Share

บทที่ 5 น้ำใจจากคุณชายหน้าขาว

บทที่ห้า

น้ำใจจากคุณชายหน้าขาว

        จุดหมายต่อไปที่พวกเขาจะเดินทางไปก็คือเมื่องเอี๋ยนเสียง แต่กว่าจะถึงเมืองเอี๋ยนเสียงนั้นยังคงต้องนอนในในป่ากันอีกราว ๆ สองคืนหากว่าเดินทางเร็ว แต่เท่าที่คาดการณ์แล้วคงเดินทางเร็วเกินไปไม่ได้เพราะท่านผู้เฒ่าหวังอดีตอัครเสนาบดีนั้นเริ่มชราแล้ว

        ระหว่างที่เดินทางสามวันสามคืนในป่านั้นทุกอย่างก็ปกติดี อัครเสานบดีหวังเองก็ไม่ได้อ่อนแออย่างที่คิด เขายังเดินเหินไปมาได้สะดวกทั้งยังใจดีทำอาหารแจกจ่ายให้กับบ่าวรับใช้และคนของสำนักคุ้มภัยด้วย หลี่รุ่ยหลินเองก็ไม่คิดว่าเขาจะเป็นคนดีถึงเพียงนี้ น่าเสียดายที่ราชสำนักไม่เห็นค่าคนดี ๆ เช่นเขา

        ส่วนคุณชายหน้าขาวนั้นก็หาได้เป็นภาระอะไรไม่ ผิดกับที่หลี่รุ่ยหลินคาดการณ์ไว้ยิ่งนัก เขากินอาหารที่ปรุงง่าย ๆ ได้โดยที่ไม่เรื่องมาก ทั้งยังนอนในกระโจมที่ทำไว้อย่างลวก ๆ ทีแรกนึกว่าเขาจะไม่สะดวกเสียอีกแต่ทว่าตลอดทางที่มานั้นเขาไม่เคยบ่นเลยสักคำ

        "อีกราวยี่สิบลี้ก็จะถึงเมืองเอี๋ยนเสียงแล้วขอรับนายหญิง" ไป๋ฮ่าวเทียนรายงาน

 "ถ้าอย่างนั้นส่งคนขี่ม้าไปบอกที่จุดพักม้าสักหน่อยว่าอดีตอัครเสนาบดีกำลังเดินทางไป จะขอพักที่จุดพักม้าสักคืน" หลี่รุ่ยหลินหันไปบอกกับผู้ช่วยคนสนิท

 ได้รับคำสั่งแล้วไป๋ฮ่าวเทียนก็ขี่ม้าไปที่ด้านหลังขบวนเพื่อบอกกับพี่น้องสำนักคุ้มภัยคนหนึ่งให้ขี่ม้าไปแจ้งข่าวที่จุดพักม้าล่วงหน้าเพื่อให้พวกเขาเตรียมการเอาไว้ก่อน ระยะทางยี่สิบลี้คงใช้เวลาร่วมหนึ่งชั่วยาวได้กว่าขบวนเดินทางจะไปถึง 

        ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงจุดพักม้า ที่ตัดสินใจพักกันที่นี่ก็เพราะไม่อยากขนข้าวของมากมายนี้เข้าไปในเมืองให้วุ่นวาย จุดพักม้าเองก็เป็นที่พักที่ค่อนข้างดีและสะดวกสบาย ทหารที่จุดพักม้าต้อนรับพวกเขาเป็นอย่างดีเพราะผู้มาเยือนเป็นถึงอดีตอัครเสานาบดีของแคว้น

        "ยังเหลือระยะทางอีกเท่าไรหรือท่านพ่อกว่าจะถึงบ้านเดิมของท่าน" หวังข่ายถามในขณะที่กำลังนั่งจิบชาพักผ่อนอยู่กับบิดาที่โถงด้านในจุดพักม้า

        อัครเสนาบดีหวังลูบเคราของตัวเองอย่างครุ่นคิด เป็นเพราะว่าไม่ได้กลับไปเยือนบ้านเกิดเป็นเวลาหลายสิบปีแล้วจึงไม่แน่ใจในระยะทางสักเท่าไร "จากเมืองหลวงไปก็น่าจะเกินพันลี้ได้ นี่พวกเราเองก็เพิ่งผ่านมาได้ไม่เท่าไร พ่อจำได้ว่ายังต้องผ่านเมื่องใหญ่ ๆ อีกสองเมือง" 

        "เหตุใดท่านพ่อจึงไม่อยู่กับลูกที่จวนในเมืองหลวงเล่าขอรับ เหตุใดต้องดั้นด้นกลับบ้านเกิดด้วย ความเป็นอยู่ที่นั่นก็ใช่ว่าจะสบาย ทั้งยังอยู่ห่างจากลูกแล้วผู้ใดจะดูแล" หวังข่ายมีสีหน้าที่เป็นห่วงบิดาอย่างชัดเจน

        "เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงพ่อหรอก เจ้าอยู่ที่เมืองหลวงทำหน้าที่ของตนเองให้ดีก็เป็นพอ พ่ออยู่กับบ่าวรับใช้ตั้งหลายคนหาได้มีปัญหาไม่ ที่พ่อตัดสินใจกลับบ้าเกิดก็เป็นเพราะไม่ต้องการที่จะเห็นความเนาะเฟะของคนพวกนั้นอีกแล้ว ไปอยู่ไกล ๆ ย่อมสบายใจกว่า" อัครเสนาบดีหวังอธิบาย

        "ถ้าท่านพ่อเห็นสมควรแล้วก็ตามแต่ท่านพ่อขอรับ" หวังข่ายว่า

 หลี่รุ่ยหลินที่นั่งที่โต๊ะอีกตัวหนึ่งไม่ได้ตั้งใจจะแอบฟังแต่การสนาทนาของสองพ่อลูกนั้นดังพอสมควร นางได้ยินที่หวังข่ายพูดแล้วก็รู้สึกว่าจะมองเขาให้แง่ดีขึ้นมาบ้างตรงที่อย่างน้อยเขาก็มีความกตัญญูต่อบิดาเป็นอย่างยิ่ง ไม่เป็นคุณชายหน้าขาวที่จิตใจคับแคบเสียทีเดียว 

        เรื่องที่หวังข่ายเป็นถึงราชบัณฑิตนั้นหลี่รุ่ยหลินไม่เคยรู้เรื่องมาก่อน เพราะที่ผ่านมานางเอาแต่ฝึกวิชาอยู่ในจวนไม่สนใจโลกภายนอก อย่างมากที่สุดที่นางสนใจก็คือของกินกับอาวุธเท่านั้น ที่รู้จักอัครเสนาบดีหวังก็เพราะว่าเขาเป็นบุคคลสำคัญของแคว้นมาสองสมัย แต่สำหรับบุตรชายของเขาหวังข่ายนั้นเป็นเพียงคุณชายหน้าขาวเจ้าสำราญในสายตาของนาง ก็ใครให้เขาหน้าตาเกลี้ยงเกลางดงามราวกับสตรีเล่า

 ตกเย็นหลี่รุ่ยหลินอยากเข้าไปเที่ยวเล่นในเมืองจึงกำชับให้พี่น้องสำนักคุ้มภัยดูแลสองพ่อลูกกับทรัพย์สมบัติให้ดี คืนนี้นางค่อนข้างวางใจเป็นพิเศษเพราะจุดพักม้านี้เป็นสถานที่ของทางการ ทั้งยังมีทหารคอยรักษาความปลอดภัยอยู่จำนวนหนึ่ง

        ที่แรกที่นางมุ่งหน้าไปก็คือตลาดกลางคืนของเมืองเอี๋ยนเสียง ตลาดไม่ใหญ่มากแต่มีของขายมากมายพอสมควร นางเดินเข้าร้านนั้นออกร้านนี้อยู่พักใหญ่แล้วจึงไปหยุดยืนที่หน้าร้านตีเหล็กร้านหนึ่งเพราะว่าถูกใจพลองที่ทำจากเหล็กที่ตั้งอยู่หน้าร้าน

        "เถ้าแก่ ข้าขอลองพลองอันนี้หน่อยได้หรือไม่เจ้าคะ" หลี่รุ่ยหลินถามเจ้าของร้านที่กำลังตีเหล็กอย่างขะมักขเม้น

 เจ้าของร้านดูท่าทางนางแล้วก็รู้ว่าจะต้องเป็นผู้ฝึกยุทธ์เป็นแน่จึงได้อนุญาตอย่างง่ายดาย "ได้สิ เจ้าลองเลย แต่ว่าพลองนี่น่าจะหนักเกินไปสำหรับหญิงสาวอยู่"

        "ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ข้าของลองดูก่อน ถ้าหากว่าไม่หนักเกินไปแล้วข้าควงได้คล่องข้าก็จะซื้อ" หลี่รุ่ยหลินว่า

 เมื่อเจ้าของร้านอนุญาตแล้วนางก็หยิบพลองอันนั้นขึ้นมาแล้ววาดลวดลายการควงพลองทันที ท่าทางในการต่อสู้ของนางโดยใช้อาวุธชิ้นนี้นั้นดูคล่องแคล่วว่องไวทั้งยังสง่างามอย่างยิ่งจนเจ้าของร้านเองก็แปลกใจ ไม่คิดว่าน้ำหนักพลองที่หนังเกินยี่สิบชั่งนั้นไม่สามารถทำให้นางรู้สึกหนักได้เลย ชาวเมืองที่ผ่านไปผ่านมาแถวนั้นก็หยุดมุงดูลีลาการใช้อาวุธของนาง ต่างก็อ้าปากค้างกันเป็นแถว

  และในจังหวะสุดท้ายที่นางเก็บพลองแนบเข้ากับตัวนั้นมัวแต่ยิ้มให้ผู้คนที่ชื่นชมอยู่จนลืมระวังไปว่ามีแจกันอยู่ด้านหลัง ด้ามพลองข้างหนึ่งจึงไปฟาดเข้ากับแจกันนั้นอย่างจังทำเอามันแตกร่วงลงสู่พื้น ชาวเมืองที่ชื่นชมนางอยู่นั้นก็หัวเราะให้นางไปทีหนึ่ง นางเองก็ทำหน้าเจื่อนก็จะยกมือขึ้นทำท่าคารวะแล้วกล่าวขอโทษต่อเจ้าของร้าน

        "เถ้าแก่…ข้าไม่ทันระวังต้องขอภัยด้วย ค่าเสียหายของแจกันนี้ท่านคิดรวมกับค่าพลองมาเลย ตกลงข้าซื้อ" หลี่รุ่ยหลินกล่าว

        "ดีเลยแม่นาง พลองด้ามนี้เหมาะกับเจ้าเป็นที่สุด" เสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากกลุ่มชาวเมืองที่ยืนห้อมล้อมอยู่

 ในขณะที่เจ้าของร้านกำลังคิดเงินอยู่นั้นหลี่รุ่ยหลินก็ล้วงเข้าไปในอกเสื้อทว่าไม่พบถุงเงินของตนเอง สีหน้าที่ยินดีปรีดาบัดนี้เปลี่ยนมาเป็นตกใจ มือทั้งสองก็คลำหาถุงเงินไปทั่วร่างกายแต่ว่าก็ไม่เจอ ในใจพลันครุ่นคิดว่าลืมถุงเงินไว้ที่ใด ในที่สุดก็คิดออกว่าอยู่บนหัวเตียงในห้องพักที่จุดพักม้านั่นเอง

        และนางก็เข้ามาในเมืองเพียงคนเดียวด้วย ไม่มีผูใดติดตามมา จะใช้ให้ใครกลับไปเอาก็ไม่ได้ จึงได้ยิ้มเจื่อน ๆ ให้กับเจ้าของร้าน "เถ้าแก่…ข้าลืมถุงเงินไว้ที่จุดพักม้า ข้าขอนุญาตกลับไปเอาก่อนได้หรือไม่เจ้าคะ รับรองว่าข้าไม่เบี้ยวท่านแน่"

        เจ้าของร้านเองก็ไม่ใช่คนใจจืดใจดำอะไร เขามองออกว่านางคงไม่ใช่คนไม่ดีจึงจะอนุญาต แต่ทว่าเขายังไม่ทันได้เอ่ยปากออกไปก็มีคุณชายท่านหนึ่งโผล่มาจากด้านหลัง

        "ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวข้าจ่ายให้เจ้าเอง กลับไปกลับมาเสียเวลาเปล่า ๆ นี่ประตูเมืองก็ใกล้จะปิดแล้วด้วย" เจ้าของเสียงก้าวเท้าขึ้นมาด้านหน้าจนยืนเสมอกับหลี่รุ่ยหลิน

        "คุณชายหวัง ท่านมาได้อย่างไร" หลี่รุ่ยหลินถามอย่างประหลาดใจ

        "อย่าถามมากเลย จ่ายเงินก่อน" เขาพูดจบก็หันไปคุยกับเจ้าของร้านแล้วทำการจ่ายเงินให้นางเป็นที่เรียบร้อย

        ทั้งสองเดินออกมาจากร้านด้วยกันก็ไม่ได้สนทนากันอย่างเป็นมิตรสักเท่าไร ระหว่างทางกลับนั้นก็กล่าววาจากระทบกระทั่งกันบ้างทว่าก็กลับเดินด้วยกันไม่ห่าง

        "กลับไปถึงแล้วข้าจะคืนเงินให้กับท่าน" หลี่รุ่ยหลินกล่าว

        "ไม่ต้องหรอก ถือเสียว่าเป็นรางวัลที่ข้ามอบให้เจ้าในการอารักขาข้ากับท่านพ่อไปยังบ้านเกิด" หวังข่ายตอบ

        ยิ่งเขาพูดหลี่รุ่ยหลินก็ยิ่งรับเอาไว้ไม่ได้ "ยังไม่มีผลงานไหนเลยจะรับความชอบ"

        "รับไปแล้วก็ค่อยทำความชอบทีหลังก็แล้วกัน อย่างไรก็คุ้มครองข้ากับท่านพ่อและทรัพย์สินทั้งหมดให้ปลอดภัย" หวังข่ายพูดโดยที่ไม่หันไปมองหน้านาง จากนั้นก็เหมือนคิดอะไรออกจึงพูดต่อ "อีกอย่าง เป็นถึงหัวหน้าสำนักคุ้มภัยอย่าได้ขี้ลืมเช่นนี้อีก เจ้ายังมีหลายอย่างที่ต้องรับผิดชอบ"

        พูดจบเขาก็เร่งฝีเท้าเดินให้ถึงจุดพักม้าโดยเร็ว ส่วนหลี่รุ่ยหลินที่ขาสั้นกว่านั้นก็วิ่งตามเขาไป ทั้งสองยังสนทนากันไม่หยุดราวกับว่าทะเลาะกับไปตลอดทาง

Related chapter

Latest chapter

DMCA.com Protection Status