Share

บทที่ 4 ประเดิมงานแรก

บทที่สี่

ประเดิมงานแรก

 

เมื่อสองพ่อลูกขึ้นรถม้าไปแล้วหลีรุ่ยหลินกับไป๋ฮ่าวเทียนหัวหน้าหน่วยย่อยของสำนักคุ้มภัยก็เดินตรวจตราขบวนเดินทาง ระยะทางจากเมืองหลวงไปยังเมืองบ้านเกิดของอดีตอัครเสนาบดีหวังนั้นไกลพอสมควร ดังนั้นการตรวจขบวนเดินทางให้เรียบร้อยจึงสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ขบวนเดินทางค่อนข้างใหญ่มีข้าวของมากมายอาจจะทำให้การเดินทางล้าช้าไปบ้าง ไป๋ฮ่าวเทียนจึงคิดว่ากำลังคนที่เตรียมมาในครั้งนี้ไม่น่าจะพอ

"นายหญิงแน่ใจแล้วหรือขอรับว่าจะไม่เรียกคนมาเพิ่ม จากที่ตรวจดูรายชื่อสมบัติและมูลค่าของที่ต้องคุ้มกันค่อนข้างสูงอยู่นะขอรับ" ไป๋ฮ่าวเทียนกล่าว

ไป๋ฮ่าวเทียนเคยนำขบวนคุ้มกันด้วยตนเองมาก่อน จากประสบการณ์ของเขาแล้วขบวนยาวถึงเพียงนี้ใช้คนคุ้มกันเพียงแค่สามสิบคนถือว่าน้อยเกินไป เพราะทุกครั้งที่เขาออกเดินทางหากว่าไม่ได้ไปกับนายท่านและคุณชายแล้วละก็จะต้องมีพรรคพวกไปด้วยไม่ต่ำกว่าห้าสิบคน ครั้งนี้เป็นการนำขบวนครั้งแรกของนายหญิงดังนั้นเขาจึงเป็นห่วงอยู่ไม่น้อย

แต่สำหรับหลี่รุ่ยหลินแล้วนางไม่ได้คิดว่าจำนวนคนเป็นสิ่งสำคัญ ฝีมือต่างหากที่สำคัญกว่า ต่อให้มีคนมากมายหากฝีมือไม่ดีไฉนเลยจะต้านทานพวกโจรได้

"พี่ฮ่าวเทียน ที่เราคัดมาล้วนเป็นยอดฝีมือของสำนักทั้งนั้น ท่านไม่ต้องเป็นกังวลไปหรอก อีกอย่างพี่น้องของพวกเราที่เหลือต่างก็มีหน้าที่อื่นที่ต้องทำ ข้าจำเป็นต้องจัดสรรคนให้เหมาะสม" หลี่รุ่ยหลินกล่าว

"ขอรับนายหญิง" ไป๋ฮ่าวเทียนรับคำ

ทั้งขบวนเริ่มออกเดินทาง ด้านหน้ามีหลี่รุ่ยหลินควบม้านำขบวนไป ส่วนด้านข้างมีไป๋ฮ่าวเทียนกับผู้ช่วยอีกหนึ่งคนขี่ม้าขนาบกันคนละข้าง พี่น้องสำนักคุ้มภัยอีกยีสิบแปดคนเดินเท้าขนาบสองข้างขบวนเช่นกัน ส่วนสองพ่อลูกสกุลหวังนั่งอยู่ในรถม้าคันหน้าสุด ส่วนรถม้าอีกห้าคันนั้นสำหรับขนข้าวของของพวกเขา และรถม้าคันสุดท้ายคือเสบียงทั้งหมดและข้าวของจำเป็นของคณะเดินทาง นอกจากนี้แล้วยังมีบ่าวรับใช้จากจวนอัครเสนาบดีอีกราวสิบกว่าคนติดตามมาด้วย

พวกเขาผ่านด่านตรวจประตูเมืองทางทิศตะวันออกกันอย่างราบรื่น เหล่าทหารยามที่เฝ้าประตูต่างกล่าวลาอดีตอัครเสานาบดีของพวกเขาอย่างซาบซึ้ง ทั้งยังจัดข้าวของเพื่ออำนวยความสะดวกให้อีกจำนวนหนึ่ง เมื่อพ้นประตูเมืองออกมาแล้วอัครเสนาบดีหวังก็ทอดถอนใจออกมา

"ไม่รู้ว่าต่อไปบ้านเมืองจะเป็นเช่นไร พวกที่อยู่ในราชสำนักจะค้ำจุนแคว้นของเราต่อไปได้นานเพียงใดกัน" อัครเสนาบดีหวังกล่าว 

บุตรชายของเขาเข้าใจความรู้สึกของบิดาดี ผู้ที่ทำงานรับใช้ราชสำนักมาตลอดชีวิตมาวันหนึ่งกลับต้องปล่อยวางทุกอย่างทั้งที่ยังเป็นห่วงอยู่นั้นย่อมมีความทุกข์ใจเป็นธรรมดา แต่จะทำอย่างไรได้ในเมื่อเป็นชะตาของบิดาเขาแล้ว บางทีที่บิดาของเขาตัดสินใจทำเช่นนี้อาจจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้วก็เป็นได้

"ท่านพ่ออย่าได้เป็นกังวลไป ข้ามั่นใจว่าเมื่อถึงโอกาสของขุนนางรุ่นใหม่บ้านเมืองย่อมจะดีขึ้นแน่น่อน อย่างน้อยก็มีข้าคนหนึ่งที่จะไม่ปล่อยให้ราชสำนักเน่าเฟะเช่นนี้ต่อไปเป็นแน่" หวังข่ายกล่าวปลอบ

อัครเสนาบดีหวังพยักหน้าเล็กน้อย "ถ้าอย่างนั้นพ่อก็ต้องฝากความหวังไว้กับคนรุ่นเจ้าแล้ว"

การเดินทางวันแรกไม่ได้มีปัญหาอะไรเนื่องจากยังไม่ได้ออกมาไกลจากเมืองหลวงมาก พวกเขาเดินทางมาจนถึงอำเภอเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในเวลาพลบค่ำพอดีจึงตัดสินใจที่จะพักค้างแรมกันที่นี่ อำเภอนี้ชื่อว่าอำเภอเจี้ยนสุ่ยเป็นส่วนหนึ่งของเมืองซูโจว ทว่าตัวอำเภอเองกลับไม่ค่อยเจริญเท่าไรนักเนื่องจากเป็นพื้นที่ที่ไม่มีแม่น้ำไหลผ่านมีเพียงแค่น้ำบาดาลที่ชาวเมืองขุดขึ้นมาใช้เท่านั้นทำให้การเพราะปลูกเป็นไปค่อนข้างยาก คนที่นี่จึงไม่ค่อยมีผลผลิตออกมาขาย ที่ปลูกได้ส่วนใหญ่แค่กินกันในครัวเรือนก็หมดแล้ว

ในเมืองมีโรงเตี้ยมเพียงแห่งเดียวเป็นโรงเตี้ยมเล็ก ๆ ไม่เพียงพอให้ทั้งคณะเดินทางเข้าพักได้ทั้งหมด ดังนั้นจึงมีเพียงแค่หลี่รุ่ยหลินกับอัครเสนาบดีหวังและบุตรชายเท่านั้นที่เข้าพักในโรงเตี้ยม ส่วนคนอื่น ๆ ตั้งค่ายกันอยู่ที่ด้านหลังคอยเฝ้าของ

พวกสำนักคุ้มภัยทำอาหารกินกันอย่างง่าย ๆ หลี่รุ่ยหลินเองก็มานั่งกินกับพวกเขาด้วย นางเป็นนายหญิงที่ไม่ถือตัวและปฏิบัติต่อพี่น้องในสำนักอย่างเท่าเทียมกัน ถึงแม้ว่าทุกคนในสำนักจะพยายามดูแลนางอย่างดีไม่ให้ลำบากเลยก็ตามแต่นางพูดกับพวกเขาเสมอว่านางไม่ใช่หญิงสาวบอบบางที่ทนความลำบากไม่ได้ มิเช่นนั้นแล้วจะมาเป็นหัวหน้าสำนักคุ้มภัยได้อย่างไร

"นายหญิง แผ่นแป้งกับน้ำแกงไก่ตุ๋นขอรับ" ไป๋ฮ่าวเทียนส่งแผ่นแป้งหนึ่งแผ่นกับน้ำแกงไก่หนึ่งถ้วยให้นาง ก่อนจะถามอีกว่า "คืนนี้พวกเราพักกันที่โรงเตี้ยมนายหญิงกินอาหารของโรงเตี้ยมไม่ดีกว่าหรือขอรับ"

หลี่รุ่ยหลินยิ้มให้ไป๋ฮ่าวเทียนทั้งยังส่ายศีรษะไปด้วย "พี่ฮ่าวเทียน ที่ข้าเลือกทำเช่นนี้เพราะว่าอยากจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวพี่น้องของพวกเราทุกคน ไม่อยากให้รู้สึกว่าแบ่งแยกนายบ่าว พวกท่านกินอะไรข้ากินอันนั้น หากว่าท่านกินแล้วอร่อยข้าก็อร่อยเช่นกัน" 

"นายหญิงเข้าใจพวกเราที่สุด ไม่มีที่ใดดีไปกว่าสำนักคุ้มภัยต้าอันฉวนอีกแล้ว" คนอื่น ๆ ต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกัน

ขณะที่พี่น้องต้าอันฉวนกินข้าวรอบกองไฟกันอยู่ข้างนอกนั้น อัครเสนาบดีหวังและบุตรชายที่กำลังกินอาหารที่ทางโรงเตี้ยมจัดให้อยู่ก็มองออกมา สายตาของอัครเสนาบดีหวังมองหญิงสาวที่เป็นหัวหน้าสำนักด้วยสายตาที่ชื่นชม ส่วนหวังข่ายนั้นเมื่อเห็นหลี่รุ่ยหลินร่วมกินอาหารกับพี่น้องในสำนักอย่างไม่แบ่งแยกนายบ่าวเช่นนี้ก็คิดว่านี่คงจะเป็นข้อดีที่นางพอจะมีอยู่บ้าง แต่ความใจดีมีเมตตาหาได้เกี่ยวกับฝีมือไม่ เพราะฉะนั้นเขาก็ยังคงไม่วางใจนางเช่นเดิม 

รุ่งเช้าก็พากันออกเดินทางตั้งแต่เช้าตรู่ ระยะทางต่อจากนี้กว่าจะถึงเมืองต่อไปนั้นไม่มีโรงเตี้ยมให้พักแล้ว หลี่รุ่ยหลินจึงบอกทุกคนให้เตรียมตัวให้ดีเพราะจากนี้ต่อไปหนทางจะลำบากขึ้นหลายเท่า ไหนจะสภาพอากาศที่เริ่มหนาวเย็นขึ้นมาเรื่อย ๆ เพราะเข้าต้นฤดูเหมันต์มันต์แล้ว ที่นางเป็นห่วงมากที่สุดหาใช่พี่น้องชาวต้าอันฉวนไม่เพราะคนเหล่านี้ได้รับการฝึกร่างกายมาอย่างดี ที่น่าเป็นห่วงก็คืออดีตอัครเสนาบดีที่อายุมากแล้วกับคุณชายหน้าขาวเย่อหยิ่งที่เป็นลูกค้าของนางต่างหาก 

พี่น้องต้าอันฉวนเอาเสื้อคลุมกันหนาวออกมาใส่ ส่วนพวกบ่าวรับใช้ที่ตามมาด้วยนั้นก็ใส่เสื้อผ้าเพิ่มอีกหนึ่งชั้น สองพ่อลูกในรถม้าหลี่รุ่ยหลินก็ให้คนจัดหาผ้าห่มกับเตาผิงเล็กสำหรับอุ่นมือให้คนละอัน

"เรียบร้อยแล้วหรือไม่" หลี่รุ่ยหลินตะโกนถามทุกคน

"เรียบร้อยแล้วขอรับนายหญิง" ทุกคนตอบกลับมาแทบจะพร้อมกัน

หวังข่ายเมื่อเห็นว่านางจัดการงานได้อย่างคล่องแคล่วก็เริ่มเปิดใจมองนางในแง่ดีขึ้น อย่างน้อยนางก็ยังเป็นหัวหน้าสำนักที่มีความรับผิดชอบที่ดีอยู่

แต่กลับกลายเป็นว่าเป็นหลี่รุ่ยหลินที่มองเขาในแง่ร้าย นางคิดว่าคุณชายเย่อหยิ่งทั้งยังเคยมีชีวิตที่สุขสบายอย่างเขาคงทนความลำบากที่จะเกิดขึ้นต่อไปไม่ไหวเป็นแน่ ในขณะที่ขี่ม้านำขบวนไปก็บ่นเรื่องเขาให้ไป๋ฮ่าวเทียนฟังไปด้วย

"คุณชายหวังนี่ตามมาด้วยทำไมก็ไม่รู้ อยู่ที่จวนสบาย ๆ ก็ดีแล้วแท้ ๆ จะตามมาให้ลำบากทำไม ดูท่าทางเขาแล้วไม่น่าจะมีวรยุทธ์ด้วย มาเป็นภาระชัด ๆ" หลี่รุ่ยหลินกล่าว

"นายหญิง…พวกเราไม่มีสิทธิ์บ่นลูกค้านะขอรับ ไม่ว่าคุณชายหวังจะมีวรยุทธ์หรือไม่อย่างไรเราก็ต้องคุ้มครองเขา อีกอย่างเขาคงทำใจที่จะจากบิดาเป็นเวลานานไม่กระมังถึงได้ตามมาส่งด้วย" ไป๋ฮ่าวเทียนพยายามพูดให้ดูมีเหตุผลมากที่สุด เพื่อที่อย่างน้อยก็จะได้ไม่ขัดใจนายหญิงและไม่เป็นการว่าร้ายลูกค้าด้วย

หลี่รุ่ยหลินฟังแล้วก็ทำหน้าตาบู้บี้ให้ไป๋ฮ่าวเทียน "พี่ฮ่าวเทียน ท่านน่ะไม่รู้อะไร เมื่อวานนี้ตอนที่ข้าไปทักทายเขากับท่านอัครเสนาบดีหวัง เขาพูดจาราวกับว่าไม่วางใจข้าที่นำขบวนคุ้มภัยในครั้งนี้ เขาดูถูกฝีมือข้าชัด ๆ ข้าละอยากจะรู้เสียจริงว่าหากข้ากับเขาประลองกันผู้ใดจะชนะ แต่ข้ามั่นใจว่าต้องเป็นข้าอยู่แล้ว"

"นายหญิง…พวกเราเลิกคุยเรื่องนี้กันเถอะขอรับ เกรงว่าหากพวกเขาได้ยินเข้าจะไม่พอใจ เดี๋ยวจะเสียลูกค้าอีก ตอนนี้กิจการของพวกเรายิ่ง ๆ แย่อยู่ รักษาลูกค้าที่มีอยู่น้อยนิดไว้ย่อมดีกว่า" ไป๋ฮ่าวเทียนว่า

"ก็จริงของท่าน ครั้งนี้ข้าจะยอมให้เขาไปก่อนก็แล้วกัน" หลี่รุ่ยหลินกล่าว

ขบวนเดินทางมุ่งหน้าไปยังทิศตะวันตก พวกเขาไม่ได้เร่งรีบเดินทางเร็วนักเพราะอัครเสนาบดีหวังก็ชราแล้วเกรงว่าจะเหนื่อยเกินไป การเดินทางแบบนี้ก็ดีเหมือนกันทำให้ทุกคนได้เก็บออมแรงเอาไว้มากหน่อย หลี่รุ่ยหลินรู้สึกเหมือนว่าตนเองได้มาเที่ยวเพราะทิวทัศน์สองข้างทางนั้นงดงามยิ่งทำให้ทำงานได้อย่างมีความสุข แต่นางหารู้ไม่ว่ามีสายตาคู่หนึ่งจากในรถม้าจับจ้องมองนางอยู่แทบจะตลอดเวลา

Related chapter

Latest chapter

DMCA.com Protection Status