บทที่สี่
ประเดิมงานแรก
เมื่อสองพ่อลูกขึ้นรถม้าไปแล้วหลีรุ่ยหลินกับไป๋ฮ่าวเทียนหัวหน้าหน่วยย่อยของสำนักคุ้มภัยก็เดินตรวจตราขบวนเดินทาง ระยะทางจากเมืองหลวงไปยังเมืองบ้านเกิดของอดีตอัครเสนาบดีหวังนั้นไกลพอสมควร ดังนั้นการตรวจขบวนเดินทางให้เรียบร้อยจึงสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ขบวนเดินทางค่อนข้างใหญ่มีข้าวของมากมายอาจจะทำให้การเดินทางล้าช้าไปบ้าง ไป๋ฮ่าวเทียนจึงคิดว่ากำลังคนที่เตรียมมาในครั้งนี้ไม่น่าจะพอ
"นายหญิงแน่ใจแล้วหรือขอรับว่าจะไม่เรียกคนมาเพิ่ม จากที่ตรวจดูรายชื่อสมบัติและมูลค่าของที่ต้องคุ้มกันค่อนข้างสูงอยู่นะขอรับ" ไป๋ฮ่าวเทียนกล่าว
ไป๋ฮ่าวเทียนเคยนำขบวนคุ้มกันด้วยตนเองมาก่อน จากประสบการณ์ของเขาแล้วขบวนยาวถึงเพียงนี้ใช้คนคุ้มกันเพียงแค่สามสิบคนถือว่าน้อยเกินไป เพราะทุกครั้งที่เขาออกเดินทางหากว่าไม่ได้ไปกับนายท่านและคุณชายแล้วละก็จะต้องมีพรรคพวกไปด้วยไม่ต่ำกว่าห้าสิบคน ครั้งนี้เป็นการนำขบวนครั้งแรกของนายหญิงดังนั้นเขาจึงเป็นห่วงอยู่ไม่น้อย
แต่สำหรับหลี่รุ่ยหลินแล้วนางไม่ได้คิดว่าจำนวนคนเป็นสิ่งสำคัญ ฝีมือต่างหากที่สำคัญกว่า ต่อให้มีคนมากมายหากฝีมือไม่ดีไฉนเลยจะต้านทานพวกโจรได้
"พี่ฮ่าวเทียน ที่เราคัดมาล้วนเป็นยอดฝีมือของสำนักทั้งนั้น ท่านไม่ต้องเป็นกังวลไปหรอก อีกอย่างพี่น้องของพวกเราที่เหลือต่างก็มีหน้าที่อื่นที่ต้องทำ ข้าจำเป็นต้องจัดสรรคนให้เหมาะสม" หลี่รุ่ยหลินกล่าว
"ขอรับนายหญิง" ไป๋ฮ่าวเทียนรับคำ
ทั้งขบวนเริ่มออกเดินทาง ด้านหน้ามีหลี่รุ่ยหลินควบม้านำขบวนไป ส่วนด้านข้างมีไป๋ฮ่าวเทียนกับผู้ช่วยอีกหนึ่งคนขี่ม้าขนาบกันคนละข้าง พี่น้องสำนักคุ้มภัยอีกยีสิบแปดคนเดินเท้าขนาบสองข้างขบวนเช่นกัน ส่วนสองพ่อลูกสกุลหวังนั่งอยู่ในรถม้าคันหน้าสุด ส่วนรถม้าอีกห้าคันนั้นสำหรับขนข้าวของของพวกเขา และรถม้าคันสุดท้ายคือเสบียงทั้งหมดและข้าวของจำเป็นของคณะเดินทาง นอกจากนี้แล้วยังมีบ่าวรับใช้จากจวนอัครเสนาบดีอีกราวสิบกว่าคนติดตามมาด้วย
พวกเขาผ่านด่านตรวจประตูเมืองทางทิศตะวันออกกันอย่างราบรื่น เหล่าทหารยามที่เฝ้าประตูต่างกล่าวลาอดีตอัครเสานาบดีของพวกเขาอย่างซาบซึ้ง ทั้งยังจัดข้าวของเพื่ออำนวยความสะดวกให้อีกจำนวนหนึ่ง เมื่อพ้นประตูเมืองออกมาแล้วอัครเสนาบดีหวังก็ทอดถอนใจออกมา
"ไม่รู้ว่าต่อไปบ้านเมืองจะเป็นเช่นไร พวกที่อยู่ในราชสำนักจะค้ำจุนแคว้นของเราต่อไปได้นานเพียงใดกัน" อัครเสนาบดีหวังกล่าว
บุตรชายของเขาเข้าใจความรู้สึกของบิดาดี ผู้ที่ทำงานรับใช้ราชสำนักมาตลอดชีวิตมาวันหนึ่งกลับต้องปล่อยวางทุกอย่างทั้งที่ยังเป็นห่วงอยู่นั้นย่อมมีความทุกข์ใจเป็นธรรมดา แต่จะทำอย่างไรได้ในเมื่อเป็นชะตาของบิดาเขาแล้ว บางทีที่บิดาของเขาตัดสินใจทำเช่นนี้อาจจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้วก็เป็นได้
"ท่านพ่ออย่าได้เป็นกังวลไป ข้ามั่นใจว่าเมื่อถึงโอกาสของขุนนางรุ่นใหม่บ้านเมืองย่อมจะดีขึ้นแน่น่อน อย่างน้อยก็มีข้าคนหนึ่งที่จะไม่ปล่อยให้ราชสำนักเน่าเฟะเช่นนี้ต่อไปเป็นแน่" หวังข่ายกล่าวปลอบ
อัครเสนาบดีหวังพยักหน้าเล็กน้อย "ถ้าอย่างนั้นพ่อก็ต้องฝากความหวังไว้กับคนรุ่นเจ้าแล้ว"
การเดินทางวันแรกไม่ได้มีปัญหาอะไรเนื่องจากยังไม่ได้ออกมาไกลจากเมืองหลวงมาก พวกเขาเดินทางมาจนถึงอำเภอเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในเวลาพลบค่ำพอดีจึงตัดสินใจที่จะพักค้างแรมกันที่นี่ อำเภอนี้ชื่อว่าอำเภอเจี้ยนสุ่ยเป็นส่วนหนึ่งของเมืองซูโจว ทว่าตัวอำเภอเองกลับไม่ค่อยเจริญเท่าไรนักเนื่องจากเป็นพื้นที่ที่ไม่มีแม่น้ำไหลผ่านมีเพียงแค่น้ำบาดาลที่ชาวเมืองขุดขึ้นมาใช้เท่านั้นทำให้การเพราะปลูกเป็นไปค่อนข้างยาก คนที่นี่จึงไม่ค่อยมีผลผลิตออกมาขาย ที่ปลูกได้ส่วนใหญ่แค่กินกันในครัวเรือนก็หมดแล้ว
ในเมืองมีโรงเตี้ยมเพียงแห่งเดียวเป็นโรงเตี้ยมเล็ก ๆ ไม่เพียงพอให้ทั้งคณะเดินทางเข้าพักได้ทั้งหมด ดังนั้นจึงมีเพียงแค่หลี่รุ่ยหลินกับอัครเสนาบดีหวังและบุตรชายเท่านั้นที่เข้าพักในโรงเตี้ยม ส่วนคนอื่น ๆ ตั้งค่ายกันอยู่ที่ด้านหลังคอยเฝ้าของ
พวกสำนักคุ้มภัยทำอาหารกินกันอย่างง่าย ๆ หลี่รุ่ยหลินเองก็มานั่งกินกับพวกเขาด้วย นางเป็นนายหญิงที่ไม่ถือตัวและปฏิบัติต่อพี่น้องในสำนักอย่างเท่าเทียมกัน ถึงแม้ว่าทุกคนในสำนักจะพยายามดูแลนางอย่างดีไม่ให้ลำบากเลยก็ตามแต่นางพูดกับพวกเขาเสมอว่านางไม่ใช่หญิงสาวบอบบางที่ทนความลำบากไม่ได้ มิเช่นนั้นแล้วจะมาเป็นหัวหน้าสำนักคุ้มภัยได้อย่างไร
"นายหญิง แผ่นแป้งกับน้ำแกงไก่ตุ๋นขอรับ" ไป๋ฮ่าวเทียนส่งแผ่นแป้งหนึ่งแผ่นกับน้ำแกงไก่หนึ่งถ้วยให้นาง ก่อนจะถามอีกว่า "คืนนี้พวกเราพักกันที่โรงเตี้ยมนายหญิงกินอาหารของโรงเตี้ยมไม่ดีกว่าหรือขอรับ"
หลี่รุ่ยหลินยิ้มให้ไป๋ฮ่าวเทียนทั้งยังส่ายศีรษะไปด้วย "พี่ฮ่าวเทียน ที่ข้าเลือกทำเช่นนี้เพราะว่าอยากจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวพี่น้องของพวกเราทุกคน ไม่อยากให้รู้สึกว่าแบ่งแยกนายบ่าว พวกท่านกินอะไรข้ากินอันนั้น หากว่าท่านกินแล้วอร่อยข้าก็อร่อยเช่นกัน"
"นายหญิงเข้าใจพวกเราที่สุด ไม่มีที่ใดดีไปกว่าสำนักคุ้มภัยต้าอันฉวนอีกแล้ว" คนอื่น ๆ ต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกัน
ขณะที่พี่น้องต้าอันฉวนกินข้าวรอบกองไฟกันอยู่ข้างนอกนั้น อัครเสนาบดีหวังและบุตรชายที่กำลังกินอาหารที่ทางโรงเตี้ยมจัดให้อยู่ก็มองออกมา สายตาของอัครเสนาบดีหวังมองหญิงสาวที่เป็นหัวหน้าสำนักด้วยสายตาที่ชื่นชม ส่วนหวังข่ายนั้นเมื่อเห็นหลี่รุ่ยหลินร่วมกินอาหารกับพี่น้องในสำนักอย่างไม่แบ่งแยกนายบ่าวเช่นนี้ก็คิดว่านี่คงจะเป็นข้อดีที่นางพอจะมีอยู่บ้าง แต่ความใจดีมีเมตตาหาได้เกี่ยวกับฝีมือไม่ เพราะฉะนั้นเขาก็ยังคงไม่วางใจนางเช่นเดิม
รุ่งเช้าก็พากันออกเดินทางตั้งแต่เช้าตรู่ ระยะทางต่อจากนี้กว่าจะถึงเมืองต่อไปนั้นไม่มีโรงเตี้ยมให้พักแล้ว หลี่รุ่ยหลินจึงบอกทุกคนให้เตรียมตัวให้ดีเพราะจากนี้ต่อไปหนทางจะลำบากขึ้นหลายเท่า ไหนจะสภาพอากาศที่เริ่มหนาวเย็นขึ้นมาเรื่อย ๆ เพราะเข้าต้นฤดูเหมันต์มันต์แล้ว ที่นางเป็นห่วงมากที่สุดหาใช่พี่น้องชาวต้าอันฉวนไม่เพราะคนเหล่านี้ได้รับการฝึกร่างกายมาอย่างดี ที่น่าเป็นห่วงก็คืออดีตอัครเสนาบดีที่อายุมากแล้วกับคุณชายหน้าขาวเย่อหยิ่งที่เป็นลูกค้าของนางต่างหาก
พี่น้องต้าอันฉวนเอาเสื้อคลุมกันหนาวออกมาใส่ ส่วนพวกบ่าวรับใช้ที่ตามมาด้วยนั้นก็ใส่เสื้อผ้าเพิ่มอีกหนึ่งชั้น สองพ่อลูกในรถม้าหลี่รุ่ยหลินก็ให้คนจัดหาผ้าห่มกับเตาผิงเล็กสำหรับอุ่นมือให้คนละอัน
"เรียบร้อยแล้วหรือไม่" หลี่รุ่ยหลินตะโกนถามทุกคน
"เรียบร้อยแล้วขอรับนายหญิง" ทุกคนตอบกลับมาแทบจะพร้อมกัน
หวังข่ายเมื่อเห็นว่านางจัดการงานได้อย่างคล่องแคล่วก็เริ่มเปิดใจมองนางในแง่ดีขึ้น อย่างน้อยนางก็ยังเป็นหัวหน้าสำนักที่มีความรับผิดชอบที่ดีอยู่
แต่กลับกลายเป็นว่าเป็นหลี่รุ่ยหลินที่มองเขาในแง่ร้าย นางคิดว่าคุณชายเย่อหยิ่งทั้งยังเคยมีชีวิตที่สุขสบายอย่างเขาคงทนความลำบากที่จะเกิดขึ้นต่อไปไม่ไหวเป็นแน่ ในขณะที่ขี่ม้านำขบวนไปก็บ่นเรื่องเขาให้ไป๋ฮ่าวเทียนฟังไปด้วย
"คุณชายหวังนี่ตามมาด้วยทำไมก็ไม่รู้ อยู่ที่จวนสบาย ๆ ก็ดีแล้วแท้ ๆ จะตามมาให้ลำบากทำไม ดูท่าทางเขาแล้วไม่น่าจะมีวรยุทธ์ด้วย มาเป็นภาระชัด ๆ" หลี่รุ่ยหลินกล่าว
"นายหญิง…พวกเราไม่มีสิทธิ์บ่นลูกค้านะขอรับ ไม่ว่าคุณชายหวังจะมีวรยุทธ์หรือไม่อย่างไรเราก็ต้องคุ้มครองเขา อีกอย่างเขาคงทำใจที่จะจากบิดาเป็นเวลานานไม่กระมังถึงได้ตามมาส่งด้วย" ไป๋ฮ่าวเทียนพยายามพูดให้ดูมีเหตุผลมากที่สุด เพื่อที่อย่างน้อยก็จะได้ไม่ขัดใจนายหญิงและไม่เป็นการว่าร้ายลูกค้าด้วย
หลี่รุ่ยหลินฟังแล้วก็ทำหน้าตาบู้บี้ให้ไป๋ฮ่าวเทียน "พี่ฮ่าวเทียน ท่านน่ะไม่รู้อะไร เมื่อวานนี้ตอนที่ข้าไปทักทายเขากับท่านอัครเสนาบดีหวัง เขาพูดจาราวกับว่าไม่วางใจข้าที่นำขบวนคุ้มภัยในครั้งนี้ เขาดูถูกฝีมือข้าชัด ๆ ข้าละอยากจะรู้เสียจริงว่าหากข้ากับเขาประลองกันผู้ใดจะชนะ แต่ข้ามั่นใจว่าต้องเป็นข้าอยู่แล้ว"
"นายหญิง…พวกเราเลิกคุยเรื่องนี้กันเถอะขอรับ เกรงว่าหากพวกเขาได้ยินเข้าจะไม่พอใจ เดี๋ยวจะเสียลูกค้าอีก ตอนนี้กิจการของพวกเรายิ่ง ๆ แย่อยู่ รักษาลูกค้าที่มีอยู่น้อยนิดไว้ย่อมดีกว่า" ไป๋ฮ่าวเทียนว่า
"ก็จริงของท่าน ครั้งนี้ข้าจะยอมให้เขาไปก่อนก็แล้วกัน" หลี่รุ่ยหลินกล่าว
ขบวนเดินทางมุ่งหน้าไปยังทิศตะวันตก พวกเขาไม่ได้เร่งรีบเดินทางเร็วนักเพราะอัครเสนาบดีหวังก็ชราแล้วเกรงว่าจะเหนื่อยเกินไป การเดินทางแบบนี้ก็ดีเหมือนกันทำให้ทุกคนได้เก็บออมแรงเอาไว้มากหน่อย หลี่รุ่ยหลินรู้สึกเหมือนว่าตนเองได้มาเที่ยวเพราะทิวทัศน์สองข้างทางนั้นงดงามยิ่งทำให้ทำงานได้อย่างมีความสุข แต่นางหารู้ไม่ว่ามีสายตาคู่หนึ่งจากในรถม้าจับจ้องมองนางอยู่แทบจะตลอดเวลา
บทที่ห้าน้ำใจจากคุณชายหน้าขาว จุดหมายต่อไปที่พวกเขาจะเดินทางไปก็คือเมื่องเอี๋ยนเสียง แต่กว่าจะถึงเมืองเอี๋ยนเสียงนั้นยังคงต้องนอนในในป่ากันอีกราว ๆ สองคืนหากว่าเดินทางเร็ว แต่เท่าที่คาดการณ์แล้วคงเดินทางเร็วเกินไปไม่ได้เพราะท่านผู้เฒ่าหวังอดีตอัครเสนาบดีนั้นเริ่มชราแล้ว ระหว่างที่เดินทางสามวันสามคืนในป่านั้นทุกอย่างก็ปกติดี อัครเสานบดีหวังเองก็ไม่ได้อ่อนแออย่างที่คิด เขายังเดินเหินไปมาได้สะดวกทั้งยังใจดีทำอาหารแจกจ่ายให้กับบ่าวรับใช้และคนของสำนักคุ้มภัยด้วย หลี่รุ่ยหลินเองก็ไม่คิดว่าเขาจะเป็นคนดีถึงเพียงนี้ น่าเสียดายที่ราชสำนักไม่เห็นค่าคนดี ๆ เช่นเขา ส่วนคุณชายหน้าขาวนั้นก็หาได้เป็นภาระอะไรไม่ ผิดกับที่หลี่รุ่ยหลินคาดการณ
บทที่หกคิดจะลองดีกับต้าอันฉวนอย่างนั้นหรือพวกเขาออกจากเมืองเอี๋ยนเสียงในตอนเช้ามุ่งหน้าเข้าสู่เขตของเทือกเขาเถาซานซึ่งมีระยะทางยาวราวสามร้อยลี้ คณะเดินทางจะต้องพักแรมกันในเทือกเขาแห่งนี้ราวเจ็ดถึงสิบวันขึ้นอยู่กับความรวดเร็วในการเดินทาง ถนนหนทางในหุบเขาค่อนข้างจะลำบาก ไหนอาจจะมีเหตุที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นอีก ระยะทางต่อจากนี้เป็นช่วงที่อันตรายยิ่ง เพราะต้องเดินทางผ่านหุบเขาอันคดเคี้ยว จากนั้นก็พื้นที่ป่าไม่สะดวกสบายเหมือนเส้นทางที่ผ่านมา ไหนจะลมหนาวที่หนาวเย็นมากขึ้น หมอกที่ปกคลุมอยู่ตลอดทั้งวัน และพื้นที่ช่วงนี้เป็นช่วงที่ต้องระวังความปลอดภัยมากที่สุดเพราะเกิดการดักปล้นชิงกันอยู่บ่อยครั้ง ระหว่างที่เดินทางนั้นหลี่รุ่ยหลินกับหวังข่ายมองกันไปมาด้วยสายตาที่ไม่ค่อยพอใจนัก
บทที่เจ็ดการต่อสู้ที่ดุเดือด ในยุคที่บ้านเมืองแตกแยกและอยู่ในสภาวะระส่ำระสาย การปล้นชิงทรัพย์สินเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง ไม่ว่าจะเป็นในเมืองใหญ่หรือตามชนบท ราษฎรที่อดอยากและยากจนก็มักจะหันมาใช้วิธีการนี้ในการเลี้ยงชีพ ด้วยสภาพที่แทบจะเรียกได้ว่าล่มสลายและความขัดแย้งที่ปะทุขึ้นเรื่อยๆ ระหว่างกลุ่มอำนาจต่างๆ ในราชสำนัก ทำให้บ้านเมืองเข้าสู่ยุคมืดที่ไร้ซึ่งความมีศีลธรรมที่ราชสำนักเมื่อตระหนักถึงความอ่อนแอและการทุจริตในหมู่ขุนนาง ผู้มีอำนาจกลับใช้โอกาสนี้ในการกอบโกยทรัพย์สินและอำนาจ ทำให้ราชวงศ์ค่อยๆ สูญเสียความน่าเชื่อถือและอำนาจในการปกครองอัครเสนาบดีหวังซึ่งเคยเป็นเสาหลักในการบริหารแผ่นดิน ยืนหยัดทำหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์และมุ่งมั่นมาตลอดชีวิต แต่เมื่อเวลาผ่านไปเขาก็เริ่มรู้สึกถึงการเป
บทที่แปดออกเดินทางต่อ หลังจากการต่อสู้ที่ดุเดือดและยาวนานจบลง ความเงียบสงัดก็เข้ามาปกคลุมแทนที่ เสียงหอบหายใจของเหล่าพี่น้องสำนักคุ้มภัยดังขึ้นท่ามกลางบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า พวกเขายืนอยู่ท่ามกลางซากศพของพวกโจรที่ถูกกำจัดจนหมดสิ้นไม่มีผู้ใดเหลือรอดจากการปะทะครั้งนี้หลี่รุ่ยหลินมองไปรอบๆ นางเห็นพี่น้องสำนักคุ้มภัยหลายคนได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้ แต่ก็เป็นเพียงบาดแผลเล็กน้อยเท่านั้นไม่ได้เป็นอันตรายถึงชีวิต ทุกคนต่างเหนื่อยล้าจากการสู้รบแต่ยังคงยืนหยัดอยู่ได้ด้วยพลังใจที่เข้มแข็ง“พี่น้องต้าอันฉวน การต่อสู้จบลงแล้ว” หลี่รุ่ยหลินกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความภูมิใจแต่ก็ยังมีความรู้สึกเหนื่อยล้าแสดงออกมาให้เห็นจากน้ำเสียงนั้นพี่น้องสำนักคุ้มภัยต่างพยั
บทที่เก้าจบงาน ณ เมืองเสวียนเทียนค่ำคืนนี้เมืองเสวียนเทียนถูกปกคลุมด้วยบรรยากาศที่คึกคักและอบอุ่น หลังจากที่พวกเขาเดินทางมาอย่างยาวนานในที่สุดก็ได้มาถึงเมืองที่เป็นบ้านเกิดของอดีตอัครเสนาบดีเสียที เมืองชายแดนอันเงียบสงบล้อมรอบไปด้วยภูเขาและป่าไม้เมื่อคณะของหลี่รุ่ยหลินเดินทางเข้ามาในเมืองทุกอย่างก็เป็นไปอย่างราบรื่น พวกชาวเมืองต่างให้การต้อนรับเป็นอย่างดี พวกเขาเคารพอัครเสนาบดีหวังซึ่งเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงและทำคุณประโยชน์แก่แผ่นดิน เจ้าเมืองเสวียนเทียนได้จัดงานเลี้ยงต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่ขึ้น เพื่อเป็นการขอบคุณหลี่รุ่ยหลินและพี่น้องสำนักคุ้มภัยที่ช่วยคุ้มกันและดูแลความปลอดภัยของอดีตอัครเสนาบดีมาตลอดการเดินทางงานเลี้ยงถูกจัดขึ้นที่จวนของเจ้าเมือง ทั้งจวนประดับประดาไปด้วยโคมไฟหลากสีและดอกไม้สดที่ถูกจัด
บทที่สิบศัตรูคู่อาฆาต การต่อสู้ดำเนินไปอย่างดุเดือด เสียงอาวุธปะทะกันดังก้องไปทั่วทั้งบริเวณ จงเหยียนมุ่งตรงเข้าหาหลี่รุ่ยหลินอย่างไม่รอช้า มันมีฝีมือที่รวดเร็วและดุดันกว่าคนอื่นๆ ที่เคยเผชิญหน้ามาก่อนทำให้หลี่รุ่ยหลินต้องโต้ตอบอย่างเต็มกำลัง แม้ว่านางจะเก่งกาจแต่จงเหยียนก็ไม่ใช่ศัตรูที่ประมือได้ง่าย หากว่ามันไม่มีฝีมือจริงก็ไม่สามารถสังหารบิดาและพี่ชายของนางได้หรอกขณะที่ทั้งสองต่อสู้กันนั้นจงเหยียนฉวยโอกาสในจังหวะที่หลี่รุ่ยหลินเผลอชักเอาขวดเล็กๆ ออกมาจากอกเสื้อ คลายจุกออกอย่างรวดเร็วแล้วสาดผงควันสีขาวนวลพุ่งเข้าหานางโดยไม่ให้ทันตั้งตัว“ควันสลบ” หลี่รุ่ยหลินรู้ทันทีว่าตนกำลังเผชิญกับอะไร นางพยายามหลบแต่ไม่ทัน ควันสีขาวปกคลุมร่างของนางในทันที เมื่อสูดเข้าไปแล้วก็ทำให้หัวเริ่มมึนงงและรู้สึ
บทที่สิบเอ็ดข้าต้องช่วยเจ้าให้ได้หวังข่ายซึ่งยืนอยู่ในมุมมืดหลังกระโจมส่งสัญญาณให้กับพี่น้องสำนักคุ้มภัยที่ซุ่มรออยู่ด้านนอก เขารู้ดีว่าการบุกเข้าไปช่วยหลี่รุ่ยหลินในครั้งนี้เป็นโอกาสสำคัญ หากพลาดไปพวกเขาอาจไม่มีโอกาสเช่นนี้อีกเมื่อพี่น้องสำนักคุ้มภัยเห็นสัญญาณจากหวังข่ายพวกเขาก็ไม่รอช้ารีบพุ่งตัวเข้าไปในค่ายของพวกโจรทันที พวกโจรที่อยู่ภายในค่ายไม่ทันได้ตั้งตัวจากการบุกโจมตีที่รวดเร็วและรุนแรง พวกมันต่างตื่นตระหนกและวิ่งหนีเป็นกันอยางแตกกระจายเพื่อหาที่หลบภัยเสียงโลหะกระทบกันดังก้องไปทั่วค่าย ความโกลาหลที่เกิดขึ้นทำให้พวกโจรที่อยู่ในค่ายตกใจและหันไปดู เมื่อเห็นพวกพ้องถูกโจมตีพวกมันก็รีบชักดาบออกมาเตรียมต่อสู้ แต่ก็สายเกินไปแล้วพวกพี่น้องสำนักคุ้มภัยที่บุกเข้ามาอย่างดุดันทำให้พวกมันไม่สามารถตั้งรับได้ทัน พวกโจรถูกฟันล้มลงทีละคนอย่างรวดเร็ว
บทที่สิบสองบังเกิดเป็นความรักหลังจากการต่อสู้ที่ยากลำบากและการเดินทางที่เต็มไปด้วยอันตรายพวกเขาก็สามารถกำจัดพวกโจรที่ก่อความเดือดร้อนได้หมดสิ้นแล้ว การเดินทางกลับไปยังเมืองหลวงจึงดำเนินไปด้วยความราบรื่นและสบายใจเมื่อเดินทางออกจาเมืองเสวียนเทียนทุกคนก็รู้สึกโล่งใจราวกับว่าพายุร้ายได้ถูกพัดหายไปแล้ว หลี่รุ่ยหลินและพี่น้องสำนักคุ้มภัยต่างก็เต็มไปด้วยความพอใจที่สามารถทำภารกิจสำเร็จ ทั้งที่เจออุปสรรคมากมาย แต่พวกเขาก็ยังคงสามารถพิชิตชัยเหนือศัตรูได้ระหว่างการเดินทางกลับสู่เมืองหลวงหวังข่ายและหลี่รุ่ยหลินเริ่มมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ความใกล้ชิดที่เริ่มงอกเงยทำให้พวกเขาเริ่มรู้จักกันมากขึ้น และการพูดคุยระหว่างของพวกเขาก็เต็มไปด้วยความเข้าใจและความไว้วางใจที่เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดแต่ละวันบนเส้นทางกลับหลี่รุ่ย
บทที่สิบห้าเต็มไปด้วยความรัก เมื่อทุกอย่างถูกจัดการเรียบร้อย หวังข่ายรู้สึกถึงความโล่งใจที่ไม่ต้องกังวลเรื่องหลิวผิงผิงอีกต่อไป แต่ด้วยความเป็นห่วงที่ยังอยูในใจกลัวว่านอกจากหลิวผิงผิงแล้วจะยังมีเรื่องอื่นมาทำให้หลี่รุ่ยหลินคนรักของเขาไม่สบายใจอีก เขาจึงได้ตัดสินใจทำสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตในช่วงเช้าของวันหนึ่งท้องฟ้าแจ่มใสและมีแสงแดดอ่อน ๆ อาบลานหน้าสำนักคุ้มภัย หวังข่ายตัดสินใจที่จะไม่รอช้าอีกต่อไป เขารู้ว่าเขาอยากจะใช้ชีวิตร่วมกับหลี่รุ่ยหลินไปตลอดและไม่ต้องการให้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาถูกชะงักอีกหวังข่ายเดินทางไปยังสำนักคุ้มภัยต้าอันฉวน เมื่อเขามาถึงบรรยากาศที่สำนักคุ้มภัยเต็มไปด้วยพี่น้องในสำนักที่ต่างกำลังฝึกซ้อมและเตรียมตัวสำหรับงานต่าง ๆ ที่พวกเขาจะต้องทำ แต่เมื่อเห็นหว
บทที่สิบสี่เจ้าแย่งเขาไปจากข้า หลิวผิงผิงกลับไปที่จวนของตัวเองด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความอิจฉาและความแค้น ความคิดที่ว่าหลี่รุ่ยหลินได้แย่งหวังข่ายไปจากนางทำให้รู้สึกโกรธเคืองจนแทบจะระงับอารมณ์ไม่อยู่ นางคิดถึงทุกสิ่งที่นางทำเพื่อพยายามเข้าหาหวังข่าย ตั้งแต่การเป็นสหายที่ดี การทำให้เขาเห็นถึงความทุ่มเทและการแสดงออกถึงความรักความเอาใจใส่ แต่ทุกอย่างก็กลับถูกทำลายลงเพราะการปรากฏตัวของหลี่รุ่ยหลินนางยืนมองตัวเองในกระจก มองรูปลักษณ์ที่งดงามและถูกอบรมมารยาทอย่างดีจากตระกูลผู้ดี ทุกคนล้วนกล่าวว่านางเป็นหญิงสาวที่เพียบพร้อม แต่เหตุใดหวังข่ายถึงไม่เห็นค่านาง เหตุใดหัวใจของเขาถึงเลือกหลี่รุ่ยหลินแทนที่จะเป็นนางความคิดนี้ยิ่งทำให้รู้สึกโกรธมากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดความคิดที่จะทำร้ายหลี่รุ่ยหลินก็เริ่มก่อตัวขึ้นใ
บทที่สิบสามความสัมพันธ์วัยเด็กไม่นาหลังจากที่หวังข่ายกลับมาเขาก็พบว่าบุตรสาวของเจ้ากรมการคลังหลิวผิงผิงมารอพบเขาเขาอยู่ที่หน้าประตูจวน เมื่อพ่อบ้านเปิดประตูให้นางก็วิ่งเข้ามาหาเขาทันทีพร้อมด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกระตือรือร้น"หวังข่าย…เจ้ากลับมาแล้ว" หลิวผิงผิงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่หวานหยดย้อยพลางยิ้มอย่างสดใส "ข้าเห็นว่าเจ้ากลับมาเหนื่อย ๆ เลยรีบมาหาทันที ข้าเตรียมอาหารไว้ให้เจ้าแล้ว""ผิงผิง…ขอบคุณที่เป็นห่วงข้า" หวังข่ายตอบกลับด้วยน้ำเสียงสุภาพ"ถ้าอย่างนั้นพวกเราไปกินข้าวกันเถอะ" หลิวผิงผิงชวน"อืม" หวังข่ายตอบรับอย่างยินดีเมื่อเห็นว่าหวังข่ายยอมรับความปรารถนาดีของนางหลิวผิงผิงก็ยิ้มอย่างปลื้มปิติ นางรีบนำเข้าไปที่ห้องรับแขกและจัดอาหารที่เต
บทที่สิบสองบังเกิดเป็นความรักหลังจากการต่อสู้ที่ยากลำบากและการเดินทางที่เต็มไปด้วยอันตรายพวกเขาก็สามารถกำจัดพวกโจรที่ก่อความเดือดร้อนได้หมดสิ้นแล้ว การเดินทางกลับไปยังเมืองหลวงจึงดำเนินไปด้วยความราบรื่นและสบายใจเมื่อเดินทางออกจาเมืองเสวียนเทียนทุกคนก็รู้สึกโล่งใจราวกับว่าพายุร้ายได้ถูกพัดหายไปแล้ว หลี่รุ่ยหลินและพี่น้องสำนักคุ้มภัยต่างก็เต็มไปด้วยความพอใจที่สามารถทำภารกิจสำเร็จ ทั้งที่เจออุปสรรคมากมาย แต่พวกเขาก็ยังคงสามารถพิชิตชัยเหนือศัตรูได้ระหว่างการเดินทางกลับสู่เมืองหลวงหวังข่ายและหลี่รุ่ยหลินเริ่มมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ความใกล้ชิดที่เริ่มงอกเงยทำให้พวกเขาเริ่มรู้จักกันมากขึ้น และการพูดคุยระหว่างของพวกเขาก็เต็มไปด้วยความเข้าใจและความไว้วางใจที่เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดแต่ละวันบนเส้นทางกลับหลี่รุ่ย
บทที่สิบเอ็ดข้าต้องช่วยเจ้าให้ได้หวังข่ายซึ่งยืนอยู่ในมุมมืดหลังกระโจมส่งสัญญาณให้กับพี่น้องสำนักคุ้มภัยที่ซุ่มรออยู่ด้านนอก เขารู้ดีว่าการบุกเข้าไปช่วยหลี่รุ่ยหลินในครั้งนี้เป็นโอกาสสำคัญ หากพลาดไปพวกเขาอาจไม่มีโอกาสเช่นนี้อีกเมื่อพี่น้องสำนักคุ้มภัยเห็นสัญญาณจากหวังข่ายพวกเขาก็ไม่รอช้ารีบพุ่งตัวเข้าไปในค่ายของพวกโจรทันที พวกโจรที่อยู่ภายในค่ายไม่ทันได้ตั้งตัวจากการบุกโจมตีที่รวดเร็วและรุนแรง พวกมันต่างตื่นตระหนกและวิ่งหนีเป็นกันอยางแตกกระจายเพื่อหาที่หลบภัยเสียงโลหะกระทบกันดังก้องไปทั่วค่าย ความโกลาหลที่เกิดขึ้นทำให้พวกโจรที่อยู่ในค่ายตกใจและหันไปดู เมื่อเห็นพวกพ้องถูกโจมตีพวกมันก็รีบชักดาบออกมาเตรียมต่อสู้ แต่ก็สายเกินไปแล้วพวกพี่น้องสำนักคุ้มภัยที่บุกเข้ามาอย่างดุดันทำให้พวกมันไม่สามารถตั้งรับได้ทัน พวกโจรถูกฟันล้มลงทีละคนอย่างรวดเร็ว
บทที่สิบศัตรูคู่อาฆาต การต่อสู้ดำเนินไปอย่างดุเดือด เสียงอาวุธปะทะกันดังก้องไปทั่วทั้งบริเวณ จงเหยียนมุ่งตรงเข้าหาหลี่รุ่ยหลินอย่างไม่รอช้า มันมีฝีมือที่รวดเร็วและดุดันกว่าคนอื่นๆ ที่เคยเผชิญหน้ามาก่อนทำให้หลี่รุ่ยหลินต้องโต้ตอบอย่างเต็มกำลัง แม้ว่านางจะเก่งกาจแต่จงเหยียนก็ไม่ใช่ศัตรูที่ประมือได้ง่าย หากว่ามันไม่มีฝีมือจริงก็ไม่สามารถสังหารบิดาและพี่ชายของนางได้หรอกขณะที่ทั้งสองต่อสู้กันนั้นจงเหยียนฉวยโอกาสในจังหวะที่หลี่รุ่ยหลินเผลอชักเอาขวดเล็กๆ ออกมาจากอกเสื้อ คลายจุกออกอย่างรวดเร็วแล้วสาดผงควันสีขาวนวลพุ่งเข้าหานางโดยไม่ให้ทันตั้งตัว“ควันสลบ” หลี่รุ่ยหลินรู้ทันทีว่าตนกำลังเผชิญกับอะไร นางพยายามหลบแต่ไม่ทัน ควันสีขาวปกคลุมร่างของนางในทันที เมื่อสูดเข้าไปแล้วก็ทำให้หัวเริ่มมึนงงและรู้สึ
บทที่เก้าจบงาน ณ เมืองเสวียนเทียนค่ำคืนนี้เมืองเสวียนเทียนถูกปกคลุมด้วยบรรยากาศที่คึกคักและอบอุ่น หลังจากที่พวกเขาเดินทางมาอย่างยาวนานในที่สุดก็ได้มาถึงเมืองที่เป็นบ้านเกิดของอดีตอัครเสนาบดีเสียที เมืองชายแดนอันเงียบสงบล้อมรอบไปด้วยภูเขาและป่าไม้เมื่อคณะของหลี่รุ่ยหลินเดินทางเข้ามาในเมืองทุกอย่างก็เป็นไปอย่างราบรื่น พวกชาวเมืองต่างให้การต้อนรับเป็นอย่างดี พวกเขาเคารพอัครเสนาบดีหวังซึ่งเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงและทำคุณประโยชน์แก่แผ่นดิน เจ้าเมืองเสวียนเทียนได้จัดงานเลี้ยงต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่ขึ้น เพื่อเป็นการขอบคุณหลี่รุ่ยหลินและพี่น้องสำนักคุ้มภัยที่ช่วยคุ้มกันและดูแลความปลอดภัยของอดีตอัครเสนาบดีมาตลอดการเดินทางงานเลี้ยงถูกจัดขึ้นที่จวนของเจ้าเมือง ทั้งจวนประดับประดาไปด้วยโคมไฟหลากสีและดอกไม้สดที่ถูกจัด
บทที่แปดออกเดินทางต่อ หลังจากการต่อสู้ที่ดุเดือดและยาวนานจบลง ความเงียบสงัดก็เข้ามาปกคลุมแทนที่ เสียงหอบหายใจของเหล่าพี่น้องสำนักคุ้มภัยดังขึ้นท่ามกลางบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า พวกเขายืนอยู่ท่ามกลางซากศพของพวกโจรที่ถูกกำจัดจนหมดสิ้นไม่มีผู้ใดเหลือรอดจากการปะทะครั้งนี้หลี่รุ่ยหลินมองไปรอบๆ นางเห็นพี่น้องสำนักคุ้มภัยหลายคนได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้ แต่ก็เป็นเพียงบาดแผลเล็กน้อยเท่านั้นไม่ได้เป็นอันตรายถึงชีวิต ทุกคนต่างเหนื่อยล้าจากการสู้รบแต่ยังคงยืนหยัดอยู่ได้ด้วยพลังใจที่เข้มแข็ง“พี่น้องต้าอันฉวน การต่อสู้จบลงแล้ว” หลี่รุ่ยหลินกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความภูมิใจแต่ก็ยังมีความรู้สึกเหนื่อยล้าแสดงออกมาให้เห็นจากน้ำเสียงนั้นพี่น้องสำนักคุ้มภัยต่างพยั
บทที่เจ็ดการต่อสู้ที่ดุเดือด ในยุคที่บ้านเมืองแตกแยกและอยู่ในสภาวะระส่ำระสาย การปล้นชิงทรัพย์สินเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง ไม่ว่าจะเป็นในเมืองใหญ่หรือตามชนบท ราษฎรที่อดอยากและยากจนก็มักจะหันมาใช้วิธีการนี้ในการเลี้ยงชีพ ด้วยสภาพที่แทบจะเรียกได้ว่าล่มสลายและความขัดแย้งที่ปะทุขึ้นเรื่อยๆ ระหว่างกลุ่มอำนาจต่างๆ ในราชสำนัก ทำให้บ้านเมืองเข้าสู่ยุคมืดที่ไร้ซึ่งความมีศีลธรรมที่ราชสำนักเมื่อตระหนักถึงความอ่อนแอและการทุจริตในหมู่ขุนนาง ผู้มีอำนาจกลับใช้โอกาสนี้ในการกอบโกยทรัพย์สินและอำนาจ ทำให้ราชวงศ์ค่อยๆ สูญเสียความน่าเชื่อถือและอำนาจในการปกครองอัครเสนาบดีหวังซึ่งเคยเป็นเสาหลักในการบริหารแผ่นดิน ยืนหยัดทำหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์และมุ่งมั่นมาตลอดชีวิต แต่เมื่อเวลาผ่านไปเขาก็เริ่มรู้สึกถึงการเป