แอบรักเธออีกสักที
บทนำ
กรุงเทพฯ
20.00 น.
ประตูเวิร์กช็อปปิดลงแล้วหลังจากลูกค้าคนสุดท้ายเดินออกไป ‘พรีม’ เพื่อนสาวคนสนิทควบด้วยตำแหน่งเพื่อนร่วมงานซึ่งอยู่ในชุดเสื้อคลุมสีขาวยาวถึงข้อเข่าไม่รอช้ารีบเดินไปพลิกป้ายด้านหลังบานประตูกระจกใสจากข้อความที่ระบุว่า open เปลี่ยนเป็น closedแทน
ใบหน้าอ่อนล้าหันกลับมามองฉันซึ่งกำลังนั่งกดปากกาลูกลื่นเป็นจังหวะช้า ๆ นัยน์ตาหรี่ลงเล็กน้อยอย่างใช้ความคิดเมื่อเห็นสภาพของคนเป็นเพื่อนที่ตอนนี้น่าจะไม่อยู่ในสภาวะที่จะไปบำบัดใครเขาได้
แม้ว่าหน้าเวิร์กช็อปจะมีป้ายอักษรโลหะตัวเบ้อเร่อระบุว่าเป็น ‘เวิร์กช็อปจิตวิทยา และศิลปะบำบัด’ แต่คนให้คำแนะนำกลับทำตัวราวกับต้องการได้รับการบำบัดเสียเอง
พรีมถอดเสื้อคลุมตัวยาวออกอย่างเชื่องช้าก่อนจะแขวนมันเก็บกลับที่เดิมบนราวแขวนเฉกเช่นทุกวันหลังเลิกงาน ร่างเพรียวระหงหมุนตัวกลับมามองกันเป็นครั้งที่สิบในรอบวัน แต่คราวนี้ไม่ใช่แค่มองอย่างเดียว นัยน์ตากลมโตกะพริบช้ามีน้ำใสเอ่อคลอ
ฉันถอนหายใจอย่างหนักอกก่อนจะหลับตาลงในจังหวะที่คนเป็นเพื่อนเดินเข้ามาถึงตัว แรงเขย่าที่แขนทำให้ต้องลืมตาขึ้นมอง
“แกต้องเข้าใจฉันนะปาย สภาพแบบนี้จะไปบำบัดใครเขาได้” น้ำเสียงกระท่อนกระแท่นสลับกับเสียงสูดน้ำมูกดังขึ้น สีหน้าพรีมบ่งชัดว่ายังไงเสียวันนี้เราคงจะต้องถกประเด็นนี้กันให้รู้เรื่อง
“ไม่เอาน่า… มันก็แค่ผู้ชายเลว ๆ คนนึง แกจะเสียงานเสียการเพราะคนแบบไอ้วิทย์ไม่ได้นะพรีม”
ฉันผ่อนลมหายใจหนักเลื่อนคิ้วเข้าหากัน จับมือสองข้างของเพื่อนเขย่าเพื่อเรียกสติ แต่พอได้ฟังกลายเป็นว่าคนข้าง ๆ กลับร้องไห้หอบหายใจจนตัวโยน แค่เพราะได้ยินชื่อของแฟนเก่าที่เพิ่งจะเป็นอดีตไปได้เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา
ผู้ชายดี ๆ สมัยนี้หายากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทรเสียอีก ยิ่งล่วงเข้าวัยทำงานแบบเราแล้วด้วย การจะเจอใครสักคนที่จริงใจไม่หลงระเริงไปกับแสงสีของเมืองหลวงยิ่งยากเข้าไปใหญ่
ฉันได้แต่มองใบหน้าหวานหยดเปื้อนหยาดน้ำตาอย่างเห็นอกเห็นใจ พรีมยังคงเอาแต่สะอึกสะอื้นอยู่อย่างนั้นเมื่อความรักไม่เป็นไปอย่างที่หวัง แม้ว่าตัวฉันเองจะปลอบใจมันมากว่าสิบครั้งตั้งแต่เลิกรากับไอ้คนเฮงซวยที่นอกใจไปนอนกับสาวบาร์ แต่อารมณ์ดิ่งลึกของพรีมก็แลดูจะไม่ลดน้อยลงแม้แต่นิด
ในที่สุดก็เป็นฉันเองที่ถอนหายใจยาว พยักหน้าช้า ๆ อย่างอ่อนอกอ่อนใจ ก่อนจะตอบรับในสิ่งที่มันร้องขอตลอดหลายวันที่ผ่านมา
“ก็ได้ ๆ ถ้าแกไม่ไหวจริง ๆ”
“…” คนที่ยังคงใช้มือปาดน้ำหูน้ำตาที่ไหลอย่างต่อเนื่องเงยหน้าขึ้นมองกันอีกครั้ง มันเม้มริมฝีปากพร้อมทั้งกะพริบตาถี่ระรัว
“แกโอเคจริง ๆ ใช่ไหม?”
ถึงจะถามมาแบบนั้น แต่ฉันก็ไม่อยู่ในจุดที่จะทำอะไรได้ นอกจากพยักหน้ารับ พรีมปล่อยโฮออกมาอย่างสุดกลั้นโถมตัวเข้ากอดเต็มรัก ไหล่บอบบางสั่นระริกจนฉันรู้สึกหดหู่ไปด้วย แต่ก็ทำได้เพียงยิ้มออกมา ลูบแผ่นหลังคนที่กอดซบกันอยู่อย่างปลอบประโลม
“ไว้แกหายดี เราค่อยกลับมาทำงานก็ได้”
“ฉันรักแกจังเลยปาย”
“แกต้องรักตัวเองให้มาก ๆ”
“ฮึก”
“จะใช้เวลานานแค่ไหน?”
“…”
คนที่กำลังซบหน้าอยู่ที่ไหล่ของฉันไม่ได้ตอบในทันที แต่ดึงตัวกลับไปเม้มปากแน่น ส่ายหัวไปมา ก่อนจะซบใบหน้าเกรอะกรังไปด้วยร่องรอยของน้ำตาสดใหม่เข้าหาฝ่ามือ
“บอกตรง ๆ ว่ายังไม่รู้เลย”
“…”
“เอาอย่างนี้ไหม… แกลองเปิดรับสมัครงาน…”
“มันไม่ได้หาคนที่จบศิลปะบำบัดโดยตรงมาได้ง่าย ๆ ในไทยนะ ถึงจะมีไอ้โอ๊คแต่นั่นเราก็เปิดต่อได้แค่ให้คำปรึกษาด้านสุขภาพจิต”
ฉันกำลังพูดถึงเพื่อนอีกคนซึ่งเป็นจิตแพทย์แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาหรอก ก่อนที่เราจะมานั่งกันอยู่จุดนี้พรีมได้คุยกับเพื่อนคนที่ว่าไปเรียบร้อยแล้ว และโอ๊คมันก็โอเคเพราะยังไงทุกวันนี้งานมันก็รัดตัวคงอยากจะหาเวลาพักผ่อนบ้างไม่ต่างกัน คงเหลือก็แค่ฉันคนเดียวที่สุดท้ายแล้วก็ต้องทำใจยอมรับเหมือนกัน เพราะสภาพเพื่อนก็ไม่ไหวจริง ๆ
“มันก็จริง”
“ไม่ต้องทำหน้าแบบนั้นหรอก แกไปพักทำใจให้สบาย เดี๋ยวฉันจะลองรับคอมมิชชันวาดรูประหว่างที่รอก็ได้ โอ๊คเองก็มีโรงพยาบาลประจำยังไงพวกแกก็คุยกันไว้ก่อนแล้วด้วย”
“รักแกที่สุดเลยปาย”
“รักเหมือนกัน”
หนึ่งชั่วโมงต่อมา
ฉันกลับมาถึงคอนโดแล้วด้วยสภาพจิตใจที่ว่างเปล่า ไม่ได้รู้สึกหนักหน่วงอะไรที่เพื่อนสนิทซึ่งลงขันทำงานด้วยกันจะขอตัวปลีกวิเวกไปรักษาแผลใจที่คงกำลังอยู่ในช่วงซึ่งยังข้นหนักในความรู้สึก
อันที่จริงจะเปิดเวิร์กช็อปหาคนมาทำงานต่อก็คงได้ แต่การหาคนซึ่งจบศิลปะบำบัดโดยตรงในประเทศไทยมันช่างยากลำบาก เพราะยังไม่มีที่ไหนเปิดสอนแบบจริงจัง หากจะเรียนก็คือต้องไปเรียนเมืองนอก
เอาเป็นว่าระหว่างนี้คงไม่สามารถหาคนมาทำงานแทนหน้าที่มันได้ง่าย ๆ ก็แล้วกัน ตัวฉันเองก็จบแค่ทัศนศิลป์มาเท่านั้น ส่วนโอ๊คที่เป็นจิตแพทย์ก็ให้คำแนะนำคำปรึกษาด้านสุขภาพจิตอย่างที่บอก หากจะใช้ศิลปะบำบัดเข้าช่วยก็ต้องทำงานควบคู่ไปกับพรีม เอาเป็นว่ายังไงก็ต้องมีมัน
และฉันก็มีเงินเก็บอยู่เยอะมากพอที่จะหยุดงานได้เป็นปี ระหว่างที่เพื่อนพักใจฉันก็อาจจะหางานเสริมเล็ก ๆ น้อย ๆ ทำ เพราะงั้นเรื่องงานไม่ใช่อะไรที่น่าเป็นกังวล
แค่ตอนนี้มันแค่รู้สึกชีวิตว่างเปล่ามากเกินไปเสียหน่อย…
อาจเป็นเพราะอยู่ตัวคนเดียวในเมืองหลวงมานานหลายปี เอาแต่เรียนกับทำงาน พอจู่ ๆ ไม่มีอะไรให้ทำมันก็เลยแอบเคว้ง
Rrrrrr
สายเรียกเข้าดังขึ้นในจังหวะที่ฉันทิ้งแผ่นหลังลงบนเตียง มือควานหาโทรศัพท์ที่ก็คงจะอยู่ใกล้ ๆ ก่อนจะเลื่อนรับสายเมื่อเห็นว่าเป็นพี่ชายตัวเองโทรเข้ามา
“คิดถึงพี่ปราณจัง” ยังไม่ทันที่ปลายสายจะพูดอะไร ฉันก็เอ่ยออกไปก่อนพร้อมกันก็หลับตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน
‘เป็นอะไร?’ เสียงคุ้นหูของ ‘พี่ปราณ’ ถามกลับมาในทันที และนั่นก็ทำให้ฉันยิ้มออกมาได้เล็กน้อย
“เปล่าหรอก ปายแค่เหงา”
‘…’ ปลายสายเงียบเสียงอยู่อึดใจก็เอ่ยต่อ ‘เหงามากไหม?’
“มาก”
‘เหงามากก็กลับบ้าน’
“อยากกลับอยู่เหมือนกันคิดถึงแม่กับพ่อ”
‘แล้วเรื่องงาน…’
“ก็นี่แหละที่ทำให้อยากกลับบ้าน”
‘มีอะไรรึเปล่า?’ น้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใยของคนปลายสายยิ่งทำให้ฉันรู้สึกเหงาจับใจ กระนั้นมุมปากก็ยกยิ้มขึ้นมาได้อีกครั้ง
“ไม่มีอะไรหรอก พรีมมันอกหัก ปายเลยว่าจะพักงานสักระยะ”
‘งั้นกลับมาพักที่บ้าน เราก็ไม่ได้กลับมาตั้งหลายปีแล้ว’
ฉันยกแขนขึ้นก่ายหน้าผาก ในหัวคิดถึงบ้านที่ว่าขึ้นมาเสียอย่างนั้น เพราะตัวฉันเองก็ไม่ได้กลับไปนานมากแล้วจริง ๆ แต่ยังไม่ทันที่จะได้ตอบอะไรกลับไป ก็มีเสียงใครคนหนึ่งดังแทรกขึ้นที่ปลายสาย
‘ใครวะ?’
‘ปาย’
‘ปายเป็นไงบ้าง?’
‘มึงอยากคุยไหมล่ะ?’
‘น้องมันจะว่าแปลกอะดิ’
‘ปาย’
“…”
‘ฮัลโหล… ปายอยู่ไหม…’
เสียงพี่ปราณที่กำลังเรียกชื่อกันซ้ำไปซ้ำมาแทบไม่ส่งผลอะไรต่อระบบโสตประสาทเลยแม้แต่น้อย เป็นเสียงหัวเราะของอีกคนที่ดังแทรกขึ้นมาต่างหากที่ทำให้เปลือกตาหนักอึ้งสองข้างเปิดขึ้นมา น้ำลายเหนียวหนืดถูกกลืนลงคอช้า ๆ
กับสุ้มเสียงคุ้นหูที่ไม่ได้ยินมานานแสนนาน…
‘ปายยังอยู่ไหม?’
“ตกลง”
‘ฮะ?’
“ปายจะกลับไปอยู่บ้านสักระยะ”
รู้ตัวอีกที… ฉันก็ตอบรับออกไปทั้งใจยังเหม่อลอย ปลายสายวางไปได้ร่วมสิบนาทีแล้วฉันก็ยังนอนแข็งค้างอยู่ท่าเดิม หัวใจกระตุกเต้นเป็นจังหวะประหลาดที่ไม่ได้พานพบมานานหลายปี
แอบรักเธออีกสักทีตอนที่ 1 หลายวันต่อมา 09.00 น. “ปายลงไปรับข้าวหน่อย พี่อาบน้ำอยู่” “อืม…” “ลุกขึ้นเร็ว” “รู้แล้ว ๆ” ฉันจำใจต้องสะบัดผ้าห่มออกจากตัว กะพริบตาช้า ๆ เพื่อให้ชินกับแสงสว่างที่ลอดผ่านม่านหน้าต่างเข้ามา ประตูห้องนอนปิดลงตอนที่เห็นหลังไว ๆ ของพี่ปราณเดินกลับออกไปในสภาพผ้าเช็ดตัวผืนเดียวพันท่อนล่าง บนหัวยังเต็มไปด้วยฟองสีขาวของแชมพู แม้ว่าจะขี้เกียจแค่ไหนก็ต้องพาสังขารตัวเองเดินลงบันไดมา ในบ้านเงียบเชียบไม่มีใครอยู่นอกจากคนที่กำลังอาบน้ำอยู่ด้านบน เสียงบีบแตรดังขึ้นอีกครั้งราวกับเป็นการย้ำเตือนว่าตอนนี้มีคนกำลังรออยู่ “มาแล้วค่ะ ๆ” ฉันเร่งรีบเดินออกจากตัวบ้าน คีบแตะคู่โปรดที่ไม่ได้ใส่มานานหลายปี ก่อนจะหันมองไปยังรั้วบ้านสีขาวสูงประมาณระดับอก ร่างสูงโปร่งคุ้นตาของใครคนหนึ่งกำลังสาวะวนอยู่กับการหอบหิ้วถุงพลาสติกหลายถุงลงจากตะกร้าหลังรถมอเตอร์ไซค์ ใครคนนั้นตั้งท่าจะบีบแตรอีกรอบ แต่ก็ต้องชะงักไปเมื่อหันมาสบสานสายตากับฉันเข้าพอดี แสงแดดสว่างจ้า
แอบรักเธออีกสักทีตอนที่ 2เพราะเขาไปแล้วฉันถึงยกยิ้มขึ้นมาได้ เป็นจังหวะเดียวกันกับเสียงของพี่ปราณดังมาจากในบ้านพอหันมองไปก็พบว่าคนเป็นพี่อยู่ในชุดลำลองเตรียมจะออกไปข้างนอก พี่คว้าเอาหมวกแก็ปมาสวม นิ้วมือหมุนควงกุญแจรถเดินออกมาพี่ปราณเป็นชายหนุ่มวัยยี่สิบเก้าเท่ากันกับพี่เหนือทั้งยังเป็นเพื่อนซี้กันตั้งแต่เด็ก แถมหน้าตายังหล่อเหลาพอ ๆ กัน สมัยเรียนสองคนนี้เป็นหนุ่มหล่อประจำโรงเรียน อันที่จริงก็เรียกได้ว่าหล่อประจำอำเภอเลยดีกว่า และยิ่งโตแต่ละคนก็ยิ่งดูดี“มันไปแล้วเหรอ?” พี่ปราณเดินมาถึงตัวพอดี พร้อมกันก็คว้าเอาถุงข้าวมันไก่ไปถือไว้เอง“พี่เหนือมาส่งแบบนี้ทุกวันเหรอ?” ฉันเอ่ยปากถามทันที คนถูกถามยักไหล่ก่อนจะเอ่ยตอบ ทั้งพยายามจะแย่งน้ำเต้าหู้ไปด้วย“มันก็มาเองบ้าง ให้เด็กที่ร้านมาบ้าง”“นี่ของปาย” ฉันดึงเอาถุงน้ำเต้าหู้คืนมาพร้อมซ่อนมันไว้ด้านหลัง“ไอ้เหนือซื้อมาให้ว่างั้น?” พี่ปราณยกยิ้มเล็กน้อย แล้วถอนหายใจเสียงดัง “อยู่มาตั้งกี่ปีพี่ไม่เห็นเคยได้กิน”“พี่เหนือคงจะเห็นว่าปายเพิ่งกลับมา”“อือฮึ”“พี่จะเข้าสวนเหรอ?”“เออ เอาข้าวไปเลี้ยงคนงานที่สวน”“ปายไปด้วยได้ไหม?”“ไม่ต้องหรอกวันน
แอบรักเธออีกสักทีตอนที่ 3 สิบห้านาทีต่อมา เพราะตอนนี้เป็นเวลาช่วงสาย หน้าตลาดยังคงมีคนเดินจับจ่ายซื้อของกันคึกคัก รถราหน้าสถานีรถไฟก็ยังคงหนาตา ฉันจอดจักรยานลงหน้าร้านข้าวมันไก่ที่มีป้ายตัวเบ้อเร่อเขียนกำกับเอาไว้ และวงเล็บพ่วงท้ายด้วยว่ารับจัดเลี้ยงโต๊ะจีน แม้ว่าอำเภอเราจะไม่ใหญ่มาก แต่เพราะนี่เป็นร้านข้าวมันไก่เจ้าดังเลื่องชื่อของจังหวัดทำให้มีคนมาเข้าคิวซื้อกันให้ควั่ก ทั้งยังมีกระบะสองสามคันจอดเทียบฟุตพาตอยู่หน้าร้าน ลูกจ้างร้านหลายคนกำลังกุลีกุจอขนเอาถุงใส่กล่องข้าวเหมือนกันกับที่พี่เหนือแวะเอาไปให้ที่บ้านเมื่อชั่วโมงก่อนขึ้นท้ายกระบะพวกนั้น นอกจากร้านข้าวมันไก่ขนาดใหญ่แล้ว ถัดออกไปข้างกันก็มีร้านขายน้ำเต้าหู ถัดออกไปอีกก็มีร้านขายโจ๊ก รวมถึงร้านรวงที่ตั้งแผงขายอาหารอยู่ริมฟุตพาต และถัดไปอีกก็คือถนนตัดเข้าตลาดสดฝั่งตรงข้ามกับตลาดเป็นสถานีรถไฟประจำอำเภอ ขบวนรถกำลังเคลื่อนตัวออกจากหน้าสถานี พร้อมกับเสียงประกาศออกลำโพงว่ารถไฟกำลังจะเคลื่อนขบวนไปยังสถานีถัดไปดังก้องได้ยินมาถึงตรงนี้เอาเป็นว่าแถวนี้เรียกได้ว่าเจริญพอสมควรเทียบกับที่อื่น ๆ ใ
แอบรักเธออีกสักทีตอนที่ 4 สิบนาทีต่อมา จักรยานชะลอช้าก่อนจะหยุดลงที่หน้าบ้านไม้สองชั้นขนาดกลาง ไม่เล็ก แต่ก็ไม่ใหญ่เกินไปนัก ฉันหย่อนเท้าลงกับพื้น ทว่ายังคงนั่งนิ่งอยู่บนจักรยานอีกครู่หนึ่ง สายตาสอดส่องมองหาเจ้าของบ้านที่ตอนนี้ไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหนเห็นก็แต่มอเตอร์ไซค์คันที่พี่เหนือขี่นำมาก่อนล่วงหน้าแต่ไม่ยักเห็นเจ้าของ โรงรถมีกระบะที่สภาพราวกับไม่มีใครใช้งานจอดอยู่ ผ้าใบคลุมหลังคารถเต็มไปด้วยเศษใบไม้แห้ง ก่อนที่สายตาจะเบนมองไปยังตู้จดหมายสีเหลืองสดมีกังหันอันเล็ก ๆ ตกแต่งอยู่ด้านบน มันยังดูเหมือนเดิมแต่ก็เก่าลงตามกาลเวลา ลมเย็นพัดโชยมาทำให้คลายร้อนลงได้เล็กน้อย มีแก้วเจ้าจอมต้นใหญ่ให้ร่มเงาบริเวณหน้าบ้านทั้งยังออกช่อดอกบานสะพรั่งสวยจนต้องแหงนหน้าขึ้นมอง ฉันทิ้งจักรยานพิงรั้วบ้านเอาไว้ก่อนจะเดินเข้าไป ได้ยินเสียงหัวเราะของเด็กเล็ก ๆ คนหนึ่งดังแว่วมา แต่ยังไม่ทันได้เข้าไปทักทายคนที่จะต้องทำความรู้จัก เพราะคิดถึงความหลังทำให้เบี่ยงเดินไปด้านหลังตัวบ้านแทน เดินมาจนสุดทางด้านหลังตัวบ้าน ห่างจากชานเรือนมีคลองธรรมชาติเส้นเล็ก
แอบรักเธออีกสักทีตอนที่ 5 หัวใจฉันหล่นวูบครั้งแล้วครั้งเล่ากับคำบอกเล่าที่เหมือนไม่ได้คิดอะไรของอีกคน พี่เหนือไม่ได้ขยายความต่อ แต่ยื่นกระดาษแผ่นที่ตัวเองเพิ่งเขียนอะไรเสร็จส่งต่อมาให้ “พี่จดเวลาเลิกเรียนของจ๋อมไว้ให้หมดแล้ว และก็เวลากลับบ้านของพี่ เบอร์โทรคนที่ร้านเผื่อว่าพี่ไม่รับสาย เราจะมาตอนไหนก็มาเดี๋ยวพี่จะเอากุญแจสำรองมาให้” เมื่อเห็นว่าเขาไม่คิดจะพูดถึงเรื่องจดหมายนั่นอีก ฉันก็ไม่จำเป็นที่จะต้องหาเหาใส่หัว เปลี่ยนเรื่องคุยก็ดีเหมือนกัน “พี่จะให้ปายมาเริ่มงานวันไหน?” “พรุ่งนี้เลยก็ได้ถ้าสะดวก” “โอเค” “แล้วเรื่องกลับบ้านตอนกลางคืนเดี๋ยวพี่ไปส่ง” “ไม่ต้องหรอกบ้านปายอยู่แค่นี้เองปั่นจักรยานเอาก็ได้” “เอางั้น?” “สบายมาก ว่าแต่พี่จะให้ค่าจ้างจริงไหม?” ฉันเลิกคิ้วถามถึงเรื่องที่เจ้าบ้านว่าอีกครั้ง พี่เหนือหลุดขำออกมาทำหน้ารู้ทัน “จ้างดิ เห็นพี่เป็นคนยังไง?” “ก็นึกว่าเลือกปายเพราะปายไม่เอาค่าจ้างเสียอีก” “มีจรรยาบรรณเว้ย” น้ำเสีย
แอบรักเธออีกสักทีตอนที่ 5 หัวใจฉันหล่นวูบครั้งแล้วครั้งเล่ากับคำบอกเล่าที่เหมือนไม่ได้คิดอะไรของอีกคน พี่เหนือไม่ได้ขยายความต่อ แต่ยื่นกระดาษแผ่นที่ตัวเองเพิ่งเขียนอะไรเสร็จส่งต่อมาให้ “พี่จดเวลาเลิกเรียนของจ๋อมไว้ให้หมดแล้ว และก็เวลากลับบ้านของพี่ เบอร์โทรคนที่ร้านเผื่อว่าพี่ไม่รับสาย เราจะมาตอนไหนก็มาเดี๋ยวพี่จะเอากุญแจสำรองมาให้” เมื่อเห็นว่าเขาไม่คิดจะพูดถึงเรื่องจดหมายนั่นอีก ฉันก็ไม่จำเป็นที่จะต้องหาเหาใส่หัว เปลี่ยนเรื่องคุยก็ดีเหมือนกัน “พี่จะให้ปายมาเริ่มงานวันไหน?” “พรุ่งนี้เลยก็ได้ถ้าสะดวก” “โอเค” “แล้วเรื่องกลับบ้านตอนกลางคืนเดี๋ยวพี่ไปส่ง” “ไม่ต้องหรอกบ้านปายอยู่แค่นี้เองปั่นจักรยานเอาก็ได้” “เอางั้น?” “สบายมาก ว่าแต่พี่จะให้ค่าจ้างจริงไหม?” ฉันเลิกคิ้วถามถึงเรื่องที่เจ้าบ้านว่าอีกครั้ง พี่เหนือหลุดขำออกมาทำหน้ารู้ทัน “จ้างดิ เห็นพี่เป็นคนยังไง?” “ก็นึกว่าเลือกปายเพราะปายไม่เอาค่าจ้างเสียอีก” “มีจรรยาบรรณเว้ย” น้ำเสีย
แอบรักเธออีกสักทีตอนที่ 4 สิบนาทีต่อมา จักรยานชะลอช้าก่อนจะหยุดลงที่หน้าบ้านไม้สองชั้นขนาดกลาง ไม่เล็ก แต่ก็ไม่ใหญ่เกินไปนัก ฉันหย่อนเท้าลงกับพื้น ทว่ายังคงนั่งนิ่งอยู่บนจักรยานอีกครู่หนึ่ง สายตาสอดส่องมองหาเจ้าของบ้านที่ตอนนี้ไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหนเห็นก็แต่มอเตอร์ไซค์คันที่พี่เหนือขี่นำมาก่อนล่วงหน้าแต่ไม่ยักเห็นเจ้าของ โรงรถมีกระบะที่สภาพราวกับไม่มีใครใช้งานจอดอยู่ ผ้าใบคลุมหลังคารถเต็มไปด้วยเศษใบไม้แห้ง ก่อนที่สายตาจะเบนมองไปยังตู้จดหมายสีเหลืองสดมีกังหันอันเล็ก ๆ ตกแต่งอยู่ด้านบน มันยังดูเหมือนเดิมแต่ก็เก่าลงตามกาลเวลา ลมเย็นพัดโชยมาทำให้คลายร้อนลงได้เล็กน้อย มีแก้วเจ้าจอมต้นใหญ่ให้ร่มเงาบริเวณหน้าบ้านทั้งยังออกช่อดอกบานสะพรั่งสวยจนต้องแหงนหน้าขึ้นมอง ฉันทิ้งจักรยานพิงรั้วบ้านเอาไว้ก่อนจะเดินเข้าไป ได้ยินเสียงหัวเราะของเด็กเล็ก ๆ คนหนึ่งดังแว่วมา แต่ยังไม่ทันได้เข้าไปทักทายคนที่จะต้องทำความรู้จัก เพราะคิดถึงความหลังทำให้เบี่ยงเดินไปด้านหลังตัวบ้านแทน เดินมาจนสุดทางด้านหลังตัวบ้าน ห่างจากชานเรือนมีคลองธรรมชาติเส้นเล็ก
แอบรักเธออีกสักทีตอนที่ 3 สิบห้านาทีต่อมา เพราะตอนนี้เป็นเวลาช่วงสาย หน้าตลาดยังคงมีคนเดินจับจ่ายซื้อของกันคึกคัก รถราหน้าสถานีรถไฟก็ยังคงหนาตา ฉันจอดจักรยานลงหน้าร้านข้าวมันไก่ที่มีป้ายตัวเบ้อเร่อเขียนกำกับเอาไว้ และวงเล็บพ่วงท้ายด้วยว่ารับจัดเลี้ยงโต๊ะจีน แม้ว่าอำเภอเราจะไม่ใหญ่มาก แต่เพราะนี่เป็นร้านข้าวมันไก่เจ้าดังเลื่องชื่อของจังหวัดทำให้มีคนมาเข้าคิวซื้อกันให้ควั่ก ทั้งยังมีกระบะสองสามคันจอดเทียบฟุตพาตอยู่หน้าร้าน ลูกจ้างร้านหลายคนกำลังกุลีกุจอขนเอาถุงใส่กล่องข้าวเหมือนกันกับที่พี่เหนือแวะเอาไปให้ที่บ้านเมื่อชั่วโมงก่อนขึ้นท้ายกระบะพวกนั้น นอกจากร้านข้าวมันไก่ขนาดใหญ่แล้ว ถัดออกไปข้างกันก็มีร้านขายน้ำเต้าหู ถัดออกไปอีกก็มีร้านขายโจ๊ก รวมถึงร้านรวงที่ตั้งแผงขายอาหารอยู่ริมฟุตพาต และถัดไปอีกก็คือถนนตัดเข้าตลาดสดฝั่งตรงข้ามกับตลาดเป็นสถานีรถไฟประจำอำเภอ ขบวนรถกำลังเคลื่อนตัวออกจากหน้าสถานี พร้อมกับเสียงประกาศออกลำโพงว่ารถไฟกำลังจะเคลื่อนขบวนไปยังสถานีถัดไปดังก้องได้ยินมาถึงตรงนี้เอาเป็นว่าแถวนี้เรียกได้ว่าเจริญพอสมควรเทียบกับที่อื่น ๆ ใ
แอบรักเธออีกสักทีตอนที่ 2เพราะเขาไปแล้วฉันถึงยกยิ้มขึ้นมาได้ เป็นจังหวะเดียวกันกับเสียงของพี่ปราณดังมาจากในบ้านพอหันมองไปก็พบว่าคนเป็นพี่อยู่ในชุดลำลองเตรียมจะออกไปข้างนอก พี่คว้าเอาหมวกแก็ปมาสวม นิ้วมือหมุนควงกุญแจรถเดินออกมาพี่ปราณเป็นชายหนุ่มวัยยี่สิบเก้าเท่ากันกับพี่เหนือทั้งยังเป็นเพื่อนซี้กันตั้งแต่เด็ก แถมหน้าตายังหล่อเหลาพอ ๆ กัน สมัยเรียนสองคนนี้เป็นหนุ่มหล่อประจำโรงเรียน อันที่จริงก็เรียกได้ว่าหล่อประจำอำเภอเลยดีกว่า และยิ่งโตแต่ละคนก็ยิ่งดูดี“มันไปแล้วเหรอ?” พี่ปราณเดินมาถึงตัวพอดี พร้อมกันก็คว้าเอาถุงข้าวมันไก่ไปถือไว้เอง“พี่เหนือมาส่งแบบนี้ทุกวันเหรอ?” ฉันเอ่ยปากถามทันที คนถูกถามยักไหล่ก่อนจะเอ่ยตอบ ทั้งพยายามจะแย่งน้ำเต้าหู้ไปด้วย“มันก็มาเองบ้าง ให้เด็กที่ร้านมาบ้าง”“นี่ของปาย” ฉันดึงเอาถุงน้ำเต้าหู้คืนมาพร้อมซ่อนมันไว้ด้านหลัง“ไอ้เหนือซื้อมาให้ว่างั้น?” พี่ปราณยกยิ้มเล็กน้อย แล้วถอนหายใจเสียงดัง “อยู่มาตั้งกี่ปีพี่ไม่เห็นเคยได้กิน”“พี่เหนือคงจะเห็นว่าปายเพิ่งกลับมา”“อือฮึ”“พี่จะเข้าสวนเหรอ?”“เออ เอาข้าวไปเลี้ยงคนงานที่สวน”“ปายไปด้วยได้ไหม?”“ไม่ต้องหรอกวันน
แอบรักเธออีกสักทีตอนที่ 1 หลายวันต่อมา 09.00 น. “ปายลงไปรับข้าวหน่อย พี่อาบน้ำอยู่” “อืม…” “ลุกขึ้นเร็ว” “รู้แล้ว ๆ” ฉันจำใจต้องสะบัดผ้าห่มออกจากตัว กะพริบตาช้า ๆ เพื่อให้ชินกับแสงสว่างที่ลอดผ่านม่านหน้าต่างเข้ามา ประตูห้องนอนปิดลงตอนที่เห็นหลังไว ๆ ของพี่ปราณเดินกลับออกไปในสภาพผ้าเช็ดตัวผืนเดียวพันท่อนล่าง บนหัวยังเต็มไปด้วยฟองสีขาวของแชมพู แม้ว่าจะขี้เกียจแค่ไหนก็ต้องพาสังขารตัวเองเดินลงบันไดมา ในบ้านเงียบเชียบไม่มีใครอยู่นอกจากคนที่กำลังอาบน้ำอยู่ด้านบน เสียงบีบแตรดังขึ้นอีกครั้งราวกับเป็นการย้ำเตือนว่าตอนนี้มีคนกำลังรออยู่ “มาแล้วค่ะ ๆ” ฉันเร่งรีบเดินออกจากตัวบ้าน คีบแตะคู่โปรดที่ไม่ได้ใส่มานานหลายปี ก่อนจะหันมองไปยังรั้วบ้านสีขาวสูงประมาณระดับอก ร่างสูงโปร่งคุ้นตาของใครคนหนึ่งกำลังสาวะวนอยู่กับการหอบหิ้วถุงพลาสติกหลายถุงลงจากตะกร้าหลังรถมอเตอร์ไซค์ ใครคนนั้นตั้งท่าจะบีบแตรอีกรอบ แต่ก็ต้องชะงักไปเมื่อหันมาสบสานสายตากับฉันเข้าพอดี แสงแดดสว่างจ้า
แอบรักเธออีกสักทีบทนำ กรุงเทพฯ 20.00 น. ประตูเวิร์กช็อปปิดลงแล้วหลังจากลูกค้าคนสุดท้ายเดินออกไป ‘พรีม’ เพื่อนสาวคนสนิทควบด้วยตำแหน่งเพื่อนร่วมงานซึ่งอยู่ในชุดเสื้อคลุมสีขาวยาวถึงข้อเข่าไม่รอช้ารีบเดินไปพลิกป้ายด้านหลังบานประตูกระจกใสจากข้อความที่ระบุว่า open เปลี่ยนเป็น closedแทน ใบหน้าอ่อนล้าหันกลับมามองฉันซึ่งกำลังนั่งกดปากกาลูกลื่นเป็นจังหวะช้า ๆ นัยน์ตาหรี่ลงเล็กน้อยอย่างใช้ความคิดเมื่อเห็นสภาพของคนเป็นเพื่อนที่ตอนนี้น่าจะไม่อยู่ในสภาวะที่จะไปบำบัดใครเขาได้ แม้ว่าหน้าเวิร์กช็อปจะมีป้ายอักษรโลหะตัวเบ้อเร่อระบุว่าเป็น ‘เวิร์กช็อปจิตวิทยา และศิลปะบำบัด’ แต่คนให้คำแนะนำกลับทำตัวราวกับต้องการได้รับการบำบัดเสียเอง พรีมถอดเสื้อคลุมตัวยาวออกอย่างเชื่องช้าก่อนจะแขวนมันเก็บกลับที่เดิมบนราวแขวนเฉกเช่นทุกวันหลังเลิกงาน ร่างเพรียวระหงหมุนตัวกลับมามองกันเป็นครั้งที่สิบในรอบวัน แต่คราวนี้ไม่ใช่แค่มองอย่างเดียว นัยน์ตากลมโตกะพริบช้ามีน้ำใสเอ่อคลอ ฉันถอนหายใจอย่างหนักอกก่อนจะหลับตาลงในจังหวะที่คนเป็นเพื่อนเดินเข้ามาถึงต