บทที่แปด
ออกเดินทางต่อ
หลังจากการต่อสู้ที่ดุเดือดและยาวนานจบลง ความเงียบสงัดก็เข้ามาปกคลุมแทนที่ เสียงหอบหายใจของเหล่าพี่น้องสำนักคุ้มภัยดังขึ้นท่ามกลางบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า พวกเขายืนอยู่ท่ามกลางซากศพของพวกโจรที่ถูกกำจัดจนหมดสิ้นไม่มีผู้ใดเหลือรอดจากการปะทะครั้งนี้
หลี่รุ่ยหลินมองไปรอบๆ นางเห็นพี่น้องสำนักคุ้มภัยหลายคนได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้ แต่ก็เป็นเพียงบาดแผลเล็กน้อยเท่านั้นไม่ได้เป็นอันตรายถึงชีวิต ทุกคนต่างเหนื่อยล้าจากการสู้รบแต่ยังคงยืนหยัดอยู่ได้ด้วยพลังใจที่เข้มแข็ง
“พี่น้องต้าอันฉวน การต่อสู้จบลงแล้ว” หลี่รุ่ยหลินกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความภูมิใจแต่ก็ยังมีความรู้สึกเหนื่อยล้าแสดงออกมาให้เห็นจากน้ำเสียงนั้น
พี่น้องสำนักคุ้มภัยต่างพยักหน้ารับ นัยน์ตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและความเข้มแข็ง แม้พวกเขาจะต้องเผชิญหน้ากับความตายแต่ก็ไม่เคยหวั่นเกรง ทุกคนล้วนยืนหยัดต่อสู้เพื่อความปลอดภัยของพวกเขาและผู้ที่พวกเขาต้องปกป้อง
หลี่รุ่ยหลินหันไปมองรถม้าที่อัครเสนาบดีหวังและหวังข่ายนั่งอยู่ ภายในรถยังคงเงียบสงบนั่นหมายความว่าพวกเขาทั้งสองปลอดภัย นางรู้สึกได้ถึงความโล่งใจ แม้จะเหนื่อยล้าเพียงใดแต่การที่สามารถปกป้องพวกเขาได้ก็ทำให้มั่นใจได้ว่าภารกิจของนางและสำนักคุ้มภัยต้าอันฉวนนั้นไม่มีข้อผิดพลาด
“พวกเจ้าทุกคนปลอดภัยดีหรือไม่” หลี่รุ่ยหลินหันไปถามพวกบ่าวรับใช้
บ่าวรับใช้ต่างพยักหน้าพร้อมกัน “พวกเราปลอดภัยดีขอรับหัวหน้าหลี่ ขอบคุณท่านและพี่น้องสำนักคุ้มภัยที่ช่วยปกป้องพวกเรา”
หลี่รุ่ยหลินยิ้มรับ “ดีที่ทุกคนไม่เป็นอะไร แต่ตอนนี้พวกเราต้องรีบจัดการบาดแผลและเตรียมตัวให้พร้อมก่อนที่จะออกเดินทางต่อ ที่ตรงนี้ไม่เหมาะสำหรับการพักแรมในคืนนี้”
พี่น้องสำนักคุ้มภัยต่างพากันนั่งลงพักเหนื่อย พวกเขาใช้เวลาไม่นานในการทำแผลและดื่มน้ำเพื่อเติมพลัง แม้พวกเขาจะบาดเจ็บจากการต่อสู้แต่ไม่มีผู้ใดที่บาดเจ็บหนัก ทุกคนต่างพร้อมที่จะเดินทางต่อ
ในขณะที่พวกเขากำลังพักผ่อน หลี่รุ่ยหลินเดินเข้าไปที่รถม้าของสองพ่อลูก “ท่านอัครเสนาบดี คุณชายหวัง พวกเราควรออกเดินทางต่อในไม่ช้า ข้ารู้สึกว่าเวลานี้ยังไม่ปลอดภัยพอที่จะพักแรมที่นี่”
อัครเสนาบดีหวังพยักหน้ารับ “ข้าเห็นด้วยกับเจ้า เจ้าจัดการเถอะพวกเราอยู่ในรถม้าไม่ได้รับบาดเจ็บใด สามารถเดินทางต่อได้เลย”
หลีรุ่ยหลินพยักกหน้ารับเช่นกันจากนั้นจึงเดินออกมาแล้วสั่งการให้ทุกคนออกเดินทางต่อ หลี่รุ่ยหลินขี่ม้านำหน้าขบวนและพี่น้องสำนักคุ้มภัยยังคงเดินขนาบสองข้างของขบวนเช่นเดิม หลี่รุ่ยหลินกับไป๋ฮ่าวเทียนตรวจสอบความปลอดภัยตลอดเส้นทางเพื่อให้มั่นใจว่าพวกเขาจะไม่ถูกซุ่มโจมตีอีก
ขบวนรถม้าเคลื่อนตัวไปตามทางที่มีแสงจันทร์ส่องสว่างพอให้เห็นทาง ท้องฟ้ามืดครึ้มและลมเย็นพัดโชยผ่านมาแต่พวกเขายังคงเดินหน้าต่อไปโดยไม่หยุดพัก หลี่รุ่ยหลินรู้ดีว่าทุกย่างก้าวที่พวกเขาเดินไปข้างหน้านั้นสำคัญเพียงใด เพราะว่าหากพวกเขาหยุดเพียงชั่วครู่เดียวความเป็นความตายอาจจะรออยู่ตรงหน้า
ขณะที่ขบวนเดินทางเคลื่อนตัวไปในความเงียบหวังข่ายกลับไม่อาจละสายตาจากหลี่รุ่ยหลินได้ เขาเฝ้ามองนางอย่างใคร่ครวญ ภาพการต่อสู้ที่นางแสดงให้เห็นยังคงวนเวียนอยู่ในความคิดของเขา ฝีมือของนางนั้นยอดเยี่ยมและเฉียบคมจนน่าทึ่ง ไม่ว่าจะเป็นการกวัดแกว่งพลองยาวหรือการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วและแม่นยำ ทุกสิ่งที่นางทำล้วนแสดงถึงความเชี่ยวชาญในวิชายุทธ์
หวังข่ายไม่คาดคิดว่าหลี่รุ่ยหลินจะมีฝีมือสูงถึงเพียงนี้ นางไม่เพียงแค่เก่งกาจแต่ยังมีความสง่างามและเป็นผู้นำ เขารู้สึกประทับใจในตัวนางอย่างยิ่ง เมื่อคิดถึงความเก่งกาจที่นางแสดงให้เห็นในวันนี้หวังข่ายก็อดสงสัยไม่ได้ว่านี่คือฝีมือที่แท้จริงของนางแล้วหรือไม่ หรือว่านางอาจจะเก่งกว่านี้อีกหากต้องประมือกัน
“ฝีมือนางดูเหมือนจะสูสีกับข้าเสียด้วยซ้ำ แต่ข้าเองก็ยังไม่เคยประมือกับนางโดยตรง ไม่มั่นใจว่าที่นางแสดงฝีมือวันนี้คือความสามารถที่แท้จริงทั้งหมดหรือไม่” หวังข่ายคิด
ความคิดนี้ทำให้หวังข่ายรู้สึกกระหายที่จะได้ประลองฝีมือกับหลี่รุ่ยหลิน เขาต้องการรู้ว่านางมีฝีมือที่สูงส่งเพียงใด และอยากเห็นว่านางจะสามารถทำอะไรได้อีกเมื่อเผชิญหน้ากับเขาโดยตรง ความคิดนี้ทำให้หัวใจของหวังข่ายเต้นแรงขึ้นแต่ก็เก็บความรู้สึกนี้ไว้ภายใน เขาไม่ต้องการให้ผู้ใดรู้ว่าเขาสนใจในฝีมือของหลี่รุ่ยหลิน
เมื่อขบวนเดินทางมาถึงที่ราบโล่งกว้างบนเนินเขา หลี่รุ่ยหลินตัดสินใจเลือกที่จะตั้งค่ายพักแรมที่นี่ สถานที่นี้เป็นจุดที่เหมาะสมเนื่องจากพื้นที่โล่งและสูงทำให้พวกเขามองเห็นสิ่งที่อยู่โดยรอบได้ชัดเจน หากมีอันตรายหรือศัตรูเข้ามาใกล้ก็จะสามารถเตรียมพร้อมได้ทันที
เหล่าพี่น้องสำนักคุ้มภัยช่วยกันจัดเตรียมค่ายพักแรมอย่างรวดเร็ว บ้างก็ก่อไฟ บ้างก็จัดการดูแลม้าและสัมภาระ
เมื่อไฟถูกก่อขึ้นและม้าทั้งหมดถูกผูกไว้ พวกบ่าวรับใช้จากจวนอัครเสนาบดีจึงเริ่มนำเสบียงที่เตรียมมาจัดการปรุงอาหาร กลิ่นหอมของอาหารที่กำลังปรุงลอยฟุ้งไปทั่วบริเวณ สร้างความผ่อนคลายให้กับทุกคนหลังจากการต่อสู้อันหนักหน่วงที่เพิ่งผ่านพ้นมา
ในยามค่ำคืนหวังข่ายเดินออกจากกระโจมของตนอย่างเงียบๆ เขามุ่งหน้าไปหาหลี่รุ่ยหลินที่ยังคงนั่งอยู่ใกล้กองไฟ นางมองดูเปลวไฟที่เต้นรำในความมืดอย่างนิ่งๆ ราวกับอยู่ในห้วงความคิดของตนเอง
หวังข่ายยืนมองนางอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจเดินเข้าไปใกล้ เมื่อหลี่รุ่ยหลินสังเกตเห็นการมาของเขา นางเงยหน้าขึ้นและมองหน้าเขาด้วยสายตาที่สงสัยเป็นการต้อนรับ แต่หวังข่ายกลับไม่ถึงสา เขานั่งลงข้างนางพลางมองดูเปลวไฟที่ส่องสว่างเช่นเดียวกัน
“ข้ามาหาเจ้าเพื่อกล่าวขอโทษ ข้าเคยดูถูกเจ้าเอาไว้แต่บัดนี้ข้ารู้แล้วว่าข้าเข้าใจผิด เจ้าฝีมือดีกว่าที่ข้าคาดคิดและขอบคุณเจ้ามากที่ช่วยปกป้องข้าและท่านพ่อ” หวังข่ายกล่าว
หลี่รุ่ยหลินหันมามองเขา ก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยไยดีเท่าไร “ไม่ต้องขอบคุณข้าหรอกเพราะมันเป็นหน้าที่ของข้าอยู่แล้ว ข้าต้องปกป้องขบวนและทุกคนที่อยู่ในนี้ อีกอย่างหากข้าไม่พัฒนาฝีมือของตัวเองก็คงไม่สามารถเป็นหัวหน้าสำนักคุ้มภัยได้”
นางหยุดพูดชั่วครู่ราวกับกำลังรำลึกถึงอดีต ก่อนจะพูดต่อ “ตอนนี้พ่อกับพี่ชายของข้าก็ไม่อยู่แล้ว ข้ามีมารดาและพี่น้องในสำนักกว่าร้อยห้าสิบชีวิตที่ต้องดูแลจึงไม่มีทางเลือกที่จะอ่อนแอได้ ข้าต้องแข็งแกร่งเพื่อปกป้องพวกเขาและรักษาเกียรติของสำนัก”
คำพูดของหลี่รุ่ยหลินทำให้หวังข่ายรู้สึกถึงความหนักแน่นในใจของนาง นางไม่ได้เป็นเพียงนักรบที่เก่งกาจ แต่ยังเป็นผู้นำที่มีความรับผิดชอบสูง นางแบกภาระหนักอึ้งที่มาพร้อมกับการเป็นหัวหน้าสำนักคุ้มภัย หวังข่ายสัมผัสได้ถึงความมุ่งมั่นและความเสียสละของนางในคำพูดเหล่านั้น
“ข้ารู้ว่ามันไม่ง่ายเลยที่เจ้าต้องแบกภาระทั้งหมดนี้” หวังข่ายกล่าวด้วยความจริงใจ “แต่ข้าเชื่อว่าเจ้าจะสามารถนำพาสำนักคุ้มภัยไปได้อย่างแข็งแกร่ง ข้าเห็นด้วยตาของข้าแล้วว่าเจ้ามีฝีมือและความสามารถที่น่าทึ่ง”
หลี่รุ่ยหลินหันมายิ้มให้เขา “ขอบคุณ”
ทั้งสองนั่งเงียบกันไปครู่หนึ่ง หวังข่ายมองดูดวงตาของหลี่รุ่ยหลินที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น เขารู้สึกได้ว่าตนเองมองแม่นางผู้นี้ด้วยความรู้สึกที่เปลี่ยนไป ความเคารพในฝีมือของนางกลับกลายเป็นความเห็นใจเมื่อได้รู้ว่านางต้องแบกรับภาระมากมายเพียงใด เขาเคยเห็นหลี่รุ่ยหลินเป็นเพียงหญิงสาวที่แข็งกร้าวผู้หนึ่ง แต่บัดนี้เขาได้เห็นถึงอีกด้านหนึ่งของนางที่นาชื่นชมเป็นอย่างยิ่ง
“เจ้าช่างแข็งแกร่งจริง ๆ รุ่ยหลิน ข้ารู้สึกชื่นชมและเคารพเจ้ายิ่งนัก” หวังข่ายกล่าวด้วยน้ำเสียงอบอุ่น
หลี่รุ่ยหลินหันมามองหวังข่ายสายตาของนางอ่อนโยนลงเล็กน้อย นางรู้สึกได้ถึงความจริงใจที่แฝงอยู่ในคำพูดของเขาจึงยิ้มและตอบกลับด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ขอบคุณ”
"เจ้าจะไม่พูดยาวกว่านี้หน่อยหรือ" หวังข่ายถาม
"ข้าก็ขอบคุณท่านแล้ว ท่านจะต้องการอะไรอีก" หลี่รุยหลินตอบ
หวังข่ายได้ฟังแล้วก็ได้แต่ส่ายศีรษะพลางคิดในใจว่า นางแข็งกร้าวอย่างไรก็ยังคงแข็งกร้าวอย่างนั้น นิสัยคนเราใช่จะเปลี่ยนกันได้ง่าย ๆ แต่หญิงแข็งกร้าวผู้นี้สำหรับเขาแล้วก็มีเสน่ห์อยู่ไม่น้อย
เขามองนางด้วยความรู้สึกที่ลึกซึ้งขึ้น รู้สึกได้ว่าตัวเองเริ่มสนใจในตัวนาง ถึงแม้ว่าใบหน้านั้นจะดูอ่อนหวานและงดงามไม่ต่างจากคุณหนูที่ได้รับการดูแลประคบประหงมมาอย่าดี แต่ภายใต้ความเป็นคุณหนูนั้นนางกลับหาได้อ่อนแออย่างเช่นสตรีทั่วไปไม่ และนี้คือเสน่ห์ที่ทำให้นางแตกต่างจากผู้อื่น
บทที่เก้าจบงาน ณ เมืองเสวียนเทียนค่ำคืนนี้เมืองเสวียนเทียนถูกปกคลุมด้วยบรรยากาศที่คึกคักและอบอุ่น หลังจากที่พวกเขาเดินทางมาอย่างยาวนานในที่สุดก็ได้มาถึงเมืองที่เป็นบ้านเกิดของอดีตอัครเสนาบดีเสียที เมืองชายแดนอันเงียบสงบล้อมรอบไปด้วยภูเขาและป่าไม้เมื่อคณะของหลี่รุ่ยหลินเดินทางเข้ามาในเมืองทุกอย่างก็เป็นไปอย่างราบรื่น พวกชาวเมืองต่างให้การต้อนรับเป็นอย่างดี พวกเขาเคารพอัครเสนาบดีหวังซึ่งเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงและทำคุณประโยชน์แก่แผ่นดิน เจ้าเมืองเสวียนเทียนได้จัดงานเลี้ยงต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่ขึ้น เพื่อเป็นการขอบคุณหลี่รุ่ยหลินและพี่น้องสำนักคุ้มภัยที่ช่วยคุ้มกันและดูแลความปลอดภัยของอดีตอัครเสนาบดีมาตลอดการเดินทางงานเลี้ยงถูกจัดขึ้นที่จวนของเจ้าเมือง ทั้งจวนประดับประดาไปด้วยโคมไฟหลากสีและดอกไม้สดที่ถูกจัด
บทที่สิบศัตรูคู่อาฆาต การต่อสู้ดำเนินไปอย่างดุเดือด เสียงอาวุธปะทะกันดังก้องไปทั่วทั้งบริเวณ จงเหยียนมุ่งตรงเข้าหาหลี่รุ่ยหลินอย่างไม่รอช้า มันมีฝีมือที่รวดเร็วและดุดันกว่าคนอื่นๆ ที่เคยเผชิญหน้ามาก่อนทำให้หลี่รุ่ยหลินต้องโต้ตอบอย่างเต็มกำลัง แม้ว่านางจะเก่งกาจแต่จงเหยียนก็ไม่ใช่ศัตรูที่ประมือได้ง่าย หากว่ามันไม่มีฝีมือจริงก็ไม่สามารถสังหารบิดาและพี่ชายของนางได้หรอกขณะที่ทั้งสองต่อสู้กันนั้นจงเหยียนฉวยโอกาสในจังหวะที่หลี่รุ่ยหลินเผลอชักเอาขวดเล็กๆ ออกมาจากอกเสื้อ คลายจุกออกอย่างรวดเร็วแล้วสาดผงควันสีขาวนวลพุ่งเข้าหานางโดยไม่ให้ทันตั้งตัว“ควันสลบ” หลี่รุ่ยหลินรู้ทันทีว่าตนกำลังเผชิญกับอะไร นางพยายามหลบแต่ไม่ทัน ควันสีขาวปกคลุมร่างของนางในทันที เมื่อสูดเข้าไปแล้วก็ทำให้หัวเริ่มมึนงงและรู้สึ
บทที่สิบเอ็ดข้าต้องช่วยเจ้าให้ได้หวังข่ายซึ่งยืนอยู่ในมุมมืดหลังกระโจมส่งสัญญาณให้กับพี่น้องสำนักคุ้มภัยที่ซุ่มรออยู่ด้านนอก เขารู้ดีว่าการบุกเข้าไปช่วยหลี่รุ่ยหลินในครั้งนี้เป็นโอกาสสำคัญ หากพลาดไปพวกเขาอาจไม่มีโอกาสเช่นนี้อีกเมื่อพี่น้องสำนักคุ้มภัยเห็นสัญญาณจากหวังข่ายพวกเขาก็ไม่รอช้ารีบพุ่งตัวเข้าไปในค่ายของพวกโจรทันที พวกโจรที่อยู่ภายในค่ายไม่ทันได้ตั้งตัวจากการบุกโจมตีที่รวดเร็วและรุนแรง พวกมันต่างตื่นตระหนกและวิ่งหนีเป็นกันอยางแตกกระจายเพื่อหาที่หลบภัยเสียงโลหะกระทบกันดังก้องไปทั่วค่าย ความโกลาหลที่เกิดขึ้นทำให้พวกโจรที่อยู่ในค่ายตกใจและหันไปดู เมื่อเห็นพวกพ้องถูกโจมตีพวกมันก็รีบชักดาบออกมาเตรียมต่อสู้ แต่ก็สายเกินไปแล้วพวกพี่น้องสำนักคุ้มภัยที่บุกเข้ามาอย่างดุดันทำให้พวกมันไม่สามารถตั้งรับได้ทัน พวกโจรถูกฟันล้มลงทีละคนอย่างรวดเร็ว
บทที่สิบสองบังเกิดเป็นความรักหลังจากการต่อสู้ที่ยากลำบากและการเดินทางที่เต็มไปด้วยอันตรายพวกเขาก็สามารถกำจัดพวกโจรที่ก่อความเดือดร้อนได้หมดสิ้นแล้ว การเดินทางกลับไปยังเมืองหลวงจึงดำเนินไปด้วยความราบรื่นและสบายใจเมื่อเดินทางออกจาเมืองเสวียนเทียนทุกคนก็รู้สึกโล่งใจราวกับว่าพายุร้ายได้ถูกพัดหายไปแล้ว หลี่รุ่ยหลินและพี่น้องสำนักคุ้มภัยต่างก็เต็มไปด้วยความพอใจที่สามารถทำภารกิจสำเร็จ ทั้งที่เจออุปสรรคมากมาย แต่พวกเขาก็ยังคงสามารถพิชิตชัยเหนือศัตรูได้ระหว่างการเดินทางกลับสู่เมืองหลวงหวังข่ายและหลี่รุ่ยหลินเริ่มมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ความใกล้ชิดที่เริ่มงอกเงยทำให้พวกเขาเริ่มรู้จักกันมากขึ้น และการพูดคุยระหว่างของพวกเขาก็เต็มไปด้วยความเข้าใจและความไว้วางใจที่เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดแต่ละวันบนเส้นทางกลับหลี่รุ่ย
บทที่สิบสามความสัมพันธ์วัยเด็กไม่นาหลังจากที่หวังข่ายกลับมาเขาก็พบว่าบุตรสาวของเจ้ากรมการคลังหลิวผิงผิงมารอพบเขาเขาอยู่ที่หน้าประตูจวน เมื่อพ่อบ้านเปิดประตูให้นางก็วิ่งเข้ามาหาเขาทันทีพร้อมด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกระตือรือร้น"หวังข่าย…เจ้ากลับมาแล้ว" หลิวผิงผิงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่หวานหยดย้อยพลางยิ้มอย่างสดใส "ข้าเห็นว่าเจ้ากลับมาเหนื่อย ๆ เลยรีบมาหาทันที ข้าเตรียมอาหารไว้ให้เจ้าแล้ว""ผิงผิง…ขอบคุณที่เป็นห่วงข้า" หวังข่ายตอบกลับด้วยน้ำเสียงสุภาพ"ถ้าอย่างนั้นพวกเราไปกินข้าวกันเถอะ" หลิวผิงผิงชวน"อืม" หวังข่ายตอบรับอย่างยินดีเมื่อเห็นว่าหวังข่ายยอมรับความปรารถนาดีของนางหลิวผิงผิงก็ยิ้มอย่างปลื้มปิติ นางรีบนำเข้าไปที่ห้องรับแขกและจัดอาหารที่เต
บทที่สิบสี่เจ้าแย่งเขาไปจากข้า หลิวผิงผิงกลับไปที่จวนของตัวเองด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความอิจฉาและความแค้น ความคิดที่ว่าหลี่รุ่ยหลินได้แย่งหวังข่ายไปจากนางทำให้รู้สึกโกรธเคืองจนแทบจะระงับอารมณ์ไม่อยู่ นางคิดถึงทุกสิ่งที่นางทำเพื่อพยายามเข้าหาหวังข่าย ตั้งแต่การเป็นสหายที่ดี การทำให้เขาเห็นถึงความทุ่มเทและการแสดงออกถึงความรักความเอาใจใส่ แต่ทุกอย่างก็กลับถูกทำลายลงเพราะการปรากฏตัวของหลี่รุ่ยหลินนางยืนมองตัวเองในกระจก มองรูปลักษณ์ที่งดงามและถูกอบรมมารยาทอย่างดีจากตระกูลผู้ดี ทุกคนล้วนกล่าวว่านางเป็นหญิงสาวที่เพียบพร้อม แต่เหตุใดหวังข่ายถึงไม่เห็นค่านาง เหตุใดหัวใจของเขาถึงเลือกหลี่รุ่ยหลินแทนที่จะเป็นนางความคิดนี้ยิ่งทำให้รู้สึกโกรธมากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดความคิดที่จะทำร้ายหลี่รุ่ยหลินก็เริ่มก่อตัวขึ้นใ
บทที่สิบห้าเต็มไปด้วยความรัก เมื่อทุกอย่างถูกจัดการเรียบร้อย หวังข่ายรู้สึกถึงความโล่งใจที่ไม่ต้องกังวลเรื่องหลิวผิงผิงอีกต่อไป แต่ด้วยความเป็นห่วงที่ยังอยูในใจกลัวว่านอกจากหลิวผิงผิงแล้วจะยังมีเรื่องอื่นมาทำให้หลี่รุ่ยหลินคนรักของเขาไม่สบายใจอีก เขาจึงได้ตัดสินใจทำสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตในช่วงเช้าของวันหนึ่งท้องฟ้าแจ่มใสและมีแสงแดดอ่อน ๆ อาบลานหน้าสำนักคุ้มภัย หวังข่ายตัดสินใจที่จะไม่รอช้าอีกต่อไป เขารู้ว่าเขาอยากจะใช้ชีวิตร่วมกับหลี่รุ่ยหลินไปตลอดและไม่ต้องการให้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาถูกชะงักอีกหวังข่ายเดินทางไปยังสำนักคุ้มภัยต้าอันฉวน เมื่อเขามาถึงบรรยากาศที่สำนักคุ้มภัยเต็มไปด้วยพี่น้องในสำนักที่ต่างกำลังฝึกซ้อมและเตรียมตัวสำหรับงานต่าง ๆ ที่พวกเขาจะต้องทำ แต่เมื่อเห็นหว
บทที่หนึ่งการสมรสที่ไม่ต้องการเช้าตรู่ที่หมอกบางๆ ลอยอ้อยอิ่งเหนือเมืองหลวง หลี่ฟางตวนบิดาของหลี่รุ่ยหลินออกมายืนหน้าประตูจวน กวาดตามองไปยังบุตรสาวและภรรยาที่รออยู่ สายตาของเขาสั่นคลอนเล็กน้อยด้วยความรู้สึกเศร้าสร้อยที่จะต้องจากไปทำงานใหญ่ครั้งนี้“รุ่ยหลิน…ดูแลแม่ของเจ้ากับสำนักของเราตอนที่พ่อกับพี่ชายของเจ้าไม่อยู่ให้ดี แล้วก็อย่าปฏิเสธงานมากจนเกินไปเล่า ประเดี๋ยวจะไม่มีเงินเลี้ยงดูเหล่าพี่น้องของเรา” บิดากล่าวเสียงแผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยความหนักแน่น“เจ้าค่ะท่านพ่อ” หลี่รุ่ยหลินตอบอย่างไม่ลังเล ดวงตาของนางฉายแววความมุ่งมั่น ทุกครั้งที่บิดากับพี่ชายไม่อยู่นางในนามของคุณหนูเล็กก็จะได้เลื่อนขึ้นมาเป็นหัวหน้าสำนักรักษาการณ์ในทันทีและนางก็ชื่นชอบหน้าที่นี้เป็นอย่างมากหลี่เว่ยตงพี่ชายของหลี่รุ่ยหลินยืนอยู่ข้างบิดา เขาวางมือลงบนบ่าของน้องสาวเบาๆ “อย่าลืมฝึกวิชาที่พี่สอนเจ้าไว้ มันจะมีประโยชน์ในยามคับขัน”“ข้าจะฝึกอย่างไม่ขาดตกบกพร่องเลยเจ้าค่ะ” หลี่รุ่ยหลินรับคำด้วยน้ำเสียงจริงจัง“ไปเถิด อย่าให้คหบดีเจียงต้องคอยนาน” หลี่ฮูหยินพูดขึ้น ถึงแม้ว่าจะบอกให้สองพ่อลูกรีบไปทว่าดวงตาของนางก็เต็มไป