของหลี่รุ่ยหลิน เขากอดนางไว้แน่นขึ้น ราวกับต้องการปกป้องนางจากทุกสิ่งทุกอย่างที่อาจเกิดขึ้นอีก
เขามองไปรอบๆ ภายในกระโจมและเห็นหีบเล็กๆ ที่วางอยู่มุมหนึ่ง เมื่อเปิดหีบนั่นออกและพบว่ามีผ้าห่มอยู่ข้างในเขารีบหยิบผ้าห่มนั้นขึ้นมาแล้วห่อตัวหลี่รุ่ยหลินไว้ เพราะเสื้อผ้าของนางถูกจงเหยียนกระชากออกจนหมดนางคงจะรู้สึกหนาวและอับอายหากปล่อยให้อยู่ในสภาพเช่นนี้
“ข้าขอโทษที่ข้ามาช้า” หวังข่ายกล่าวด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด
หลี่รุ่ยหลินส่ายหน้าอีกครั้ง นางมองหวังข่ายด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความรักและความซาบซึ้งใจ “ไม่ต้องขอโทษ ข้ารู้ว่าท่านพยายามถึงที่สุดแล้ว”
คำพูดของนางทำให้เขาพยักหน้ารับอย่างเข้าใจแต่ในใจของเขายังคงรู้สึกไม่สบายใจอยู่ดี เขาโอบร่างของหลี่รุ่ยหลินขึ้นมาในอ้อมแขนอย่างระมัดระวัง นางซบหน้าลงกับอกของเขาน้ำตาที่เก็บไว้ไหลออกมาอย่างเงียบงัน
หวังข่ายพาหลี่รุ่ยหลินออกจากกระโจม ทันทีที่พี่น้องสำนักคุ้มภัยที่รออยู่เห็นหวังข่ายอุ้มหลี่รุ่ยหลินออกมา พวกเขาก็ส่งเสียงเฮดังลั่นด้วยความดีใจ นายหญิงของพวกเขาถูกช่วยออกมาได้แล้ว ความโล่งใจและความยินดีปะทุขึ้นในใจของทุกคน
“นายหญิง! ขอบคุณคุณชายหวังๆ” เหล่าพี่น้องสำนักคุ้มภัยกล่าวออกมาอย่างยินดี
รอบๆ บริเวณนั้นเต็มไปด้วยศพของพวกโจรที่ถูกฆ่าตาย ไม่มีโจรคนไหนรอดชีวิตจากการโจมตีครั้งนี้ เหล่าพี่น้องทุกคนกวาดล้างโจรชั่วพวกนี้ได้สำเร็จ
“ขอบคุณพี่น้องทุกคน หากไม่มีพวกท่านภารกิจครั้งนี้คงไม่สำเร็จ” หวังข่ายกล่าวกับพี่น้องสำนักคุ้มภัยด้วยความรู้สึกซาบซึ้ง
พี่น้องสำนักคุ้มภัยยิ้มรับ และบางคนก็โค้งศีรษะให้ด้วยความเคารพ
“พวกเราคือพี่น้องต้าอันฉวน นายหญิงก็คือหัวใจของพวกเรา เพราะฉะนั้นพวกเรายอมตายได้เพื่อนายหญิงและสำนักคุ้มภัยต้าอันฉวน" ไป๋ฮ่าวเทียนกล่าว
หวังข่ายพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะเดินไปยังม้าที่รออยู่ เขาวางหลี่รุ่ยหลินลงบนหลังม้าอย่างเบามือ จากนั้นก็กระโดดขึ้นไปนั่งข้างหลังนาง อ้อมแขนของเขาโอบร่างนางไว้แน่นเพื่อให้แน่ใจว่านางจะไม่ตกลงมา
“พวกเราไปกันเถอะ” หวังข่ายกล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นคง ก่อนจะหันไปพูดกับพี่น้องสำนักคุ้มภัย “กลับไปยังเมืองเสวียนเทียน พักผ่อนกันก่อน ข้าจะให้การดูแลทุกคนเป็นอย่างดี”
พี่น้องสำนักคุ้มภัยตอบรับอย่างยินดีและพากันเดินทางุม่งหน้าสู่ทิศทางของเมืองเสวียนเทียน
แสงตะวันยามเย็นเริ่มส่องสว่างอยู่ที่ขอบฟ้าเหมือนเป็นสัญญาณของการเริ่มต้นใหม่ หลี่รุ่ยหลินยังคงซบอยู่ในอ้อมแขนของหวังข่าย แม้นางจะรู้สึกเหนื่อยล้าและอ่อนแรงจากสิ่งที่เพิ่งเผชิญมาแต่ความอบอุ่นและการปกป้องของเขาทำให้นางรู้สึกปลอดภัย นางเริ่มหลับตาลงอย่างช้าๆ และผล็อยหลับไปในอ้อมอกของเขา
หวังข่ายมองหลี่รุ่ยหลินที่หลับอยู่ในอ้อมแขนของเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรักและความห่วงใย เขาสัญญากับตัวเองว่าจะไม่ยอมให้สิ่งใดทำร้ายนางได้อีก
บทที่สิบสองบังเกิดเป็นความรักหลังจากการต่อสู้ที่ยากลำบากและการเดินทางที่เต็มไปด้วยอันตรายพวกเขาก็สามารถกำจัดพวกโจรที่ก่อความเดือดร้อนได้หมดสิ้นแล้ว การเดินทางกลับไปยังเมืองหลวงจึงดำเนินไปด้วยความราบรื่นและสบายใจเมื่อเดินทางออกจาเมืองเสวียนเทียนทุกคนก็รู้สึกโล่งใจราวกับว่าพายุร้ายได้ถูกพัดหายไปแล้ว หลี่รุ่ยหลินและพี่น้องสำนักคุ้มภัยต่างก็เต็มไปด้วยความพอใจที่สามารถทำภารกิจสำเร็จ ทั้งที่เจออุปสรรคมากมาย แต่พวกเขาก็ยังคงสามารถพิชิตชัยเหนือศัตรูได้ระหว่างการเดินทางกลับสู่เมืองหลวงหวังข่ายและหลี่รุ่ยหลินเริ่มมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ความใกล้ชิดที่เริ่มงอกเงยทำให้พวกเขาเริ่มรู้จักกันมากขึ้น และการพูดคุยระหว่างของพวกเขาก็เต็มไปด้วยความเข้าใจและความไว้วางใจที่เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดแต่ละวันบนเส้นทางกลับหลี่รุ่ย
บทที่สิบสามความสัมพันธ์วัยเด็กไม่นาหลังจากที่หวังข่ายกลับมาเขาก็พบว่าบุตรสาวของเจ้ากรมการคลังหลิวผิงผิงมารอพบเขาเขาอยู่ที่หน้าประตูจวน เมื่อพ่อบ้านเปิดประตูให้นางก็วิ่งเข้ามาหาเขาทันทีพร้อมด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกระตือรือร้น"หวังข่าย…เจ้ากลับมาแล้ว" หลิวผิงผิงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่หวานหยดย้อยพลางยิ้มอย่างสดใส "ข้าเห็นว่าเจ้ากลับมาเหนื่อย ๆ เลยรีบมาหาทันที ข้าเตรียมอาหารไว้ให้เจ้าแล้ว""ผิงผิง…ขอบคุณที่เป็นห่วงข้า" หวังข่ายตอบกลับด้วยน้ำเสียงสุภาพ"ถ้าอย่างนั้นพวกเราไปกินข้าวกันเถอะ" หลิวผิงผิงชวน"อืม" หวังข่ายตอบรับอย่างยินดีเมื่อเห็นว่าหวังข่ายยอมรับความปรารถนาดีของนางหลิวผิงผิงก็ยิ้มอย่างปลื้มปิติ นางรีบนำเข้าไปที่ห้องรับแขกและจัดอาหารที่เต
บทที่สิบสี่เจ้าแย่งเขาไปจากข้า หลิวผิงผิงกลับไปที่จวนของตัวเองด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความอิจฉาและความแค้น ความคิดที่ว่าหลี่รุ่ยหลินได้แย่งหวังข่ายไปจากนางทำให้รู้สึกโกรธเคืองจนแทบจะระงับอารมณ์ไม่อยู่ นางคิดถึงทุกสิ่งที่นางทำเพื่อพยายามเข้าหาหวังข่าย ตั้งแต่การเป็นสหายที่ดี การทำให้เขาเห็นถึงความทุ่มเทและการแสดงออกถึงความรักความเอาใจใส่ แต่ทุกอย่างก็กลับถูกทำลายลงเพราะการปรากฏตัวของหลี่รุ่ยหลินนางยืนมองตัวเองในกระจก มองรูปลักษณ์ที่งดงามและถูกอบรมมารยาทอย่างดีจากตระกูลผู้ดี ทุกคนล้วนกล่าวว่านางเป็นหญิงสาวที่เพียบพร้อม แต่เหตุใดหวังข่ายถึงไม่เห็นค่านาง เหตุใดหัวใจของเขาถึงเลือกหลี่รุ่ยหลินแทนที่จะเป็นนางความคิดนี้ยิ่งทำให้รู้สึกโกรธมากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดความคิดที่จะทำร้ายหลี่รุ่ยหลินก็เริ่มก่อตัวขึ้นใ
บทที่สิบห้าเต็มไปด้วยความรัก เมื่อทุกอย่างถูกจัดการเรียบร้อย หวังข่ายรู้สึกถึงความโล่งใจที่ไม่ต้องกังวลเรื่องหลิวผิงผิงอีกต่อไป แต่ด้วยความเป็นห่วงที่ยังอยูในใจกลัวว่านอกจากหลิวผิงผิงแล้วจะยังมีเรื่องอื่นมาทำให้หลี่รุ่ยหลินคนรักของเขาไม่สบายใจอีก เขาจึงได้ตัดสินใจทำสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตในช่วงเช้าของวันหนึ่งท้องฟ้าแจ่มใสและมีแสงแดดอ่อน ๆ อาบลานหน้าสำนักคุ้มภัย หวังข่ายตัดสินใจที่จะไม่รอช้าอีกต่อไป เขารู้ว่าเขาอยากจะใช้ชีวิตร่วมกับหลี่รุ่ยหลินไปตลอดและไม่ต้องการให้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาถูกชะงักอีกหวังข่ายเดินทางไปยังสำนักคุ้มภัยต้าอันฉวน เมื่อเขามาถึงบรรยากาศที่สำนักคุ้มภัยเต็มไปด้วยพี่น้องในสำนักที่ต่างกำลังฝึกซ้อมและเตรียมตัวสำหรับงานต่าง ๆ ที่พวกเขาจะต้องทำ แต่เมื่อเห็นหว
บทที่หนึ่งการสมรสที่ไม่ต้องการเช้าตรู่ที่หมอกบางๆ ลอยอ้อยอิ่งเหนือเมืองหลวง หลี่ฟางตวนบิดาของหลี่รุ่ยหลินออกมายืนหน้าประตูจวน กวาดตามองไปยังบุตรสาวและภรรยาที่รออยู่ สายตาของเขาสั่นคลอนเล็กน้อยด้วยความรู้สึกเศร้าสร้อยที่จะต้องจากไปทำงานใหญ่ครั้งนี้“รุ่ยหลิน…ดูแลแม่ของเจ้ากับสำนักของเราตอนที่พ่อกับพี่ชายของเจ้าไม่อยู่ให้ดี แล้วก็อย่าปฏิเสธงานมากจนเกินไปเล่า ประเดี๋ยวจะไม่มีเงินเลี้ยงดูเหล่าพี่น้องของเรา” บิดากล่าวเสียงแผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยความหนักแน่น“เจ้าค่ะท่านพ่อ” หลี่รุ่ยหลินตอบอย่างไม่ลังเล ดวงตาของนางฉายแววความมุ่งมั่น ทุกครั้งที่บิดากับพี่ชายไม่อยู่นางในนามของคุณหนูเล็กก็จะได้เลื่อนขึ้นมาเป็นหัวหน้าสำนักรักษาการณ์ในทันทีและนางก็ชื่นชอบหน้าที่นี้เป็นอย่างมากหลี่เว่ยตงพี่ชายของหลี่รุ่ยหลินยืนอยู่ข้างบิดา เขาวางมือลงบนบ่าของน้องสาวเบาๆ “อย่าลืมฝึกวิชาที่พี่สอนเจ้าไว้ มันจะมีประโยชน์ในยามคับขัน”“ข้าจะฝึกอย่างไม่ขาดตกบกพร่องเลยเจ้าค่ะ” หลี่รุ่ยหลินรับคำด้วยน้ำเสียงจริงจัง“ไปเถิด อย่าให้คหบดีเจียงต้องคอยนาน” หลี่ฮูหยินพูดขึ้น ถึงแม้ว่าจะบอกให้สองพ่อลูกรีบไปทว่าดวงตาของนางก็เต็มไป
บทที่สองช่วงเวลาแห่งการสูญเสียเสียงฝีเท้าม้าวิ่งมาอย่างเร่งรีบหยุดลงที่หน้าประตูสำนักคุ้มภัยต้าอันฉวน ร่างที่เต็มไปด้วยเลือดของพี่น้องสำนักคุ้มภัยคนหนึ่งร่วงลงมาจากหลังม้า คนที่เฝ้าประตูอยู่รีบไปประคองเขาทันที ทั้งเนื้อทั้งตัวของเขามีแต่คราบเลือดเต็มไปหมดทั้งยังมีบาดแผลอีกมากมาย เขารอดมาจนถึงสำนักได้นั้นก็ถือว่าโชคดีมากแล้ว"พี่ซีหยาง…เกิดเรื่องอันใดขึ้น" นายประตูถาม"พาข้าไปหาฮูหยินกับคุณหนู…ตอนนี้" เขากล่าวด้วยเสียงที่แผ่วเบานายประตูทั้งสองคนรีบหามร่างที่บาดเจ็บสาหัสของซีหยางเข้าไป เขาไม่ยอมไปรักษาตัวยืนยันว่าถึงอย่างไรก็ต้องพบฮูหยินกับคุณหนูก่อน พวกเขาจึงพาไปยังห้องหนังสือ ที่นั่นหลี่รุ่ยหลินนั่งทำงานอยู่อย่างเคร่งเครียด เหลือก็แต่เพียงหลี่ฮูหยินมารดาของนางที่กำลังรีบมา"พี่ซีหยางเกิดเรื่องอันใดขึ้น เหตุใดท่านถึงได้กลับมาในสภาพเช่นนี้" หลี่รุ่ยหลินกล่าวด้วยความตกใจ จากนั้นลุกขึ้น
บทที่สามจุดพลิกผันสู่เจ้าสำนักน้อยเมื่อจัดการพิธีศพเรียบร้อยแล้วก็ไม่มีเวลาให้พวกเขาได้โศกเศร้าเสียใจมากนักเนื่องจากมีงานคั่งค้างที่ต้องสะสางอีกมากมาย ทั้งเรื่องเงินชดเชยที่จะต้องมอบให้กับบิดามารดาของพี่น้องที่เสียชีวิตไปและเรื่องงานที่รับจ้างไว้ก่อนหน้าที่หลี่ฟางตวนจะเสียชีวิต ทำเอาหลี่รุ่ยหลินวุ่นวายไปหมด"พี่ซีหยาง…นี่พวกเราถูกยกเลิกเลิกงานมากมายถึงเพียงนี้เลยหรือ" หลี่รุ่ยหลินถามอย่างประหลาดใจเมื่อเห็นบัญชีรายชื่อลูกค้าที่จ้างงานถูกขีดฆ่าชื่ออกไปมากมายซีหยางยิ้มแหย ๆ ให้กับนางเพราะไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไรดีให้กระทบกระเทือนจิตใจของหัวหน้าสำนักน้อยผู้นี้ให้น้อยที่สุด "เอ่อ…คือว่าลูกค้าของพวกเราหายไปราว ๆ เจ็ดส่วนขอรับคุณหนู เอ้ย…ขอรับนายหญิง"ด้วยความที่ยังไม่เคยชินที่จะเรียกหลีรุ่ยหลินว่านายหญิงพี่น้องสำนักคุ้มภัยต่างก็
บทที่สี่ประเดิมงานแรกเมื่อสองพ่อลูกขึ้นรถม้าไปแล้วหลีรุ่ยหลินกับไป๋ฮ่าวเทียนหัวหน้าหน่วยย่อยของสำนักคุ้มภัยก็เดินตรวจตราขบวนเดินทาง ระยะทางจากเมืองหลวงไปยังเมืองบ้านเกิดของอดีตอัครเสนาบดีหวังนั้นไกลพอสมควร ดังนั้นการตรวจขบวนเดินทางให้เรียบร้อยจึงสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ขบวนเดินทางค่อนข้างใหญ่มีข้าวของมากมายอาจจะทำให้การเดินทางล้าช้าไปบ้าง ไป๋ฮ่าวเทียนจึงคิดว่ากำลังคนที่เตรียมมาในครั้งนี้ไม่น่าจะพอ"นายหญิงแน่ใจแล้วหรือขอรับว่าจะไม่เรียกคนมาเพิ่ม จากที่ตรวจดูรายชื่อสมบัติและมูลค่าของที่ต้องคุ้มกันค่อนข้างสูงอยู่นะขอรับ" ไป๋ฮ่าวเทียนกล่าวไป๋ฮ่าวเทียนเคยนำขบวนคุ้มกันด้วยตนเองมาก่อน จากประสบการณ์ของเขาแล้วขบวนยาวถึงเพียงนี้ใช้คนคุ้มกันเพียงแค่สามสิบคนถือว่าน้อยเกินไป เพราะทุกครั้งที่เขาออกเดินทางหากว่าไม่ได้ไปกับนายท่านและคุณชายแล้วละก็จะต้องมีพรรคพวกไปด้วยไม่ต่ำกว่าห้าสิบคน ครั้