Share

บทที่ 2 ช่วงเวลาแห่งการสูญเสีย

บทที่สอง

ช่วงเวลาแห่งการสูญเสีย

 

เสียงฝีเท้าม้าวิ่งมาอย่างเร่งรีบหยุดลงที่หน้าประตูสำนักคุ้มภัยต้าอันฉวน ร่างที่เต็มไปด้วยเลือดของพี่น้องสำนักคุ้มภัยคนหนึ่งร่วงลงมาจากหลังม้า คนที่เฝ้าประตูอยู่รีบไปประคองเขาทันที ทั้งเนื้อทั้งตัวของเขามีแต่คราบเลือดเต็มไปหมดทั้งยังมีบาดแผลอีกมากมาย เขารอดมาจนถึงสำนักได้นั้นก็ถือว่าโชคดีมากแล้ว

"พี่ซีหยาง…เกิดเรื่องอันใดขึ้น" นายประตูถาม

"พาข้าไปหาฮูหยินกับคุณหนู…ตอนนี้" เขากล่าวด้วยเสียงที่แผ่วเบา

นายประตูทั้งสองคนรีบหามร่างที่บาดเจ็บสาหัสของซีหยางเข้าไป เขาไม่ยอมไปรักษาตัวยืนยันว่าถึงอย่างไรก็ต้องพบฮูหยินกับคุณหนูก่อน พวกเขาจึงพาไปยังห้องหนังสือ ที่นั่นหลี่รุ่ยหลินนั่งทำงานอยู่อย่างเคร่งเครียด เหลือก็แต่เพียงหลี่ฮูหยินมารดาของนางที่กำลังรีบมา

"พี่ซีหยางเกิดเรื่องอันใดขึ้น เหตุใดท่านถึงได้กลับมาในสภาพเช่นนี้" หลี่รุ่ยหลินกล่าวด้วยความตกใจ จากนั้นลุกขึ้นจากโต๊ะไปประคองเขา นางหันไปบอกอีกคน "พี่เจี๋ยเหล่ย ไปตามท่านหมอเหลียงมาที"

ซีหยางพยายามประคองตนเองให้นั่งบนเก้าอี้อย่างยากลำบาก เงยหน้ามองคุณหนูของตนแล้วกล่าว "คุณหนูต้องทำใจดี ๆ ไว้นะขอรับ"

ได้ยินดังนั้นหลี่รุ่ยหลินก็เริ่มสีหน้าไม่ดีแล้ว ดูจากสภาพของซีหยางและคำพูดของเขาตอนนี้ย่อมเป็นเรื่องไม่ดีเป็นแน่ แต่ทว่านางก็พยายามทำใจแข็งไว้เพื่อเตรียมพร้อมรับฟังในสิ่งที่ซีหยางกำลังจะบอก

"นายท่านกับคุณชายเสียชีวิตแล้วขอรับ" ซีหยางกล่าว

หลังจากที่ซีหยางพูดยังไม่ทันขาดคำหลี่ฮูหยินที่กำลังก้าวเข้ามาในห้องก็ถึงกับเป็นลมล้มพับลงไปตรงนั้น ข่าวร้ายครั้งนี้ทำเอาหัวใจของผู้เป็นภรรยาและแม่แตกสลาย หลี่รุ่ยหลินถึงกับต้องปล่อยมือจากซีหยางเพื่อมาดูมารดาของตน 

"พวกเจ้าพาท่านแม่ไปพักก่อน" หลี่รุ่ยหลินสั่ง เหล่าสาวใช้พอได้ยินแล้วก็รีบพยุงหลี่ฮูหยินกลับห้องไปทันที 

"พี่ซีหยาง…อดทนอีกหน่อยนะเจ้าคะ ประเดี๋ยวท่านหมอเหลียงก็มาแล้ว ระหว่างนี้ท่านพอจะเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ข้าฟังได้หรือไม่" หลี่รุ่ยหลินถาม นางพยายามทำเท่าที่ทำได้ซึ่งก็คือหาผ้ามาช่วยห้ามเลือดให้เขา

ซีหยางสูดลมหายใจเข้าเพื่อข่มกลั้นความเจ็บปวดก่อนจะเริ่มต้นเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้หลี่รุ่ยหลินฟังช้า ๆ "พวกเราคุ้มครองขบวนสินค้าของคหบดีเจียงไปจนถึงหุบเขาไจ่เซียง ในตอนที่เข้าไปในหุบเขานั้นนายท่านกับคุณชายสังเกตเห็นแล้วว่ามีพวกโจรตามมา พวกเราวางแผนที่จะตั้งรับแล้วแต่ว่าพวกมันมีมากเกินไป มากันเป็นร้อยคนทั้งยังบุกเข้ามาในตอนกลางคืน นายท่านเห็นว่าพวกเราน่าจะต้านเอาไว้ไม่ไหวเลยส่งข้ามาแจ้งข่าวก่อน ข้าบอกนายท่านแล้วว่าให้เขากับคุณชายหนีไปเสียแต่พวกเขาไม่ยอม บอกว่าต่อให้พวกเขาหนีไปโจรกลุ่มนี้ก็จะตามล่าพวกเขาอยู่ดี นายท่านไม่อาจทิ้งพี่น้องของพวกเราให้ตายอยู่ที่นั่นได้ พอข้าควบม้าออกม้าแล้วหันกลับไปนายท่านกับคุณชายก็จมกองเลือดไปแล้วขอรับ"

หลี่รุ่ยหลินได้ฟังแล้วก็ร้องไห้ออกมา นางไม่คิดว่าจะเกิดเหตุร้ายขึ้นเพราะที่ผ่านมาบิดากับพี่ชายเองก็รับมือกับโจรพวกนี้มาได้ตลอด ทั้งสองมีฝีมือที่เก่งกาจไม่ใช่น้อย แต่ครั้งนี้กลับมาพลาดท่าเสียทีได้ คิดแล้วก็ทั้งเสียใจทั้งแค้นใจแทบอย่างจะจับดาบออกไปสู้กับพวกมันเสียตอนนี้เลย

"พวกมันเป็นใคร" หลี่รุ่ยหลินเค้นเสียงถามอย่างเคียดแค้น

"เป็นกลุ่มของจงเหยียนขอรับ" ซีหยางตอบ

"เป็นพวกมันอีกแล้ว คอยดูเถอะข้าจะล้างแค้นให้ท่านพ่อกับท่านพี่ให้จงได้" หลี่รุ่ยหลินประกาศกร้าว ความแค้นครั้งนี้ก่อให้เกิดความมุ่งมั่นอย่างมหาศาล ไม่เพียงแต่หลี่รุ่ยหลินเท่านั้นที่โกรธแค้นแต่เหล่าพี่น้องทั้งสำนักคุ้มภัยต้าอันฉวนต่างก็โกรธแค้นพวกจงเหยียนเช่นกัน

นับตั้งแต่วันนี้ไปภาระอันหนักอึ้งในการดูแลสำนักคุ้มภัยต้าอันฉวนต้องตกเป็นของหลี่รุ่ยหลินในฐานะคุณหนูที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวของตระกูล มารดาของนางในตอนนี้อ่อนแอเสียจนแทบจะยืนด้วยตนเองไม่ได้ หากว่าไม่ใช่หลี่รุ่ยหลินก็คงไม่มีผู้ใดที่จะสามารถทำได้อีกแล้ว

นางสั่งการให้พี่น้องจำนวนหนึ่งเดินทางไปยังหุบเขาไจ่เซียงเพื่อนำศพของบิดา พี่ชายและพี่น้องที่เสียชีวิตทั้งหมดกลับมา พิธีศพถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่าย เป็นเพราะหลี่รุ่ยหลินไม่ต้องการให้งานเอิกเริกจนเกินไป เพียงเท่านี้พี่น้องสำนักคุ้มภัยก็เสียใจกันมากพอแล้ว

พี่น้องสำนักคุ้มภัยที่เสียชีวิตนั้นจะได้รับเกียรติให้ฝั่งร่วมกับคนสกุลหลี่เนื่องจากนับว่าพวกเขาเป็นญาติพี่น้องทุกคน ส่วนครอบครัวของพวกเขาที่อยู่นอกเมืองสกุลหลี่จะให้เงินชดเชยตามสมควร อย่างน้อยบิดามารดาของพวกเขาก็สามารถใช้กินอยู่ไปได้ตลอดชีวิต

งานศพเป็นไปอย่างโศกเศร้า ขบวนลำเลียงโลงศพกว่าสามสิบโลงเคลื่อนผ่านถนนใจกลางเมืองหลวงมุ่งหน้าไปยังสุสานของสกุลหลี่ หลี่รุ่ยหลินกับหลี่ฮูหยินถือป้ายวิญญาณของหลี่ฟางตวนและหลี่เว่ยตงนำขบวนไป กระดาษสีขาวถูกโปรยไปตามทาง ชาวเมืองต่างก็แห่กันมาดูขบวณศพของสกุลหลี่กันด้วยความเศร้าโศกเสียใจ อดคิดไม่ได้ว่าการทำงานในสำนักคุ้มภัยนั้นมีความเสี่ยงมากจริง ๆ

ระหว่างที่สกุลหลี่กำลังเคลื่อนศพ ชายชราผู้หนึงที่ยั่งอยู่บนชั้นสองของร้านอาหารเสี่ยวไฉก็มองลงมาอย่างเวทนา เขาอดที่จะสงสารคนสกุลหลี่ไม่ได้ที่ต้องสูญเสียเสาหลักของครอบครัวไป มาบัดนี้ผู้นำของตระกูลเหลือเพียงแค่หญิงสาวผู้ที่เพิ่งจะเลยวัยปักปิ่นมาไม่นานคนหนึ่ง หวังว่านางคงจะเข้มแข็งและพาสกุลหลี่ให้ผ่านพ้นช่วงแห่งความลำบากนี้ไปได้

"ท่านพ่อ…การเดินทางกลับบ้านเกิดครั้งนี้ท่านพ่อยังจะจ้างสำนักคุ้มภัยต้าอันฉวนอยู่อีกหรือขอรับ หัวหน้าสำนักตอนนี้เป็นเพียงหญิงสาวตัวเล็ก ๆ อายุน้อยกว่าลูกเสียด้วยซ้ำ ลูกไม่มั่นใจว่านางจะสามารถคุ้มครองท่านพ่อกับทรัพย์สมบัติไปจนถึงบ้านเกิดได้" หวังข่ายบุตรชายของอัครเสนาบดีหวังกล่าวขึ้น 

หวังข่ายผู้นี้เดิมทีก็เชื่อมั่นในสำนักคุ้มภัยต้าอันฉวนพราะว่าเป็นถึงสำนักคุ้มภัยอันดับหนึ่งของเมืองหลวง แต่ว่าตอนนั้นไม่เหมือนตอนนี้ เขาไม่คิดว่าหญิงสาวคนหนึ่งจะดูแลสำนักที่ใหญ่ถึงเพียงนี้ได้อีกทั้งยังไม่เคยเห็นฝีมือของนางเลยสักครั้ง

"เจ้าอย่าได้อคติกับนางนักเลย อย่างน้อยนางก็เป็นบุตรสาวของหลี่ฟางตวน คงต้องมีดีอยู่บ้างมิเช่นนั้นแล้วพี่น้องในสำนักของนางจะยอมรับนางได้อย่างไร" อัครเสนาบดีหวังกล่าว

อัครเสนาบดีหวังมีกำหนดกลับบ้านเกิดในอีกสิบวันข้างหน้า เขาทำงานรับใช้ราชสำนักมาเป็นเวลาหลายปีตั้งแต่ที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนยังครองราชย์อยู่ มาบัดนี้รู้สึกว่าตนเองแก่ชรามากแล้วทั้งยังรู้สึกว่าราชสำนักตอนนี้ไม่เหมือนเดิมจึงได้ตัดสินใจเกษียณตนเองกลับบ้านเกิด และการเดินทางกลับบ้านเกิดในครั้งนี้ก็ได้ว่าจ้างสำนักคุ้มภัยต้าอันฉวนไว้แล้วเนื่องจากมีทรัพย์สมบัติที่ต้องขนกลับไปด้วยมากมาย เขาทำสัญญาไว้กับหลี่ฟางตวนตั้งแต่เมื่อหลายเดือนก่อน

"แต่อย่างไรลูกก็ไม่วางใจ ลูกจะตามไปด้วยขอรับ หากว่าเกิดอะไรขึ้นจะได้ปกป้องท่านพ่อได้" หวังข่ายกล่าว สีหน้าของเขายังสื่ออกมาว่าไม่วางใจหัวหน้าสำนักคุ้มภัยคนใหม่นี้อยู่ดี

"ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจเจ้าเถอะ ดีเหมือกันเจ้าเองก็จะได้รู้จักนางมากขึ้น" อัครเสนาบดีหวังกล่าว

Related chapters

Latest chapter

DMCA.com Protection Status