หลังจากเวลาล่วงผ่านนานกว่า 7 ปี 'ปาย' คิดว่าชีวิตนี้คงไม่มีวันได้ลงเอยกับรุ่นพี่หนุ่มสุดฮอตสมัยเรียนม.ปลาย ที่เธอเคย 'แอบรัก' ทั้งยังเครซี่หนักอยู่หลายปี แต่ใครเลยจะคิด... ว่าสายลมจะหวนคืน...
View Moreเหนือรักปายตอนพิเศษ 4 ปัจจุบัน เสียงหัวเราะของคนหลายคนดังแว่วมาให้ได้ยิน ตอนที่ผมกำลังเดินไปยังเวิร์กช็อปเล็ก ๆ ข้างกันกับตัวบ้านของผมเองที่ ๆ ปายตั้งใจจะเปิดสอนศิลปะให้กับคนที่สนใจ และก็ได้รับการตอบรับดีพอสมควร เพราะในตัวอำเภอไม่มีที่ไหนเปิดสอนศิลปะเป็นจริงเป็นจัง หากจะเรียนก็ต้องเข้าเมืองไปไกลกว่าสองชั่วโมง ลูกค้าส่วนมากก็เป็นเด็กนักเรียนที่พ่อแม่สนใจจะสนับสนุนลูก ๆ ให้เอาดีทางด้านนี้ แต่ก็มีผู้ใหญ่หลายคนอยู่เหมือนกันที่ให้ความสนใจมาลงเรียน บางกลุ่มก็มาเรียนบ้างเป็นพัก ๆ บางคนก็ตั้งใจจะเรียนระยะยาวแม้งานที่ว่านี้จะไม่ได้ทำรายได้เป็นกอบเป็นกำ แต่คนที่ตั้งใจทำก็ดูจะพอใจที่ทุกอย่างไปได้สวยอย่างที่คิด วันนี้เป็นเย็นวันธรรมดาคนเลยไม่เยอะเท่าไรนัก สังเกตได้จากรองเท้าที่ถอดเรียงเอาไว้บนชั้นวางรองเท้าด้านนอก หากเป็นวันเสาร์อาทิตย์คนก็จะเยอะกว่านี้ เสียงกริ่งประตูดังขึ้นตอนที่ผมผลักบานประตูเดินเข้าไป คนหลายคนด้านในหันมองมา เด็กนักเรียนผู้หญิงหลายคนกำลังนั่งจับกลุ่มวาดภาพสีน้ำ ตรงหน้าของแต่ละคนมีกระดานวาดภาพวางบนขาตั้งไม้ทรงสูง ผมได้แต่
เหนือรักปายตอนพิเศษ 3@ โรงเรียน “กูอยากถือป้าย” “ก็ถ้าไม่ใช่มึงเป็นดรัมฯ แล้วจะให้ใครเป็น?” “กูขี้เกียจซ้อม ขอถือป้ายแทนได้ปะ?” “ไอ้ฝ้ายก็จะนั่งเสลี่ยง มึงก็อยากจะถือป้าย ไม่มีใครอยากเป็นดรัมฯ บ้างเลยหรือยังไง?” “…” ผมได้แต่นั่งมองเพื่อนผู้หญิงโต้กันไปโต้กันมาเรื่องการเตรียมงานกีฬาสีของโรงเรียนที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้านี้ ขนาดว่านั่งเฉย ๆ ไม่ออกความเห็นอะไร สายตาคนอื่นก็พากันหันมากดดัน ราวกับจะให้ผมเป็นคนออกความเห็นว่าใครควรจะเป็นดรัมเมเยอร์เสียอย่างนั้น “อะไร? กูจะรู้ไหมเนี่ย? กูผู้ชาย” “มึงเป็นประธานไงเหนือ และนี่ไม่มีใครอยากเป็นเลยสักคน ดรัมฯ ไม้แรกเลยนะเว้ย กูละงงจริง ๆ”ไอ้จ๋าเกาหัวแกรก ๆ สีหน้าคิดไม่ตก สายตากดดันเลื่อนมองกลับไปยังคิมซึ่งนั่งกอดอกอยู่บนโต๊ะเรียนอีกครั้ง คนถูกมองพ่นลมหายใจเสียงดังพลางก็บ่นกระปอดกระแปด “ก็กูอยากถือป้าย มึงก็เป็นดรัมฯ เองสิ” “ลดน้ำหนักให้ได้สักสิบห้ากิโลฯ กูจะเป็นให้” คนที่เพื่อนปัดภาระให้เ
เหนือรักปายตอนพิเศษ 2@ โรงเรียน วันนี้เป็นอีกครั้งที่ใต้โต๊ะเรียนของผมมีคนเอาจดหมายมาสอดไว้เหมือนกับหลายวันที่ผ่านมา ก่อนหน้านี้ก็ใช่ว่าจะไม่มีคนเอาของมาส่งให้ หากแต่ไม่มีใครใช้วิธีส่งจดหมายแบบนี้ ส่วนมากเป็นขนมกับของขวัญเสียมากกว่าก็มีอยู่แค่คนเดียวที่ใช้วิธีส่งจดหมายมา และแค่เห็นซองจดหมายก็รู้ได้ในทันทีว่าเป็นของคน ๆ เดียวกัน คนอื่นรอบตัวผมในขณะนี้ยังคงตั้งหน้าตั้งตาลอกการบ้านกันเหมือนอย่างเคยตอนที่ผมดึงเอากระดาษโน้ตลายกระต่ายสีชมพูออกจากซอง ไล่สายตาอ่านสิ่งที่เขียนอยู่บนแผ่นกระดาษอันที่จริงก็ไม่ได้ต่างไปจากทุกฉบับที่ผ่านมา คนส่งยังคงเขียนทำนองว่า วันนี้แอบมองผมตอนทำนู่นทำนี่ พรรณนาว่าตัวผมหล่อแค่ไหน ไม่ก็ประเภทที่ว่าเมื่อคืนฝันถึงผมอะไรประมาณนั้นทุก ๆ ย่อหน้าจะมีสติกเกอร์รูปหัวใจแปะอยู่ ท้ายแผ่นจะมีรูปการ์ตูนที่วาดไม่ซ้ำกันในแต่ละวัน อย่างวันนี้ก็เป็นผู้หญิงกำลังยืนเกาะแขนผู้ชายที่ก็คิดว่าคงแทนตัวผมเอง ผมได้แต่ระบายรอยยิ้มออกมา เพราะต้นทางคนส่งดูท่าจะตั้งใจมาก ไม่ว่าผมจะมาโรงเรียนเช้าแค่ไหน ก็จะเห็นว่ามีจดหมายสอดที่ใต้โต
เหนือรักปายตอนพิเศษ 1 สิบปีก่อน@ เหนือ “กูถึงแล้ว” ‘จอดรออยู่หลังสถานี’ “เค” ปลายสายวางไปแล้ว กระเป๋าเป้ใบใหญ่ถูกแบกขึ้นบ่าอีกรอบหลังจากถูกวางทิ้งไว้เมื่อนาทีก่อนเพราะผมเดินไปซื้อน้ำที่ร้านค้าหน้าสถานีรถไฟ อากาศประเทศไทยตอนกลางวันร้อนตับแตกแบบนี้ อะไรก็ไม่ดีเท่าได้กินน้ำแดงเย็น ๆ สักถุง หลังจากไปอยู่บ้านป้ามาตลอดปิดเทอมฤดูร้อนตอนนี้ก็ได้ฤกษ์กลับบ้านตัวเองเสียที เนื่องจากโรงเรียนใกล้เปิดเทอมแล้ว อีกไม่กี่วันก็คงต้องกลับไปเรียนเหมือนอย่างเคย และคงเป็นปีสุดท้ายที่จะได้ใช้ชีวิตในรั้วโรงเรียน เพราะปีนี้ผมกำลังจะขึ้นชั้นม.หก “ไปบ้านกูก่อนแล้วกัน” แค่เจอหน้ากันไอ้ปราณเพื่อนสนิทที่เอามอเตอร์ไซค์มาจอดรอรับก็เอ่ยบอก พลางเอาขาตั้งรถขึ้น ผมไม่ทันได้พูดอะไรมันก็เตรียมจะออกรถ สุดท้ายเลยต้องรีบคร่อมขาซ้อนท้ายมัน ไม่จำเป็นต้องเอ่ยปากถามเพื่อนว่าทำไมต้องไปบ้านมันก่อน เพราะถึงยังไงบ้านที่ว่าก็เป็นทางผ่านที่จะไปบ้านผมอยู่แล้ว สายลมพัดปะทะเข้าหาใบหน้าไม่ได้ช่วยให้คลายร้อนลงเท่า
แอบรักเธออีกสักทีตอนที่ 49 หลายวันต่อมา หลังจากงานแต่งผ่านพ้นไปได้ด้วยดี เราทุกคนก็กลับมาใช้ชีวิตกันอย่างปกติสุข ฉันยังคงไปเลี้ยงจ๋อมเหมือนทุกวัน พี่เหนือก็ออกไปดูแลร้านของเขาเหมือนทุกที พี่ปราณก็ยังคงช่วยดูแลกิจการของที่บ้าน ส่วนจ๋อมก็กำลังเตรียมสอบปลายภาคของระดับชั้นประถมศึกษา เพราะงานวันแต่งเราเชิญคนรู้จักมาเยอะมาก และแขกหลายคนก็เป็นอาจารย์ที่โรงเรียนเก่าของเราทั้งคู่รวมถึงรุ่นพี่รุ่นน้องชั้นปีอื่น ๆ ช่วงท้ายของงานทางอาจารย์เลยมีการขอแรงจากศิษย์เก่าเข้าไปช่วยจัดการเรื่องการย้ายโต๊ะนักเรียนแบบเก่าไปเก็บไว้ที่โกดังหลังโรงเรียนเพื่อที่จะรับโต๊ะเขียนแบบเลกเชอร์เข้ามาแทน แน่นอนว่าฉันกับพี่เหนือเองก็อาสาจะไปช่วย พวกเพื่อน ๆ ของเขา และเพื่อนสมัยเรียนของฉันก็พากันมาร่วมแรงร่วมใจกันในวันนี้ด้วยเหมือนกัน “ดีไหม?” “อะไร…” “ก็แกกับพี่เหนือไง ใกล้ได้ลูกรึยัง?” “บ้า…” “อย่ามาเขินหน่อยเลย เห็นว่าลุงหมานอยากมีหลานให้อุ้มไว ๆ” “ก็กำลังช่วยกันทำอยู่” “โอ๊ย! ไม่น่าถามเลยจริง
แอบรักเธออีกสักทีตอนที่ 48 สองชั่วโมงต่อมา หลังจากที่เดินไหว้ผู้หลักผู้ใหญ่โต๊ะนู้นโต๊ะนี้จนเสร็จ ทุกคนก็ทานอาหารกันจนอิ่มหนำ ตอนนี้ก็เข้าสู่ช่วงเปิด VTR ของคู่บ่าวสาวที่พี่ปราณเป็นคนเสนอตัวจัดเตรียมให้เอง ฉันกับพี่เหนือได้แต่ยืนกลั้นขำกันอยู่บนเวทีเมื่อแต่ละรูปที่คนเป็นพี่เลือกมามันช่างน่าขำ ตั้งแต่รูปของเราสมัยยังเป็นเด็กตัวเล็ก ๆ ข้ามมาสมัยผมของฉันยังสั้นเท่าติ่งหู และตัดมาที่ภาพสมัยมัธยมปลายที่เริ่มจะดูดีขึ้นมาหน่อย ช่างต่างจากคนเป็นเจ้าบ่าวที่หน้าตาดีมาตั้งแต่เด็กแบบที่คงไม่เคยพบเจอยุคมืดของตัวเองมาก่อน วิดีโอเล่นผ่านไปเรื่อย ๆ จนเข้าสู่รูปพรีเวดดิ้งของเราทั้งคู่ ที่ออกจะหวานเกินไปเสียหน่อย ทุกรูปพี่เหนือจะมองกันด้วยสายตาแบบที่ทำเอาหัวใจละลาย บรรดาสาว ๆ ในงานพากันกรี๊ดกร๊าดวี้ดว้ายกันไม่หยุดกับสายตาประเภทนั้นแม้จะเป็นเพียงภาพถ่ายก็ตาม และตอนนี้เองที่พี่เหนือเลื่อนมือมากุมประสานเข้ากันกับมือของฉัน สายตาที่มองมาอย่างสื่อความหมายทำเอาใจเต้นแรง แม้ว่าเราจะอยู่ท่ามกลางคนหลายร้อยคนฉันก็ไม่อาจห้ามจังหวะหัวใจให้เต้นช้าลงได้เลย
แอบรักเธออีกสักทีตอนที่ 47 หนึ่งเดือนต่อมา วันงานแต่ง งานเลี้ยงตอนเย็นจัดขึ้นที่หอประชุมของโรงเรียน ที่เดียวกันกับที่เรามางานเลี้ยงรุ่นกันเมื่อหลายเดือนก่อนหลังจากเสร็จสิ้นงานตอนเช้าไป ฉันก็แทบจะนอนหมดแรง เพราะพ่อกับแม่เชิญแขกมาแทบจะทั้งอำเภอ กว่าจะแห่ขันหมากเสร็จ กว่าจะกินข้าว กว่าจะพิธีรีตอง เอาเป็นว่าจบงานเช้าปุ๊บฉันก็หลับเป็นตาย ปล่อยหน้าที่ส่วนอื่น ๆ ให้พี่เหนือกับคนอื่นเป็นคนจัดการ แต่ก็นอนไปได้ไม่นาน พอช่วงบ่ายก็ถูกปลุกลุกขึ้นมาแต่งหน้าทำผมเพื่อที่จะไปงานเลี้ยงช่วงค่ำต่อ สารภาพตามตรงว่าระหว่างที่ช่างแต่งหน้าบรรจงแต่งแต้มใบหน้าอย่างตั้งอกตั้งใจฉันเผลอน้ำลายยืดตั้งสองสามที โอเค… เอาเป็นว่างานแต่งงานไม่ได้สนุกแบบที่คิดก็พอ และพอมาถึงหน้างานบ่าวสาวต้องรับบทนางยืนยิ้มรอถ่ายรูปอยู่ที่ฉากด้านหน้าทางเข้าซึ่งใหญ่โตอลังการแบบที่คิดไปไม่ถึงว่าพี่เหนือจะเล่นใหญ่อะไรเบอร์นี้ อันที่จริงพ่อกับแม่ฉันจะเป็นคนจัดการเรื่องงงเรื่องงานให้ แต่พี่เหนือบอกว่าเดี๋ยวเขาจัดการให้เองทั้งหมด และทั้งหมดนี่ก็คงหมดเงินไปบานตะไท
แอบรักเธออีกสักทีตอนที่ 46 หลายวันต่อมา แล้วสุดท้ายเราสามคนก็ได้อยู่ด้วยกันเหมือนเดิม… เหตุการณ์เมื่อหลายวันก่อนจบลงด้วยดี หลังจากที่ฉันกับจ๋อมกอดกันร้องไห้ไปหลายต่อหลายยก พี่นัยก็มาคุยด้วย และบอกว่าจ๋อมคงจะไม่อยากไปจริง ๆ อาจจะต้องรบกวนพี่เหนือช่วยดูแลจ๋อมต่อ ไม่ใช่แค่เพราะจ๋อมไม่อยากไป แต่เป็นเพราะตัวพี่นัยเองก็มีสามีใหม่ ทั้งยังต้องทำงานกันทุกวัน เวลาเลิกเรียนจ๋อมอาจจะไม่มีคนดูแล แต่ที่มารับไปอยู่ด้วยเป็นเพราะกลัวว่าจ๋อมจะคิดถึง และแกเองก็คิดถึงลูกมากเหมือนกัน แต่ด้วยหน้าที่การงาน และเรื่องอื่นหลายสิ่งหลายอย่าง ห่วงก็แต่จ๋อมจะมาเป็นภาระพี่เหนือแทน ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่เลย เราทั้งคู่พากันออกตัวจะดูแลจ๋อมให้เองไม่ต้องเป็นห่วง สุดท้ายก็จบลงตรงที่พี่นัยจะมาเยี่ยมจ๋อมทุกอาทิตย์ หรือไม่ก็จะพาจ๋อมไปเที่ยวทุกอาทิตย์แทน ส่วนเรื่องเงินแม้ว่าพี่นัยจะบอกว่าจะส่งเสียจ๋อมเองแต่พี่เหนือก็บ่ายเบี่ยงปฏิเสธไป บอกว่าอยากจะช่วยดูแลทางด้านการเงินด้วย และฉันก็เพิ่งมารู้ทีหลังว่าพี่นัยเองมีภาระค่าใช้จ่ายหลายอย่าง อีกทั้งไม่มีเวลาดูแลได้ดีเท
แอบรักเธออีกสักทีตอนที่ 45 หลายเดือนต่อมา เมื่อคืนฉันกลับมานอนที่บ้าน ทั้งยังต้องโต้รุ่งวาดภาพส่งให้ลูกค้าที่คอมมิชชันงานเข้ามา วันนี้ก็เลยตื่นสายกว่าปกติ แต่พอตื่นมาก็ต้องพบกับข่าวร้ายชนิดที่ว่า เห็นข้อความที่พี่เหนือส่งมาปุ๊บก็ต้องรีบกระโจนลงจากเตียงวิ่งตึงตังลงมาจากชั้นสองของบ้านแทบจะในทันที เสียงแม่ตะโกนถามมาว่าเป็นอะไร ยังไม่มีเวลาแม้จะหันไปสนใจตอบคำถามท่านเลย ได้แต่คว้าเอาจักรยานคันเดิมมาควบ สองเท้าถีบปั่นอย่างเร่งรีบไปยังจุดหมายปลายทางที่ก็เป็นบ้านของพี่เหนือเหมือนทุกวัน แต่ที่ต่างคือ… วันนี้หน้าบ้านไม้สองชั้นคุ้นตามีรถจอดอยู่หนึ่งคัน… ยังไม่ทันที่จะเดินเข้าไป น้ำตาก็รื้นขึ้นมาติดอยู่ที่ขอบตา แค่นึกถึงเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไปอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า หรือไม่ก็อาจจะแค่ไม่กี่นาทีนี้… หัวใจมันก็เจ็บขึ้นมาเสียแล้ว… “อาปาย” “จ๋อม” แค่เดินเข้ามาได้ไม่กี่ก้าว จ๋อมที่หันมาเห็นกันก่อนเป็นคนแรกก็รีบวิ่งเข้ามาหาทันที ฉันย่อตัวลงกอดหลานไว้แน่น พยายามข่มจิตข่มใจให้เป็
แอบรักเธออีกสักทีบทนำ กรุงเทพฯ 20.00 น. ประตูเวิร์กช็อปปิดลงแล้วหลังจากลูกค้าคนสุดท้ายเดินออกไป ‘พรีม’ เพื่อนสาวคนสนิทควบด้วยตำแหน่งเพื่อนร่วมงานซึ่งอยู่ในชุดเสื้อคลุมสีขาวยาวถึงข้อเข่าไม่รอช้ารีบเดินไปพลิกป้ายด้านหลังบานประตูกระจกใสจากข้อความที่ระบุว่า open เปลี่ยนเป็น closedแทน ใบหน้าอ่อนล้าหันกลับมามองฉันซึ่งกำลังนั่งกดปากกาลูกลื่นเป็นจังหวะช้า ๆ นัยน์ตาหรี่ลงเล็กน้อยอย่างใช้ความคิดเมื่อเห็นสภาพของคนเป็นเพื่อนที่ตอนนี้น่าจะไม่อยู่ในสภาวะที่จะไปบำบัดใครเขาได้ แม้ว่าหน้าเวิร์กช็อปจะมีป้ายอักษรโลหะตัวเบ้อเร่อระบุว่าเป็น ‘เวิร์กช็อปจิตวิทยา และศิลปะบำบัด’ แต่คนให้คำแนะนำกลับทำตัวราวกับต้องการได้รับการบำบัดเสียเอง พรีมถอดเสื้อคลุมตัวยาวออกอย่างเชื่องช้าก่อนจะแขวนมันเก็บกลับที่เดิมบนราวแขวนเฉกเช่นทุกวันหลังเลิกงาน ร่างเพรียวระหงหมุนตัวกลับมามองกันเป็นครั้งที่สิบในรอบวัน แต่คราวนี้ไม่ใช่แค่มองอย่างเดียว นัยน์ตากลมโตกะพริบช้ามีน้ำใสเอ่อคลอ ฉันถอนหายใจอย่างหนักอกก่อนจะหลับตาลงในจังหวะที่คนเป็นเพื่อนเดินเข้ามาถึงต...
Comments