บทที่สาม
จุดพลิกผันสู่เจ้าสำนักน้อย
เมื่อจัดการพิธีศพเรียบร้อยแล้วก็ไม่มีเวลาให้พวกเขาได้โศกเศร้าเสียใจมากนักเนื่องจากมีงานคั่งค้างที่ต้องสะสางอีกมากมาย ทั้งเรื่องเงินชดเชยที่จะต้องมอบให้กับบิดามารดาของพี่น้องที่เสียชีวิตไปและเรื่องงานที่รับจ้างไว้ก่อนหน้าที่หลี่ฟางตวนจะเสียชีวิต ทำเอาหลี่รุ่ยหลินวุ่นวายไปหมด
"พี่ซีหยาง…นี่พวกเราถูกยกเลิกเลิกงานมากมายถึงเพียงนี้เลยหรือ" หลี่รุ่ยหลินถามอย่างประหลาดใจเมื่อเห็นบัญชีรายชื่อลูกค้าที่จ้างงานถูกขีดฆ่าชื่ออกไปมากมาย
ซีหยางยิ้มแหย ๆ ให้กับนางเพราะไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไรดีให้กระทบกระเทือนจิตใจของหัวหน้าสำนักน้อยผู้นี้ให้น้อยที่สุด "เอ่อ…คือว่าลูกค้าของพวกเราหายไปราว ๆ เจ็ดส่วนขอรับคุณหนู เอ้ย…ขอรับนายหญิง"
ด้วยความที่ยังไม่เคยชินที่จะเรียกหลีรุ่ยหลินว่านายหญิงพี่น้องสำนักคุ้มภัยต่างก็ยังติดปากเรียนนางว่าคุณหนูอยู่ เพราะการเปลี่ยนแปลงนั้นเกิดขึ้นอย่างกะทันหันและอีกอย่างนางก็ยังดูเด็กเกินไปที่จะเรียกว่านายหญิง
หลี่รุ่ยหลินได้ฟังแล้วก็ต้องทอดถอนใจออกมาแล้วกล่าวด้วยความเศร้าใจว่า "คงเป็นเพราะพวกเขาไม่วางใจในฝีมือของข้าใช่หรือไม่ถึงได้ยกเลิกสัญญากันหมด"
ข้อนี้เป็นเรื่องที่นางเข้าใจดีเพราะอย่างไรตนเองก็เป็นเพียงหญิงสาวคนหนึ่ง นางยังไม่เคยแสดงฝีมือให้ผู้ใดเห็น อีกทั้งยังประสบการณ์ในงานคุ้มภัยก็ยังไม่มากนัก จะมีก็แต่การจัดการบัญชีกับเรื่องภายในสำนักเท่านั้น ส่วนการได้ออกไปทำงานคุ้มภัยจริง ๆ ก็เพียงแค่ติดตามบิดากับพี่ชายไปไม่กี่ครั้ง จึงไม่แปลกที่ลูกค้าทั้งหลายจะไม่วางใจ
"นายหญิงอย่าได้เป็นกังวลไปเลยขอรับ อย่างน้อยเราก็ยังเหลืองานอีกสามส่วนให้ทำ ลูกค้าพวกนี้ก็ยังคงสนับสนุนนายหญิงอยู่ ส่วนมากแล้วเป็นลูกค้าเก่าแก่ที่อยู่กับเรามายาวนานทั้งนั้น ท่านคหบดีเจียงก็ยังจ้างงานพวกเราอยู่นะขอรับ ท่านลองดูที่บรรทัดนี้" ซีหยางพยายามยามพูดให้กำลังใจนายหญิงของตนเองอย่างเต็มที่ พี่น้องคนอื่น ๆ ที่อยู่ตรงนั้นด้วยก็พยักหน้าเช่นกัน ต่างพากันกล่าวว่าถึงแม้จะมีงานน้อยแต่พวกเขาก็จะพยายามทำอย่างเต็มที่
ทว่าหลี่รุ่ยหลินก็ยังไม่สบายใจอยู่ดี เพราะการมีงานน้อยไม่ได้หมายความแค่ว่าชื่อเสียงของสำนักคุ้มภัยต้าอันฉวนจะตกต่ำลง แต่หมายถึงเงินที่พวกเขาได้รับก็จะน้อยลงด้วย
"แต่งานน้อยถึงเพียงนี้เราจะมีเงินมาเลี้ยงปากท้องพี่น้องของเราทุกคนได้อย่างไร ไหนที่จะต้องจ่ายให้กับบิดามารดาของคนที่เสียชีวิตไปอีก" หลี่รุ่ยหลินกล่าว
"เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วงขอรับ พวกเราจะกินใช้กันอย่างประหยัด หากว่าเงินไม่พอเดี๋ยวพวกเราจะออกไปรับจ้างทำอย่างอื่นเพื่อหาเงินมา" ซีหยางตอบ
ที่บรรทัดแรกของสมุดรายชื่อนั้นมีอยู่งานหนึ่งที่จะต้องเดินทางในอีกสิบวันข้างหน้า เจ้าของงานนี้ไม่ได้ยกเลิกแต่อย่างใดทั้งยังกำหนดวันเดินทางไว้ตามเดิม เมื่อหลี่รุ่ยหลินอ่านอย่างละเอียดก็เห็นว่าเป็นงานคุ้มกันอดีตอัครเสนาบดีกลับบ้านเกิด กระดาษที่แนบมาเป็นรายการสิ่งของคร่าว ๆ ที่เขาจะนำกลับไปบ้านเกิดด้วยซึ่งมีมากมายพอสมควร
"งานนี้ไม่ได้ถูกยกเลิกอย่างนั้นหรือ" หลี่รุ่ยหลินเงยหน้าขึ้นมาถามอย่างงุนงง เพราะคนจ้างเป็นถึงอดีตอัครเสนาบดีเหตุใดถึงยังกล้าจ้างสำนักคุ้มภัยที่มีหญิงสาวเช่นนางเป็นหัวหน้าทำงานให้อยู่
ซีหยางยืดตัวตรงแล้วกล่าวอย่างดีใจว่า "เมื่อเช้าคนของท่านอัครเสนาบดีมายันยันว่าจะจ้างพวกเราตามเดิม เขาอยากสนับสนุนนายหญิงขอรับ
"อย่างนั้นก็ดี พวกเรามาทำงานนี้กันให้เต็มที่เถอะ ท่านอัครเสนาบดีจะได้ไม่ผิดหวัง ทั้งยังเป็นการกอบกู้ชื่อเสียงของสำนักคุ้มภัยต้าอันฉวนของพวกเรากลับคืนมาด้วย" หลี่รุ่ยหลินกล่าวอย่างมุ่งมั่น
พูดจบนางก็เรียกพี่น้องทุกคนมาประชุมในทันที สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือแจ้งข่าวเรื่องที่สำนักคุ้มภัยถูกยกเลิกงานให้กับทุกคนได้รู้โดยทั่วกัน เหล่าพี่น้องชาวต้าอันฉวนรักใคร่ปรองดองกันยิ่งนักมีอาสาสมัครก้าวออกมาจะไปทำงานรับจ้างเพื่อหาเงินมาเป็นเงินสำรองให้กับสำนักมากมาย หลี่รุ่ยหลินซาบซึ้งในน้ำใจของพวกเขามาก
อย่างที่สองคือนางแจ้งข่าวเรื่องงานต่อไปที่ต้องทำซึ่งก็คือการคุ้มกันอดีตอัครเสนาบดีกลับบ้านเกิด ถึงแม้ว่างานนี้จะได้เงินไม่มากแต่ทว่าอย่างน้อยหากทำสำเร็จก็จะได้กอบกกู้ชื่อเสียงของสำนัก ลูกค้าคนอื่นจะได้เชื่อมั่นในตัวนางและสำนักคุ้มภัยต้าอันฉวน และหลังจากนั้นพวกเขาจะได้มีงานมากมายล้มหลามเหมือนเมื่อก่อน หลี่รุ่ยหลินคัดเลือกพี่น้องที่เป็นยอดฝีมือมาสามสิบคนและครั้งนี้นางจะเป็นผู้นำคณะเดินทางคุ้มภัยด้วยตัวเอง
"เรื่องงานต่าง ๆ ที่สำนักช่วงที่ข้าไม่อยู่จะให้พี่ซีหยางเป็นคนจัดการ ทุกคนต้องเชื่อฟังคำสั่งของพี่ซีหยางเข้าใจหรือไม่" หลี่รุ่ยหลินถาม น้ำเสียงของนางดูมีอำนาจราวกับว่าไม่ใช้หญิงสาววัยปักปิ่นอีกแล้ว
"เข้าใจขอรับนายหญิง" เหล่าพี่น้องต้าอันฉวนตอบพร้อมกัน
เหลือระยะเวลาอีกไม่ถึงสิบวันก่อนเดินทาง หลี่รุ่ยหลินฝึกวรยุทธ์อย่างหนักรวมทั้งพี่น้องอีกสามสิบคนที่จะเดินทางไปกับนางด้วย การเดินทางครั้งนี้อันตรายหรือไม่ไม่มีผู้ใดสามารถตอบได้ ที่สำคัญคือพวกจงเหยียนที่สังหารบิดากับพี่ชายของนางยังไม่ตาย หากว่านางมีโอกาสได้พวกพบมันในระหว่างทางแล้วละก็นางจะใช้ความสามารถทั้งหมดที่มีแก้แค้นให้กับบิดาและพี่ชายให้จงได้
พวกที่ฝึกวรยุทธ์ก็ฝึกไป พวกที่ไปทำงานหาเงินก็ทำไป เพื่อสำนักคุ้มภัยต้าอันฉวนนั้นพวกเขาสามารถทำทุกอย่างได้ เพราะที่นี่เปรียบเสมือนบ้านของพวกเขา ที่ได้มีกินมีใช้มีเงินส่งให้บิดามารดาในทุกวันนี้ก็เป็นเพราะสำนักคุ้มภัยต้าอันฉวนทั้งนั้น
เมื่อถึงวันเดินทางหลี่รุ่ยหลินก็ร่ำลามารดา พี่น้องที่พร้อมเดินทางทั้งสามสิบคนสะพายดาบยืนอยู่ด้านหลังนางด้วยสีหน้าที่มุ่งมั่น
"ข้าไปก่อนนะเจ้าคะ ท่านแม่อยู่ที่สำนักดูแลตนเองให้ดี อย่าได้โศกเศร้ามากเกินไป" หลี่รุ่ยหลินสวมกอดมารดาอย่างอบอุ่นก่อนจะผละออกแต่ทว่าหลี่ฮูหยินไม่อยากให้นางออกจากอ้อมแขน
"แม่ไม่อยากให้เจ้าไป แม่ไม่อยาก…ไม่อยากให้ซ้ำรอยเดิมอีก" หลี่ฮูหยินกล่าว น้ำตาไหลพรากอาบแก้มทั้งสองข้าง
หลี่รุ่ยหลินดึงมารดาเข้ามากอดอีกครั้งและกล่าวปลอบ "ท่านแม่ไม่ต้องเป็นห่วงข้า ครั้งนี้ไม่ได้คุ้มกันข้าวของมากมายอะไร มีเพียงแต่ท่านอัครเสนาบดีกับของใช้ของเขาเท่านั้น ไม่เป็นเป้าสายตาแก่พวกโจรหรอก อีกอย่างเพื่อความเชื่อมั่นของลูกค้าข้าในฐานะหัวหน้าสำนักจำเป็นต้องแสดงฝีมือด้วยตัวเอง"
จากนั้นจึงหันไปหาซีหยาง "พี่ซีหยาง ฝากท่านดูแลท่านแม่ด้วย"
คราวนี้นางผละออกจากอ้อมกอดของมารดาไปจริง ๆ หลี่ฮูหยินได้แต่ร้องไห้เรียกรั้งบุตรสาวของตนเองไว้ แต่ด้วยภาระหน้าที่หลี่รุ่ยหลินไม่สามารถทำตามที่มารดาร้องขอได้จริง ๆ
หัวหน้าสำนักน้อยนำเหล่าพี่น้องมุ่งหน้าสู่จวนอัครเสนาบดี เมื่อไปถึงหน้าจวนทางนั้นก็จัดเตรียมข้าวของขึ้นรถม้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เดิมทีหลี่รุ่ยหลินไม่คิดว่าการเดินทางกลับบ้านเกิดนั้นจะต้องนำข้าวของไปมากมายถึงเพียงนี้ แต่เมื่อพิจารณาดูแล้วก็ไม่แปลกใจเพราะผู้เดินทางเป็นถึงอดีตอัครเสนาบดี ขบวนทรัพย์สมบัติจำนวนห้าคันรถจึงไม่ได้ถือว่ามากไปแต่อย่างใด
อัครเสนาบดีหวังเดินออกมาพร้อมบุตรชาย หลี่รุ่ยหลินเห็นแล้วเข้าไปทักทายในทันที "คารวะท่านอัครเสนาบดี คารวะคุณชาย ผู้น้อยหลี่รุ่ยหลินหัวหน้าสำนักคุ้มภัยต้าอันฉวนเจ้าค่ะ ไม่ทราบว่าทุกอย่างเตรียมพร้อมแล้วหรือไม่"
"เตรียมพร้อมหมดแล้ว เจ้าเองก็จัดขบวนเดินทางเถอะ" อัครเสนาบดีหวังกล่าวกับนางอย่างเอ็นดู
ทว่าคุณชายผู้ที่ยืนอยู่ด้านข้างนั้นกลับมีสีหน้าที่บอกบุญไม่รับ เขามองนางอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะหันไปกล่าวกับบิดา "ท่านพ่อวางใจจริงหรือขอรับ พวกเราเอาคนไปเพิ่มอีกหน่อยดีหรือไม่"
เดิมทีที่เขาไม่วางใจในตัวนางอยู่แล้วและเมื่อเห็นนางใกล้ ๆ ก็ยิ่งไม่วางใจขึ้นไปอีก หญิงสาวที่มีใบหน้างดงาม ผิวพรรรผุดผ่องถึงเพียงนี้จะไปอยู่ร่วมกับพวกเขา หลับนอนกลางป่า กินอาหารไม่ถูกปากได้อย่างนั้นหรือ ยิ่งเรื่องวรยุทธ์ยิ่งไม่ต้องพูดถึง นางรักสวยรักงามถึงเพียงนี้จะฝึกวรยุทธ์อะไรได้
หลี่รุ่ยหลินได้ยินที่หวังข่ายกล่าวกับบิดาแล้วก็โกรธขึ้นมาในใจแต่ต้องสูดลมหายใจข่มกลั้นความโกรธไว้ เพราะผู้ที่กล่าววาจานั้นคือลูกค้าของนาง เมื่อสองพ่อลูกเดินไปขึ้นรถม้าแล้วนางถึงได้กล่าวพึมพำออกมาอย่างเคียดแค้นว่า "คอยดูเถอะคุณชายหน้าขาว แล้วท่านจะได้เห็นฝีมือของข้า"
บทที่สี่ประเดิมงานแรกเมื่อสองพ่อลูกขึ้นรถม้าไปแล้วหลีรุ่ยหลินกับไป๋ฮ่าวเทียนหัวหน้าหน่วยย่อยของสำนักคุ้มภัยก็เดินตรวจตราขบวนเดินทาง ระยะทางจากเมืองหลวงไปยังเมืองบ้านเกิดของอดีตอัครเสนาบดีหวังนั้นไกลพอสมควร ดังนั้นการตรวจขบวนเดินทางให้เรียบร้อยจึงสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ขบวนเดินทางค่อนข้างใหญ่มีข้าวของมากมายอาจจะทำให้การเดินทางล้าช้าไปบ้าง ไป๋ฮ่าวเทียนจึงคิดว่ากำลังคนที่เตรียมมาในครั้งนี้ไม่น่าจะพอ"นายหญิงแน่ใจแล้วหรือขอรับว่าจะไม่เรียกคนมาเพิ่ม จากที่ตรวจดูรายชื่อสมบัติและมูลค่าของที่ต้องคุ้มกันค่อนข้างสูงอยู่นะขอรับ" ไป๋ฮ่าวเทียนกล่าวไป๋ฮ่าวเทียนเคยนำขบวนคุ้มกันด้วยตนเองมาก่อน จากประสบการณ์ของเขาแล้วขบวนยาวถึงเพียงนี้ใช้คนคุ้มกันเพียงแค่สามสิบคนถือว่าน้อยเกินไป เพราะทุกครั้งที่เขาออกเดินทางหากว่าไม่ได้ไปกับนายท่านและคุณชายแล้วละก็จะต้องมีพรรคพวกไปด้วยไม่ต่ำกว่าห้าสิบคน ครั้
บทที่ห้าน้ำใจจากคุณชายหน้าขาว จุดหมายต่อไปที่พวกเขาจะเดินทางไปก็คือเมื่องเอี๋ยนเสียง แต่กว่าจะถึงเมืองเอี๋ยนเสียงนั้นยังคงต้องนอนในในป่ากันอีกราว ๆ สองคืนหากว่าเดินทางเร็ว แต่เท่าที่คาดการณ์แล้วคงเดินทางเร็วเกินไปไม่ได้เพราะท่านผู้เฒ่าหวังอดีตอัครเสนาบดีนั้นเริ่มชราแล้ว ระหว่างที่เดินทางสามวันสามคืนในป่านั้นทุกอย่างก็ปกติดี อัครเสานบดีหวังเองก็ไม่ได้อ่อนแออย่างที่คิด เขายังเดินเหินไปมาได้สะดวกทั้งยังใจดีทำอาหารแจกจ่ายให้กับบ่าวรับใช้และคนของสำนักคุ้มภัยด้วย หลี่รุ่ยหลินเองก็ไม่คิดว่าเขาจะเป็นคนดีถึงเพียงนี้ น่าเสียดายที่ราชสำนักไม่เห็นค่าคนดี ๆ เช่นเขา ส่วนคุณชายหน้าขาวนั้นก็หาได้เป็นภาระอะไรไม่ ผิดกับที่หลี่รุ่ยหลินคาดการณ
บทที่หกคิดจะลองดีกับต้าอันฉวนอย่างนั้นหรือพวกเขาออกจากเมืองเอี๋ยนเสียงในตอนเช้ามุ่งหน้าเข้าสู่เขตของเทือกเขาเถาซานซึ่งมีระยะทางยาวราวสามร้อยลี้ คณะเดินทางจะต้องพักแรมกันในเทือกเขาแห่งนี้ราวเจ็ดถึงสิบวันขึ้นอยู่กับความรวดเร็วในการเดินทาง ถนนหนทางในหุบเขาค่อนข้างจะลำบาก ไหนอาจจะมีเหตุที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นอีก ระยะทางต่อจากนี้เป็นช่วงที่อันตรายยิ่ง เพราะต้องเดินทางผ่านหุบเขาอันคดเคี้ยว จากนั้นก็พื้นที่ป่าไม่สะดวกสบายเหมือนเส้นทางที่ผ่านมา ไหนจะลมหนาวที่หนาวเย็นมากขึ้น หมอกที่ปกคลุมอยู่ตลอดทั้งวัน และพื้นที่ช่วงนี้เป็นช่วงที่ต้องระวังความปลอดภัยมากที่สุดเพราะเกิดการดักปล้นชิงกันอยู่บ่อยครั้ง ระหว่างที่เดินทางนั้นหลี่รุ่ยหลินกับหวังข่ายมองกันไปมาด้วยสายตาที่ไม่ค่อยพอใจนัก
บทที่เจ็ดการต่อสู้ที่ดุเดือด ในยุคที่บ้านเมืองแตกแยกและอยู่ในสภาวะระส่ำระสาย การปล้นชิงทรัพย์สินเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง ไม่ว่าจะเป็นในเมืองใหญ่หรือตามชนบท ราษฎรที่อดอยากและยากจนก็มักจะหันมาใช้วิธีการนี้ในการเลี้ยงชีพ ด้วยสภาพที่แทบจะเรียกได้ว่าล่มสลายและความขัดแย้งที่ปะทุขึ้นเรื่อยๆ ระหว่างกลุ่มอำนาจต่างๆ ในราชสำนัก ทำให้บ้านเมืองเข้าสู่ยุคมืดที่ไร้ซึ่งความมีศีลธรรมที่ราชสำนักเมื่อตระหนักถึงความอ่อนแอและการทุจริตในหมู่ขุนนาง ผู้มีอำนาจกลับใช้โอกาสนี้ในการกอบโกยทรัพย์สินและอำนาจ ทำให้ราชวงศ์ค่อยๆ สูญเสียความน่าเชื่อถือและอำนาจในการปกครองอัครเสนาบดีหวังซึ่งเคยเป็นเสาหลักในการบริหารแผ่นดิน ยืนหยัดทำหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์และมุ่งมั่นมาตลอดชีวิต แต่เมื่อเวลาผ่านไปเขาก็เริ่มรู้สึกถึงการเป
บทที่แปดออกเดินทางต่อ หลังจากการต่อสู้ที่ดุเดือดและยาวนานจบลง ความเงียบสงัดก็เข้ามาปกคลุมแทนที่ เสียงหอบหายใจของเหล่าพี่น้องสำนักคุ้มภัยดังขึ้นท่ามกลางบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า พวกเขายืนอยู่ท่ามกลางซากศพของพวกโจรที่ถูกกำจัดจนหมดสิ้นไม่มีผู้ใดเหลือรอดจากการปะทะครั้งนี้หลี่รุ่ยหลินมองไปรอบๆ นางเห็นพี่น้องสำนักคุ้มภัยหลายคนได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้ แต่ก็เป็นเพียงบาดแผลเล็กน้อยเท่านั้นไม่ได้เป็นอันตรายถึงชีวิต ทุกคนต่างเหนื่อยล้าจากการสู้รบแต่ยังคงยืนหยัดอยู่ได้ด้วยพลังใจที่เข้มแข็ง“พี่น้องต้าอันฉวน การต่อสู้จบลงแล้ว” หลี่รุ่ยหลินกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความภูมิใจแต่ก็ยังมีความรู้สึกเหนื่อยล้าแสดงออกมาให้เห็นจากน้ำเสียงนั้นพี่น้องสำนักคุ้มภัยต่างพยั
บทที่เก้าจบงาน ณ เมืองเสวียนเทียนค่ำคืนนี้เมืองเสวียนเทียนถูกปกคลุมด้วยบรรยากาศที่คึกคักและอบอุ่น หลังจากที่พวกเขาเดินทางมาอย่างยาวนานในที่สุดก็ได้มาถึงเมืองที่เป็นบ้านเกิดของอดีตอัครเสนาบดีเสียที เมืองชายแดนอันเงียบสงบล้อมรอบไปด้วยภูเขาและป่าไม้เมื่อคณะของหลี่รุ่ยหลินเดินทางเข้ามาในเมืองทุกอย่างก็เป็นไปอย่างราบรื่น พวกชาวเมืองต่างให้การต้อนรับเป็นอย่างดี พวกเขาเคารพอัครเสนาบดีหวังซึ่งเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงและทำคุณประโยชน์แก่แผ่นดิน เจ้าเมืองเสวียนเทียนได้จัดงานเลี้ยงต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่ขึ้น เพื่อเป็นการขอบคุณหลี่รุ่ยหลินและพี่น้องสำนักคุ้มภัยที่ช่วยคุ้มกันและดูแลความปลอดภัยของอดีตอัครเสนาบดีมาตลอดการเดินทางงานเลี้ยงถูกจัดขึ้นที่จวนของเจ้าเมือง ทั้งจวนประดับประดาไปด้วยโคมไฟหลากสีและดอกไม้สดที่ถูกจัด
บทที่สิบศัตรูคู่อาฆาต การต่อสู้ดำเนินไปอย่างดุเดือด เสียงอาวุธปะทะกันดังก้องไปทั่วทั้งบริเวณ จงเหยียนมุ่งตรงเข้าหาหลี่รุ่ยหลินอย่างไม่รอช้า มันมีฝีมือที่รวดเร็วและดุดันกว่าคนอื่นๆ ที่เคยเผชิญหน้ามาก่อนทำให้หลี่รุ่ยหลินต้องโต้ตอบอย่างเต็มกำลัง แม้ว่านางจะเก่งกาจแต่จงเหยียนก็ไม่ใช่ศัตรูที่ประมือได้ง่าย หากว่ามันไม่มีฝีมือจริงก็ไม่สามารถสังหารบิดาและพี่ชายของนางได้หรอกขณะที่ทั้งสองต่อสู้กันนั้นจงเหยียนฉวยโอกาสในจังหวะที่หลี่รุ่ยหลินเผลอชักเอาขวดเล็กๆ ออกมาจากอกเสื้อ คลายจุกออกอย่างรวดเร็วแล้วสาดผงควันสีขาวนวลพุ่งเข้าหานางโดยไม่ให้ทันตั้งตัว“ควันสลบ” หลี่รุ่ยหลินรู้ทันทีว่าตนกำลังเผชิญกับอะไร นางพยายามหลบแต่ไม่ทัน ควันสีขาวปกคลุมร่างของนางในทันที เมื่อสูดเข้าไปแล้วก็ทำให้หัวเริ่มมึนงงและรู้สึ
บทที่สิบเอ็ดข้าต้องช่วยเจ้าให้ได้หวังข่ายซึ่งยืนอยู่ในมุมมืดหลังกระโจมส่งสัญญาณให้กับพี่น้องสำนักคุ้มภัยที่ซุ่มรออยู่ด้านนอก เขารู้ดีว่าการบุกเข้าไปช่วยหลี่รุ่ยหลินในครั้งนี้เป็นโอกาสสำคัญ หากพลาดไปพวกเขาอาจไม่มีโอกาสเช่นนี้อีกเมื่อพี่น้องสำนักคุ้มภัยเห็นสัญญาณจากหวังข่ายพวกเขาก็ไม่รอช้ารีบพุ่งตัวเข้าไปในค่ายของพวกโจรทันที พวกโจรที่อยู่ภายในค่ายไม่ทันได้ตั้งตัวจากการบุกโจมตีที่รวดเร็วและรุนแรง พวกมันต่างตื่นตระหนกและวิ่งหนีเป็นกันอยางแตกกระจายเพื่อหาที่หลบภัยเสียงโลหะกระทบกันดังก้องไปทั่วค่าย ความโกลาหลที่เกิดขึ้นทำให้พวกโจรที่อยู่ในค่ายตกใจและหันไปดู เมื่อเห็นพวกพ้องถูกโจมตีพวกมันก็รีบชักดาบออกมาเตรียมต่อสู้ แต่ก็สายเกินไปแล้วพวกพี่น้องสำนักคุ้มภัยที่บุกเข้ามาอย่างดุดันทำให้พวกมันไม่สามารถตั้งรับได้ทัน พวกโจรถูกฟันล้มลงทีละคนอย่างรวดเร็ว