บทที่สิบสี่
เจ้าแย่งเขาไปจากข้า
หลิวผิงผิงกลับไปที่จวนของตัวเองด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความอิจฉาและความแค้น ความคิดที่ว่าหลี่รุ่ยหลินได้แย่งหวังข่ายไปจากนางทำให้รู้สึกโกรธเคืองจนแทบจะระงับอารมณ์ไม่อยู่ นางคิดถึงทุกสิ่งที่นางทำเพื่อพยายามเข้าหาหวังข่าย ตั้งแต่การเป็นสหายที่ดี การทำให้เขาเห็นถึงความทุ่มเทและการแสดงออกถึงความรักความเอาใจใส่ แต่ทุกอย่างก็กลับถูกทำลายลงเพราะการปรากฏตัวของหลี่รุ่ยหลิน
นางยืนมองตัวเองในกระจก มองรูปลักษณ์ที่งดงามและถูกอบรมมารยาทอย่างดีจากตระกูลผู้ดี ทุกคนล้วนกล่าวว่านางเป็นหญิงสาวที่เพียบพร้อม แต่เหตุใดหวังข่ายถึงไม่เห็นค่านาง เหตุใดหัวใจของเขาถึงเลือกหลี่รุ่ยหลินแทนที่จะเป็นนาง
ความคิดนี้ยิ่งทำให้รู้สึกโกรธมากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดความคิดที่จะทำร้ายหลี่รุ่ยหลินก็เริ่มก่อตัวขึ้นในใจ นางไม่อาจทนเห็นหลี่รุ่ยหลินมีความสุขอยู่กับหวังข่ายได้ นางต้องการที่จะเห็นหลี่รุ่ยหลินทุกข์ทรมาน ต้องการที่จะทำให้นางเสียใจเช่นเดียวกับที่ตนเองกำลังเสียใจในตอนนี้
แต่หลิวผิงผิงไม่รู้เลยว่าหลี่รุ่ยหลินไม่ใช่หญิงสาวธรรมดาทั่วไป หลี่รุ่ยหลินมีวรยุทธ์ที่เก่งกาจและถูกฝึกฝนมาตั้งแต่ยังเด็กในวิถีการต่อสู้และการป้องกันตัว หลี่รุ่ยหลินอาจดูอ่อนโยนและสงบเสงี่ยมภายนอก แต่เมื่อถึงเวลาที่ต้องป้องกันตัวก็สามารถกลายเป็นนักรบที่แข็งแกร่งจนไม่มีผู้ใดคาดคิดได้
ในยามบ่ายที่แดดส่องสว่างเจิดจ้าหลี่รุ่ยหลินเดินไปยังย่านการค้าที่คึกคักเพื่อทำสัญญารับงานกับคหบดีผู้หนึ่ง เสียงผู้คนที่เดินสวนกันไปมาดังอยู่รอบตัวและกลิ่นหอมของอาหารจากร้านค้าต่าง ๆ ก็ลอยมาในอากาศ แต่เบื้องหลังความคึกคักนั้นกลับมีสายตาหลายคู่จ้องมองมาที่นางอย่างเงียบ ๆ พวกคนร้ายที่หลิวผิงผิงจ้างมากำลังซุ่มรอจังหวะที่เหมาะสม
ขณะที่หลี่รุ่ยหลินเดินลัดเลาะไปในซอยแคบ ๆ เพื่อลัดทางไปยังจุดนัดพบก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติ อาการเย็นยะเยือกที่รู้สึกได้ทำให้นางระแวดระวัง นางจึงหยุดเดินและมองไปรอบ ๆ อย่างรอบคอบ
ทันใดนั้นเองคนร้ายสี่ห้าคนก็ปรากฏตัวขึ้น พวกมันพุ่งออกมาจากเงามืดของซอย จู่โจมเข้าหานางอย่างไม่ทันตั้งตัว หลี่รุ่ยหลินไม่ได้หวั่นไหวแต่ตั้งท่าเตรียมสู้กลับในทันที
"จัดการนางเสีย ให้รวบรัดและรวดเร็วที่สุด" หนึ่งในพวกคนร้ายตะโกนก่อนจะพุ่งเข้ามาหาหลี่รุ่ยหลินพร้อมกับมีดสั้นในมือ
แต่หลี่รุ่ยหลินยิ้มมุมปากเพียงเล็กน้อยก่อนจะหมุนตัวหลบการโจมตีของมันได้อย่างง่ายดาย และในชั่วพริบตานางก็ซัดหมัดอันทรงพลังออกไปที่กลางท้องของมัน คนร้ายผู้นั้นกระเด็นไปไกลล้มลงกับพื้นในทันที
คนร้ายคนอื่น ๆ ที่เห็นดังนั้นก็รีบเข้ามาล้อมหลี่รุ่ยหลิน ทั้งหมดมีอาวุธในมือตั้งแต่ดาบยาวถึงกระบองเหล็ก แต่หลี่รุ่ยหลินยังคงสงบตั้งท่าพร้อมที่จะต่อสู้ หมัดของนางนั้นเคลื่อนที่ไปด้วยความเร็วและความแม่นยำ การโจมตีของนางพริ้วไหวและคล่องแคล่วจนพวกคนร้ายแทบตั้งตัวไม่ทัน
คนร้ายคนหนึ่งเหวี่ยงดาบยาวใส่นางด้วยความโกรธ แต่นางกลับสามารถหลบหลีกได้โดยไม่ยากเย็น จากนั้นนางก็ซัดหมัดเข้าใส่กรามของมันจนมันล้มลงไปกับพื้นด้วยความเจ็บปวด
อีกคนพุ่งเข้ามาจากด้านหลังแต่นางหมุนตัวกลับพร้อมกับซัดหมัดลงบนกระบองเหล็กที่คนร้ายคนนั้นถืออยู่ กระบองกระเด็นออกจากมือของมันก่อนที่หมัดถัดมาของนางจะกระแทกลงไปบนหน้าอกของมันจนมันล้มลงไปด้วยความจุก
แม้จะมีหลายคนล้อมรอบแต่นางก็ไม่ได้หวาดกลัว หลี่รุ่ยหลินใช้วิชาหมัดที่สวยงามและเข้มแข็งดุดัน หมัดแต่ละหมัดของนางเป็นการผสมผสานระหว่างความรวดเร็วและความแข็งแรง ทำให้พวกคนร้ายที่เข้ามาโจมตีไม่สามารถรับมือได้เลย พวกมันต่างโดนซัดลงไปกองกับพื้นทีละคนสองคน
ในที่สุดคนร้ายคนสุดท้ายที่ยังเหลืออยู่ก็เริ่มถอยหลังด้วยความกลัว มันเห็นสหายของมันล้มลงไปกองกับพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรงนั่นทำให้มันรู้ว่านางไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่มันจะเอาชนะได้ มันพยายามจะหนีแต่หลี่รุ่ยหลินกลับไม่ปล่อยให้มันหลุดรอดไป นางพุ่งตัวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วและซัดหมัดสุดท้ายลงบนท้องของมัน ทำให้มันล้มลงไปอย่างหมดสติ
หลี่รุ่ยหลินยืนอยู่ท่ามกลางคนร้ายที่ถูกซัดลงไปกองกับพื้น มองดูสภาพของพวกมันด้วยสายตาที่เรียบเฉย แต่ในใจรู้ดีว่าการต่อสู้นี้เป็นเพียงแค่การเริ่มต้น รู้สึกได้ถึงความผิดปกติและสงสัยว่าเหตุใดพวกคนร้ายเหล่านี้ถึงได้โจมตีนาง การจู่โจมนี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญและนางก็ต้องหาทางรู้ให้ได้ว่าใครเป็นผู้บงการอยู่เบื้องหลัง
เมื่อคนของทางการมาถึงที่เกิดเหตุพวกเขาเข้าจับกุมคนร้ายทั้งหมดที่กองอยู่กับพื้น คนร้ายถูกมัดไว้แล้วนำตัวไปยังสำนักตรวจการ หลี่รุ่ยหลินยังคงยืนอยู่ในสภาพสงบแม้ในใจจะเดือดดาลจากการที่ต้องถูกโจมตีโดยไม่รู้ตัว แต่ภายนอกกลับแสดงออกเพียงความเยือกเย็น ปล่อยให้คนของทางการดำเนินการไปตามหน้าที่โดยไม่พูดอะไร
ไม่นานหลังจากนั้นหวังข่ายก็ทราบเรื่องราวและรีบมายังสำนักตรวจการด้วยความโกรธแค้น เมื่อเห็นสภาพของคนร้ายที่ถูกจับตัวไปก็ยิ่งเพิ่มความไม่พอใจในใจของเขามากขึ้น เขาไม่คิดว่าเหตุการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้นกับหลี่รุ่ยหลินผู้ซึ่งเป็นคนรักของเขาและเขาได้สัญญากับนางไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะปกป้องนาง
หวังข่ายเรียกร้องให้มีการสอบสวนทันที พวกคนร้ายถูกนำมาสอบปากคำทีละคนภายใต้การกดดันจากสายตาแข็งกร้าวของเขาที่นั่งอยู่ด้วย คนร้ายที่หวาดกลัวจึงยอมรับสารภาพทุกอย่างโดยไม่ปิดบัง พวกมันซักทอดว่าผู้ที่จ้างพวกมันมาเพื่อทำร้ายหลี่รุ่ยหลินนั้นคือคุณหนูหลิวบุตรสาวของท่านเจ้ากรมการคลัง
คำสารภาพนี้ทำให้หวังข่ายเดือดดาลมากขึ้นไปอีก เขาไม่อยากจะเชื่อว่าสหายที่เขาเคยไว้ใจจะกล้าทำเรื่องเลวร้ายเช่นนี้ เมื่อได้ฟังทุกคำจากปากของคนร้ายเขาก็บอกกับทางการให้ดำเนินการลงโทษหลิวผิงผิงตากฎหมายโดยไม่ร้องขอความเมตตาใด ๆ ให้กับนางเลยแม้แต่น้อย
หลิวผิงผิงถูกนำตัวมาที่สำนักตรวจการ นางรู้ว่าความผิดในครั้งนี้มิอาจหลุดพ้นได้แน่จึงยอมรับแต่โดยดี และรู้ดีว่าความสัมพันธ์ของนางกับหวังข่ายอาจไม่มีวันกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อีก หลิวผิงผิงรู้สึกเหมือนทุกอย่างกำลังพังทลายลงต่อหน้าต่อตา
"หวังข่าย..." หลิวผิงผิงเอ่ยชื่อเขาด้วยเสียงสะอื้น นางคุกเข่าลงต่อหน้าเขา น้ำตาไหลพรากจากดวงตาอย่างไม่หยุดหย่อน "ข้าขอโทษ ข้ายอมรับผิดทุกอย่าง ที่ข้าทำไปนั้นก็เพราะข้ารักเจ้า"
หวังข่ายยืนอยู่ต่อหน้านางด้วยความเยือกเย็น สายตาของเขาสะท้อนความผิดหวังและโกรธเกรี้ยว เขามองหญิงสาวที่เคยเป็นสหายที่ดีของเขาโดยไม่มีความอ่อนโยนหลงเหลือ
"หลิวผิงผิง…เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าไว้ใจเจ้ามากเพียงใด ข้าเห็นเจ้าเป็นสหายมาตลอด แต่สิ่งที่เจ้าทำมันเกินกว่าที่ข้าจะให้อภัยได้" หวังข่ายกล่าวด้วยเสียงที่เยือกเย็น
หลิวผิงผิงสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว พยายามจะอ้อนวอนเขาด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ "ได้โปรด... ได้โปรดอย่าตัดความสัมพันธ์กับข้า ข้าไม่ต้องการเสียเจ้าไป ข้ารู้สึกผิดจริง ๆและจะไม่ทำเช่นนี้อีกแล้ว ได้โปรดให้ข้ามีโอกาสแก้ตัวอีกสักครั้งเถอะ"
หวังข่ายมองนางด้วยสายตาเย็นชาและส่ายศีรษะเบาๆ "โอกาสนั้นไม่มีอีกแล้วหลิวผิงผิง สิ่งที่เจ้าทำมันทำลายความไว้ใจของข้าไปหมดสิ้น ข้าขอไม่ข้องเกี่ยวกับเจ้าอีกต่อไป"
คำพูดของหวังข่ายเหมือนดาบที่แทงทะลุหัวใจของหลิวผิงผิง นางทรุดตัวลงไปกับพื้นร้องไห้ไม่หยุด น้ำตาที่ไหลออกมาไม่เพียงแต่เป็นเพราะความเจ็บปวดจากการที่เสียหวังข่ายไป แต่มันยังเป็นการรับรู้ว่าตัวเองได้ทำผิดมหันต์ที่ไม่มีทางแก้ไขได้
"หวังข่าย... ข้าขอโทษ... " นางร้องขอด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง
หวังข่ายหันหลังให้กับนางโดยไม่พูดอะไรอีก การกระทำของเขาชัดเจนว่าไม่มีที่ว่างให้กับความรู้สึกเก่าๆ อีกต่อไป เขาเดินออกจากสำนักตรวจการไปพร้อมกับหลี่รุ่ยหลิน ปล่อยให้หลิวผิงผิงอยู่กับความเสียใจและความเจ็บปวดที่นางสร้างขึ้นมาเอง
บทที่สิบห้าเต็มไปด้วยความรัก เมื่อทุกอย่างถูกจัดการเรียบร้อย หวังข่ายรู้สึกถึงความโล่งใจที่ไม่ต้องกังวลเรื่องหลิวผิงผิงอีกต่อไป แต่ด้วยความเป็นห่วงที่ยังอยูในใจกลัวว่านอกจากหลิวผิงผิงแล้วจะยังมีเรื่องอื่นมาทำให้หลี่รุ่ยหลินคนรักของเขาไม่สบายใจอีก เขาจึงได้ตัดสินใจทำสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตในช่วงเช้าของวันหนึ่งท้องฟ้าแจ่มใสและมีแสงแดดอ่อน ๆ อาบลานหน้าสำนักคุ้มภัย หวังข่ายตัดสินใจที่จะไม่รอช้าอีกต่อไป เขารู้ว่าเขาอยากจะใช้ชีวิตร่วมกับหลี่รุ่ยหลินไปตลอดและไม่ต้องการให้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาถูกชะงักอีกหวังข่ายเดินทางไปยังสำนักคุ้มภัยต้าอันฉวน เมื่อเขามาถึงบรรยากาศที่สำนักคุ้มภัยเต็มไปด้วยพี่น้องในสำนักที่ต่างกำลังฝึกซ้อมและเตรียมตัวสำหรับงานต่าง ๆ ที่พวกเขาจะต้องทำ แต่เมื่อเห็นหว
บทที่หนึ่งการสมรสที่ไม่ต้องการเช้าตรู่ที่หมอกบางๆ ลอยอ้อยอิ่งเหนือเมืองหลวง หลี่ฟางตวนบิดาของหลี่รุ่ยหลินออกมายืนหน้าประตูจวน กวาดตามองไปยังบุตรสาวและภรรยาที่รออยู่ สายตาของเขาสั่นคลอนเล็กน้อยด้วยความรู้สึกเศร้าสร้อยที่จะต้องจากไปทำงานใหญ่ครั้งนี้“รุ่ยหลิน…ดูแลแม่ของเจ้ากับสำนักของเราตอนที่พ่อกับพี่ชายของเจ้าไม่อยู่ให้ดี แล้วก็อย่าปฏิเสธงานมากจนเกินไปเล่า ประเดี๋ยวจะไม่มีเงินเลี้ยงดูเหล่าพี่น้องของเรา” บิดากล่าวเสียงแผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยความหนักแน่น“เจ้าค่ะท่านพ่อ” หลี่รุ่ยหลินตอบอย่างไม่ลังเล ดวงตาของนางฉายแววความมุ่งมั่น ทุกครั้งที่บิดากับพี่ชายไม่อยู่นางในนามของคุณหนูเล็กก็จะได้เลื่อนขึ้นมาเป็นหัวหน้าสำนักรักษาการณ์ในทันทีและนางก็ชื่นชอบหน้าที่นี้เป็นอย่างมากหลี่เว่ยตงพี่ชายของหลี่รุ่ยหลินยืนอยู่ข้างบิดา เขาวางมือลงบนบ่าของน้องสาวเบาๆ “อย่าลืมฝึกวิชาที่พี่สอนเจ้าไว้ มันจะมีประโยชน์ในยามคับขัน”“ข้าจะฝึกอย่างไม่ขาดตกบกพร่องเลยเจ้าค่ะ” หลี่รุ่ยหลินรับคำด้วยน้ำเสียงจริงจัง“ไปเถิด อย่าให้คหบดีเจียงต้องคอยนาน” หลี่ฮูหยินพูดขึ้น ถึงแม้ว่าจะบอกให้สองพ่อลูกรีบไปทว่าดวงตาของนางก็เต็มไป
บทที่สองช่วงเวลาแห่งการสูญเสียเสียงฝีเท้าม้าวิ่งมาอย่างเร่งรีบหยุดลงที่หน้าประตูสำนักคุ้มภัยต้าอันฉวน ร่างที่เต็มไปด้วยเลือดของพี่น้องสำนักคุ้มภัยคนหนึ่งร่วงลงมาจากหลังม้า คนที่เฝ้าประตูอยู่รีบไปประคองเขาทันที ทั้งเนื้อทั้งตัวของเขามีแต่คราบเลือดเต็มไปหมดทั้งยังมีบาดแผลอีกมากมาย เขารอดมาจนถึงสำนักได้นั้นก็ถือว่าโชคดีมากแล้ว"พี่ซีหยาง…เกิดเรื่องอันใดขึ้น" นายประตูถาม"พาข้าไปหาฮูหยินกับคุณหนู…ตอนนี้" เขากล่าวด้วยเสียงที่แผ่วเบานายประตูทั้งสองคนรีบหามร่างที่บาดเจ็บสาหัสของซีหยางเข้าไป เขาไม่ยอมไปรักษาตัวยืนยันว่าถึงอย่างไรก็ต้องพบฮูหยินกับคุณหนูก่อน พวกเขาจึงพาไปยังห้องหนังสือ ที่นั่นหลี่รุ่ยหลินนั่งทำงานอยู่อย่างเคร่งเครียด เหลือก็แต่เพียงหลี่ฮูหยินมารดาของนางที่กำลังรีบมา"พี่ซีหยางเกิดเรื่องอันใดขึ้น เหตุใดท่านถึงได้กลับมาในสภาพเช่นนี้" หลี่รุ่ยหลินกล่าวด้วยความตกใจ จากนั้นลุกขึ้น
บทที่สามจุดพลิกผันสู่เจ้าสำนักน้อยเมื่อจัดการพิธีศพเรียบร้อยแล้วก็ไม่มีเวลาให้พวกเขาได้โศกเศร้าเสียใจมากนักเนื่องจากมีงานคั่งค้างที่ต้องสะสางอีกมากมาย ทั้งเรื่องเงินชดเชยที่จะต้องมอบให้กับบิดามารดาของพี่น้องที่เสียชีวิตไปและเรื่องงานที่รับจ้างไว้ก่อนหน้าที่หลี่ฟางตวนจะเสียชีวิต ทำเอาหลี่รุ่ยหลินวุ่นวายไปหมด"พี่ซีหยาง…นี่พวกเราถูกยกเลิกเลิกงานมากมายถึงเพียงนี้เลยหรือ" หลี่รุ่ยหลินถามอย่างประหลาดใจเมื่อเห็นบัญชีรายชื่อลูกค้าที่จ้างงานถูกขีดฆ่าชื่ออกไปมากมายซีหยางยิ้มแหย ๆ ให้กับนางเพราะไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไรดีให้กระทบกระเทือนจิตใจของหัวหน้าสำนักน้อยผู้นี้ให้น้อยที่สุด "เอ่อ…คือว่าลูกค้าของพวกเราหายไปราว ๆ เจ็ดส่วนขอรับคุณหนู เอ้ย…ขอรับนายหญิง"ด้วยความที่ยังไม่เคยชินที่จะเรียกหลีรุ่ยหลินว่านายหญิงพี่น้องสำนักคุ้มภัยต่างก็
บทที่สี่ประเดิมงานแรกเมื่อสองพ่อลูกขึ้นรถม้าไปแล้วหลีรุ่ยหลินกับไป๋ฮ่าวเทียนหัวหน้าหน่วยย่อยของสำนักคุ้มภัยก็เดินตรวจตราขบวนเดินทาง ระยะทางจากเมืองหลวงไปยังเมืองบ้านเกิดของอดีตอัครเสนาบดีหวังนั้นไกลพอสมควร ดังนั้นการตรวจขบวนเดินทางให้เรียบร้อยจึงสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ขบวนเดินทางค่อนข้างใหญ่มีข้าวของมากมายอาจจะทำให้การเดินทางล้าช้าไปบ้าง ไป๋ฮ่าวเทียนจึงคิดว่ากำลังคนที่เตรียมมาในครั้งนี้ไม่น่าจะพอ"นายหญิงแน่ใจแล้วหรือขอรับว่าจะไม่เรียกคนมาเพิ่ม จากที่ตรวจดูรายชื่อสมบัติและมูลค่าของที่ต้องคุ้มกันค่อนข้างสูงอยู่นะขอรับ" ไป๋ฮ่าวเทียนกล่าวไป๋ฮ่าวเทียนเคยนำขบวนคุ้มกันด้วยตนเองมาก่อน จากประสบการณ์ของเขาแล้วขบวนยาวถึงเพียงนี้ใช้คนคุ้มกันเพียงแค่สามสิบคนถือว่าน้อยเกินไป เพราะทุกครั้งที่เขาออกเดินทางหากว่าไม่ได้ไปกับนายท่านและคุณชายแล้วละก็จะต้องมีพรรคพวกไปด้วยไม่ต่ำกว่าห้าสิบคน ครั้
บทที่ห้าน้ำใจจากคุณชายหน้าขาว จุดหมายต่อไปที่พวกเขาจะเดินทางไปก็คือเมื่องเอี๋ยนเสียง แต่กว่าจะถึงเมืองเอี๋ยนเสียงนั้นยังคงต้องนอนในในป่ากันอีกราว ๆ สองคืนหากว่าเดินทางเร็ว แต่เท่าที่คาดการณ์แล้วคงเดินทางเร็วเกินไปไม่ได้เพราะท่านผู้เฒ่าหวังอดีตอัครเสนาบดีนั้นเริ่มชราแล้ว ระหว่างที่เดินทางสามวันสามคืนในป่านั้นทุกอย่างก็ปกติดี อัครเสานบดีหวังเองก็ไม่ได้อ่อนแออย่างที่คิด เขายังเดินเหินไปมาได้สะดวกทั้งยังใจดีทำอาหารแจกจ่ายให้กับบ่าวรับใช้และคนของสำนักคุ้มภัยด้วย หลี่รุ่ยหลินเองก็ไม่คิดว่าเขาจะเป็นคนดีถึงเพียงนี้ น่าเสียดายที่ราชสำนักไม่เห็นค่าคนดี ๆ เช่นเขา ส่วนคุณชายหน้าขาวนั้นก็หาได้เป็นภาระอะไรไม่ ผิดกับที่หลี่รุ่ยหลินคาดการณ
บทที่หกคิดจะลองดีกับต้าอันฉวนอย่างนั้นหรือพวกเขาออกจากเมืองเอี๋ยนเสียงในตอนเช้ามุ่งหน้าเข้าสู่เขตของเทือกเขาเถาซานซึ่งมีระยะทางยาวราวสามร้อยลี้ คณะเดินทางจะต้องพักแรมกันในเทือกเขาแห่งนี้ราวเจ็ดถึงสิบวันขึ้นอยู่กับความรวดเร็วในการเดินทาง ถนนหนทางในหุบเขาค่อนข้างจะลำบาก ไหนอาจจะมีเหตุที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นอีก ระยะทางต่อจากนี้เป็นช่วงที่อันตรายยิ่ง เพราะต้องเดินทางผ่านหุบเขาอันคดเคี้ยว จากนั้นก็พื้นที่ป่าไม่สะดวกสบายเหมือนเส้นทางที่ผ่านมา ไหนจะลมหนาวที่หนาวเย็นมากขึ้น หมอกที่ปกคลุมอยู่ตลอดทั้งวัน และพื้นที่ช่วงนี้เป็นช่วงที่ต้องระวังความปลอดภัยมากที่สุดเพราะเกิดการดักปล้นชิงกันอยู่บ่อยครั้ง ระหว่างที่เดินทางนั้นหลี่รุ่ยหลินกับหวังข่ายมองกันไปมาด้วยสายตาที่ไม่ค่อยพอใจนัก
บทที่เจ็ดการต่อสู้ที่ดุเดือด ในยุคที่บ้านเมืองแตกแยกและอยู่ในสภาวะระส่ำระสาย การปล้นชิงทรัพย์สินเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง ไม่ว่าจะเป็นในเมืองใหญ่หรือตามชนบท ราษฎรที่อดอยากและยากจนก็มักจะหันมาใช้วิธีการนี้ในการเลี้ยงชีพ ด้วยสภาพที่แทบจะเรียกได้ว่าล่มสลายและความขัดแย้งที่ปะทุขึ้นเรื่อยๆ ระหว่างกลุ่มอำนาจต่างๆ ในราชสำนัก ทำให้บ้านเมืองเข้าสู่ยุคมืดที่ไร้ซึ่งความมีศีลธรรมที่ราชสำนักเมื่อตระหนักถึงความอ่อนแอและการทุจริตในหมู่ขุนนาง ผู้มีอำนาจกลับใช้โอกาสนี้ในการกอบโกยทรัพย์สินและอำนาจ ทำให้ราชวงศ์ค่อยๆ สูญเสียความน่าเชื่อถือและอำนาจในการปกครองอัครเสนาบดีหวังซึ่งเคยเป็นเสาหลักในการบริหารแผ่นดิน ยืนหยัดทำหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์และมุ่งมั่นมาตลอดชีวิต แต่เมื่อเวลาผ่านไปเขาก็เริ่มรู้สึกถึงการเป