Share

บทที่ 8 ออกเดินทางต่อ

บทที่แปด

ออกเดินทางต่อ

         หลังจากการต่อสู้ที่ดุเดือดและยาวนานจบลง ความเงียบสงัดก็เข้ามาปกคลุมแทนที่ เสียงหอบหายใจของเหล่าพี่น้องสำนักคุ้มภัยดังขึ้นท่ามกลางบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า พวกเขายืนอยู่ท่ามกลางซากศพของพวกโจรที่ถูกกำจัดจนหมดสิ้นไม่มีผู้ใดเหลือรอดจากการปะทะครั้งนี้

หลี่รุ่ยหลินมองไปรอบๆ นางเห็นพี่น้องสำนักคุ้มภัยหลายคนได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้ แต่ก็เป็นเพียงบาดแผลเล็กน้อยเท่านั้นไม่ได้เป็นอันตรายถึงชีวิต ทุกคนต่างเหนื่อยล้าจากการสู้รบแต่ยังคงยืนหยัดอยู่ได้ด้วยพลังใจที่เข้มแข็ง

“พี่น้องต้าอันฉวน การต่อสู้จบลงแล้ว” หลี่รุ่ยหลินกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความภูมิใจแต่ก็ยังมีความรู้สึกเหนื่อยล้าแสดงออกมาให้เห็นจากน้ำเสียงนั้น

พี่น้องสำนักคุ้มภัยต่างพยักหน้ารับ นัยน์ตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและความเข้มแข็ง แม้พวกเขาจะต้องเผชิญหน้ากับความตายแต่ก็ไม่เคยหวั่นเกรง ทุกคนล้วนยืนหยัดต่อสู้เพื่อความปลอดภัยของพวกเขาและผู้ที่พวกเขาต้องปกป้อง

หลี่รุ่ยหลินหันไปมองรถม้าที่อัครเสนาบดีหวังและหวังข่ายนั่งอยู่ ภายในรถยังคงเงียบสงบนั่นหมายความว่าพวกเขาทั้งสองปลอดภัย นางรู้สึกได้ถึงความโล่งใจ แม้จะเหนื่อยล้าเพียงใดแต่การที่สามารถปกป้องพวกเขาได้ก็ทำให้มั่นใจได้ว่าภารกิจของนางและสำนักคุ้มภัยต้าอันฉวนนั้นไม่มีข้อผิดพลาด

“พวกเจ้าทุกคนปลอดภัยดีหรือไม่” หลี่รุ่ยหลินหันไปถามพวกบ่าวรับใช้

บ่าวรับใช้ต่างพยักหน้าพร้อมกัน “พวกเราปลอดภัยดีขอรับหัวหน้าหลี่ ขอบคุณท่านและพี่น้องสำนักคุ้มภัยที่ช่วยปกป้องพวกเรา”

หลี่รุ่ยหลินยิ้มรับ “ดีที่ทุกคนไม่เป็นอะไร แต่ตอนนี้พวกเราต้องรีบจัดการบาดแผลและเตรียมตัวให้พร้อมก่อนที่จะออกเดินทางต่อ ที่ตรงนี้ไม่เหมาะสำหรับการพักแรมในคืนนี้”

พี่น้องสำนักคุ้มภัยต่างพากันนั่งลงพักเหนื่อย พวกเขาใช้เวลาไม่นานในการทำแผลและดื่มน้ำเพื่อเติมพลัง แม้พวกเขาจะบาดเจ็บจากการต่อสู้แต่ไม่มีผู้ใดที่บาดเจ็บหนัก ทุกคนต่างพร้อมที่จะเดินทางต่อ

ในขณะที่พวกเขากำลังพักผ่อน หลี่รุ่ยหลินเดินเข้าไปที่รถม้าของสองพ่อลูก “ท่านอัครเสนาบดี คุณชายหวัง พวกเราควรออกเดินทางต่อในไม่ช้า ข้ารู้สึกว่าเวลานี้ยังไม่ปลอดภัยพอที่จะพักแรมที่นี่”

อัครเสนาบดีหวังพยักหน้ารับ “ข้าเห็นด้วยกับเจ้า เจ้าจัดการเถอะพวกเราอยู่ในรถม้าไม่ได้รับบาดเจ็บใด สามารถเดินทางต่อได้เลย”

หลีรุ่ยหลินพยักกหน้ารับเช่นกันจากนั้นจึงเดินออกมาแล้วสั่งการให้ทุกคนออกเดินทางต่อ หลี่รุ่ยหลินขี่ม้านำหน้าขบวนและพี่น้องสำนักคุ้มภัยยังคงเดินขนาบสองข้างของขบวนเช่นเดิม หลี่รุ่ยหลินกับไป๋ฮ่าวเทียนตรวจสอบความปลอดภัยตลอดเส้นทางเพื่อให้มั่นใจว่าพวกเขาจะไม่ถูกซุ่มโจมตีอีก

ขบวนรถม้าเคลื่อนตัวไปตามทางที่มีแสงจันทร์ส่องสว่างพอให้เห็นทาง ท้องฟ้ามืดครึ้มและลมเย็นพัดโชยผ่านมาแต่พวกเขายังคงเดินหน้าต่อไปโดยไม่หยุดพัก หลี่รุ่ยหลินรู้ดีว่าทุกย่างก้าวที่พวกเขาเดินไปข้างหน้านั้นสำคัญเพียงใด เพราะว่าหากพวกเขาหยุดเพียงชั่วครู่เดียวความเป็นความตายอาจจะรออยู่ตรงหน้า

ขณะที่ขบวนเดินทางเคลื่อนตัวไปในความเงียบหวังข่ายกลับไม่อาจละสายตาจากหลี่รุ่ยหลินได้ เขาเฝ้ามองนางอย่างใคร่ครวญ ภาพการต่อสู้ที่นางแสดงให้เห็นยังคงวนเวียนอยู่ในความคิดของเขา ฝีมือของนางนั้นยอดเยี่ยมและเฉียบคมจนน่าทึ่ง ไม่ว่าจะเป็นการกวัดแกว่งพลองยาวหรือการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วและแม่นยำ ทุกสิ่งที่นางทำล้วนแสดงถึงความเชี่ยวชาญในวิชายุทธ์

หวังข่ายไม่คาดคิดว่าหลี่รุ่ยหลินจะมีฝีมือสูงถึงเพียงนี้ นางไม่เพียงแค่เก่งกาจแต่ยังมีความสง่างามและเป็นผู้นำ เขารู้สึกประทับใจในตัวนางอย่างยิ่ง เมื่อคิดถึงความเก่งกาจที่นางแสดงให้เห็นในวันนี้หวังข่ายก็อดสงสัยไม่ได้ว่านี่คือฝีมือที่แท้จริงของนางแล้วหรือไม่ หรือว่านางอาจจะเก่งกว่านี้อีกหากต้องประมือกัน

“ฝีมือนางดูเหมือนจะสูสีกับข้าเสียด้วยซ้ำ แต่ข้าเองก็ยังไม่เคยประมือกับนางโดยตรง ไม่มั่นใจว่าที่นางแสดงฝีมือวันนี้คือความสามารถที่แท้จริงทั้งหมดหรือไม่” หวังข่ายคิด

ความคิดนี้ทำให้หวังข่ายรู้สึกกระหายที่จะได้ประลองฝีมือกับหลี่รุ่ยหลิน เขาต้องการรู้ว่านางมีฝีมือที่สูงส่งเพียงใด และอยากเห็นว่านางจะสามารถทำอะไรได้อีกเมื่อเผชิญหน้ากับเขาโดยตรง ความคิดนี้ทำให้หัวใจของหวังข่ายเต้นแรงขึ้นแต่ก็เก็บความรู้สึกนี้ไว้ภายใน เขาไม่ต้องการให้ผู้ใดรู้ว่าเขาสนใจในฝีมือของหลี่รุ่ยหลิน

เมื่อขบวนเดินทางมาถึงที่ราบโล่งกว้างบนเนินเขา หลี่รุ่ยหลินตัดสินใจเลือกที่จะตั้งค่ายพักแรมที่นี่ สถานที่นี้เป็นจุดที่เหมาะสมเนื่องจากพื้นที่โล่งและสูงทำให้พวกเขามองเห็นสิ่งที่อยู่โดยรอบได้ชัดเจน หากมีอันตรายหรือศัตรูเข้ามาใกล้ก็จะสามารถเตรียมพร้อมได้ทันที

เหล่าพี่น้องสำนักคุ้มภัยช่วยกันจัดเตรียมค่ายพักแรมอย่างรวดเร็ว บ้างก็ก่อไฟ บ้างก็จัดการดูแลม้าและสัมภาระ 

เมื่อไฟถูกก่อขึ้นและม้าทั้งหมดถูกผูกไว้ พวกบ่าวรับใช้จากจวนอัครเสนาบดีจึงเริ่มนำเสบียงที่เตรียมมาจัดการปรุงอาหาร กลิ่นหอมของอาหารที่กำลังปรุงลอยฟุ้งไปทั่วบริเวณ สร้างความผ่อนคลายให้กับทุกคนหลังจากการต่อสู้อันหนักหน่วงที่เพิ่งผ่านพ้นมา

ในยามค่ำคืนหวังข่ายเดินออกจากกระโจมของตนอย่างเงียบๆ เขามุ่งหน้าไปหาหลี่รุ่ยหลินที่ยังคงนั่งอยู่ใกล้กองไฟ นางมองดูเปลวไฟที่เต้นรำในความมืดอย่างนิ่งๆ ราวกับอยู่ในห้วงความคิดของตนเอง

หวังข่ายยืนมองนางอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจเดินเข้าไปใกล้ เมื่อหลี่รุ่ยหลินสังเกตเห็นการมาของเขา นางเงยหน้าขึ้นและมองหน้าเขาด้วยสายตาที่สงสัยเป็นการต้อนรับ แต่หวังข่ายกลับไม่ถึงสา เขานั่งลงข้างนางพลางมองดูเปลวไฟที่ส่องสว่างเช่นเดียวกัน

“ข้ามาหาเจ้าเพื่อกล่าวขอโทษ ข้าเคยดูถูกเจ้าเอาไว้แต่บัดนี้ข้ารู้แล้วว่าข้าเข้าใจผิด เจ้าฝีมือดีกว่าที่ข้าคาดคิดและขอบคุณเจ้ามากที่ช่วยปกป้องข้าและท่านพ่อ” หวังข่ายกล่าว

หลี่รุ่ยหลินหันมามองเขา ก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยไยดีเท่าไร “ไม่ต้องขอบคุณข้าหรอกเพราะมันเป็นหน้าที่ของข้าอยู่แล้ว ข้าต้องปกป้องขบวนและทุกคนที่อยู่ในนี้ อีกอย่างหากข้าไม่พัฒนาฝีมือของตัวเองก็คงไม่สามารถเป็นหัวหน้าสำนักคุ้มภัยได้”

นางหยุดพูดชั่วครู่ราวกับกำลังรำลึกถึงอดีต ก่อนจะพูดต่อ “ตอนนี้พ่อกับพี่ชายของข้าก็ไม่อยู่แล้ว ข้ามีมารดาและพี่น้องในสำนักกว่าร้อยห้าสิบชีวิตที่ต้องดูแลจึงไม่มีทางเลือกที่จะอ่อนแอได้ ข้าต้องแข็งแกร่งเพื่อปกป้องพวกเขาและรักษาเกียรติของสำนัก”

คำพูดของหลี่รุ่ยหลินทำให้หวังข่ายรู้สึกถึงความหนักแน่นในใจของนาง นางไม่ได้เป็นเพียงนักรบที่เก่งกาจ แต่ยังเป็นผู้นำที่มีความรับผิดชอบสูง นางแบกภาระหนักอึ้งที่มาพร้อมกับการเป็นหัวหน้าสำนักคุ้มภัย หวังข่ายสัมผัสได้ถึงความมุ่งมั่นและความเสียสละของนางในคำพูดเหล่านั้น

“ข้ารู้ว่ามันไม่ง่ายเลยที่เจ้าต้องแบกภาระทั้งหมดนี้” หวังข่ายกล่าวด้วยความจริงใจ “แต่ข้าเชื่อว่าเจ้าจะสามารถนำพาสำนักคุ้มภัยไปได้อย่างแข็งแกร่ง ข้าเห็นด้วยตาของข้าแล้วว่าเจ้ามีฝีมือและความสามารถที่น่าทึ่ง”

หลี่รุ่ยหลินหันมายิ้มให้เขา “ขอบคุณ”

ทั้งสองนั่งเงียบกันไปครู่หนึ่ง หวังข่ายมองดูดวงตาของหลี่รุ่ยหลินที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น เขารู้สึกได้ว่าตนเองมองแม่นางผู้นี้ด้วยความรู้สึกที่เปลี่ยนไป ความเคารพในฝีมือของนางกลับกลายเป็นความเห็นใจเมื่อได้รู้ว่านางต้องแบกรับภาระมากมายเพียงใด เขาเคยเห็นหลี่รุ่ยหลินเป็นเพียงหญิงสาวที่แข็งกร้าวผู้หนึ่ง แต่บัดนี้เขาได้เห็นถึงอีกด้านหนึ่งของนางที่นาชื่นชมเป็นอย่างยิ่ง

“เจ้าช่างแข็งแกร่งจริง ๆ รุ่ยหลิน ข้ารู้สึกชื่นชมและเคารพเจ้ายิ่งนัก” หวังข่ายกล่าวด้วยน้ำเสียงอบอุ่น 

หลี่รุ่ยหลินหันมามองหวังข่ายสายตาของนางอ่อนโยนลงเล็กน้อย นางรู้สึกได้ถึงความจริงใจที่แฝงอยู่ในคำพูดของเขาจึงยิ้มและตอบกลับด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ขอบคุณ”

"เจ้าจะไม่พูดยาวกว่านี้หน่อยหรือ" หวังข่ายถาม

"ข้าก็ขอบคุณท่านแล้ว ท่านจะต้องการอะไรอีก" หลี่รุยหลินตอบ

หวังข่ายได้ฟังแล้วก็ได้แต่ส่ายศีรษะพลางคิดในใจว่า นางแข็งกร้าวอย่างไรก็ยังคงแข็งกร้าวอย่างนั้น นิสัยคนเราใช่จะเปลี่ยนกันได้ง่าย ๆ แต่หญิงแข็งกร้าวผู้นี้สำหรับเขาแล้วก็มีเสน่ห์อยู่ไม่น้อย

เขามองนางด้วยความรู้สึกที่ลึกซึ้งขึ้น รู้สึกได้ว่าตัวเองเริ่มสนใจในตัวนาง ถึงแม้ว่าใบหน้านั้นจะดูอ่อนหวานและงดงามไม่ต่างจากคุณหนูที่ได้รับการดูแลประคบประหงมมาอย่าดี แต่ภายใต้ความเป็นคุณหนูนั้นนางกลับหาได้อ่อนแออย่างเช่นสตรีทั่วไปไม่ และนี้คือเสน่ห์ที่ทำให้นางแตกต่างจากผู้อื่น

Related chapter

Latest chapter

DMCA.com Protection Status