Share

บทที่ 6 คิดจะลองดีกับต้าอันฉวนอย่างนั้นหรือ

บทที่หก

คิดจะลองดีกับต้าอันฉวนอย่างนั้นหรือ

 พวกเขาออกจากเมืองเอี๋ยนเสียงในตอนเช้ามุ่งหน้าเข้าสู่เขตของเทือกเขาเถาซานซึ่งมีระยะทางยาวราวสามร้อยลี้ คณะเดินทางจะต้องพักแรมกันในเทือกเขาแห่งนี้ราวเจ็ดถึงสิบวันขึ้นอยู่กับความรวดเร็วในการเดินทาง ถนนหนทางในหุบเขาค่อนข้างจะลำบาก ไหนอาจจะมีเหตุที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นอีก

         ระยะทางต่อจากนี้เป็นช่วงที่อันตรายยิ่ง เพราะต้องเดินทางผ่านหุบเขาอันคดเคี้ยว จากนั้นก็พื้นที่ป่าไม่สะดวกสบายเหมือนเส้นทางที่ผ่านมา ไหนจะลมหนาวที่หนาวเย็นมากขึ้น หมอกที่ปกคลุมอยู่ตลอดทั้งวัน และพื้นที่ช่วงนี้เป็นช่วงที่ต้องระวังความปลอดภัยมากที่สุดเพราะเกิดการดักปล้นชิงกันอยู่บ่อยครั้ง

      ระหว่างที่เดินทางนั้นหลี่รุ่ยหลินกับหวังข่ายมองกันไปมาด้วยสายตาที่ไม่ค่อยพอใจนัก จนอัครเสนาบดีหวังถึงกับงุนงงว่าระหว่างพวกเขาทั้งสองนั้นเกิดอะไรขึ้น เนื่องจากเมื่อเช้าก่อนที่จะออกเดินทางหลี่รุ่ยหลินยืนยันที่จะคืนเงินค่าทวนกับค่าแจกันที่หวังข่ายจ่ายแทนนางเมื่อวาน แต่ทว่าต่อให้พูดเท่าไรเขาปฏิเสธเสียงแข็งว่าไม่รับคืนอย่างแน่นอน ในที่สุดก็กลายเป็นการทุ่มเถียงและทะเลาะกัน

         "พี่ฮ่าวเทียน…อีกไกลหรือไม่กว่าจะถึงจุดพักแรมในคืนนี้" หลี่รุ่ยหลินตะโกนถามลูกน้องคนสนิทเมื่อเดินทางมาได้ครึ่งค่อนวันแล้ว

         ไป๋ฮ่าวเทียนได้ยินคำถามแล้วก็รีบกระตุกม้าให้วิ่งขึ้นมาข้างหน้า "อีกไม่ไกลขอรับนายหญิง ให้คาดเดาจากตรงนี้ก็น่าจะใช้เวลาเดินทางอีกไม่เกินสองชั่วยาม"

         "ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็พักตรงนี้กันสักหน่อยเถอะ ให้ทุกคนกินข้าวเที่ยงกัน ให้ม้าได้ดื่มน้ำด้วย" หลี่รุ่ยหลินว่า

         เมื่อได้รับคำสั่งแล้วไป๋ฮ่าวเทียนก็ยกมือขวาขึ้นเป็นสัญญาณบอกให้ทุกคนหยุด อาหารกลางวันมักจะเป็นอะไรที่กินง่าย ๆ เพราะไม่มีเวลาให้ปรุงอาหาร ดังนั้นจึงหนีไม่พ้นแผ่นแป้งกับเนื้อแห้งและผักดอง ซึ่งสำหรับพี่น้องสำนักคุ้มภัยและพวกบ่าวรับใช้แล้วถือว่าเป็นอาหารที่ดีมาก พวกเขาไม่รู้สึกเบื่อเลยแม้แต่น้อย แต่ทว่ากลับมีผู้หนึ่งทำหน้าบึ้งตึงเมื่อเห็นแผ่นแป้ง เขากินแผ่นแป้งเป็นอาหารกลางวันมาหลายวันแล้ว ครั้งนี้ถึงกับยกมือขึ้นมาปฏิเสธ

         หลี่รุ่ยหลินเห็นเข้าก็ได้แต่ส่ายหน้า ในใจก็คิดว่าคุณชายอย่างไรก็ติดนิสัยเรื่องมากอยู่วันยังคำ การเดินทางยังอีกยาวไกลเรื่องแค่นี้ก็ทนไม่ได้แล้วจะทนไปตลอดการเดินทางได้อย่างไร

         ทีแรกก็สมน้ำหน้าแต่แล้วในที่สุดก็ทนเห็นเขาหิวไม่ไหว นางถึงกับลงมือไปต้มข้าวต้มให้เขาด้วยตัวเอง พลางบ่นอุบอิบปลอบใจตัวเองว่าที่ทำให้ไม่ใช่ว่าเพราะเป็นห่วงเขาแต่ว่ากลัวลูกค้าจะหิวตายกลางทางต่างหาก ต้มเสร็จแล้วก็ให้ไป๋ฮ่าวเทียนเอาไปส่งให้เขาพร้อมกับเนื้อแห้งและผักดอง

         "คุณชายหวังขอรับ นายหญิงให้เอามาให้" ไป๋ฮ่าวเทียนกล่าวพลางยื่นถ้วยข้าวต้มให้เขา

         "ฝากขอบคุณนายหญิงของเจ้าด้วย" เขาตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบแต่ในใจกลับลิงโลดที่วันนี้ได้กินข้าวต้ม ไม่ใช่แผ่นแป้งเช่นทุกวัน จากนั้นก็ก้มหน้าก้มตากินข้าวต้มอย่างเอร็ดอร่อย

         ก่อนออกเดินทางต่อพวกเขาทำการตรวจสอบอาวุธของตนเอง คนสำนักคุ้มภัยเตรียมตัวมาอย่างดีมีอาวุธครมมือ ส่วนพวกบ่าวรับใช้ที่เดินทางมาด้วยนั้นหลี่รุ่ยหลินให้มีดพกพวกเขากันคนละหนึ่งเล่มเผื่อว่าเกิดเหตุการณ์ร้ายขึ้นมาจะได้เอาไว้ป้องกันตัวได้

         หลี่รุ่ยหลินคิดว่าสองพ่อลูกคงจะไม่มีอาวุธป้องกันตัว และคิดว่าหวังข่ายไม่มีวรยุทธเลยจะเอามีดสั้นไปให้เขาด้วย เมื่อเดินไปถึงตรงที่เขานั่งอยู่นางก็ยื่นมีดสั้นให้กับเขา

         "ท่านเอาไว้ป้องกันตัวเผื่อว่ามีโจรมาประชิดตัวท่าน แต่ว่าอย่างไรก่อนที่มันจะถึงตัวท่านก็ต้องผ่านด่านข้าไปก่อน" หลี่รุ่ยหลินกล่าว

         หวังข่ายเงยหน้าขึ้นมามองนางก่อนจะใช้มือข้างหนึ่งผลักมีดสั้นนั้นกลับไป "ไม่จำเป็น เจ้าทำหน้าที่ของเจ้าให้ดีก็พอ"

         คำตอบของเขาทำเอาหลี่รุ่ยหลินถึงกับฉุนจัด นี่นางอุตส่าห์เป็นห่วง ทั้งต้มข้าวต้มให้ ทั้งเอามีดมาให้ไว้ป้องกันตัว แต่เขากลับปฏิเสธสอย่างหน้าตาเฉย 

         "คอยดูเถอะ หากมีโจรมาปล้นจริง ๆ ข้าจะปล่อยให้พวกมันเชือดคอเขาเลย" นางหันไปพูดกับไปฮ่าวเทียน

         ไป๋ฮ่าวเทียนได้แต่ทำหน้าเจื่อนแล้วทอดถอนใจออกมา "นายหญิง…อย่าได้คิดเช่นนั้นเลยขอรับ"

         สองคืนแรกผ่านไปอย่างราบรื่น ทุกคนยังคงเดินทางได้อย่างปลอดภัยดี กินอิ่มนอนหลับ ไม่มีอะไรมากวนใจ แต่ทว่าวันที่สามกลับไม่ได้ราบรื่นอย่างที่คิดเมื่อหลี่รุ่ยหลินสังเกตเห็นความผิดปกติขึ้นมาระหว่างที่พวกเขากำลังเดินทาง

         "พี่ฮ่าวเทียน…บอกทุกคนให้เตรียมพร้อมดี ๆ ข้ารู้สึกว่าสองข้างทางมีพวกโจรซุ่มอยู่ แต่อย่าเพิ่งกระโตกกระตากให้ทำตัวปกติไว้ก่อน อ้อ…แล้วก็บ่าวรับใช้ของจวนท่านอัครเสนาบดีด้วย ให้พวกเขาเตรียมตัวไว้แต่อย่าได้แตกตื่นไป" หลี่รุ่ยหลินสั่ง

         "ขอรับนายหญิง" ไป๋ฮ่าวเทียนรับคำแล้วจึงไปทำตามในทันที

         ไม่เพียงแต่หลี่รุ่ยหลินเท่านั้นที่รู้สึกได้ว่ามีพวกโจรดักซุ่มอยู่ แต่ว่าหวังข่ายเองที่มองออกมานอกหน้าต่างรถม้าก็รู้สึกเช่นเดียวกัน ใบไม้ที่ไหวติงอย่างผิดปกตินั้น เพียงเท่านี้ก็ทำให้เขารู้แล้วว่าที่นี่ไม่ปลอดภัย

         หลี่รุ่ยหลินขี่ม้าไปที่ข้างรถม้าของสองพ่อลูกทันที เพราะที่สำคัญที่สุดของขบวนเดินทางนี้คือชีวิตของสองพ่อลูกซึ่งเป็นลูกค้าของนาง ฉะนั้นไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นนางจะต้องปกป้องทั้งสองเอาไว้ให้ได้ ส่วนเรื่องการปกป้องทรัพย์สมบัติต่าง ๆ กับคนอื่น ๆ จะเป็นหน้าที่ของไป๋ฮ่าวเทียนและพี่น้องสำนักคุ้มภัยที่เดินทางมาด้วยกัน ซึ่งนางวางใจในฝีมือของพวกเขาอยู่แล้ว

         นางยื่นมีดสั้นของตัวเองให้กับหวังข่ายอีกครั้งพลางบอกว่า "ท่านแน่ใจหรือว่าจะไม่รับมันไว้ ข้าจะบอกให้ว่าตอนนี้ไม่ปลอดภัย รอบ ๆ ป่าแถวนี้มีโจรซุ่มอยู่ท่านจำเป็นต้องมีสิ่งนี้เอาไว้ป้องกันตัว"

         "ข้ามีอาวุธของข้าอยู่แล้ว เจ้าเก็บไว้เถอะ" หวังข่ายกล่าว

 แต่ก่อนที่นางจะทันได้เก็บมีดกลับไปนั้นอัครเสนาบดีหวังก็ยื่นมืออกมาแล้วรับมีดที่อยู่ในมือนางไว้ "ไม่เป็นเป็นไร เอามันให้ข้าเถอะเผื่อว่าข้าอาจจะช่วยได้บ้าง"

         "เจ้าค่ะท่านอัครเสนาบดี ข้าสัญญาว่าข้าจะปกป้องพวกท่านจนสุดความสามารถ หากว่าปกป้องไม่ได้นั้นก็หมายความว่าสิ้นชีวิตของข้าแล้ว" หลี่รุ่ยหลินตอบ

         การเฝ้าระวังความปลอดภัยของขบวนเป็นไปอย่างเข้มข้นขึ้น พวกบ่าวรับใช้เข้ามาเดินใกล้กับตัวรถม้าเพื่อความปลอดภัยโดยที่มีพี่น้องสำนักคุ้มภัยต้าอันฉวนคอยเดินประกบอยู่เบื้องนอก อาวุธในมือของพวกเขาเตรียมพร้อมอยู่ตลอด ขมับของเหล่าพี่น้องสำนักคุ้มภัยมีเหงื่อผุดซึมขึ้นมาเผยให้เห็นว่าพวกเขาเองก็วิตกอยู่ไม่น้อย

พี่น้องสำนักคุ้มภัยเหล่านี้เคยผ่านเหตุการณ์การถูกโจรปล้นมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน หากว่าเป็นก่อนหน้านี้พวกเขาคงไม่วิตกกังวล แต่ว่าหลังจากการตายของนายท่านและคุณชายทำให้พวกเขารู้สึกได้ว่าพวกโจรเก่งกาจกว่าเดิมมาก ดังนั้นครั้งนี้จึงไม่แปลกที่พวกเขาจะใจคอไม่ดี ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อในฝีมือของนายหญิงแต่เป็นเพราะว่าฝีมือพวกโจรนั้นไม่เหมือนเดิมแล้วต่างหาก

ในป่าสีเขียวชอุ่มของภูเขาเทือกใหญ่ ต้นไม้สูงตระหง่านและใบไม้หนาทึบบดบังแสงอาทิตย์จนเกิดเป็นเงาที่มืดครึ้มอยู่ท่ามกลางป่า บรรยากาศเงียบสงัด เสียงของธรรมชาติและแมลงเล็ก ๆ ในป่าป่าเหล่านั้นถูกแทนที่ด้วยความตึงเครียดที่ลอยอยู่ในอากาศ

กลุ่มโจรราวห้าสิบคนซุ่มซ่อนตัวอยู่ในเงามืดของป่าในตำแหน่งต่างๆ บนสองข้างทาง มีบางคนซ่อนอยู่ในหลืบของต้นไม้ใหญ่ บางคนหลบซ่อนตัวอยู่หลังพุ่มไม้หนาแน่น ข้อมือของพวกเขายังคงแน่นอยู่บนสายธนูที่ตึงเต็มแรงพร้อมที่จะปล่อยออกไปในเวลาที่ต้องการ

พวกโจรยังไม่เคลื่อนไหว แต่ทุกคนอยู่ในท่าทางเตรียมพร้อม สายตาของพวกมันจ้องมองไปที่ขบวนเดินทางที่กำลังเคลื่อนตัวผ่าน เหล่าขบวนเดินทางประกอบด้วยม้าและเกวียนบรรทุกสัมภาระสำคัญที่ชัดเจนว่ามีค่า

เสียงของกิ่งไม้ที่หักกรอบ บ่งบอกถึงการเคลื่อนไหวของขบวนเดินทาง แต่พวกโจรยังคงนิ่งเฉยเพื่อรอจังหวะที่เหมาะสม ขณะที่สายธนูของพวกมันยังคงตั้งตรง ช่างเป็นความเงียบสงัดที่เต็มไปด้วยความตึงเครียดก่อนการซุ่มโจมตีที่จะมาถึง

Related chapter

Latest chapter

DMCA.com Protection Status