บทที่สิบสอง
บังเกิดเป็นความรัก
หลังจากการต่อสู้ที่ยากลำบากและการเดินทางที่เต็มไปด้วยอันตรายพวกเขาก็สามารถกำจัดพวกโจรที่ก่อความเดือดร้อนได้หมดสิ้นแล้ว การเดินทางกลับไปยังเมืองหลวงจึงดำเนินไปด้วยความราบรื่นและสบายใจ
เมื่อเดินทางออกจาเมืองเสวียนเทียนทุกคนก็รู้สึกโล่งใจราวกับว่าพายุร้ายได้ถูกพัดหายไปแล้ว หลี่รุ่ยหลินและพี่น้องสำนักคุ้มภัยต่างก็เต็มไปด้วยความพอใจที่สามารถทำภารกิจสำเร็จ ทั้งที่เจออุปสรรคมากมาย แต่พวกเขาก็ยังคงสามารถพิชิตชัยเหนือศัตรูได้
ระหว่างการเดินทางกลับสู่เมืองหลวงหวังข่ายและหลี่รุ่ยหลินเริ่มมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ความใกล้ชิดที่เริ่มงอกเงยทำให้พวกเขาเริ่มรู้จักกันมากขึ้น และการพูดคุยระหว่างของพวกเขาก็เต็มไปด้วยความเข้าใจและความไว้วางใจที่เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
แต่ละวันบนเส้นทางกลับหลี่รุ่ยหลินกับหวังข่ายมักจะใช้เวลาในการสนทนาอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เรื่องราวต่าง ๆ จากอดีตที่ถูกเปิดเผยให้กันฟัง ทำให้พวกเขาสามารถเข้าใจและรับรู้ถึงความคิดและความรู้สึกของกันและกันได้มากขึ้น หวังข่ายมักจะเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับความรู้ที่เขามีให้นางฟัง ขณะที่หลี่รุ่ยหลินก็เรื่องการฝึกวรยุทธ์และชีวิตในวันเด็กที่เต็มไปด้วยความสนุกสนานให้เขาฟังเช่นกัน
ในระหว่างการเดินทางพวกเขามักจะช่วยเหลือกันอย่างเต็มที่ เมื่อหลี่รุ่ยหลินรู้สึกเหนื่อยจากการเดินทางหวังข่ายจะหยุดพักและทำอาหารให้ นอกจากนี้เขายังดูแลให้แน่ใจว่าหลี่รุ่ยหลินได้รับความสะดวกสบายและความปลอดภัยอย่างสูงสุด ในขณะที่หลี่รุ่ยหลินก็แสดงความใส่ใจและดูแลหวังข่ายอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ทั้งสองคนดูแลกันและกันอย่างจริงใจ
พวกเขามักจะนั่งพูดคุยกันใต้แสงดาวในยามค่ำคืน หวังข่ายและหลี่รุ่ยหลินจึงรู้สึกถึงความรักและความผูกพันที่เริ่มเกิดขึ้นระหว่างพวกเขา ความสัมพันธ์ของพวกเขากลายเป็นเรื่องที่ชัดเจนและความใกล้ชิดของพวกเขาก็กลายเป็นสิ่งที่ทุกคนในขบวนเดินทางเริ่มสังเกตเห็น
พี่น้องสำนักคุ้มภัยที่เดินทางด้วยกันก็เริ่มมีการพูดคุยกับนายหญิงและคุณชายหวังอย่างหยอกล้อ “ดูเหมือนว่านายหญิงของพวกเราจะมีความรักแล้ว”
ไป๋ฮ่าวเทียนกล่าวเสริมด้วยรอยยิ้ม “พวกเราคงจะมีนายท่านคนใหม่กับนายน้อยมาด้วยในไม่ช้านี้”
คำพูดนี้ทำให้บรรยากาศของการเดินทางกลับเต็มไปด้วยความสนุกสนานและความขบขัน ทุกคนยิ้มและหัวเราะเมื่อได้ยินความคิดเห็นเหล่านั้น หลี่รุ่ยหลินกับหวังข่ายเองก็เช่นกัน ถึงแม้ว่าหลี่รุ่ยหลินจะเขินอายอยู่บ้างตามประสาหญิงสาวแต่นางก็ไม่ได้ปฏิบัติเสธคำพูดเหล่านั้น
คืนหนึ่งในพื้นที่ราบเล็ก ๆ ในหุบเขา เป็นคืนเดือนมืดท่ามกลางแสงดาวอยู่บนฟ้า หวังข่ายชวนหลี่รุ่ยหลินออกไปเดินเล่นในที่มุมหนึ่งห่างจากกระโจมพักและเหล่าพี่น้อง บรรยากาศของค่ำคืนเต็มไปด้วยความสงบและความงดงามของธรรมชาติเหมาะสำหรับการพูดคุยและเปิดเผยความรู้สึกเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อพวกเขานั่งอยู่บนก้อนหินใต้ต้นไม้ใหญ่หวังข่ายก็เริ่มพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง “รุ่ยหลิน คืนนี้ข้าอยากพูดคุยกับเจ้าเรื่องหนึ่ง”
หลี่รุ่ยหลินมองเขาด้วยความสงสัย ถามว่า “เรื่องอะไรหรือ”
“ตั้งแต่พวกเราได้ร่วมเดินทางและผ่านเหตุการณ์มากมายด้วยกัน ข้ารู้ว่าความรู้สึกของข้าที่มีต่อเจ้านั้นเปลี่ยนไปมาก ก่อนหน้านี้ข้าคิดว่าสิ่งที่พวกเรามีเป็นแค่ความสัมพันธ์ในฐานะลูกค้ากับสำนักคุ้มภัยเท่านั้น แต่ตอนนี้ข้ารู้ดีว่ามันไม่ใช่” หวังข่ายกล่าว
หลี่รุ่ยหลินเงียบและมองไปที่ดวงดาวบนท้องฟ้า ใบหน้าของนางเปล่งปลั่งจากแสงของดาวและรอยยิ้มเล็กน้อยปรากฏที่มุมปาก “ข้าก็รู้สึกเช่นเดียวกับท่าน ตั้งแต่ที่พวกเราได้เดินทางร่วมกันและเผชิญหน้ากับอันตรายมากมาย ข้าก็เริ่มเข้าใจว่าความรู้สึกของข้าต่อท่านก็เปลี่ยนไปเช่นกัน”
"เจ้ารู้สึกตั้งแต่เมื่อไร" หวังข่ายถาม
"ตอนที่ข้าถูกจับตัวไปนั้นในใจของข้าก็ร้องเรียกแต่ท่าน คิดว่าเมื่อหลับตาลงแล้วลืมตาขึ้นมาคนที่จะจะมาช่วยข้าก็คือท่าน และแล้วมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ" หลี่รุ่ยหลินตอบ
หวังข่าวใช้มือข้าหนึ่งโอบไหลของนางเองไว้ "ตอนนั้นข้าเป็นห่วงเจ้ามาก ข้าคิดเพียงว่าอย่างไรต้องช่วยเจ้าให้ได้"
"ขอบคุณท่านมาก หากไม่มีท่านข้าคงตกเป็นของจงเหยียนผู้นั้นไปแล้ว" หลี่รุ่ยหลินกล่าวพลางเอียงหน้าซบลงที่อกของเขา
"ต่อจากนี้ไปข้าจะปกป้องเจ้า ต่อให้จะมีจงเหยียนสักกี่คน หรือว่าพวกโจรมากมายสักเท่าใดข้าก็จะไม่ให้พวกมันแตะต้องเจ้าได้เป็นอันขาด" หวังข่ายกล่าว
เมื่อความเงียบสงบของคืนท่ามกลางแสงดาวยิ่งทำให้ความรู้สึกของพวกเขาลึกซึ้งและจริงจังยิ่งขึ้น หวังข่ายและหลี่รุ่ยหลินรู้ดีว่าพวกเขาได้เริ่มต้นการเดินทางใหม่ด้วยความรักและความมุ่งมั่นที่จะสร้างอนาคตที่ดีและเต็มไปด้วยความสุขร่วมกัน
เมื่อพวกเขากลับมาถึงเมืองหลวง บรรยากาศในเมืองเต็มไปด้วยความครึกครื้นและยุ่งเหยิงเหมือนเช่นเคย หวังข่ายและหลี่รุ่ยหลินเดินข้ามสะพานและผ่านถนนที่เต็มไปด้วยผู้คนที่เคลื่อนไหวไปมา ทั้งสองคนรู้สึกโล่งใจที่ในที่สุดก็มาถึงบ้านเสียที
หลี่รุ่ยหลินปิดจบงานของสำนักคุ้มภัยด้วยการมาส่งหวังข่ายที่จวนก่อนจะปฏิเสธเงินค่าจ้างจากเขา "เป็นคนรักกันย่อมไม่คิดค่าจ้าง"
เขามองหลี่รุ่ยหลินด้วยความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความรักและความห่วงใย “รุ่ยหลิน ถึงแม้พวกเราจะกลับมาถึงเมืองหลวงแล้ว แต่ข้าก็ไม่อยากให้เจ้าลืมว่าข้ายังคงอยู่ที่นี่เพื่อเจ้าเสมอ หากเจ้าต้องการความช่วยเหลือหรือมีปัญหาอะไรอย่าลังเลที่จะบอกข้า”
หลี่รุ่ยหลินยิ้มและพยักหน้า “ข้าจะไม่ลืมแน่นอน ข้าจะมาสร้างความวุ่นวายให้ท่านทุกวัน”
หวังข่ายหัวเราะและยื่นมือไปจับมือของหลี่รุ่ยหลินอย่างอ่อนโยน “เจ้าก็ยังคงเป็นเจ้า”
"แน่นอน ท่านเองก็รักษาตัวด้วย ช่วงนี้ข้านน่าจะยุ่งหน่อยเพราะต้องสะสางงานที่สำนัก ไว้ข้ามีเวลาจะมาหา" หลีรุ่ยหลินกล่าว
"ตั้งใจทำงานให้ดี สร้างต้าอันฉวนให้ยิ่งใหญ่ขึ้นไปอีก ประกาศให้ผู้คนได้รู้ว่าสำนักคุ้มภัยภายใต้การดูแลของเจ้านั้นยังคงเป็นอันดับหนึ่งของแคว้น" หวังข่ายกล่าว สายตามที่มุ่งมั่นของเขาส่งตรงไปยังนาง ทำให้หลี่รุ่ยหลินเองก็รู้สึกฮึกเหิมขึ้นมา
"เจ้าค่ะ" หลี่รุ่ยหลินตอบรับจากนั้นจึงหมุนตัวเดินจากมา
ในระหว่างทางกลับบ้าน หลี่รุ่ยหลินได้พบกับความสงบและความสุขที่มาจากความรักที่หวังข่ายมีให้นาง นางรู้ว่าชีวิตจะต้องเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้นหากว่ามีเขาอยู่เคียงข้าง และรู้ว่าความรักและความสนับสนุนของเขาจะช่วยให้นางเผชิญกับความท้าทายและความยากลำบากในภายภาคหน้าได้
เมื่อหลี่รุ่ยหลินกลับมาถึงจวนของตนเอง การกลับสู่ชีวิตประจำวันก็เต็มไปด้วยความวุ่นวายที่มาพร้อมกับงานที่ล้นมือ หลี่รุ่ยหลินที่เพิ่งกลับมาถึงจวนก็พบว่ามีงานต่าง ๆ เข้ามามากมายตั้งแต่การตอบรับการจ้างงานใหม่ไปจนถึงการจัดการกับข่าวสารและการประสานงานต่าง ๆ
เป็นเพราะว่าเหตุกาณ์ที่สำนักคุ้มภัยต้าอันฉวนสามารถจัดการกับโจรกลุ่มใหญ่และจงเหยียนได้สำเร็จทำให้ชื่อเสียงของสำนักเพิ่มขึ้นอย่างมากมาย ผู้คนจึงกลับมาไว้ใจต้าอันฉวนอีกครั้ง
เสียงของซีหยางผู้ช่วยของหลี่รุ่ยหลินดังขึ้นข้างหูของนางขณะที่นางกำลังสะสางงานอยู่ที่โต๊ะทำงาน “นายหญิง…มีจดหมายจากนายอำเภอในเมืองซานเหอที่ต้องการให้ท่านช่วยจัดการเรื่องคดีโจรขโมยทรัพย์สิน”
หลี่รุ่ยหลินหันไปมองซีหยางด้วยความสายตาที่งุนงงและเต็มไปด้วยคำถาม “เหตุใดพวกเขาไม่ไปแจ้งทางการ เรื่องเช่นนี้มาจ้างพวกเราได้ทำไมกัน”
“ข้าเองก็ไม่รู้ขอรับ หรืออาจจะเป็นเพราะว่าของที่หายนั้นไม่สามารถให้ทางการรู้ได้” ซีหยางตอบ
"ถ้าอย่างนั้นก็รับเถอะ งานนี้ให้พี่ฮ่าวเทียนไปก็แล้วกัน เขาดูมีความรู้เรื่องการสืบสวนมากที่สุด" หลี่รุ่ยหลินออกคำสั่ง
ซีหยางพยักหน้ารับก่อนจะเดินออกจากห้องไป "ขอรับนายหญิง"
หลี่รุ่ยหลินยังคงนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานและจัดการกับงานต่าง ๆ ด้วยความมุ่งมั่น งานที่เพิ่มขึ้นมากมายนี้สะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จที่นางได้รับจากการทำงานหนักและการสร้างชื่อเสียงให้กับสำนักคุ้มภัยต้าอันฉวน
หลังจากที่จัดการงานต่าง ๆ เสร็จเรียบร้อยหลี่รุ่ยหลินก็ต้องการที่จะไปเยี่ยมหลุมศพของบิดาและพี่ชายของนางเพื่อแสดงความเคารพและบอกกับพวกเขาว่านางสามารถแก้แค้นให้กับพวกเขาได้แล้ว
วันถัดมาหลี่รุ่ยหลินได้พามารดาไปที่หลุมศพของบิดาและพี่ชาย
“ท่านพ่อ…ท่านพี่…” หลี่รุ่ยหลินเริ่มพูดขณะที่นางและหลี่ฮูหยินยืนอยู่ข้างหลุมศพ “ข้าได้แก้แค้นให้กับพวกท่านแล้ว พวกเราสามารถจัดการกับกลุ่มโจรที่ฆ่าท่านพ่อกับท่านพี่ได้สำเร็จ และตอนนี้พวกมันไม่มีโอกาสที่จะก่อความเดือดร้อนให้กับผู้ใดอีก”
หลี่ฮุหยินยืนอยู่ข้างหลุมศพและฟังด้วยความปลาบปลื้ม น้ำตาเริ่มไหลออกมาเมื่อได้ยินสิ่งที่บุตรสาวกล่าวต่อหน้าหลุมศพของสามีและลูกชาย “ลูกแม่…แม่รู้ว่าท่านพ่อและพี่ชายของเจ้าคงจะดีใจมากที่ได้ยินเรื่องนี้ ขอบใจเจ้าที่แก้แค้นให้กับพวกเรา”
หลี่รุ่ยหลินกุมมือของมารดาอย่างอบอุ่น “ท่านแม่…ข้ารู้ว่ามันไม่สามารถทำให้ท่านพ่อและท่านพี่ฟื้นกลับคืนมาได้ แต่อย่างน้อยก็เพื่อให้ความยุติธรรมและความสงบสุขแก่พวกเขา”
หลีฮูหยินยิ้มผ่านน้ำตาและกล่าวด้วยเสียงที่สั่นเครือ “ลูกแม่…แม่ภูมิใจในตัวลูกมาก เจ้าคือความภูมิใจของต้าอันฉวน”
เมื่อการไหว้หลุมศพเสร็จสิ้นหลี่รุ่ยหลินและหลี่ฮูหยินก็กลับมาที่สำนัก สำนักคุ้มภัยต้าอันฉวนบัดนี้กลับมาสงบสุขทั้งยังยิ่งใหญ่กว่าเดิม ชื่อเสียงของหัวหน้าสำนักหญิงหลี่รุ่ยหลินดังไปทั่วเมืองหลวง ไม่ว่าผู้ใดหากพูดว่าจะจ้างสำนักคุ้มภัยต่างก็พูดถึงต้าอันฉวนเป็นแห่งแรก
บทที่สิบสามความสัมพันธ์วัยเด็กไม่นาหลังจากที่หวังข่ายกลับมาเขาก็พบว่าบุตรสาวของเจ้ากรมการคลังหลิวผิงผิงมารอพบเขาเขาอยู่ที่หน้าประตูจวน เมื่อพ่อบ้านเปิดประตูให้นางก็วิ่งเข้ามาหาเขาทันทีพร้อมด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกระตือรือร้น"หวังข่าย…เจ้ากลับมาแล้ว" หลิวผิงผิงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่หวานหยดย้อยพลางยิ้มอย่างสดใส "ข้าเห็นว่าเจ้ากลับมาเหนื่อย ๆ เลยรีบมาหาทันที ข้าเตรียมอาหารไว้ให้เจ้าแล้ว""ผิงผิง…ขอบคุณที่เป็นห่วงข้า" หวังข่ายตอบกลับด้วยน้ำเสียงสุภาพ"ถ้าอย่างนั้นพวกเราไปกินข้าวกันเถอะ" หลิวผิงผิงชวน"อืม" หวังข่ายตอบรับอย่างยินดีเมื่อเห็นว่าหวังข่ายยอมรับความปรารถนาดีของนางหลิวผิงผิงก็ยิ้มอย่างปลื้มปิติ นางรีบนำเข้าไปที่ห้องรับแขกและจัดอาหารที่เต
บทที่สิบสี่เจ้าแย่งเขาไปจากข้า หลิวผิงผิงกลับไปที่จวนของตัวเองด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความอิจฉาและความแค้น ความคิดที่ว่าหลี่รุ่ยหลินได้แย่งหวังข่ายไปจากนางทำให้รู้สึกโกรธเคืองจนแทบจะระงับอารมณ์ไม่อยู่ นางคิดถึงทุกสิ่งที่นางทำเพื่อพยายามเข้าหาหวังข่าย ตั้งแต่การเป็นสหายที่ดี การทำให้เขาเห็นถึงความทุ่มเทและการแสดงออกถึงความรักความเอาใจใส่ แต่ทุกอย่างก็กลับถูกทำลายลงเพราะการปรากฏตัวของหลี่รุ่ยหลินนางยืนมองตัวเองในกระจก มองรูปลักษณ์ที่งดงามและถูกอบรมมารยาทอย่างดีจากตระกูลผู้ดี ทุกคนล้วนกล่าวว่านางเป็นหญิงสาวที่เพียบพร้อม แต่เหตุใดหวังข่ายถึงไม่เห็นค่านาง เหตุใดหัวใจของเขาถึงเลือกหลี่รุ่ยหลินแทนที่จะเป็นนางความคิดนี้ยิ่งทำให้รู้สึกโกรธมากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดความคิดที่จะทำร้ายหลี่รุ่ยหลินก็เริ่มก่อตัวขึ้นใ
บทที่สิบห้าเต็มไปด้วยความรัก เมื่อทุกอย่างถูกจัดการเรียบร้อย หวังข่ายรู้สึกถึงความโล่งใจที่ไม่ต้องกังวลเรื่องหลิวผิงผิงอีกต่อไป แต่ด้วยความเป็นห่วงที่ยังอยูในใจกลัวว่านอกจากหลิวผิงผิงแล้วจะยังมีเรื่องอื่นมาทำให้หลี่รุ่ยหลินคนรักของเขาไม่สบายใจอีก เขาจึงได้ตัดสินใจทำสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตในช่วงเช้าของวันหนึ่งท้องฟ้าแจ่มใสและมีแสงแดดอ่อน ๆ อาบลานหน้าสำนักคุ้มภัย หวังข่ายตัดสินใจที่จะไม่รอช้าอีกต่อไป เขารู้ว่าเขาอยากจะใช้ชีวิตร่วมกับหลี่รุ่ยหลินไปตลอดและไม่ต้องการให้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาถูกชะงักอีกหวังข่ายเดินทางไปยังสำนักคุ้มภัยต้าอันฉวน เมื่อเขามาถึงบรรยากาศที่สำนักคุ้มภัยเต็มไปด้วยพี่น้องในสำนักที่ต่างกำลังฝึกซ้อมและเตรียมตัวสำหรับงานต่าง ๆ ที่พวกเขาจะต้องทำ แต่เมื่อเห็นหว
บทที่หนึ่งการสมรสที่ไม่ต้องการเช้าตรู่ที่หมอกบางๆ ลอยอ้อยอิ่งเหนือเมืองหลวง หลี่ฟางตวนบิดาของหลี่รุ่ยหลินออกมายืนหน้าประตูจวน กวาดตามองไปยังบุตรสาวและภรรยาที่รออยู่ สายตาของเขาสั่นคลอนเล็กน้อยด้วยความรู้สึกเศร้าสร้อยที่จะต้องจากไปทำงานใหญ่ครั้งนี้“รุ่ยหลิน…ดูแลแม่ของเจ้ากับสำนักของเราตอนที่พ่อกับพี่ชายของเจ้าไม่อยู่ให้ดี แล้วก็อย่าปฏิเสธงานมากจนเกินไปเล่า ประเดี๋ยวจะไม่มีเงินเลี้ยงดูเหล่าพี่น้องของเรา” บิดากล่าวเสียงแผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยความหนักแน่น“เจ้าค่ะท่านพ่อ” หลี่รุ่ยหลินตอบอย่างไม่ลังเล ดวงตาของนางฉายแววความมุ่งมั่น ทุกครั้งที่บิดากับพี่ชายไม่อยู่นางในนามของคุณหนูเล็กก็จะได้เลื่อนขึ้นมาเป็นหัวหน้าสำนักรักษาการณ์ในทันทีและนางก็ชื่นชอบหน้าที่นี้เป็นอย่างมากหลี่เว่ยตงพี่ชายของหลี่รุ่ยหลินยืนอยู่ข้างบิดา เขาวางมือลงบนบ่าของน้องสาวเบาๆ “อย่าลืมฝึกวิชาที่พี่สอนเจ้าไว้ มันจะมีประโยชน์ในยามคับขัน”“ข้าจะฝึกอย่างไม่ขาดตกบกพร่องเลยเจ้าค่ะ” หลี่รุ่ยหลินรับคำด้วยน้ำเสียงจริงจัง“ไปเถิด อย่าให้คหบดีเจียงต้องคอยนาน” หลี่ฮูหยินพูดขึ้น ถึงแม้ว่าจะบอกให้สองพ่อลูกรีบไปทว่าดวงตาของนางก็เต็มไป
บทที่สองช่วงเวลาแห่งการสูญเสียเสียงฝีเท้าม้าวิ่งมาอย่างเร่งรีบหยุดลงที่หน้าประตูสำนักคุ้มภัยต้าอันฉวน ร่างที่เต็มไปด้วยเลือดของพี่น้องสำนักคุ้มภัยคนหนึ่งร่วงลงมาจากหลังม้า คนที่เฝ้าประตูอยู่รีบไปประคองเขาทันที ทั้งเนื้อทั้งตัวของเขามีแต่คราบเลือดเต็มไปหมดทั้งยังมีบาดแผลอีกมากมาย เขารอดมาจนถึงสำนักได้นั้นก็ถือว่าโชคดีมากแล้ว"พี่ซีหยาง…เกิดเรื่องอันใดขึ้น" นายประตูถาม"พาข้าไปหาฮูหยินกับคุณหนู…ตอนนี้" เขากล่าวด้วยเสียงที่แผ่วเบานายประตูทั้งสองคนรีบหามร่างที่บาดเจ็บสาหัสของซีหยางเข้าไป เขาไม่ยอมไปรักษาตัวยืนยันว่าถึงอย่างไรก็ต้องพบฮูหยินกับคุณหนูก่อน พวกเขาจึงพาไปยังห้องหนังสือ ที่นั่นหลี่รุ่ยหลินนั่งทำงานอยู่อย่างเคร่งเครียด เหลือก็แต่เพียงหลี่ฮูหยินมารดาของนางที่กำลังรีบมา"พี่ซีหยางเกิดเรื่องอันใดขึ้น เหตุใดท่านถึงได้กลับมาในสภาพเช่นนี้" หลี่รุ่ยหลินกล่าวด้วยความตกใจ จากนั้นลุกขึ้น
บทที่สามจุดพลิกผันสู่เจ้าสำนักน้อยเมื่อจัดการพิธีศพเรียบร้อยแล้วก็ไม่มีเวลาให้พวกเขาได้โศกเศร้าเสียใจมากนักเนื่องจากมีงานคั่งค้างที่ต้องสะสางอีกมากมาย ทั้งเรื่องเงินชดเชยที่จะต้องมอบให้กับบิดามารดาของพี่น้องที่เสียชีวิตไปและเรื่องงานที่รับจ้างไว้ก่อนหน้าที่หลี่ฟางตวนจะเสียชีวิต ทำเอาหลี่รุ่ยหลินวุ่นวายไปหมด"พี่ซีหยาง…นี่พวกเราถูกยกเลิกเลิกงานมากมายถึงเพียงนี้เลยหรือ" หลี่รุ่ยหลินถามอย่างประหลาดใจเมื่อเห็นบัญชีรายชื่อลูกค้าที่จ้างงานถูกขีดฆ่าชื่ออกไปมากมายซีหยางยิ้มแหย ๆ ให้กับนางเพราะไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไรดีให้กระทบกระเทือนจิตใจของหัวหน้าสำนักน้อยผู้นี้ให้น้อยที่สุด "เอ่อ…คือว่าลูกค้าของพวกเราหายไปราว ๆ เจ็ดส่วนขอรับคุณหนู เอ้ย…ขอรับนายหญิง"ด้วยความที่ยังไม่เคยชินที่จะเรียกหลีรุ่ยหลินว่านายหญิงพี่น้องสำนักคุ้มภัยต่างก็
บทที่สี่ประเดิมงานแรกเมื่อสองพ่อลูกขึ้นรถม้าไปแล้วหลีรุ่ยหลินกับไป๋ฮ่าวเทียนหัวหน้าหน่วยย่อยของสำนักคุ้มภัยก็เดินตรวจตราขบวนเดินทาง ระยะทางจากเมืองหลวงไปยังเมืองบ้านเกิดของอดีตอัครเสนาบดีหวังนั้นไกลพอสมควร ดังนั้นการตรวจขบวนเดินทางให้เรียบร้อยจึงสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ขบวนเดินทางค่อนข้างใหญ่มีข้าวของมากมายอาจจะทำให้การเดินทางล้าช้าไปบ้าง ไป๋ฮ่าวเทียนจึงคิดว่ากำลังคนที่เตรียมมาในครั้งนี้ไม่น่าจะพอ"นายหญิงแน่ใจแล้วหรือขอรับว่าจะไม่เรียกคนมาเพิ่ม จากที่ตรวจดูรายชื่อสมบัติและมูลค่าของที่ต้องคุ้มกันค่อนข้างสูงอยู่นะขอรับ" ไป๋ฮ่าวเทียนกล่าวไป๋ฮ่าวเทียนเคยนำขบวนคุ้มกันด้วยตนเองมาก่อน จากประสบการณ์ของเขาแล้วขบวนยาวถึงเพียงนี้ใช้คนคุ้มกันเพียงแค่สามสิบคนถือว่าน้อยเกินไป เพราะทุกครั้งที่เขาออกเดินทางหากว่าไม่ได้ไปกับนายท่านและคุณชายแล้วละก็จะต้องมีพรรคพวกไปด้วยไม่ต่ำกว่าห้าสิบคน ครั้
บทที่ห้าน้ำใจจากคุณชายหน้าขาว จุดหมายต่อไปที่พวกเขาจะเดินทางไปก็คือเมื่องเอี๋ยนเสียง แต่กว่าจะถึงเมืองเอี๋ยนเสียงนั้นยังคงต้องนอนในในป่ากันอีกราว ๆ สองคืนหากว่าเดินทางเร็ว แต่เท่าที่คาดการณ์แล้วคงเดินทางเร็วเกินไปไม่ได้เพราะท่านผู้เฒ่าหวังอดีตอัครเสนาบดีนั้นเริ่มชราแล้ว ระหว่างที่เดินทางสามวันสามคืนในป่านั้นทุกอย่างก็ปกติดี อัครเสานบดีหวังเองก็ไม่ได้อ่อนแออย่างที่คิด เขายังเดินเหินไปมาได้สะดวกทั้งยังใจดีทำอาหารแจกจ่ายให้กับบ่าวรับใช้และคนของสำนักคุ้มภัยด้วย หลี่รุ่ยหลินเองก็ไม่คิดว่าเขาจะเป็นคนดีถึงเพียงนี้ น่าเสียดายที่ราชสำนักไม่เห็นค่าคนดี ๆ เช่นเขา ส่วนคุณชายหน้าขาวนั้นก็หาได้เป็นภาระอะไรไม่ ผิดกับที่หลี่รุ่ยหลินคาดการณ