บทที่สอง
ช่วงเวลาแห่งการสูญเสีย
เสียงฝีเท้าม้าวิ่งมาอย่างเร่งรีบหยุดลงที่หน้าประตูสำนักคุ้มภัยต้าอันฉวน ร่างที่เต็มไปด้วยเลือดของพี่น้องสำนักคุ้มภัยคนหนึ่งร่วงลงมาจากหลังม้า คนที่เฝ้าประตูอยู่รีบไปประคองเขาทันที ทั้งเนื้อทั้งตัวของเขามีแต่คราบเลือดเต็มไปหมดทั้งยังมีบาดแผลอีกมากมาย เขารอดมาจนถึงสำนักได้นั้นก็ถือว่าโชคดีมากแล้ว
"พี่ซีหยาง…เกิดเรื่องอันใดขึ้น" นายประตูถาม
"พาข้าไปหาฮูหยินกับคุณหนู…ตอนนี้" เขากล่าวด้วยเสียงที่แผ่วเบา
นายประตูทั้งสองคนรีบหามร่างที่บาดเจ็บสาหัสของซีหยางเข้าไป เขาไม่ยอมไปรักษาตัวยืนยันว่าถึงอย่างไรก็ต้องพบฮูหยินกับคุณหนูก่อน พวกเขาจึงพาไปยังห้องหนังสือ ที่นั่นหลี่รุ่ยหลินนั่งทำงานอยู่อย่างเคร่งเครียด เหลือก็แต่เพียงหลี่ฮูหยินมารดาของนางที่กำลังรีบมา
"พี่ซีหยางเกิดเรื่องอันใดขึ้น เหตุใดท่านถึงได้กลับมาในสภาพเช่นนี้" หลี่รุ่ยหลินกล่าวด้วยความตกใจ จากนั้นลุกขึ้นจากโต๊ะไปประคองเขา นางหันไปบอกอีกคน "พี่เจี๋ยเหล่ย ไปตามท่านหมอเหลียงมาที"
ซีหยางพยายามประคองตนเองให้นั่งบนเก้าอี้อย่างยากลำบาก เงยหน้ามองคุณหนูของตนแล้วกล่าว "คุณหนูต้องทำใจดี ๆ ไว้นะขอรับ"
ได้ยินดังนั้นหลี่รุ่ยหลินก็เริ่มสีหน้าไม่ดีแล้ว ดูจากสภาพของซีหยางและคำพูดของเขาตอนนี้ย่อมเป็นเรื่องไม่ดีเป็นแน่ แต่ทว่านางก็พยายามทำใจแข็งไว้เพื่อเตรียมพร้อมรับฟังในสิ่งที่ซีหยางกำลังจะบอก
"นายท่านกับคุณชายเสียชีวิตแล้วขอรับ" ซีหยางกล่าว
หลังจากที่ซีหยางพูดยังไม่ทันขาดคำหลี่ฮูหยินที่กำลังก้าวเข้ามาในห้องก็ถึงกับเป็นลมล้มพับลงไปตรงนั้น ข่าวร้ายครั้งนี้ทำเอาหัวใจของผู้เป็นภรรยาและแม่แตกสลาย หลี่รุ่ยหลินถึงกับต้องปล่อยมือจากซีหยางเพื่อมาดูมารดาของตน
"พวกเจ้าพาท่านแม่ไปพักก่อน" หลี่รุ่ยหลินสั่ง เหล่าสาวใช้พอได้ยินแล้วก็รีบพยุงหลี่ฮูหยินกลับห้องไปทันที
"พี่ซีหยาง…อดทนอีกหน่อยนะเจ้าคะ ประเดี๋ยวท่านหมอเหลียงก็มาแล้ว ระหว่างนี้ท่านพอจะเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ข้าฟังได้หรือไม่" หลี่รุ่ยหลินถาม นางพยายามทำเท่าที่ทำได้ซึ่งก็คือหาผ้ามาช่วยห้ามเลือดให้เขา
ซีหยางสูดลมหายใจเข้าเพื่อข่มกลั้นความเจ็บปวดก่อนจะเริ่มต้นเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้หลี่รุ่ยหลินฟังช้า ๆ "พวกเราคุ้มครองขบวนสินค้าของคหบดีเจียงไปจนถึงหุบเขาไจ่เซียง ในตอนที่เข้าไปในหุบเขานั้นนายท่านกับคุณชายสังเกตเห็นแล้วว่ามีพวกโจรตามมา พวกเราวางแผนที่จะตั้งรับแล้วแต่ว่าพวกมันมีมากเกินไป มากันเป็นร้อยคนทั้งยังบุกเข้ามาในตอนกลางคืน นายท่านเห็นว่าพวกเราน่าจะต้านเอาไว้ไม่ไหวเลยส่งข้ามาแจ้งข่าวก่อน ข้าบอกนายท่านแล้วว่าให้เขากับคุณชายหนีไปเสียแต่พวกเขาไม่ยอม บอกว่าต่อให้พวกเขาหนีไปโจรกลุ่มนี้ก็จะตามล่าพวกเขาอยู่ดี นายท่านไม่อาจทิ้งพี่น้องของพวกเราให้ตายอยู่ที่นั่นได้ พอข้าควบม้าออกม้าแล้วหันกลับไปนายท่านกับคุณชายก็จมกองเลือดไปแล้วขอรับ"
หลี่รุ่ยหลินได้ฟังแล้วก็ร้องไห้ออกมา นางไม่คิดว่าจะเกิดเหตุร้ายขึ้นเพราะที่ผ่านมาบิดากับพี่ชายเองก็รับมือกับโจรพวกนี้มาได้ตลอด ทั้งสองมีฝีมือที่เก่งกาจไม่ใช่น้อย แต่ครั้งนี้กลับมาพลาดท่าเสียทีได้ คิดแล้วก็ทั้งเสียใจทั้งแค้นใจแทบอย่างจะจับดาบออกไปสู้กับพวกมันเสียตอนนี้เลย
"พวกมันเป็นใคร" หลี่รุ่ยหลินเค้นเสียงถามอย่างเคียดแค้น
"เป็นกลุ่มของจงเหยียนขอรับ" ซีหยางตอบ
"เป็นพวกมันอีกแล้ว คอยดูเถอะข้าจะล้างแค้นให้ท่านพ่อกับท่านพี่ให้จงได้" หลี่รุ่ยหลินประกาศกร้าว ความแค้นครั้งนี้ก่อให้เกิดความมุ่งมั่นอย่างมหาศาล ไม่เพียงแต่หลี่รุ่ยหลินเท่านั้นที่โกรธแค้นแต่เหล่าพี่น้องทั้งสำนักคุ้มภัยต้าอันฉวนต่างก็โกรธแค้นพวกจงเหยียนเช่นกัน
นับตั้งแต่วันนี้ไปภาระอันหนักอึ้งในการดูแลสำนักคุ้มภัยต้าอันฉวนต้องตกเป็นของหลี่รุ่ยหลินในฐานะคุณหนูที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวของตระกูล มารดาของนางในตอนนี้อ่อนแอเสียจนแทบจะยืนด้วยตนเองไม่ได้ หากว่าไม่ใช่หลี่รุ่ยหลินก็คงไม่มีผู้ใดที่จะสามารถทำได้อีกแล้ว
นางสั่งการให้พี่น้องจำนวนหนึ่งเดินทางไปยังหุบเขาไจ่เซียงเพื่อนำศพของบิดา พี่ชายและพี่น้องที่เสียชีวิตทั้งหมดกลับมา พิธีศพถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่าย เป็นเพราะหลี่รุ่ยหลินไม่ต้องการให้งานเอิกเริกจนเกินไป เพียงเท่านี้พี่น้องสำนักคุ้มภัยก็เสียใจกันมากพอแล้ว
พี่น้องสำนักคุ้มภัยที่เสียชีวิตนั้นจะได้รับเกียรติให้ฝั่งร่วมกับคนสกุลหลี่เนื่องจากนับว่าพวกเขาเป็นญาติพี่น้องทุกคน ส่วนครอบครัวของพวกเขาที่อยู่นอกเมืองสกุลหลี่จะให้เงินชดเชยตามสมควร อย่างน้อยบิดามารดาของพวกเขาก็สามารถใช้กินอยู่ไปได้ตลอดชีวิต
งานศพเป็นไปอย่างโศกเศร้า ขบวนลำเลียงโลงศพกว่าสามสิบโลงเคลื่อนผ่านถนนใจกลางเมืองหลวงมุ่งหน้าไปยังสุสานของสกุลหลี่ หลี่รุ่ยหลินกับหลี่ฮูหยินถือป้ายวิญญาณของหลี่ฟางตวนและหลี่เว่ยตงนำขบวนไป กระดาษสีขาวถูกโปรยไปตามทาง ชาวเมืองต่างก็แห่กันมาดูขบวณศพของสกุลหลี่กันด้วยความเศร้าโศกเสียใจ อดคิดไม่ได้ว่าการทำงานในสำนักคุ้มภัยนั้นมีความเสี่ยงมากจริง ๆ
ระหว่างที่สกุลหลี่กำลังเคลื่อนศพ ชายชราผู้หนึงที่ยั่งอยู่บนชั้นสองของร้านอาหารเสี่ยวไฉก็มองลงมาอย่างเวทนา เขาอดที่จะสงสารคนสกุลหลี่ไม่ได้ที่ต้องสูญเสียเสาหลักของครอบครัวไป มาบัดนี้ผู้นำของตระกูลเหลือเพียงแค่หญิงสาวผู้ที่เพิ่งจะเลยวัยปักปิ่นมาไม่นานคนหนึ่ง หวังว่านางคงจะเข้มแข็งและพาสกุลหลี่ให้ผ่านพ้นช่วงแห่งความลำบากนี้ไปได้
"ท่านพ่อ…การเดินทางกลับบ้านเกิดครั้งนี้ท่านพ่อยังจะจ้างสำนักคุ้มภัยต้าอันฉวนอยู่อีกหรือขอรับ หัวหน้าสำนักตอนนี้เป็นเพียงหญิงสาวตัวเล็ก ๆ อายุน้อยกว่าลูกเสียด้วยซ้ำ ลูกไม่มั่นใจว่านางจะสามารถคุ้มครองท่านพ่อกับทรัพย์สมบัติไปจนถึงบ้านเกิดได้" หวังข่ายบุตรชายของอัครเสนาบดีหวังกล่าวขึ้น
หวังข่ายผู้นี้เดิมทีก็เชื่อมั่นในสำนักคุ้มภัยต้าอันฉวนพราะว่าเป็นถึงสำนักคุ้มภัยอันดับหนึ่งของเมืองหลวง แต่ว่าตอนนั้นไม่เหมือนตอนนี้ เขาไม่คิดว่าหญิงสาวคนหนึ่งจะดูแลสำนักที่ใหญ่ถึงเพียงนี้ได้อีกทั้งยังไม่เคยเห็นฝีมือของนางเลยสักครั้ง
"เจ้าอย่าได้อคติกับนางนักเลย อย่างน้อยนางก็เป็นบุตรสาวของหลี่ฟางตวน คงต้องมีดีอยู่บ้างมิเช่นนั้นแล้วพี่น้องในสำนักของนางจะยอมรับนางได้อย่างไร" อัครเสนาบดีหวังกล่าว
อัครเสนาบดีหวังมีกำหนดกลับบ้านเกิดในอีกสิบวันข้างหน้า เขาทำงานรับใช้ราชสำนักมาเป็นเวลาหลายปีตั้งแต่ที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนยังครองราชย์อยู่ มาบัดนี้รู้สึกว่าตนเองแก่ชรามากแล้วทั้งยังรู้สึกว่าราชสำนักตอนนี้ไม่เหมือนเดิมจึงได้ตัดสินใจเกษียณตนเองกลับบ้านเกิด และการเดินทางกลับบ้านเกิดในครั้งนี้ก็ได้ว่าจ้างสำนักคุ้มภัยต้าอันฉวนไว้แล้วเนื่องจากมีทรัพย์สมบัติที่ต้องขนกลับไปด้วยมากมาย เขาทำสัญญาไว้กับหลี่ฟางตวนตั้งแต่เมื่อหลายเดือนก่อน
"แต่อย่างไรลูกก็ไม่วางใจ ลูกจะตามไปด้วยขอรับ หากว่าเกิดอะไรขึ้นจะได้ปกป้องท่านพ่อได้" หวังข่ายกล่าว สีหน้าของเขายังสื่ออกมาว่าไม่วางใจหัวหน้าสำนักคุ้มภัยคนใหม่นี้อยู่ดี
"ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจเจ้าเถอะ ดีเหมือกันเจ้าเองก็จะได้รู้จักนางมากขึ้น" อัครเสนาบดีหวังกล่าว
บทที่สามจุดพลิกผันสู่เจ้าสำนักน้อยเมื่อจัดการพิธีศพเรียบร้อยแล้วก็ไม่มีเวลาให้พวกเขาได้โศกเศร้าเสียใจมากนักเนื่องจากมีงานคั่งค้างที่ต้องสะสางอีกมากมาย ทั้งเรื่องเงินชดเชยที่จะต้องมอบให้กับบิดามารดาของพี่น้องที่เสียชีวิตไปและเรื่องงานที่รับจ้างไว้ก่อนหน้าที่หลี่ฟางตวนจะเสียชีวิต ทำเอาหลี่รุ่ยหลินวุ่นวายไปหมด"พี่ซีหยาง…นี่พวกเราถูกยกเลิกเลิกงานมากมายถึงเพียงนี้เลยหรือ" หลี่รุ่ยหลินถามอย่างประหลาดใจเมื่อเห็นบัญชีรายชื่อลูกค้าที่จ้างงานถูกขีดฆ่าชื่ออกไปมากมายซีหยางยิ้มแหย ๆ ให้กับนางเพราะไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไรดีให้กระทบกระเทือนจิตใจของหัวหน้าสำนักน้อยผู้นี้ให้น้อยที่สุด "เอ่อ…คือว่าลูกค้าของพวกเราหายไปราว ๆ เจ็ดส่วนขอรับคุณหนู เอ้ย…ขอรับนายหญิง"ด้วยความที่ยังไม่เคยชินที่จะเรียกหลีรุ่ยหลินว่านายหญิงพี่น้องสำนักคุ้มภัยต่างก็
บทที่สี่ประเดิมงานแรกเมื่อสองพ่อลูกขึ้นรถม้าไปแล้วหลีรุ่ยหลินกับไป๋ฮ่าวเทียนหัวหน้าหน่วยย่อยของสำนักคุ้มภัยก็เดินตรวจตราขบวนเดินทาง ระยะทางจากเมืองหลวงไปยังเมืองบ้านเกิดของอดีตอัครเสนาบดีหวังนั้นไกลพอสมควร ดังนั้นการตรวจขบวนเดินทางให้เรียบร้อยจึงสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ขบวนเดินทางค่อนข้างใหญ่มีข้าวของมากมายอาจจะทำให้การเดินทางล้าช้าไปบ้าง ไป๋ฮ่าวเทียนจึงคิดว่ากำลังคนที่เตรียมมาในครั้งนี้ไม่น่าจะพอ"นายหญิงแน่ใจแล้วหรือขอรับว่าจะไม่เรียกคนมาเพิ่ม จากที่ตรวจดูรายชื่อสมบัติและมูลค่าของที่ต้องคุ้มกันค่อนข้างสูงอยู่นะขอรับ" ไป๋ฮ่าวเทียนกล่าวไป๋ฮ่าวเทียนเคยนำขบวนคุ้มกันด้วยตนเองมาก่อน จากประสบการณ์ของเขาแล้วขบวนยาวถึงเพียงนี้ใช้คนคุ้มกันเพียงแค่สามสิบคนถือว่าน้อยเกินไป เพราะทุกครั้งที่เขาออกเดินทางหากว่าไม่ได้ไปกับนายท่านและคุณชายแล้วละก็จะต้องมีพรรคพวกไปด้วยไม่ต่ำกว่าห้าสิบคน ครั้
บทที่ห้าน้ำใจจากคุณชายหน้าขาว จุดหมายต่อไปที่พวกเขาจะเดินทางไปก็คือเมื่องเอี๋ยนเสียง แต่กว่าจะถึงเมืองเอี๋ยนเสียงนั้นยังคงต้องนอนในในป่ากันอีกราว ๆ สองคืนหากว่าเดินทางเร็ว แต่เท่าที่คาดการณ์แล้วคงเดินทางเร็วเกินไปไม่ได้เพราะท่านผู้เฒ่าหวังอดีตอัครเสนาบดีนั้นเริ่มชราแล้ว ระหว่างที่เดินทางสามวันสามคืนในป่านั้นทุกอย่างก็ปกติดี อัครเสานบดีหวังเองก็ไม่ได้อ่อนแออย่างที่คิด เขายังเดินเหินไปมาได้สะดวกทั้งยังใจดีทำอาหารแจกจ่ายให้กับบ่าวรับใช้และคนของสำนักคุ้มภัยด้วย หลี่รุ่ยหลินเองก็ไม่คิดว่าเขาจะเป็นคนดีถึงเพียงนี้ น่าเสียดายที่ราชสำนักไม่เห็นค่าคนดี ๆ เช่นเขา ส่วนคุณชายหน้าขาวนั้นก็หาได้เป็นภาระอะไรไม่ ผิดกับที่หลี่รุ่ยหลินคาดการณ
บทที่หกคิดจะลองดีกับต้าอันฉวนอย่างนั้นหรือพวกเขาออกจากเมืองเอี๋ยนเสียงในตอนเช้ามุ่งหน้าเข้าสู่เขตของเทือกเขาเถาซานซึ่งมีระยะทางยาวราวสามร้อยลี้ คณะเดินทางจะต้องพักแรมกันในเทือกเขาแห่งนี้ราวเจ็ดถึงสิบวันขึ้นอยู่กับความรวดเร็วในการเดินทาง ถนนหนทางในหุบเขาค่อนข้างจะลำบาก ไหนอาจจะมีเหตุที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นอีก ระยะทางต่อจากนี้เป็นช่วงที่อันตรายยิ่ง เพราะต้องเดินทางผ่านหุบเขาอันคดเคี้ยว จากนั้นก็พื้นที่ป่าไม่สะดวกสบายเหมือนเส้นทางที่ผ่านมา ไหนจะลมหนาวที่หนาวเย็นมากขึ้น หมอกที่ปกคลุมอยู่ตลอดทั้งวัน และพื้นที่ช่วงนี้เป็นช่วงที่ต้องระวังความปลอดภัยมากที่สุดเพราะเกิดการดักปล้นชิงกันอยู่บ่อยครั้ง ระหว่างที่เดินทางนั้นหลี่รุ่ยหลินกับหวังข่ายมองกันไปมาด้วยสายตาที่ไม่ค่อยพอใจนัก
บทที่เจ็ดการต่อสู้ที่ดุเดือด ในยุคที่บ้านเมืองแตกแยกและอยู่ในสภาวะระส่ำระสาย การปล้นชิงทรัพย์สินเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง ไม่ว่าจะเป็นในเมืองใหญ่หรือตามชนบท ราษฎรที่อดอยากและยากจนก็มักจะหันมาใช้วิธีการนี้ในการเลี้ยงชีพ ด้วยสภาพที่แทบจะเรียกได้ว่าล่มสลายและความขัดแย้งที่ปะทุขึ้นเรื่อยๆ ระหว่างกลุ่มอำนาจต่างๆ ในราชสำนัก ทำให้บ้านเมืองเข้าสู่ยุคมืดที่ไร้ซึ่งความมีศีลธรรมที่ราชสำนักเมื่อตระหนักถึงความอ่อนแอและการทุจริตในหมู่ขุนนาง ผู้มีอำนาจกลับใช้โอกาสนี้ในการกอบโกยทรัพย์สินและอำนาจ ทำให้ราชวงศ์ค่อยๆ สูญเสียความน่าเชื่อถือและอำนาจในการปกครองอัครเสนาบดีหวังซึ่งเคยเป็นเสาหลักในการบริหารแผ่นดิน ยืนหยัดทำหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์และมุ่งมั่นมาตลอดชีวิต แต่เมื่อเวลาผ่านไปเขาก็เริ่มรู้สึกถึงการเป
บทที่แปดออกเดินทางต่อ หลังจากการต่อสู้ที่ดุเดือดและยาวนานจบลง ความเงียบสงัดก็เข้ามาปกคลุมแทนที่ เสียงหอบหายใจของเหล่าพี่น้องสำนักคุ้มภัยดังขึ้นท่ามกลางบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า พวกเขายืนอยู่ท่ามกลางซากศพของพวกโจรที่ถูกกำจัดจนหมดสิ้นไม่มีผู้ใดเหลือรอดจากการปะทะครั้งนี้หลี่รุ่ยหลินมองไปรอบๆ นางเห็นพี่น้องสำนักคุ้มภัยหลายคนได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้ แต่ก็เป็นเพียงบาดแผลเล็กน้อยเท่านั้นไม่ได้เป็นอันตรายถึงชีวิต ทุกคนต่างเหนื่อยล้าจากการสู้รบแต่ยังคงยืนหยัดอยู่ได้ด้วยพลังใจที่เข้มแข็ง“พี่น้องต้าอันฉวน การต่อสู้จบลงแล้ว” หลี่รุ่ยหลินกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความภูมิใจแต่ก็ยังมีความรู้สึกเหนื่อยล้าแสดงออกมาให้เห็นจากน้ำเสียงนั้นพี่น้องสำนักคุ้มภัยต่างพยั
บทที่เก้าจบงาน ณ เมืองเสวียนเทียนค่ำคืนนี้เมืองเสวียนเทียนถูกปกคลุมด้วยบรรยากาศที่คึกคักและอบอุ่น หลังจากที่พวกเขาเดินทางมาอย่างยาวนานในที่สุดก็ได้มาถึงเมืองที่เป็นบ้านเกิดของอดีตอัครเสนาบดีเสียที เมืองชายแดนอันเงียบสงบล้อมรอบไปด้วยภูเขาและป่าไม้เมื่อคณะของหลี่รุ่ยหลินเดินทางเข้ามาในเมืองทุกอย่างก็เป็นไปอย่างราบรื่น พวกชาวเมืองต่างให้การต้อนรับเป็นอย่างดี พวกเขาเคารพอัครเสนาบดีหวังซึ่งเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงและทำคุณประโยชน์แก่แผ่นดิน เจ้าเมืองเสวียนเทียนได้จัดงานเลี้ยงต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่ขึ้น เพื่อเป็นการขอบคุณหลี่รุ่ยหลินและพี่น้องสำนักคุ้มภัยที่ช่วยคุ้มกันและดูแลความปลอดภัยของอดีตอัครเสนาบดีมาตลอดการเดินทางงานเลี้ยงถูกจัดขึ้นที่จวนของเจ้าเมือง ทั้งจวนประดับประดาไปด้วยโคมไฟหลากสีและดอกไม้สดที่ถูกจัด
บทที่สิบศัตรูคู่อาฆาต การต่อสู้ดำเนินไปอย่างดุเดือด เสียงอาวุธปะทะกันดังก้องไปทั่วทั้งบริเวณ จงเหยียนมุ่งตรงเข้าหาหลี่รุ่ยหลินอย่างไม่รอช้า มันมีฝีมือที่รวดเร็วและดุดันกว่าคนอื่นๆ ที่เคยเผชิญหน้ามาก่อนทำให้หลี่รุ่ยหลินต้องโต้ตอบอย่างเต็มกำลัง แม้ว่านางจะเก่งกาจแต่จงเหยียนก็ไม่ใช่ศัตรูที่ประมือได้ง่าย หากว่ามันไม่มีฝีมือจริงก็ไม่สามารถสังหารบิดาและพี่ชายของนางได้หรอกขณะที่ทั้งสองต่อสู้กันนั้นจงเหยียนฉวยโอกาสในจังหวะที่หลี่รุ่ยหลินเผลอชักเอาขวดเล็กๆ ออกมาจากอกเสื้อ คลายจุกออกอย่างรวดเร็วแล้วสาดผงควันสีขาวนวลพุ่งเข้าหานางโดยไม่ให้ทันตั้งตัว“ควันสลบ” หลี่รุ่ยหลินรู้ทันทีว่าตนกำลังเผชิญกับอะไร นางพยายามหลบแต่ไม่ทัน ควันสีขาวปกคลุมร่างของนางในทันที เมื่อสูดเข้าไปแล้วก็ทำให้หัวเริ่มมึนงงและรู้สึ