บทที่ห้า
น้ำใจจากคุณชายหน้าขาว
จุดหมายต่อไปที่พวกเขาจะเดินทางไปก็คือเมื่องเอี๋ยนเสียง แต่กว่าจะถึงเมืองเอี๋ยนเสียงนั้นยังคงต้องนอนในในป่ากันอีกราว ๆ สองคืนหากว่าเดินทางเร็ว แต่เท่าที่คาดการณ์แล้วคงเดินทางเร็วเกินไปไม่ได้เพราะท่านผู้เฒ่าหวังอดีตอัครเสนาบดีนั้นเริ่มชราแล้ว
ระหว่างที่เดินทางสามวันสามคืนในป่านั้นทุกอย่างก็ปกติดี อัครเสานบดีหวังเองก็ไม่ได้อ่อนแออย่างที่คิด เขายังเดินเหินไปมาได้สะดวกทั้งยังใจดีทำอาหารแจกจ่ายให้กับบ่าวรับใช้และคนของสำนักคุ้มภัยด้วย หลี่รุ่ยหลินเองก็ไม่คิดว่าเขาจะเป็นคนดีถึงเพียงนี้ น่าเสียดายที่ราชสำนักไม่เห็นค่าคนดี ๆ เช่นเขา
ส่วนคุณชายหน้าขาวนั้นก็หาได้เป็นภาระอะไรไม่ ผิดกับที่หลี่รุ่ยหลินคาดการณ์ไว้ยิ่งนัก เขากินอาหารที่ปรุงง่าย ๆ ได้โดยที่ไม่เรื่องมาก ทั้งยังนอนในกระโจมที่ทำไว้อย่างลวก ๆ ทีแรกนึกว่าเขาจะไม่สะดวกเสียอีกแต่ทว่าตลอดทางที่มานั้นเขาไม่เคยบ่นเลยสักคำ
"อีกราวยี่สิบลี้ก็จะถึงเมืองเอี๋ยนเสียงแล้วขอรับนายหญิง" ไป๋ฮ่าวเทียนรายงาน
"ถ้าอย่างนั้นส่งคนขี่ม้าไปบอกที่จุดพักม้าสักหน่อยว่าอดีตอัครเสนาบดีกำลังเดินทางไป จะขอพักที่จุดพักม้าสักคืน" หลี่รุ่ยหลินหันไปบอกกับผู้ช่วยคนสนิท
ได้รับคำสั่งแล้วไป๋ฮ่าวเทียนก็ขี่ม้าไปที่ด้านหลังขบวนเพื่อบอกกับพี่น้องสำนักคุ้มภัยคนหนึ่งให้ขี่ม้าไปแจ้งข่าวที่จุดพักม้าล่วงหน้าเพื่อให้พวกเขาเตรียมการเอาไว้ก่อน ระยะทางยี่สิบลี้คงใช้เวลาร่วมหนึ่งชั่วยาวได้กว่าขบวนเดินทางจะไปถึง
ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงจุดพักม้า ที่ตัดสินใจพักกันที่นี่ก็เพราะไม่อยากขนข้าวของมากมายนี้เข้าไปในเมืองให้วุ่นวาย จุดพักม้าเองก็เป็นที่พักที่ค่อนข้างดีและสะดวกสบาย ทหารที่จุดพักม้าต้อนรับพวกเขาเป็นอย่างดีเพราะผู้มาเยือนเป็นถึงอดีตอัครเสานาบดีของแคว้น
"ยังเหลือระยะทางอีกเท่าไรหรือท่านพ่อกว่าจะถึงบ้านเดิมของท่าน" หวังข่ายถามในขณะที่กำลังนั่งจิบชาพักผ่อนอยู่กับบิดาที่โถงด้านในจุดพักม้า
อัครเสนาบดีหวังลูบเคราของตัวเองอย่างครุ่นคิด เป็นเพราะว่าไม่ได้กลับไปเยือนบ้านเกิดเป็นเวลาหลายสิบปีแล้วจึงไม่แน่ใจในระยะทางสักเท่าไร "จากเมืองหลวงไปก็น่าจะเกินพันลี้ได้ นี่พวกเราเองก็เพิ่งผ่านมาได้ไม่เท่าไร พ่อจำได้ว่ายังต้องผ่านเมื่องใหญ่ ๆ อีกสองเมือง"
"เหตุใดท่านพ่อจึงไม่อยู่กับลูกที่จวนในเมืองหลวงเล่าขอรับ เหตุใดต้องดั้นด้นกลับบ้านเกิดด้วย ความเป็นอยู่ที่นั่นก็ใช่ว่าจะสบาย ทั้งยังอยู่ห่างจากลูกแล้วผู้ใดจะดูแล" หวังข่ายมีสีหน้าที่เป็นห่วงบิดาอย่างชัดเจน
"เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงพ่อหรอก เจ้าอยู่ที่เมืองหลวงทำหน้าที่ของตนเองให้ดีก็เป็นพอ พ่ออยู่กับบ่าวรับใช้ตั้งหลายคนหาได้มีปัญหาไม่ ที่พ่อตัดสินใจกลับบ้าเกิดก็เป็นเพราะไม่ต้องการที่จะเห็นความเนาะเฟะของคนพวกนั้นอีกแล้ว ไปอยู่ไกล ๆ ย่อมสบายใจกว่า" อัครเสนาบดีหวังอธิบาย
"ถ้าท่านพ่อเห็นสมควรแล้วก็ตามแต่ท่านพ่อขอรับ" หวังข่ายว่า
หลี่รุ่ยหลินที่นั่งที่โต๊ะอีกตัวหนึ่งไม่ได้ตั้งใจจะแอบฟังแต่การสนาทนาของสองพ่อลูกนั้นดังพอสมควร นางได้ยินที่หวังข่ายพูดแล้วก็รู้สึกว่าจะมองเขาให้แง่ดีขึ้นมาบ้างตรงที่อย่างน้อยเขาก็มีความกตัญญูต่อบิดาเป็นอย่างยิ่ง ไม่เป็นคุณชายหน้าขาวที่จิตใจคับแคบเสียทีเดียว
เรื่องที่หวังข่ายเป็นถึงราชบัณฑิตนั้นหลี่รุ่ยหลินไม่เคยรู้เรื่องมาก่อน เพราะที่ผ่านมานางเอาแต่ฝึกวิชาอยู่ในจวนไม่สนใจโลกภายนอก อย่างมากที่สุดที่นางสนใจก็คือของกินกับอาวุธเท่านั้น ที่รู้จักอัครเสนาบดีหวังก็เพราะว่าเขาเป็นบุคคลสำคัญของแคว้นมาสองสมัย แต่สำหรับบุตรชายของเขาหวังข่ายนั้นเป็นเพียงคุณชายหน้าขาวเจ้าสำราญในสายตาของนาง ก็ใครให้เขาหน้าตาเกลี้ยงเกลางดงามราวกับสตรีเล่า
ตกเย็นหลี่รุ่ยหลินอยากเข้าไปเที่ยวเล่นในเมืองจึงกำชับให้พี่น้องสำนักคุ้มภัยดูแลสองพ่อลูกกับทรัพย์สมบัติให้ดี คืนนี้นางค่อนข้างวางใจเป็นพิเศษเพราะจุดพักม้านี้เป็นสถานที่ของทางการ ทั้งยังมีทหารคอยรักษาความปลอดภัยอยู่จำนวนหนึ่ง
ที่แรกที่นางมุ่งหน้าไปก็คือตลาดกลางคืนของเมืองเอี๋ยนเสียง ตลาดไม่ใหญ่มากแต่มีของขายมากมายพอสมควร นางเดินเข้าร้านนั้นออกร้านนี้อยู่พักใหญ่แล้วจึงไปหยุดยืนที่หน้าร้านตีเหล็กร้านหนึ่งเพราะว่าถูกใจพลองที่ทำจากเหล็กที่ตั้งอยู่หน้าร้าน
"เถ้าแก่ ข้าขอลองพลองอันนี้หน่อยได้หรือไม่เจ้าคะ" หลี่รุ่ยหลินถามเจ้าของร้านที่กำลังตีเหล็กอย่างขะมักขเม้น
เจ้าของร้านดูท่าทางนางแล้วก็รู้ว่าจะต้องเป็นผู้ฝึกยุทธ์เป็นแน่จึงได้อนุญาตอย่างง่ายดาย "ได้สิ เจ้าลองเลย แต่ว่าพลองนี่น่าจะหนักเกินไปสำหรับหญิงสาวอยู่"
"ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ข้าของลองดูก่อน ถ้าหากว่าไม่หนักเกินไปแล้วข้าควงได้คล่องข้าก็จะซื้อ" หลี่รุ่ยหลินว่า
เมื่อเจ้าของร้านอนุญาตแล้วนางก็หยิบพลองอันนั้นขึ้นมาแล้ววาดลวดลายการควงพลองทันที ท่าทางในการต่อสู้ของนางโดยใช้อาวุธชิ้นนี้นั้นดูคล่องแคล่วว่องไวทั้งยังสง่างามอย่างยิ่งจนเจ้าของร้านเองก็แปลกใจ ไม่คิดว่าน้ำหนักพลองที่หนังเกินยี่สิบชั่งนั้นไม่สามารถทำให้นางรู้สึกหนักได้เลย ชาวเมืองที่ผ่านไปผ่านมาแถวนั้นก็หยุดมุงดูลีลาการใช้อาวุธของนาง ต่างก็อ้าปากค้างกันเป็นแถว
และในจังหวะสุดท้ายที่นางเก็บพลองแนบเข้ากับตัวนั้นมัวแต่ยิ้มให้ผู้คนที่ชื่นชมอยู่จนลืมระวังไปว่ามีแจกันอยู่ด้านหลัง ด้ามพลองข้างหนึ่งจึงไปฟาดเข้ากับแจกันนั้นอย่างจังทำเอามันแตกร่วงลงสู่พื้น ชาวเมืองที่ชื่นชมนางอยู่นั้นก็หัวเราะให้นางไปทีหนึ่ง นางเองก็ทำหน้าเจื่อนก็จะยกมือขึ้นทำท่าคารวะแล้วกล่าวขอโทษต่อเจ้าของร้าน
"เถ้าแก่…ข้าไม่ทันระวังต้องขอภัยด้วย ค่าเสียหายของแจกันนี้ท่านคิดรวมกับค่าพลองมาเลย ตกลงข้าซื้อ" หลี่รุ่ยหลินกล่าว
"ดีเลยแม่นาง พลองด้ามนี้เหมาะกับเจ้าเป็นที่สุด" เสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากกลุ่มชาวเมืองที่ยืนห้อมล้อมอยู่
ในขณะที่เจ้าของร้านกำลังคิดเงินอยู่นั้นหลี่รุ่ยหลินก็ล้วงเข้าไปในอกเสื้อทว่าไม่พบถุงเงินของตนเอง สีหน้าที่ยินดีปรีดาบัดนี้เปลี่ยนมาเป็นตกใจ มือทั้งสองก็คลำหาถุงเงินไปทั่วร่างกายแต่ว่าก็ไม่เจอ ในใจพลันครุ่นคิดว่าลืมถุงเงินไว้ที่ใด ในที่สุดก็คิดออกว่าอยู่บนหัวเตียงในห้องพักที่จุดพักม้านั่นเอง
และนางก็เข้ามาในเมืองเพียงคนเดียวด้วย ไม่มีผูใดติดตามมา จะใช้ให้ใครกลับไปเอาก็ไม่ได้ จึงได้ยิ้มเจื่อน ๆ ให้กับเจ้าของร้าน "เถ้าแก่…ข้าลืมถุงเงินไว้ที่จุดพักม้า ข้าขอนุญาตกลับไปเอาก่อนได้หรือไม่เจ้าคะ รับรองว่าข้าไม่เบี้ยวท่านแน่"
เจ้าของร้านเองก็ไม่ใช่คนใจจืดใจดำอะไร เขามองออกว่านางคงไม่ใช่คนไม่ดีจึงจะอนุญาต แต่ทว่าเขายังไม่ทันได้เอ่ยปากออกไปก็มีคุณชายท่านหนึ่งโผล่มาจากด้านหลัง
"ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวข้าจ่ายให้เจ้าเอง กลับไปกลับมาเสียเวลาเปล่า ๆ นี่ประตูเมืองก็ใกล้จะปิดแล้วด้วย" เจ้าของเสียงก้าวเท้าขึ้นมาด้านหน้าจนยืนเสมอกับหลี่รุ่ยหลิน
"คุณชายหวัง ท่านมาได้อย่างไร" หลี่รุ่ยหลินถามอย่างประหลาดใจ
"อย่าถามมากเลย จ่ายเงินก่อน" เขาพูดจบก็หันไปคุยกับเจ้าของร้านแล้วทำการจ่ายเงินให้นางเป็นที่เรียบร้อย
ทั้งสองเดินออกมาจากร้านด้วยกันก็ไม่ได้สนทนากันอย่างเป็นมิตรสักเท่าไร ระหว่างทางกลับนั้นก็กล่าววาจากระทบกระทั่งกันบ้างทว่าก็กลับเดินด้วยกันไม่ห่าง
"กลับไปถึงแล้วข้าจะคืนเงินให้กับท่าน" หลี่รุ่ยหลินกล่าว
"ไม่ต้องหรอก ถือเสียว่าเป็นรางวัลที่ข้ามอบให้เจ้าในการอารักขาข้ากับท่านพ่อไปยังบ้านเกิด" หวังข่ายตอบ
ยิ่งเขาพูดหลี่รุ่ยหลินก็ยิ่งรับเอาไว้ไม่ได้ "ยังไม่มีผลงานไหนเลยจะรับความชอบ"
"รับไปแล้วก็ค่อยทำความชอบทีหลังก็แล้วกัน อย่างไรก็คุ้มครองข้ากับท่านพ่อและทรัพย์สินทั้งหมดให้ปลอดภัย" หวังข่ายพูดโดยที่ไม่หันไปมองหน้านาง จากนั้นก็เหมือนคิดอะไรออกจึงพูดต่อ "อีกอย่าง เป็นถึงหัวหน้าสำนักคุ้มภัยอย่าได้ขี้ลืมเช่นนี้อีก เจ้ายังมีหลายอย่างที่ต้องรับผิดชอบ"
พูดจบเขาก็เร่งฝีเท้าเดินให้ถึงจุดพักม้าโดยเร็ว ส่วนหลี่รุ่ยหลินที่ขาสั้นกว่านั้นก็วิ่งตามเขาไป ทั้งสองยังสนทนากันไม่หยุดราวกับว่าทะเลาะกับไปตลอดทาง
บทที่หกคิดจะลองดีกับต้าอันฉวนอย่างนั้นหรือพวกเขาออกจากเมืองเอี๋ยนเสียงในตอนเช้ามุ่งหน้าเข้าสู่เขตของเทือกเขาเถาซานซึ่งมีระยะทางยาวราวสามร้อยลี้ คณะเดินทางจะต้องพักแรมกันในเทือกเขาแห่งนี้ราวเจ็ดถึงสิบวันขึ้นอยู่กับความรวดเร็วในการเดินทาง ถนนหนทางในหุบเขาค่อนข้างจะลำบาก ไหนอาจจะมีเหตุที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นอีก ระยะทางต่อจากนี้เป็นช่วงที่อันตรายยิ่ง เพราะต้องเดินทางผ่านหุบเขาอันคดเคี้ยว จากนั้นก็พื้นที่ป่าไม่สะดวกสบายเหมือนเส้นทางที่ผ่านมา ไหนจะลมหนาวที่หนาวเย็นมากขึ้น หมอกที่ปกคลุมอยู่ตลอดทั้งวัน และพื้นที่ช่วงนี้เป็นช่วงที่ต้องระวังความปลอดภัยมากที่สุดเพราะเกิดการดักปล้นชิงกันอยู่บ่อยครั้ง ระหว่างที่เดินทางนั้นหลี่รุ่ยหลินกับหวังข่ายมองกันไปมาด้วยสายตาที่ไม่ค่อยพอใจนัก
บทที่เจ็ดการต่อสู้ที่ดุเดือด ในยุคที่บ้านเมืองแตกแยกและอยู่ในสภาวะระส่ำระสาย การปล้นชิงทรัพย์สินเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง ไม่ว่าจะเป็นในเมืองใหญ่หรือตามชนบท ราษฎรที่อดอยากและยากจนก็มักจะหันมาใช้วิธีการนี้ในการเลี้ยงชีพ ด้วยสภาพที่แทบจะเรียกได้ว่าล่มสลายและความขัดแย้งที่ปะทุขึ้นเรื่อยๆ ระหว่างกลุ่มอำนาจต่างๆ ในราชสำนัก ทำให้บ้านเมืองเข้าสู่ยุคมืดที่ไร้ซึ่งความมีศีลธรรมที่ราชสำนักเมื่อตระหนักถึงความอ่อนแอและการทุจริตในหมู่ขุนนาง ผู้มีอำนาจกลับใช้โอกาสนี้ในการกอบโกยทรัพย์สินและอำนาจ ทำให้ราชวงศ์ค่อยๆ สูญเสียความน่าเชื่อถือและอำนาจในการปกครองอัครเสนาบดีหวังซึ่งเคยเป็นเสาหลักในการบริหารแผ่นดิน ยืนหยัดทำหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์และมุ่งมั่นมาตลอดชีวิต แต่เมื่อเวลาผ่านไปเขาก็เริ่มรู้สึกถึงการเป
บทที่แปดออกเดินทางต่อ หลังจากการต่อสู้ที่ดุเดือดและยาวนานจบลง ความเงียบสงัดก็เข้ามาปกคลุมแทนที่ เสียงหอบหายใจของเหล่าพี่น้องสำนักคุ้มภัยดังขึ้นท่ามกลางบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า พวกเขายืนอยู่ท่ามกลางซากศพของพวกโจรที่ถูกกำจัดจนหมดสิ้นไม่มีผู้ใดเหลือรอดจากการปะทะครั้งนี้หลี่รุ่ยหลินมองไปรอบๆ นางเห็นพี่น้องสำนักคุ้มภัยหลายคนได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้ แต่ก็เป็นเพียงบาดแผลเล็กน้อยเท่านั้นไม่ได้เป็นอันตรายถึงชีวิต ทุกคนต่างเหนื่อยล้าจากการสู้รบแต่ยังคงยืนหยัดอยู่ได้ด้วยพลังใจที่เข้มแข็ง“พี่น้องต้าอันฉวน การต่อสู้จบลงแล้ว” หลี่รุ่ยหลินกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความภูมิใจแต่ก็ยังมีความรู้สึกเหนื่อยล้าแสดงออกมาให้เห็นจากน้ำเสียงนั้นพี่น้องสำนักคุ้มภัยต่างพยั
บทที่เก้าจบงาน ณ เมืองเสวียนเทียนค่ำคืนนี้เมืองเสวียนเทียนถูกปกคลุมด้วยบรรยากาศที่คึกคักและอบอุ่น หลังจากที่พวกเขาเดินทางมาอย่างยาวนานในที่สุดก็ได้มาถึงเมืองที่เป็นบ้านเกิดของอดีตอัครเสนาบดีเสียที เมืองชายแดนอันเงียบสงบล้อมรอบไปด้วยภูเขาและป่าไม้เมื่อคณะของหลี่รุ่ยหลินเดินทางเข้ามาในเมืองทุกอย่างก็เป็นไปอย่างราบรื่น พวกชาวเมืองต่างให้การต้อนรับเป็นอย่างดี พวกเขาเคารพอัครเสนาบดีหวังซึ่งเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงและทำคุณประโยชน์แก่แผ่นดิน เจ้าเมืองเสวียนเทียนได้จัดงานเลี้ยงต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่ขึ้น เพื่อเป็นการขอบคุณหลี่รุ่ยหลินและพี่น้องสำนักคุ้มภัยที่ช่วยคุ้มกันและดูแลความปลอดภัยของอดีตอัครเสนาบดีมาตลอดการเดินทางงานเลี้ยงถูกจัดขึ้นที่จวนของเจ้าเมือง ทั้งจวนประดับประดาไปด้วยโคมไฟหลากสีและดอกไม้สดที่ถูกจัด
บทที่สิบศัตรูคู่อาฆาต การต่อสู้ดำเนินไปอย่างดุเดือด เสียงอาวุธปะทะกันดังก้องไปทั่วทั้งบริเวณ จงเหยียนมุ่งตรงเข้าหาหลี่รุ่ยหลินอย่างไม่รอช้า มันมีฝีมือที่รวดเร็วและดุดันกว่าคนอื่นๆ ที่เคยเผชิญหน้ามาก่อนทำให้หลี่รุ่ยหลินต้องโต้ตอบอย่างเต็มกำลัง แม้ว่านางจะเก่งกาจแต่จงเหยียนก็ไม่ใช่ศัตรูที่ประมือได้ง่าย หากว่ามันไม่มีฝีมือจริงก็ไม่สามารถสังหารบิดาและพี่ชายของนางได้หรอกขณะที่ทั้งสองต่อสู้กันนั้นจงเหยียนฉวยโอกาสในจังหวะที่หลี่รุ่ยหลินเผลอชักเอาขวดเล็กๆ ออกมาจากอกเสื้อ คลายจุกออกอย่างรวดเร็วแล้วสาดผงควันสีขาวนวลพุ่งเข้าหานางโดยไม่ให้ทันตั้งตัว“ควันสลบ” หลี่รุ่ยหลินรู้ทันทีว่าตนกำลังเผชิญกับอะไร นางพยายามหลบแต่ไม่ทัน ควันสีขาวปกคลุมร่างของนางในทันที เมื่อสูดเข้าไปแล้วก็ทำให้หัวเริ่มมึนงงและรู้สึ
บทที่สิบเอ็ดข้าต้องช่วยเจ้าให้ได้หวังข่ายซึ่งยืนอยู่ในมุมมืดหลังกระโจมส่งสัญญาณให้กับพี่น้องสำนักคุ้มภัยที่ซุ่มรออยู่ด้านนอก เขารู้ดีว่าการบุกเข้าไปช่วยหลี่รุ่ยหลินในครั้งนี้เป็นโอกาสสำคัญ หากพลาดไปพวกเขาอาจไม่มีโอกาสเช่นนี้อีกเมื่อพี่น้องสำนักคุ้มภัยเห็นสัญญาณจากหวังข่ายพวกเขาก็ไม่รอช้ารีบพุ่งตัวเข้าไปในค่ายของพวกโจรทันที พวกโจรที่อยู่ภายในค่ายไม่ทันได้ตั้งตัวจากการบุกโจมตีที่รวดเร็วและรุนแรง พวกมันต่างตื่นตระหนกและวิ่งหนีเป็นกันอยางแตกกระจายเพื่อหาที่หลบภัยเสียงโลหะกระทบกันดังก้องไปทั่วค่าย ความโกลาหลที่เกิดขึ้นทำให้พวกโจรที่อยู่ในค่ายตกใจและหันไปดู เมื่อเห็นพวกพ้องถูกโจมตีพวกมันก็รีบชักดาบออกมาเตรียมต่อสู้ แต่ก็สายเกินไปแล้วพวกพี่น้องสำนักคุ้มภัยที่บุกเข้ามาอย่างดุดันทำให้พวกมันไม่สามารถตั้งรับได้ทัน พวกโจรถูกฟันล้มลงทีละคนอย่างรวดเร็ว
บทที่สิบสองบังเกิดเป็นความรักหลังจากการต่อสู้ที่ยากลำบากและการเดินทางที่เต็มไปด้วยอันตรายพวกเขาก็สามารถกำจัดพวกโจรที่ก่อความเดือดร้อนได้หมดสิ้นแล้ว การเดินทางกลับไปยังเมืองหลวงจึงดำเนินไปด้วยความราบรื่นและสบายใจเมื่อเดินทางออกจาเมืองเสวียนเทียนทุกคนก็รู้สึกโล่งใจราวกับว่าพายุร้ายได้ถูกพัดหายไปแล้ว หลี่รุ่ยหลินและพี่น้องสำนักคุ้มภัยต่างก็เต็มไปด้วยความพอใจที่สามารถทำภารกิจสำเร็จ ทั้งที่เจออุปสรรคมากมาย แต่พวกเขาก็ยังคงสามารถพิชิตชัยเหนือศัตรูได้ระหว่างการเดินทางกลับสู่เมืองหลวงหวังข่ายและหลี่รุ่ยหลินเริ่มมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ความใกล้ชิดที่เริ่มงอกเงยทำให้พวกเขาเริ่มรู้จักกันมากขึ้น และการพูดคุยระหว่างของพวกเขาก็เต็มไปด้วยความเข้าใจและความไว้วางใจที่เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดแต่ละวันบนเส้นทางกลับหลี่รุ่ย
บทที่สิบสามความสัมพันธ์วัยเด็กไม่นาหลังจากที่หวังข่ายกลับมาเขาก็พบว่าบุตรสาวของเจ้ากรมการคลังหลิวผิงผิงมารอพบเขาเขาอยู่ที่หน้าประตูจวน เมื่อพ่อบ้านเปิดประตูให้นางก็วิ่งเข้ามาหาเขาทันทีพร้อมด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกระตือรือร้น"หวังข่าย…เจ้ากลับมาแล้ว" หลิวผิงผิงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่หวานหยดย้อยพลางยิ้มอย่างสดใส "ข้าเห็นว่าเจ้ากลับมาเหนื่อย ๆ เลยรีบมาหาทันที ข้าเตรียมอาหารไว้ให้เจ้าแล้ว""ผิงผิง…ขอบคุณที่เป็นห่วงข้า" หวังข่ายตอบกลับด้วยน้ำเสียงสุภาพ"ถ้าอย่างนั้นพวกเราไปกินข้าวกันเถอะ" หลิวผิงผิงชวน"อืม" หวังข่ายตอบรับอย่างยินดีเมื่อเห็นว่าหวังข่ายยอมรับความปรารถนาดีของนางหลิวผิงผิงก็ยิ้มอย่างปลื้มปิติ นางรีบนำเข้าไปที่ห้องรับแขกและจัดอาหารที่เต