บทที่หก
คิดจะลองดีกับต้าอันฉวนอย่างนั้นหรือ
พวกเขาออกจากเมืองเอี๋ยนเสียงในตอนเช้ามุ่งหน้าเข้าสู่เขตของเทือกเขาเถาซานซึ่งมีระยะทางยาวราวสามร้อยลี้ คณะเดินทางจะต้องพักแรมกันในเทือกเขาแห่งนี้ราวเจ็ดถึงสิบวันขึ้นอยู่กับความรวดเร็วในการเดินทาง ถนนหนทางในหุบเขาค่อนข้างจะลำบาก ไหนอาจจะมีเหตุที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นอีก
ระยะทางต่อจากนี้เป็นช่วงที่อันตรายยิ่ง เพราะต้องเดินทางผ่านหุบเขาอันคดเคี้ยว จากนั้นก็พื้นที่ป่าไม่สะดวกสบายเหมือนเส้นทางที่ผ่านมา ไหนจะลมหนาวที่หนาวเย็นมากขึ้น หมอกที่ปกคลุมอยู่ตลอดทั้งวัน และพื้นที่ช่วงนี้เป็นช่วงที่ต้องระวังความปลอดภัยมากที่สุดเพราะเกิดการดักปล้นชิงกันอยู่บ่อยครั้ง
ระหว่างที่เดินทางนั้นหลี่รุ่ยหลินกับหวังข่ายมองกันไปมาด้วยสายตาที่ไม่ค่อยพอใจนัก จนอัครเสนาบดีหวังถึงกับงุนงงว่าระหว่างพวกเขาทั้งสองนั้นเกิดอะไรขึ้น เนื่องจากเมื่อเช้าก่อนที่จะออกเดินทางหลี่รุ่ยหลินยืนยันที่จะคืนเงินค่าทวนกับค่าแจกันที่หวังข่ายจ่ายแทนนางเมื่อวาน แต่ทว่าต่อให้พูดเท่าไรเขาปฏิเสธเสียงแข็งว่าไม่รับคืนอย่างแน่นอน ในที่สุดก็กลายเป็นการทุ่มเถียงและทะเลาะกัน
"พี่ฮ่าวเทียน…อีกไกลหรือไม่กว่าจะถึงจุดพักแรมในคืนนี้" หลี่รุ่ยหลินตะโกนถามลูกน้องคนสนิทเมื่อเดินทางมาได้ครึ่งค่อนวันแล้ว
ไป๋ฮ่าวเทียนได้ยินคำถามแล้วก็รีบกระตุกม้าให้วิ่งขึ้นมาข้างหน้า "อีกไม่ไกลขอรับนายหญิง ให้คาดเดาจากตรงนี้ก็น่าจะใช้เวลาเดินทางอีกไม่เกินสองชั่วยาม"
"ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็พักตรงนี้กันสักหน่อยเถอะ ให้ทุกคนกินข้าวเที่ยงกัน ให้ม้าได้ดื่มน้ำด้วย" หลี่รุ่ยหลินว่า
เมื่อได้รับคำสั่งแล้วไป๋ฮ่าวเทียนก็ยกมือขวาขึ้นเป็นสัญญาณบอกให้ทุกคนหยุด อาหารกลางวันมักจะเป็นอะไรที่กินง่าย ๆ เพราะไม่มีเวลาให้ปรุงอาหาร ดังนั้นจึงหนีไม่พ้นแผ่นแป้งกับเนื้อแห้งและผักดอง ซึ่งสำหรับพี่น้องสำนักคุ้มภัยและพวกบ่าวรับใช้แล้วถือว่าเป็นอาหารที่ดีมาก พวกเขาไม่รู้สึกเบื่อเลยแม้แต่น้อย แต่ทว่ากลับมีผู้หนึ่งทำหน้าบึ้งตึงเมื่อเห็นแผ่นแป้ง เขากินแผ่นแป้งเป็นอาหารกลางวันมาหลายวันแล้ว ครั้งนี้ถึงกับยกมือขึ้นมาปฏิเสธ
หลี่รุ่ยหลินเห็นเข้าก็ได้แต่ส่ายหน้า ในใจก็คิดว่าคุณชายอย่างไรก็ติดนิสัยเรื่องมากอยู่วันยังคำ การเดินทางยังอีกยาวไกลเรื่องแค่นี้ก็ทนไม่ได้แล้วจะทนไปตลอดการเดินทางได้อย่างไร
ทีแรกก็สมน้ำหน้าแต่แล้วในที่สุดก็ทนเห็นเขาหิวไม่ไหว นางถึงกับลงมือไปต้มข้าวต้มให้เขาด้วยตัวเอง พลางบ่นอุบอิบปลอบใจตัวเองว่าที่ทำให้ไม่ใช่ว่าเพราะเป็นห่วงเขาแต่ว่ากลัวลูกค้าจะหิวตายกลางทางต่างหาก ต้มเสร็จแล้วก็ให้ไป๋ฮ่าวเทียนเอาไปส่งให้เขาพร้อมกับเนื้อแห้งและผักดอง
"คุณชายหวังขอรับ นายหญิงให้เอามาให้" ไป๋ฮ่าวเทียนกล่าวพลางยื่นถ้วยข้าวต้มให้เขา
"ฝากขอบคุณนายหญิงของเจ้าด้วย" เขาตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบแต่ในใจกลับลิงโลดที่วันนี้ได้กินข้าวต้ม ไม่ใช่แผ่นแป้งเช่นทุกวัน จากนั้นก็ก้มหน้าก้มตากินข้าวต้มอย่างเอร็ดอร่อย
ก่อนออกเดินทางต่อพวกเขาทำการตรวจสอบอาวุธของตนเอง คนสำนักคุ้มภัยเตรียมตัวมาอย่างดีมีอาวุธครมมือ ส่วนพวกบ่าวรับใช้ที่เดินทางมาด้วยนั้นหลี่รุ่ยหลินให้มีดพกพวกเขากันคนละหนึ่งเล่มเผื่อว่าเกิดเหตุการณ์ร้ายขึ้นมาจะได้เอาไว้ป้องกันตัวได้
หลี่รุ่ยหลินคิดว่าสองพ่อลูกคงจะไม่มีอาวุธป้องกันตัว และคิดว่าหวังข่ายไม่มีวรยุทธเลยจะเอามีดสั้นไปให้เขาด้วย เมื่อเดินไปถึงตรงที่เขานั่งอยู่นางก็ยื่นมีดสั้นให้กับเขา
"ท่านเอาไว้ป้องกันตัวเผื่อว่ามีโจรมาประชิดตัวท่าน แต่ว่าอย่างไรก่อนที่มันจะถึงตัวท่านก็ต้องผ่านด่านข้าไปก่อน" หลี่รุ่ยหลินกล่าว
หวังข่ายเงยหน้าขึ้นมามองนางก่อนจะใช้มือข้างหนึ่งผลักมีดสั้นนั้นกลับไป "ไม่จำเป็น เจ้าทำหน้าที่ของเจ้าให้ดีก็พอ"
คำตอบของเขาทำเอาหลี่รุ่ยหลินถึงกับฉุนจัด นี่นางอุตส่าห์เป็นห่วง ทั้งต้มข้าวต้มให้ ทั้งเอามีดมาให้ไว้ป้องกันตัว แต่เขากลับปฏิเสธสอย่างหน้าตาเฉย
"คอยดูเถอะ หากมีโจรมาปล้นจริง ๆ ข้าจะปล่อยให้พวกมันเชือดคอเขาเลย" นางหันไปพูดกับไปฮ่าวเทียน
ไป๋ฮ่าวเทียนได้แต่ทำหน้าเจื่อนแล้วทอดถอนใจออกมา "นายหญิง…อย่าได้คิดเช่นนั้นเลยขอรับ"
สองคืนแรกผ่านไปอย่างราบรื่น ทุกคนยังคงเดินทางได้อย่างปลอดภัยดี กินอิ่มนอนหลับ ไม่มีอะไรมากวนใจ แต่ทว่าวันที่สามกลับไม่ได้ราบรื่นอย่างที่คิดเมื่อหลี่รุ่ยหลินสังเกตเห็นความผิดปกติขึ้นมาระหว่างที่พวกเขากำลังเดินทาง
"พี่ฮ่าวเทียน…บอกทุกคนให้เตรียมพร้อมดี ๆ ข้ารู้สึกว่าสองข้างทางมีพวกโจรซุ่มอยู่ แต่อย่าเพิ่งกระโตกกระตากให้ทำตัวปกติไว้ก่อน อ้อ…แล้วก็บ่าวรับใช้ของจวนท่านอัครเสนาบดีด้วย ให้พวกเขาเตรียมตัวไว้แต่อย่าได้แตกตื่นไป" หลี่รุ่ยหลินสั่ง
"ขอรับนายหญิง" ไป๋ฮ่าวเทียนรับคำแล้วจึงไปทำตามในทันที
ไม่เพียงแต่หลี่รุ่ยหลินเท่านั้นที่รู้สึกได้ว่ามีพวกโจรดักซุ่มอยู่ แต่ว่าหวังข่ายเองที่มองออกมานอกหน้าต่างรถม้าก็รู้สึกเช่นเดียวกัน ใบไม้ที่ไหวติงอย่างผิดปกตินั้น เพียงเท่านี้ก็ทำให้เขารู้แล้วว่าที่นี่ไม่ปลอดภัย
หลี่รุ่ยหลินขี่ม้าไปที่ข้างรถม้าของสองพ่อลูกทันที เพราะที่สำคัญที่สุดของขบวนเดินทางนี้คือชีวิตของสองพ่อลูกซึ่งเป็นลูกค้าของนาง ฉะนั้นไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นนางจะต้องปกป้องทั้งสองเอาไว้ให้ได้ ส่วนเรื่องการปกป้องทรัพย์สมบัติต่าง ๆ กับคนอื่น ๆ จะเป็นหน้าที่ของไป๋ฮ่าวเทียนและพี่น้องสำนักคุ้มภัยที่เดินทางมาด้วยกัน ซึ่งนางวางใจในฝีมือของพวกเขาอยู่แล้ว
นางยื่นมีดสั้นของตัวเองให้กับหวังข่ายอีกครั้งพลางบอกว่า "ท่านแน่ใจหรือว่าจะไม่รับมันไว้ ข้าจะบอกให้ว่าตอนนี้ไม่ปลอดภัย รอบ ๆ ป่าแถวนี้มีโจรซุ่มอยู่ท่านจำเป็นต้องมีสิ่งนี้เอาไว้ป้องกันตัว"
"ข้ามีอาวุธของข้าอยู่แล้ว เจ้าเก็บไว้เถอะ" หวังข่ายกล่าว
แต่ก่อนที่นางจะทันได้เก็บมีดกลับไปนั้นอัครเสนาบดีหวังก็ยื่นมืออกมาแล้วรับมีดที่อยู่ในมือนางไว้ "ไม่เป็นเป็นไร เอามันให้ข้าเถอะเผื่อว่าข้าอาจจะช่วยได้บ้าง"
"เจ้าค่ะท่านอัครเสนาบดี ข้าสัญญาว่าข้าจะปกป้องพวกท่านจนสุดความสามารถ หากว่าปกป้องไม่ได้นั้นก็หมายความว่าสิ้นชีวิตของข้าแล้ว" หลี่รุ่ยหลินตอบ
การเฝ้าระวังความปลอดภัยของขบวนเป็นไปอย่างเข้มข้นขึ้น พวกบ่าวรับใช้เข้ามาเดินใกล้กับตัวรถม้าเพื่อความปลอดภัยโดยที่มีพี่น้องสำนักคุ้มภัยต้าอันฉวนคอยเดินประกบอยู่เบื้องนอก อาวุธในมือของพวกเขาเตรียมพร้อมอยู่ตลอด ขมับของเหล่าพี่น้องสำนักคุ้มภัยมีเหงื่อผุดซึมขึ้นมาเผยให้เห็นว่าพวกเขาเองก็วิตกอยู่ไม่น้อย
พี่น้องสำนักคุ้มภัยเหล่านี้เคยผ่านเหตุการณ์การถูกโจรปล้นมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน หากว่าเป็นก่อนหน้านี้พวกเขาคงไม่วิตกกังวล แต่ว่าหลังจากการตายของนายท่านและคุณชายทำให้พวกเขารู้สึกได้ว่าพวกโจรเก่งกาจกว่าเดิมมาก ดังนั้นครั้งนี้จึงไม่แปลกที่พวกเขาจะใจคอไม่ดี ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อในฝีมือของนายหญิงแต่เป็นเพราะว่าฝีมือพวกโจรนั้นไม่เหมือนเดิมแล้วต่างหาก
ในป่าสีเขียวชอุ่มของภูเขาเทือกใหญ่ ต้นไม้สูงตระหง่านและใบไม้หนาทึบบดบังแสงอาทิตย์จนเกิดเป็นเงาที่มืดครึ้มอยู่ท่ามกลางป่า บรรยากาศเงียบสงัด เสียงของธรรมชาติและแมลงเล็ก ๆ ในป่าป่าเหล่านั้นถูกแทนที่ด้วยความตึงเครียดที่ลอยอยู่ในอากาศ
กลุ่มโจรราวห้าสิบคนซุ่มซ่อนตัวอยู่ในเงามืดของป่าในตำแหน่งต่างๆ บนสองข้างทาง มีบางคนซ่อนอยู่ในหลืบของต้นไม้ใหญ่ บางคนหลบซ่อนตัวอยู่หลังพุ่มไม้หนาแน่น ข้อมือของพวกเขายังคงแน่นอยู่บนสายธนูที่ตึงเต็มแรงพร้อมที่จะปล่อยออกไปในเวลาที่ต้องการ
พวกโจรยังไม่เคลื่อนไหว แต่ทุกคนอยู่ในท่าทางเตรียมพร้อม สายตาของพวกมันจ้องมองไปที่ขบวนเดินทางที่กำลังเคลื่อนตัวผ่าน เหล่าขบวนเดินทางประกอบด้วยม้าและเกวียนบรรทุกสัมภาระสำคัญที่ชัดเจนว่ามีค่า
เสียงของกิ่งไม้ที่หักกรอบ บ่งบอกถึงการเคลื่อนไหวของขบวนเดินทาง แต่พวกโจรยังคงนิ่งเฉยเพื่อรอจังหวะที่เหมาะสม ขณะที่สายธนูของพวกมันยังคงตั้งตรง ช่างเป็นความเงียบสงัดที่เต็มไปด้วยความตึงเครียดก่อนการซุ่มโจมตีที่จะมาถึง
บทที่เจ็ดการต่อสู้ที่ดุเดือด ในยุคที่บ้านเมืองแตกแยกและอยู่ในสภาวะระส่ำระสาย การปล้นชิงทรัพย์สินเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง ไม่ว่าจะเป็นในเมืองใหญ่หรือตามชนบท ราษฎรที่อดอยากและยากจนก็มักจะหันมาใช้วิธีการนี้ในการเลี้ยงชีพ ด้วยสภาพที่แทบจะเรียกได้ว่าล่มสลายและความขัดแย้งที่ปะทุขึ้นเรื่อยๆ ระหว่างกลุ่มอำนาจต่างๆ ในราชสำนัก ทำให้บ้านเมืองเข้าสู่ยุคมืดที่ไร้ซึ่งความมีศีลธรรมที่ราชสำนักเมื่อตระหนักถึงความอ่อนแอและการทุจริตในหมู่ขุนนาง ผู้มีอำนาจกลับใช้โอกาสนี้ในการกอบโกยทรัพย์สินและอำนาจ ทำให้ราชวงศ์ค่อยๆ สูญเสียความน่าเชื่อถือและอำนาจในการปกครองอัครเสนาบดีหวังซึ่งเคยเป็นเสาหลักในการบริหารแผ่นดิน ยืนหยัดทำหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์และมุ่งมั่นมาตลอดชีวิต แต่เมื่อเวลาผ่านไปเขาก็เริ่มรู้สึกถึงการเป
บทที่แปดออกเดินทางต่อ หลังจากการต่อสู้ที่ดุเดือดและยาวนานจบลง ความเงียบสงัดก็เข้ามาปกคลุมแทนที่ เสียงหอบหายใจของเหล่าพี่น้องสำนักคุ้มภัยดังขึ้นท่ามกลางบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า พวกเขายืนอยู่ท่ามกลางซากศพของพวกโจรที่ถูกกำจัดจนหมดสิ้นไม่มีผู้ใดเหลือรอดจากการปะทะครั้งนี้หลี่รุ่ยหลินมองไปรอบๆ นางเห็นพี่น้องสำนักคุ้มภัยหลายคนได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้ แต่ก็เป็นเพียงบาดแผลเล็กน้อยเท่านั้นไม่ได้เป็นอันตรายถึงชีวิต ทุกคนต่างเหนื่อยล้าจากการสู้รบแต่ยังคงยืนหยัดอยู่ได้ด้วยพลังใจที่เข้มแข็ง“พี่น้องต้าอันฉวน การต่อสู้จบลงแล้ว” หลี่รุ่ยหลินกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความภูมิใจแต่ก็ยังมีความรู้สึกเหนื่อยล้าแสดงออกมาให้เห็นจากน้ำเสียงนั้นพี่น้องสำนักคุ้มภัยต่างพยั
บทที่เก้าจบงาน ณ เมืองเสวียนเทียนค่ำคืนนี้เมืองเสวียนเทียนถูกปกคลุมด้วยบรรยากาศที่คึกคักและอบอุ่น หลังจากที่พวกเขาเดินทางมาอย่างยาวนานในที่สุดก็ได้มาถึงเมืองที่เป็นบ้านเกิดของอดีตอัครเสนาบดีเสียที เมืองชายแดนอันเงียบสงบล้อมรอบไปด้วยภูเขาและป่าไม้เมื่อคณะของหลี่รุ่ยหลินเดินทางเข้ามาในเมืองทุกอย่างก็เป็นไปอย่างราบรื่น พวกชาวเมืองต่างให้การต้อนรับเป็นอย่างดี พวกเขาเคารพอัครเสนาบดีหวังซึ่งเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงและทำคุณประโยชน์แก่แผ่นดิน เจ้าเมืองเสวียนเทียนได้จัดงานเลี้ยงต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่ขึ้น เพื่อเป็นการขอบคุณหลี่รุ่ยหลินและพี่น้องสำนักคุ้มภัยที่ช่วยคุ้มกันและดูแลความปลอดภัยของอดีตอัครเสนาบดีมาตลอดการเดินทางงานเลี้ยงถูกจัดขึ้นที่จวนของเจ้าเมือง ทั้งจวนประดับประดาไปด้วยโคมไฟหลากสีและดอกไม้สดที่ถูกจัด
บทที่สิบศัตรูคู่อาฆาต การต่อสู้ดำเนินไปอย่างดุเดือด เสียงอาวุธปะทะกันดังก้องไปทั่วทั้งบริเวณ จงเหยียนมุ่งตรงเข้าหาหลี่รุ่ยหลินอย่างไม่รอช้า มันมีฝีมือที่รวดเร็วและดุดันกว่าคนอื่นๆ ที่เคยเผชิญหน้ามาก่อนทำให้หลี่รุ่ยหลินต้องโต้ตอบอย่างเต็มกำลัง แม้ว่านางจะเก่งกาจแต่จงเหยียนก็ไม่ใช่ศัตรูที่ประมือได้ง่าย หากว่ามันไม่มีฝีมือจริงก็ไม่สามารถสังหารบิดาและพี่ชายของนางได้หรอกขณะที่ทั้งสองต่อสู้กันนั้นจงเหยียนฉวยโอกาสในจังหวะที่หลี่รุ่ยหลินเผลอชักเอาขวดเล็กๆ ออกมาจากอกเสื้อ คลายจุกออกอย่างรวดเร็วแล้วสาดผงควันสีขาวนวลพุ่งเข้าหานางโดยไม่ให้ทันตั้งตัว“ควันสลบ” หลี่รุ่ยหลินรู้ทันทีว่าตนกำลังเผชิญกับอะไร นางพยายามหลบแต่ไม่ทัน ควันสีขาวปกคลุมร่างของนางในทันที เมื่อสูดเข้าไปแล้วก็ทำให้หัวเริ่มมึนงงและรู้สึ
บทที่สิบเอ็ดข้าต้องช่วยเจ้าให้ได้หวังข่ายซึ่งยืนอยู่ในมุมมืดหลังกระโจมส่งสัญญาณให้กับพี่น้องสำนักคุ้มภัยที่ซุ่มรออยู่ด้านนอก เขารู้ดีว่าการบุกเข้าไปช่วยหลี่รุ่ยหลินในครั้งนี้เป็นโอกาสสำคัญ หากพลาดไปพวกเขาอาจไม่มีโอกาสเช่นนี้อีกเมื่อพี่น้องสำนักคุ้มภัยเห็นสัญญาณจากหวังข่ายพวกเขาก็ไม่รอช้ารีบพุ่งตัวเข้าไปในค่ายของพวกโจรทันที พวกโจรที่อยู่ภายในค่ายไม่ทันได้ตั้งตัวจากการบุกโจมตีที่รวดเร็วและรุนแรง พวกมันต่างตื่นตระหนกและวิ่งหนีเป็นกันอยางแตกกระจายเพื่อหาที่หลบภัยเสียงโลหะกระทบกันดังก้องไปทั่วค่าย ความโกลาหลที่เกิดขึ้นทำให้พวกโจรที่อยู่ในค่ายตกใจและหันไปดู เมื่อเห็นพวกพ้องถูกโจมตีพวกมันก็รีบชักดาบออกมาเตรียมต่อสู้ แต่ก็สายเกินไปแล้วพวกพี่น้องสำนักคุ้มภัยที่บุกเข้ามาอย่างดุดันทำให้พวกมันไม่สามารถตั้งรับได้ทัน พวกโจรถูกฟันล้มลงทีละคนอย่างรวดเร็ว
บทที่สิบสองบังเกิดเป็นความรักหลังจากการต่อสู้ที่ยากลำบากและการเดินทางที่เต็มไปด้วยอันตรายพวกเขาก็สามารถกำจัดพวกโจรที่ก่อความเดือดร้อนได้หมดสิ้นแล้ว การเดินทางกลับไปยังเมืองหลวงจึงดำเนินไปด้วยความราบรื่นและสบายใจเมื่อเดินทางออกจาเมืองเสวียนเทียนทุกคนก็รู้สึกโล่งใจราวกับว่าพายุร้ายได้ถูกพัดหายไปแล้ว หลี่รุ่ยหลินและพี่น้องสำนักคุ้มภัยต่างก็เต็มไปด้วยความพอใจที่สามารถทำภารกิจสำเร็จ ทั้งที่เจออุปสรรคมากมาย แต่พวกเขาก็ยังคงสามารถพิชิตชัยเหนือศัตรูได้ระหว่างการเดินทางกลับสู่เมืองหลวงหวังข่ายและหลี่รุ่ยหลินเริ่มมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ความใกล้ชิดที่เริ่มงอกเงยทำให้พวกเขาเริ่มรู้จักกันมากขึ้น และการพูดคุยระหว่างของพวกเขาก็เต็มไปด้วยความเข้าใจและความไว้วางใจที่เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดแต่ละวันบนเส้นทางกลับหลี่รุ่ย
บทที่สิบสามความสัมพันธ์วัยเด็กไม่นาหลังจากที่หวังข่ายกลับมาเขาก็พบว่าบุตรสาวของเจ้ากรมการคลังหลิวผิงผิงมารอพบเขาเขาอยู่ที่หน้าประตูจวน เมื่อพ่อบ้านเปิดประตูให้นางก็วิ่งเข้ามาหาเขาทันทีพร้อมด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกระตือรือร้น"หวังข่าย…เจ้ากลับมาแล้ว" หลิวผิงผิงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่หวานหยดย้อยพลางยิ้มอย่างสดใส "ข้าเห็นว่าเจ้ากลับมาเหนื่อย ๆ เลยรีบมาหาทันที ข้าเตรียมอาหารไว้ให้เจ้าแล้ว""ผิงผิง…ขอบคุณที่เป็นห่วงข้า" หวังข่ายตอบกลับด้วยน้ำเสียงสุภาพ"ถ้าอย่างนั้นพวกเราไปกินข้าวกันเถอะ" หลิวผิงผิงชวน"อืม" หวังข่ายตอบรับอย่างยินดีเมื่อเห็นว่าหวังข่ายยอมรับความปรารถนาดีของนางหลิวผิงผิงก็ยิ้มอย่างปลื้มปิติ นางรีบนำเข้าไปที่ห้องรับแขกและจัดอาหารที่เต
บทที่สิบสี่เจ้าแย่งเขาไปจากข้า หลิวผิงผิงกลับไปที่จวนของตัวเองด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความอิจฉาและความแค้น ความคิดที่ว่าหลี่รุ่ยหลินได้แย่งหวังข่ายไปจากนางทำให้รู้สึกโกรธเคืองจนแทบจะระงับอารมณ์ไม่อยู่ นางคิดถึงทุกสิ่งที่นางทำเพื่อพยายามเข้าหาหวังข่าย ตั้งแต่การเป็นสหายที่ดี การทำให้เขาเห็นถึงความทุ่มเทและการแสดงออกถึงความรักความเอาใจใส่ แต่ทุกอย่างก็กลับถูกทำลายลงเพราะการปรากฏตัวของหลี่รุ่ยหลินนางยืนมองตัวเองในกระจก มองรูปลักษณ์ที่งดงามและถูกอบรมมารยาทอย่างดีจากตระกูลผู้ดี ทุกคนล้วนกล่าวว่านางเป็นหญิงสาวที่เพียบพร้อม แต่เหตุใดหวังข่ายถึงไม่เห็นค่านาง เหตุใดหัวใจของเขาถึงเลือกหลี่รุ่ยหลินแทนที่จะเป็นนางความคิดนี้ยิ่งทำให้รู้สึกโกรธมากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดความคิดที่จะทำร้ายหลี่รุ่ยหลินก็เริ่มก่อตัวขึ้นใ