แอบรักเธออีกสักที
ตอนที่ 7
ฉันห่มผ้าให้จ๋อมถึงคออีกครั้ง แล้วเดินไปปิดไฟ จังหวะเดียวกันประตูห้องนอนก็เปิดออก เจ้าของบ้านเดินเข้ามาเงียบเชียบ พอเห็นว่าจ๋อมหลับไปแล้วก็ยกยิ้มขึ้นมาได้
“ปกติป่านนี้ไอ้จ๋อมมันยังไม่นอนเลย”
“ปายอ่านนิทานให้ฟัง” ฉันรีบบอกอย่างภูมิใจ จนคนว่าจ้างหันมามอง
“แค่อ่านนิทานก็หลับง่าย ๆ แบบนี้เลย?”
“จ๋อมบอกว่าแม่เคยอ่านให้ฟัง”
“…”
แล้วเราทั้งคู่ก็เงียบกันไปอึดใจ สีหน้าพี่เหนือดูหม่นเศร้าขึ้นมาเล็กน้อยไม่ต่างจากจ๋อมเมื่อชั่วโมงก่อน แต่ก็ทันได้เห็นแค่แว้บเดียวเท่านั้น ก่อนดวงหน้าคมคายจะกลับมายิ้มกว้างเหมือนเดิม
“พี่เป็นโรคนอนไม่หลับ”
“จริงเหรอ?” ฉันเลื่อนคิ้วเข้าหากันในทันที เงยหน้าขึ้นมองเขา พี่เหนือไหวไหล่เล็กน้อยก่อนจะตอบ
“ก็เป็นมาหลายปีแล้ว”
“พี่หาหมอบ้างไหม?”
“หาแล้วแต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไร”
เจ้าตัวว่างั้นพร้อมกันก็พยักหน้าเรียกให้ฉันเดินออกจากห้องไปพร้อมกัน ฉันได้แต่มองตามแผ่นหลังกว้าง กับสีหน้าที่ดูราวกับปกติสบายดีของเขาอย่างเป็นห่วง ยิ่งการแสดงออกดูเหมือนไม่เป็นอะไรยิ่งน่าเป็นกังวล และสุดท้ายก็อดที่จะเผือกไม่ได้จริง ๆ
“พี่ไม่ค่อยได้นอน แล้วออกไปทำงานแต่เช้าทุกวันแบบนี้เหรอ?”
“ไม่เห็นเป็นไร ชินแล้ว เป็นมาตั้งหลายปี”
“หลายปีเลยเหรอ? ปายว่าพี่ต้องปรึกษาหมอแล้วนะ”
“บอกว่าเคยแล้ว”
“…”“เดี๋ยววันนี้พี่ไปส่งเอง บอกไอ้ปราณไว้แล้วตอนมันแวะไปเอาไอ้แดงที่ร้าน”
พี่เหนือเปลี่ยนเรื่องไปเสียอย่างนั้น ราวกับไม่อยากพูดถึงหัวข้อเดิมต่อ และฉันก็ไม่อยากจะไปซักไซ้อะไรเขาให้มากความ เจ้าตัวหันไปคว้ากุญแจรถ เดินนำออกไปนอกตัวบ้าน
และนี่ก็เป็นอีกครั้งที่เราสองคนอยู่ในสภาพเดียวกันกับเมื่อเช้า
ตอนที่เสียงสตาร์ตรถดังขึ้นฉันก็ลืมเรื่องที่คุยค้างไว้ไปเสียอย่างนั้น กลับมาใจเต้นตึกตักกับตัวเองแทน
สัมผัสที่เบียดชิดแผ่นหลัง กับข้อแขนแข็งแรงที่ราวกับกอดประคองกันอยู่ ถ้าเป็นสมัยก่อนการได้ใกล้ชิดกับพี่เหนือขนาดนี้ กลับถึงบ้านมีหวังกรี๊ดไม่หยุดแน่นอน
ไม่ถึงสิบนาทีพาหนะคู่ชีพของพี่เหนือก็จอดสนิทลงที่หน้าบ้านฉันเอง ตัวบ้านยังเปิดไฟสว่าง รถของพี่ปราณจอดสนิทนิ่งอยู่นอกรั้ว แต่ไร้วี่แววเจ้าของที่จะเดินออกมา
ฉันลงจากไอ้แก่แบบที่พี่ปราณใช้เรียกแทนมอเตอร์ไซค์ของเพื่อนสนิท ก่อนจะหันไปมองหน้าคนมาส่งที่ตอนนี้ดับเครื่องลง หย่อนเท้าสองข้างลงบนพื้น พี่เหนือแกะถุงอะไรสักอย่างที่ห้อยอยู่ตรงแฮนด์จับ ก่อนที่ถุงน้ำเต้าหู้จะถูกส่งต่อมาให้ฉัน
“ค่าจ้างวันแรก” รอยยิ้มกว้างของเขาทำให้ฉันต้องเบนสายตาหนีแล้วทำเป็นเมิน
“ไหนว่าจะจ่ายตังไง”
“ขี้งกจริง ๆ”
“ปายไม่ได้งก”
“เดี๋ยวพี่ค่อยไปกดตังให้พรุ่งนี้ ค่าจ้างล่วงหน้าเดือนนึง”
“สมัยไหนแล้วพี่เหนือ โอนเอาก็ได้”
“ขอโทษที่เป็นคนโลวเทคฯ ครับน้อง”
“ต้องโลวแค่ไหน…”
“จะเอาไหมน้ำเต้าหู้เนี่ย?”
เจ้าตัวยังคงกวัดแกว่งถุงน้ำเต้าหู้ค้างอยู่อย่างนั้น แม้จะลดความอ้วนอยู่จริง ๆ แต่ฉันก็ยื่นมือไปรับมันมาถือไว้
“ขอบคุณ”
และระหว่างเราก็เข้าสู่ความเงียบอีกครั้ง เสียงจิ้งหรีดเรไรดังอยู่ทั่วไปยิ่งทำให้บรรยากาศสงัดเข้าไปใหญ่ ฉันยืนนิ่งอึกอักอยู่ที่เดิมไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร พี่เหนือก็ยิ้มกว้างค้างอยู่อย่างนั้น
และโชคดีเหลือเกินที่ในที่สุดก็ได้ยินเสียงของบุคคลที่สามดังขึ้น พี่ปราณในสภาพชุดนอนเดินออกมาหาคนเป็นเพื่อนพร้อมทั้งเอ่ยปากถาม
“เป็นไง น้องกูไปทดลองงานวันแรก ได้อยู่ไหม?” พี่ปราณไม่พูดเปล่าแต่ทิ้งแขนลงคล้องคอฉัน สีหน้าขบขันชำเลืองมองหน้ากันจนฉันรีบร้องออกไป
“ก็ต้องได้เรื่องอยู่แล้วสิ แค่เลี้ยงหลานเอง”
“หน้าตาไม่น่าเชื่อถือ”
“ทำเป็นดูถูกไปได้”
ระหว่างที่เราสองศรีพี่น้องยืนเถียงกันไปเถียงกันมา พี่เหนือก็หัวเราะเบา ๆ ก่อนจะยกมือขึ้นห้ามทัพ นัยน์ตาเป็นประกายทอดมองมาที่ฉันแล้วยิ้มกว้างกว่าเดิม
“ได้เรื่องดิ จ๋อมหลับเร็ว ปกติป่านนี้ยังเล่นเกมอยู่เลย”
“ปายอ่านนิทานให้ฟัง” ฉันขยายความให้พี่ปราณฟัง คนเป็นพี่เลิกคิ้วเล็กน้อย หันกลับไปมองหน้าเพื่อนราวกับนึกอะไรขึ้นมาได้
“มึงไม่ลองให้ปายอ่านให้ฟังบ้าง จะได้นอนหลับ”
“…”
คราวนี้พี่เหนือที่ยิ้มค้างอยู่ถึงกับยกมือขึ้นเกาหางคิ้ว เบนสายตาไปทางอื่น อาการแบบนี้แสดงว่ามันคือเรื่องจริงแน่นอนไม่ต้องสืบเลย ไอ้อาการนอนไม่หลับของเขาเนี่ย และดูจากสีหน้าทั้งคู่ก็คงจะไม่ใช่แค่เรื่องเล่น ๆ ด้วย ขนาดพี่ชายฉันเองจู่ ๆ ก็ดูเคร่งเครียดขึ้นมาเหมือนกัน
“หรือไม่พี่ลองเปิดยูทูบฟังอะไรเพลิน ๆ ก็ได้” ฉันพยายามเสนอ แต่พี่เหนือกลับส่ายหัว
“ไม่เอา เคยเปิดแล้ว สุดท้ายสะดุ้งตื่นตอนตีสองเพราะเสียงในยูทูบนั่นแหละ”
“ก็นี่ไง… ให้ปายลองอ่านให้ฟังไหม?”
พี่ปราณรีบยื่นข้อเสนอเดิมต่อไม่รอช้า ไม่คิดจะหันมาไถ่ถามสุขภาพฉันสักคำ และตัวคนนอนไม่หลับเองก็หัวเราะออกมาสีหน้าไม่ศรัทธา
“กูไม่ใช่เด็ก ๆ”
“ไม่ได้มีเฉพาะนิทานสำหรับเด็กสักหน่อยพี่” ฉันสอดขึ้นทันที ไม่ใช่เพราะกลัวเขาไม่ตอบรับข้อเสนอหรืออะไรหรอก แต่มันก็มีเรื่องสำหรับผู้ใหญ่เยอะแยะไป
“ไม่ลองดูหน่อย เผื่อจะช่วย” พี่ปราณเองก็พยักหน้าเห็นด้วย
พี่เหนือชำเลืองมองมาที่ฉันซึ่งก็ไม่ได้คิดจะขัดอะไรแต่แรกอยู่แล้วเพราะไม่เห็นมีอะไรเสียหายยังไงเมื่อก่อนเราก็สนิทกัน แถมถ้าเขาตกลงฉันก็จะได้เห็นเจ้าตัวตอนนอนอีกต่างหาก การทำอะไรแบบนี้ไม่ต่างจากการสานฝันในวัยเด็กเลยสักนิด กำไรเหนาะ ๆ เลย
เราสามคนเงียบกันอยู่ครู่ใหญ่ พี่เหนือก็พ่นลมหายใจเบา ๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตากันอีกครั้ง เอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงติดตลก
“แล้วจะคิดตังแพงปะ?”
“ไอ้ห่า แล้วก็ทำให้กูลุ้น” พี่ปรานหลุดหัวเราะออกมาเป็นคนแรก ถึงฉันเองก็หลุดขำออกมาด้วยเหมือนกัน
“ปายอ่านให้ฟังฟรี ๆ เลยก็ได้ ไม่คิดสักบาทเดียว”
“จริง?” คิ้วหนาเลิกขึ้นเล็กน้อย มุมปากยกยิ้มอยู่อย่างนั้น
“จริงดิ ถ้าพี่มีปัญหาจริง ๆ ต้องรีบแก้นะ เสียสุขภาพกายไม่พอ เสียสุขภาพจิตอีก”
“น้องมึงคิดไรกับกูปะเนี่ย? เสนอทำงานให้ฟรีสองรอบแล้วนะ”
“อะไรเล่า”
ฉันร้องสวนออกมาทันทีที่คนบ้าทำเป็นหันไปขอความเห็นจากพี่ปราณที่ก็ถึงกับหลุดขำออกมาอีกรอบเหมือนกัน สายตาผู้ชายสองคนมองมาที่ฉันเป็นตาเดียวแต่เป็นไปในทิศทางหยอกล้อมากกว่าจะจริงจัง
เป็นฉันเองมากกว่าที่จริงจังกว่าทุกคน ปากคว่ำลงสิบระดับแม้ว่าข้างแก้มจะร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างคุมไม่อยู่ก็ตาม ก็ยังดีที่ตอนนี้เป็นเวลามืดค่ำ ไม่อย่างนั้นอีกสองคนจะต้องได้เห็นมะเขือเทศสุกที่ข้างแก้มฉันเป็นแน่
“เดี๋ยวพี่จ้างไม่ต้องมาอ่านให้ฟังฟรี ๆ หรอก”
“ก็ดี” ฉันทำเป็นพยักหน้ารับไปอย่างนั้นเพื่อลบข้อกล่าวหาที่ว่า แม้เรื่องที่เขาพูดมันจะมีมูลความจริงอยู่หลายส่วนก็ตาม
“งั้นวันนี้กูกลับก่อน”
“กลับดี ๆ”
เสียงติดเครื่องรถดังขั้นอีกครั้ง พี่ปราณโบกมือให้เพื่อนแบบไม่มีพิธีรีตองอะไรมาก แล้วก็เดินกลับเข้าบ้านไปก่อน ในขณะที่ฉันยังยืนรอส่งพี่เหนืออยู่ที่เดิม เจ้าตัวหันมายิ้มให้กันอีกทีพร้อมกับยักคิ้วให้ตามประสาคนกวน แต่ประโยคถัดมาเล่นเอาฉันไปแทบไม่เป็น
“ฝันดีนะปาย”
“…”
ไอ้แก่เคลื่อนตัวทิ้งห่างออกไปแล้วแต่ฉันยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ปากพึมพำออกมาด้วยเสียงแผ่วเบา
“ฝันดีพี่เหนือ”
ราวกับคืนวันเมื่อหลายปีก่อนฉายกลับเข้ามาในหัวซ้ำแล้วซ้ำเล่า อย่างที่บอกว่าถ้าเป็นตอนนู้นมีหวังฉันคงกรี๊ดสลบไปแล้วกับอะไรประเภทที่ทำให้ใจเต้นขึ้นมาได้แบบนี้
ถึงเวลาจะผ่านมานานแต่คงปฏิเสธไม่ได้จริง ๆ ว่าการได้เจอหน้าคนที่เคยแอบรักอีกครั้ง ทำให้ความรู้สึกราวกับจะหวนไปเป็นเด็กชนิดที่ก็คาดไม่ถึงเหมือนกัน
แม้ตอนนี้ไม่ได้กรี๊ดออกมาเพราะคงจะทำตัวเป็นเด็กเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้
แต่ฉันในวัยยี่สิบเจ็ด… ก็กำลังส่งเสียงกรี๊ดในใจอยู่ดี…
แอบรักเธออีกสักทีตอนที่ 8 วันต่อมา วันนี้ฉันตั้งใจจะเข้าอ.เมืองเพื่อไปซื้อของ แต่เพราะตื่นสายกว่าจะขับรถเข้าเมืองก็ปาไปเกือบบ่ายสอง ไม่ลืมที่จะโทรบอกพี่เหนือว่าอาจจะเข้าไปดูแลจ๋อมช้าหน่อย ก็แอบเกรงใจไม่น้อยเหมือนกันแต่พี่เหนือบอกว่าไม่เป็นไรเดี๋ยวเขาจะขอให้ป้าตามาช่วยดูจ๋อมอีกวัน กระบะอีกคันที่สภาพไม่ได้ต่างจากไอ้แดงเท่าไรนักถูกเอาออกมาใช้งาน พี่ปราณบอกว่าคันนี้ไว้ใจได้มากกว่าถ้าเกิดอยากจะขับไปไหนต่อไหนไกล ๆ และตื่นเช้ามาคนเป็นพี่ก็ไม่อยู่แล้วเข้าสวนไปตั้งแต่หัวรุ่ง บ้านฉันทำสวนทุเรียนอย่างที่ได้เห็น คนอื่นเลยดูยุ่ง ๆ อีกทั้งตอนนี้ดูเหมือนว่าทุกคนจะลงความเห็นว่าอาจจะไม่ใช่แค่ส่งออกทุเรียนแล้ว แต่จะทำโรงงานแปรรูปทุเรียนด้วย เพราะงั้นเรื่องที่ฉันว่างงานเลยไม่ค่อยมีใครสนใจนักรวมถึงตัวฉันก็เหมือนกัน ไม่ใช่เพราะที่บ้านสามารถซัพพอร์ตได้ แต่เป็นเพราะฉันเองทำงานหนักมาตั้งแต่เรียนจบ อย่างที่บอกว่าเงินในบัญชีเหลือ ๆ อยู่แบบว่างงานได้เป็นปี ๆ แต่ก็ไม่ได้คิดจะอยู่ว่างแบบที่ว่าหรอก ตอนนี้ก็เริ่มเปิดรับงานวาดภาพแล้วด้วย ใช้วิธีส่งไฟล์ทางอีเ
แอบรักเธออีกสักทีตอนที่ 9หลายชั่วโมงต่อมา “ครับ รบกวนป้าตาดูไอ้จ๋อมให้ผมถึงสักสองทุ่มนะป้า” “…” “ขอบคุณป้ามาก เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมจัดข้าวมันไก่ชุดใหญ่ส่งตรงถึงหน้าบ้านเลย” “…” “ขอบคุณครับ” คนที่นั่งฝั่งตรงข้ามวางสายไปแล้ว ก่อนจะหันมาสูดเส้นก๋วยเตี๋ยวเข้าปากต่ออย่างหิวโหย ในขณะที่ฉันซึ่งกินอิ่มแล้วได้แต่นั่งมองเขากินก๋วยเตี๋ยวชามที่สาม เจ้าตัวตั้งหน้าตั้งตากินแทบจะไม่สนใจบรรยากาศรอบตัว หลังจากที่ได้อุปกรณ์วาดภาพแล้วเราสองคนก็ยังไม่ได้กลับเสียทีเดียว พี่เหนือบอกว่าเขาอยากแวะซื้อนั่นซื้อนี่ก่อนเพราะนาน ๆ ทีกว่าจะได้เข้าเมือง ไป ๆ มา ๆ เลยกลายเป็นว่าฟ้ามืดแล้วเราสองคนก็ยังไม่ได้กลับบ้าน จากที่ตั้งใจจะรีบกลับตอนนี้ฉันเลยได้นั่งกินข้าวกับเขาในรอบเจ็ดปี แม้จะเป็นแค่ร้านอาหารข้างทางริมฟุตพาต แต่ก็ทำให้ฉันเจริญอาหารมากกว่าทุกที อย่างน้อยตอนนี้ก็มีอาหารตาให้มอง “ป้า คิดตัง” หลังจากยกชามสุดท้ายซดจนไม่เหลือน้ำซุปแม้แต่หยดเดียวแล้ว ร่างสูงก็ผุดตัวลุกขึ้นยืน พร้อมพยักหน้าเรียกฉันไปด้วย
แอบรักเธออีกสักทีตอนที่ 10 วันต่อมา วันนี้ฉันมีนัดออกไปเจอเพื่อนสนิทสมัยเรียน อันที่จริงเราก็มีติดต่อกันบ้าง แต่ไม่ได้คุยกันมาหลายเดือนแล้ว ด้วยเพราะฉันเองงานค่อนข้างยุ่งมาก มะลิเองก็เหมือนกัน แต่ถ้าถามว่าใครซี้ปึ้กที่สุดก็คงไม่พ้นเพื่อนคนนี้นี่เอง เพราะคนที่ว่าไม่ได้อยู่ในตัวอำเภอทำให้กว่าจะเดินทางไปถึงบ้านเพื่อนก็เล่นเอาเกือบช่วงเที่ยงของวัน และแค่ได้เจอหน้ากันเราทั้งคู่ก็พากันกรี๊ดกร๊าดกระโดดกอดกันอยู่หน้าบ้านนานหลายนาที “คิดถึงแกมาก” “คิดถึงแกเหมือนกัน เป็นยังไงบ้าง?” “ฉันสบายดี ถามแกดีกว่า จะกลับมาอยู่นานไหม?” “คงมาอยู่สักระยะ” “เข้าบ้านกัน” คนเป็นเพื่อนตั้งท่าจะเดินนำเข้าตัวบ้านที่ก็เป็นบ้านสวนไม่ต่างจากบ้านของฉันที่สวนทุเรียน มะลิอยู่กับน้องชายอีกคนที่วันนี้คงจะไม่อยู่บ้าน ลานดินหน้าบ้านเต็มไปด้วยดอกแก้วที่ร่วงโรยลงมาจากกิ่งก้านส่งกลิ่นหอมยวนใจ เราเปลี่ยนใจนั่งลงตรงแคร่ไม้ใต้ต้นแก้วสูงกว่าห้าเมตรแทน หลังจากนั้นแต่ละคนก็ตกอยู่ในอากัปกิริยาเดียวกัน คือกวาดตาสำรวจอ
แอบรักเธออีกสักทีตอนที่ 11 สิบนาทีต่อมา “พี่ทำอะไร?” “อะไร?” “ก็ที่บอกคนอื่นไปแบบนั้นไง” คนตรงหน้าไม่ตอบคำถามแต่กำลังยกไก่ย่างเสียบไม้ขึ้นกิน เรายืนอยู่ข้างรถของฉันเอง โยกลับไปแล้วตั้งแต่ได้ยินพี่เหนือประกาศออกไปแบบนั้น กลับไปแบบที่เรียกได้ว่ากระแทกเท้าเดินออกจากวงสนทนาเลยทีเดียว ส่วนมดกับกระถินหลังจากโวยวายกันอยู่สักพักต่างคนต่างก็รีบกลับไปทำงาน ตอนนี้ก็เลยเหลือแค่ฉันกับเขา… แค่สองคน… “ทำไมบอกคนอื่นแบบนั้น? เห็นโยมองปายรึเปล่า? ยัยนั่นต้องเกลียดปายแล้วแน่เลย” ฉันไม่พูดเปล่าแต่ฟาดมือเข้าที่แขนคนซึ่งเอาแต่ยืนกินไม่เป็นเดือดเป็นร้อนอะไร “ก็ช่วยหน่อยเหอะน่า” “บอกคนอื่นว่าคุยกับปาย แล้วมันช่วยอะไรยังไง?” ฉันเลื่อนคิ้วเข้าหากันอย่างไม่เข้าใจ พี่เหนือพ่นลมหายใจเสียงดังก่อนจะดูดน้ำหวานต่อท้าย สีหน้ายังคงไร้ซึ่งความรู้สึก “เคยบอกไปยังว่าโยยังตามง้อพี่อยู่” “เคย เมื่อวานไง” และมะลิก็เล่าเสริมเมื่อชั่วโมงก่อนด้วย… “ก็นั่นแหละ” “นั่นแหละอะไร?”
แอบรักเธออีกสักทีตอนที่ 12 วันต่อมา วันนี้ฉันปั่นจักรยานมาที่บ้านพี่เหนือเร็วกว่าปกติเพราะคิดว่าจะลองทำอาหารว่างให้จ๋อมกิน ออกมาช่วงบ่ายแบบนี้ทำเสร็จจ๋อมก็คงเลิกเรียนพอดี แต่ต้องแปลกใจเมื่อเห็นพาหนะคู่ชีพของพี่เหนืออย่างไอ้แก่จอดอยู่หน้าบ้าน ทั้งที่ปกติแล้วเวลานี้เจ้าตัวน่าจะต้องอยู่ที่ร้านแท้ ๆ ฉันเดินหอบหิ้วถุงวัตถุดิบเข้ามาในตัวบ้านเงียบเชียบ ไร้สุ้มเสียงว่ามีคนอยู่ แต่เจ้าของบ้านต้องอยู่แน่เพราะหน้าต่างทุกบานเปิดอ้ารับลม ผ้าม่านสีขาวปลิวไสว ไอแดดยามบ่ายสาดแสงสว่างจ้าไปทั่ว มองออกไปยังด้านหลังก็เห็นลำคลอง น้ำเป็นประกายระยิบระยับ เงาไม้ของต้นจากฝั่งตรงกันข้ามลอยอยู่เหนือผิวน้ำ สภาพแวดล้อมของบ้านพี่เหนือน่าอยู่จนฉันอดที่จะยกยิ้มขึ้นมาอย่างเสียไม่ได้ จังหวะนั้นเองเสียงบานประตูก็เปิดออก หันไปมองพบว่าเป็นเจ้าของบ้านในสภาพผ้าข้าวม้าพันช่วงเอวเดินออกมาจากห้องน้ำ “ทำไมมาเร็ว?” “เอ่อคือ…” ร่างสูงของพี่เหนือเดินเช็ดผมเปียกหมาดออกมา เรือนร่างกำยำแบบบุรุษเพศวัยฉกรรจ์ทำเอาฉันเช็ดน้ำหมากแทบไม่ทัน ต้องรี
แอบรักเธออีกสักทีตอนที่ 13 ตกดึก จ๋อมหลับไปสักพักแล้ว ตอนนี้ฉันเลยนั่งรอพี่เหนืออยู่ที่โซฟาได้ร่วมชั่วโมงพอดิบพอดี เสียงไอ้แก่จอดสนิทลงหน้าบ้าน และอีกอึดใจเจ้าของบ้านก็เดินเข้ามาพร้อมถุงน้ำเต้าหู้ในมือ แค่เห็นหน้ากันพี่เหนือก็ผุดยิ้มทันที “อะ น้ำเต้าหู้ของโปรด” “เดี๋ยวปายค่อยเอาไปกินที่บ้าน” “อือฮึ” ว่าแล้วเจ้าตัวก็วางมันลงบนโต๊ะ สายตาชำเลืองมองไปเห็นกระดานวาดภาพสองแผ่นวางอยู่คู่กันบนขาตั้งตัวเล็กก็หัวเราะเบา ๆ “ไม่น่าเชื่อว่าจ๋อมมันจะยอมวาดด้วย” ริมฝีปากสวยคลี่ยิ้มกว้างพยักหน้ากับตัวเอง ทอดสายตามองผลงานสีน้ำชิ้นแรกของคนเป็นหลานด้วยสีหน้าภูมิใจ “พี่ไปอาบน้ำสิ เดี๋ยวจะได้เข้านอน” ฉันรีบบอกเพราะวันนี้เราจะได้เริ่มทดลองอ่านหนังสือให้เขาฟังก่อนนอนเป็นครั้งแรกเสียทีแต่พี่เหนือกลับชำเลืองมองมาทำสีหน้ากรุ้มกริ่มกวนกันอีกครั้งราวกับจะเป็นการตอกย้ำถึงเหตุการณ์ที่ฉันเขินเขาเมื่อตอนกลางวัน แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรเพียงแค่เดินเลี่ยงไปคว้าผ้าขนหนูกับผ้าขาวม้าเข้าห้องน้ำไปเท่านั้น
แอบรักเธออีกสักทีตอนที่ 14 วันต่อมา วันนี้ฉันขับรถเข้าตัวเมืองอีกรอบเพราะอยากจะได้หนังสือเกี่ยวกับการนอนหลับซึ่งก็ไม่รู้แน่ว่ามีหรือเปล่า แต่ถึงไม่มีก็ไม่เสียเที่ยวซะทีเดียวยังไงก็ตั้งใจจะมาซื้อหนังสือไปอ่านเล่นเพิ่มอยู่แล้วด้วย คุณลุงเจ้าของร้านยังคงคอนเซ็ปต์นั่งจิบกาแฟไปปอกกล้วยกินไปพลาง สายตาทอดมองออกไปนอกตัวร้านเหมือนอย่างเคย หลังจากใช้เวลาเดินเลือกอยู่ร่วมชั่วโมง ก็ได้หนังสือเต็มข้อแขนกลับออกมาอีกครั้ง เจ้าของร้านถึงกับหัวเราะเมื่อเห็นว่าฉันคลั่งการอ่านแค่ไหน “หมดนี่จะอ่านไหวรึ?” “มีคนที่ต้องอ่านให้ฟังตั้งสองคนค่ะคุณลุง” “มีหลานสองคน?” “เปล่าค่ะ คนนึงหลาน อีกคนเป็นพี่ชาย” ถึงแม้คุณลุงจะทำหน้าแปลกใจที่จะต้องอ่านหนังสือให้คนเป็นพี่ชายฟัง แต่แกก็ไม่ได้ซักไซ้อะไรต่อ กดเครื่องคิดเลขคิดเงินอย่างรวดเร็วทั้งยังลดให้เป็นพิเศษอีกด้วย ระหว่างที่รอเงินทอนสายตาก็บังเอิญมองไปเห็นหนังสือคุ้นตาเล่มหนึ่งที่อยู่บนแผงโชว์ด้านหลังของเจ้าของร้าน มุมล่างขวาของปกมีลายมือเขียนด้วยปากกาสี
แอบรักเธออีกสักทีตอนที่ 15 ตอนค่ำ “ถ้าเอาสีเหลืองกับสีแดงผสมกันจะได้สีส้มแบบนี้…” “แล้วทำไมต้องผสมด้วยครับอาปาย สีส้มก็มีอยู่นี่ไง” ฉันถึงกับยิ้มค้างเมื่อเด็กมันแสนฉลาด ตอนนี้ฉันกับจ๋อมกำลังนั่งอยู่บนพื้นไม้ของตัวบ้านที่ผ่านการขัดถูมาจนเงาวับ ตรงหน้ามีแผ่นกระดานไม้อัดหนีบกระดาษปอนด์สีขาวของใครของมันวางบนขาตั้งไม้ตัวเล็ก จ๋อมหันกลับไปลงพู่กันไซซ์ใหญ่ตวัดปาดเป็นทางยาวลงบนแผ่นกระดาษเพื่อวาดยานอวกาศ ส่วนของฉันกำลังเก็บรายละเอียดภาพทิวทัศน์หลังตัวบ้านของพี่เหนือที่ลงมือวาดตั้งแต่ช่วงเย็นที่ผ่านมาไอแพดของจ๋อมตอนนี้ถูกเก็บไว้บนชั้นวางของ และเป็นเรื่องน่ายินดีที่หลานไม่คิดจะร้องหา เสียงไอ้แก่ดังขึ้นที่หน้าบ้านในช่วงเวลาที่เร็วกว่าปกติทำให้ฉันต้องยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู พี่เหนือกลับมาเร็วกว่าทุกวัน เสียงประตูบ้านเปิดออกเราสองคนพากันหันไปมองเจ้าของบ้านที่หอบหิ้วถุงอาหารเดินเข้ามา “กินข้าวกัน พี่ซื้อกุ้งเผามา” ว่าแล้วก็พยักหน้าเรียกเราทั้งคู่ “จ๋อมยังวาดรูปไม่เสร็จเลยครับอาเหนือ” เสียงเจื้อยแจ้วเอ่ยตอบแ
เหนือรักปายตอนพิเศษ 4 ปัจจุบัน เสียงหัวเราะของคนหลายคนดังแว่วมาให้ได้ยิน ตอนที่ผมกำลังเดินไปยังเวิร์กช็อปเล็ก ๆ ข้างกันกับตัวบ้านของผมเองที่ ๆ ปายตั้งใจจะเปิดสอนศิลปะให้กับคนที่สนใจ และก็ได้รับการตอบรับดีพอสมควร เพราะในตัวอำเภอไม่มีที่ไหนเปิดสอนศิลปะเป็นจริงเป็นจัง หากจะเรียนก็ต้องเข้าเมืองไปไกลกว่าสองชั่วโมง ลูกค้าส่วนมากก็เป็นเด็กนักเรียนที่พ่อแม่สนใจจะสนับสนุนลูก ๆ ให้เอาดีทางด้านนี้ แต่ก็มีผู้ใหญ่หลายคนอยู่เหมือนกันที่ให้ความสนใจมาลงเรียน บางกลุ่มก็มาเรียนบ้างเป็นพัก ๆ บางคนก็ตั้งใจจะเรียนระยะยาวแม้งานที่ว่านี้จะไม่ได้ทำรายได้เป็นกอบเป็นกำ แต่คนที่ตั้งใจทำก็ดูจะพอใจที่ทุกอย่างไปได้สวยอย่างที่คิด วันนี้เป็นเย็นวันธรรมดาคนเลยไม่เยอะเท่าไรนัก สังเกตได้จากรองเท้าที่ถอดเรียงเอาไว้บนชั้นวางรองเท้าด้านนอก หากเป็นวันเสาร์อาทิตย์คนก็จะเยอะกว่านี้ เสียงกริ่งประตูดังขึ้นตอนที่ผมผลักบานประตูเดินเข้าไป คนหลายคนด้านในหันมองมา เด็กนักเรียนผู้หญิงหลายคนกำลังนั่งจับกลุ่มวาดภาพสีน้ำ ตรงหน้าของแต่ละคนมีกระดานวาดภาพวางบนขาตั้งไม้ทรงสูง ผมได้แต่
เหนือรักปายตอนพิเศษ 3@ โรงเรียน “กูอยากถือป้าย” “ก็ถ้าไม่ใช่มึงเป็นดรัมฯ แล้วจะให้ใครเป็น?” “กูขี้เกียจซ้อม ขอถือป้ายแทนได้ปะ?” “ไอ้ฝ้ายก็จะนั่งเสลี่ยง มึงก็อยากจะถือป้าย ไม่มีใครอยากเป็นดรัมฯ บ้างเลยหรือยังไง?” “…” ผมได้แต่นั่งมองเพื่อนผู้หญิงโต้กันไปโต้กันมาเรื่องการเตรียมงานกีฬาสีของโรงเรียนที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้านี้ ขนาดว่านั่งเฉย ๆ ไม่ออกความเห็นอะไร สายตาคนอื่นก็พากันหันมากดดัน ราวกับจะให้ผมเป็นคนออกความเห็นว่าใครควรจะเป็นดรัมเมเยอร์เสียอย่างนั้น “อะไร? กูจะรู้ไหมเนี่ย? กูผู้ชาย” “มึงเป็นประธานไงเหนือ และนี่ไม่มีใครอยากเป็นเลยสักคน ดรัมฯ ไม้แรกเลยนะเว้ย กูละงงจริง ๆ”ไอ้จ๋าเกาหัวแกรก ๆ สีหน้าคิดไม่ตก สายตากดดันเลื่อนมองกลับไปยังคิมซึ่งนั่งกอดอกอยู่บนโต๊ะเรียนอีกครั้ง คนถูกมองพ่นลมหายใจเสียงดังพลางก็บ่นกระปอดกระแปด “ก็กูอยากถือป้าย มึงก็เป็นดรัมฯ เองสิ” “ลดน้ำหนักให้ได้สักสิบห้ากิโลฯ กูจะเป็นให้” คนที่เพื่อนปัดภาระให้เ
เหนือรักปายตอนพิเศษ 2@ โรงเรียน วันนี้เป็นอีกครั้งที่ใต้โต๊ะเรียนของผมมีคนเอาจดหมายมาสอดไว้เหมือนกับหลายวันที่ผ่านมา ก่อนหน้านี้ก็ใช่ว่าจะไม่มีคนเอาของมาส่งให้ หากแต่ไม่มีใครใช้วิธีส่งจดหมายแบบนี้ ส่วนมากเป็นขนมกับของขวัญเสียมากกว่าก็มีอยู่แค่คนเดียวที่ใช้วิธีส่งจดหมายมา และแค่เห็นซองจดหมายก็รู้ได้ในทันทีว่าเป็นของคน ๆ เดียวกัน คนอื่นรอบตัวผมในขณะนี้ยังคงตั้งหน้าตั้งตาลอกการบ้านกันเหมือนอย่างเคยตอนที่ผมดึงเอากระดาษโน้ตลายกระต่ายสีชมพูออกจากซอง ไล่สายตาอ่านสิ่งที่เขียนอยู่บนแผ่นกระดาษอันที่จริงก็ไม่ได้ต่างไปจากทุกฉบับที่ผ่านมา คนส่งยังคงเขียนทำนองว่า วันนี้แอบมองผมตอนทำนู่นทำนี่ พรรณนาว่าตัวผมหล่อแค่ไหน ไม่ก็ประเภทที่ว่าเมื่อคืนฝันถึงผมอะไรประมาณนั้นทุก ๆ ย่อหน้าจะมีสติกเกอร์รูปหัวใจแปะอยู่ ท้ายแผ่นจะมีรูปการ์ตูนที่วาดไม่ซ้ำกันในแต่ละวัน อย่างวันนี้ก็เป็นผู้หญิงกำลังยืนเกาะแขนผู้ชายที่ก็คิดว่าคงแทนตัวผมเอง ผมได้แต่ระบายรอยยิ้มออกมา เพราะต้นทางคนส่งดูท่าจะตั้งใจมาก ไม่ว่าผมจะมาโรงเรียนเช้าแค่ไหน ก็จะเห็นว่ามีจดหมายสอดที่ใต้โต
เหนือรักปายตอนพิเศษ 1 สิบปีก่อน@ เหนือ “กูถึงแล้ว” ‘จอดรออยู่หลังสถานี’ “เค” ปลายสายวางไปแล้ว กระเป๋าเป้ใบใหญ่ถูกแบกขึ้นบ่าอีกรอบหลังจากถูกวางทิ้งไว้เมื่อนาทีก่อนเพราะผมเดินไปซื้อน้ำที่ร้านค้าหน้าสถานีรถไฟ อากาศประเทศไทยตอนกลางวันร้อนตับแตกแบบนี้ อะไรก็ไม่ดีเท่าได้กินน้ำแดงเย็น ๆ สักถุง หลังจากไปอยู่บ้านป้ามาตลอดปิดเทอมฤดูร้อนตอนนี้ก็ได้ฤกษ์กลับบ้านตัวเองเสียที เนื่องจากโรงเรียนใกล้เปิดเทอมแล้ว อีกไม่กี่วันก็คงต้องกลับไปเรียนเหมือนอย่างเคย และคงเป็นปีสุดท้ายที่จะได้ใช้ชีวิตในรั้วโรงเรียน เพราะปีนี้ผมกำลังจะขึ้นชั้นม.หก “ไปบ้านกูก่อนแล้วกัน” แค่เจอหน้ากันไอ้ปราณเพื่อนสนิทที่เอามอเตอร์ไซค์มาจอดรอรับก็เอ่ยบอก พลางเอาขาตั้งรถขึ้น ผมไม่ทันได้พูดอะไรมันก็เตรียมจะออกรถ สุดท้ายเลยต้องรีบคร่อมขาซ้อนท้ายมัน ไม่จำเป็นต้องเอ่ยปากถามเพื่อนว่าทำไมต้องไปบ้านมันก่อน เพราะถึงยังไงบ้านที่ว่าก็เป็นทางผ่านที่จะไปบ้านผมอยู่แล้ว สายลมพัดปะทะเข้าหาใบหน้าไม่ได้ช่วยให้คลายร้อนลงเท่า
แอบรักเธออีกสักทีตอนที่ 49 หลายวันต่อมา หลังจากงานแต่งผ่านพ้นไปได้ด้วยดี เราทุกคนก็กลับมาใช้ชีวิตกันอย่างปกติสุข ฉันยังคงไปเลี้ยงจ๋อมเหมือนทุกวัน พี่เหนือก็ออกไปดูแลร้านของเขาเหมือนทุกที พี่ปราณก็ยังคงช่วยดูแลกิจการของที่บ้าน ส่วนจ๋อมก็กำลังเตรียมสอบปลายภาคของระดับชั้นประถมศึกษา เพราะงานวันแต่งเราเชิญคนรู้จักมาเยอะมาก และแขกหลายคนก็เป็นอาจารย์ที่โรงเรียนเก่าของเราทั้งคู่รวมถึงรุ่นพี่รุ่นน้องชั้นปีอื่น ๆ ช่วงท้ายของงานทางอาจารย์เลยมีการขอแรงจากศิษย์เก่าเข้าไปช่วยจัดการเรื่องการย้ายโต๊ะนักเรียนแบบเก่าไปเก็บไว้ที่โกดังหลังโรงเรียนเพื่อที่จะรับโต๊ะเขียนแบบเลกเชอร์เข้ามาแทน แน่นอนว่าฉันกับพี่เหนือเองก็อาสาจะไปช่วย พวกเพื่อน ๆ ของเขา และเพื่อนสมัยเรียนของฉันก็พากันมาร่วมแรงร่วมใจกันในวันนี้ด้วยเหมือนกัน “ดีไหม?” “อะไร…” “ก็แกกับพี่เหนือไง ใกล้ได้ลูกรึยัง?” “บ้า…” “อย่ามาเขินหน่อยเลย เห็นว่าลุงหมานอยากมีหลานให้อุ้มไว ๆ” “ก็กำลังช่วยกันทำอยู่” “โอ๊ย! ไม่น่าถามเลยจริง
แอบรักเธออีกสักทีตอนที่ 48 สองชั่วโมงต่อมา หลังจากที่เดินไหว้ผู้หลักผู้ใหญ่โต๊ะนู้นโต๊ะนี้จนเสร็จ ทุกคนก็ทานอาหารกันจนอิ่มหนำ ตอนนี้ก็เข้าสู่ช่วงเปิด VTR ของคู่บ่าวสาวที่พี่ปราณเป็นคนเสนอตัวจัดเตรียมให้เอง ฉันกับพี่เหนือได้แต่ยืนกลั้นขำกันอยู่บนเวทีเมื่อแต่ละรูปที่คนเป็นพี่เลือกมามันช่างน่าขำ ตั้งแต่รูปของเราสมัยยังเป็นเด็กตัวเล็ก ๆ ข้ามมาสมัยผมของฉันยังสั้นเท่าติ่งหู และตัดมาที่ภาพสมัยมัธยมปลายที่เริ่มจะดูดีขึ้นมาหน่อย ช่างต่างจากคนเป็นเจ้าบ่าวที่หน้าตาดีมาตั้งแต่เด็กแบบที่คงไม่เคยพบเจอยุคมืดของตัวเองมาก่อน วิดีโอเล่นผ่านไปเรื่อย ๆ จนเข้าสู่รูปพรีเวดดิ้งของเราทั้งคู่ ที่ออกจะหวานเกินไปเสียหน่อย ทุกรูปพี่เหนือจะมองกันด้วยสายตาแบบที่ทำเอาหัวใจละลาย บรรดาสาว ๆ ในงานพากันกรี๊ดกร๊าดวี้ดว้ายกันไม่หยุดกับสายตาประเภทนั้นแม้จะเป็นเพียงภาพถ่ายก็ตาม และตอนนี้เองที่พี่เหนือเลื่อนมือมากุมประสานเข้ากันกับมือของฉัน สายตาที่มองมาอย่างสื่อความหมายทำเอาใจเต้นแรง แม้ว่าเราจะอยู่ท่ามกลางคนหลายร้อยคนฉันก็ไม่อาจห้ามจังหวะหัวใจให้เต้นช้าลงได้เลย
แอบรักเธออีกสักทีตอนที่ 47 หนึ่งเดือนต่อมา วันงานแต่ง งานเลี้ยงตอนเย็นจัดขึ้นที่หอประชุมของโรงเรียน ที่เดียวกันกับที่เรามางานเลี้ยงรุ่นกันเมื่อหลายเดือนก่อนหลังจากเสร็จสิ้นงานตอนเช้าไป ฉันก็แทบจะนอนหมดแรง เพราะพ่อกับแม่เชิญแขกมาแทบจะทั้งอำเภอ กว่าจะแห่ขันหมากเสร็จ กว่าจะกินข้าว กว่าจะพิธีรีตอง เอาเป็นว่าจบงานเช้าปุ๊บฉันก็หลับเป็นตาย ปล่อยหน้าที่ส่วนอื่น ๆ ให้พี่เหนือกับคนอื่นเป็นคนจัดการ แต่ก็นอนไปได้ไม่นาน พอช่วงบ่ายก็ถูกปลุกลุกขึ้นมาแต่งหน้าทำผมเพื่อที่จะไปงานเลี้ยงช่วงค่ำต่อ สารภาพตามตรงว่าระหว่างที่ช่างแต่งหน้าบรรจงแต่งแต้มใบหน้าอย่างตั้งอกตั้งใจฉันเผลอน้ำลายยืดตั้งสองสามที โอเค… เอาเป็นว่างานแต่งงานไม่ได้สนุกแบบที่คิดก็พอ และพอมาถึงหน้างานบ่าวสาวต้องรับบทนางยืนยิ้มรอถ่ายรูปอยู่ที่ฉากด้านหน้าทางเข้าซึ่งใหญ่โตอลังการแบบที่คิดไปไม่ถึงว่าพี่เหนือจะเล่นใหญ่อะไรเบอร์นี้ อันที่จริงพ่อกับแม่ฉันจะเป็นคนจัดการเรื่องงงเรื่องงานให้ แต่พี่เหนือบอกว่าเดี๋ยวเขาจัดการให้เองทั้งหมด และทั้งหมดนี่ก็คงหมดเงินไปบานตะไท
แอบรักเธออีกสักทีตอนที่ 46 หลายวันต่อมา แล้วสุดท้ายเราสามคนก็ได้อยู่ด้วยกันเหมือนเดิม… เหตุการณ์เมื่อหลายวันก่อนจบลงด้วยดี หลังจากที่ฉันกับจ๋อมกอดกันร้องไห้ไปหลายต่อหลายยก พี่นัยก็มาคุยด้วย และบอกว่าจ๋อมคงจะไม่อยากไปจริง ๆ อาจจะต้องรบกวนพี่เหนือช่วยดูแลจ๋อมต่อ ไม่ใช่แค่เพราะจ๋อมไม่อยากไป แต่เป็นเพราะตัวพี่นัยเองก็มีสามีใหม่ ทั้งยังต้องทำงานกันทุกวัน เวลาเลิกเรียนจ๋อมอาจจะไม่มีคนดูแล แต่ที่มารับไปอยู่ด้วยเป็นเพราะกลัวว่าจ๋อมจะคิดถึง และแกเองก็คิดถึงลูกมากเหมือนกัน แต่ด้วยหน้าที่การงาน และเรื่องอื่นหลายสิ่งหลายอย่าง ห่วงก็แต่จ๋อมจะมาเป็นภาระพี่เหนือแทน ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่เลย เราทั้งคู่พากันออกตัวจะดูแลจ๋อมให้เองไม่ต้องเป็นห่วง สุดท้ายก็จบลงตรงที่พี่นัยจะมาเยี่ยมจ๋อมทุกอาทิตย์ หรือไม่ก็จะพาจ๋อมไปเที่ยวทุกอาทิตย์แทน ส่วนเรื่องเงินแม้ว่าพี่นัยจะบอกว่าจะส่งเสียจ๋อมเองแต่พี่เหนือก็บ่ายเบี่ยงปฏิเสธไป บอกว่าอยากจะช่วยดูแลทางด้านการเงินด้วย และฉันก็เพิ่งมารู้ทีหลังว่าพี่นัยเองมีภาระค่าใช้จ่ายหลายอย่าง อีกทั้งไม่มีเวลาดูแลได้ดีเท
แอบรักเธออีกสักทีตอนที่ 45 หลายเดือนต่อมา เมื่อคืนฉันกลับมานอนที่บ้าน ทั้งยังต้องโต้รุ่งวาดภาพส่งให้ลูกค้าที่คอมมิชชันงานเข้ามา วันนี้ก็เลยตื่นสายกว่าปกติ แต่พอตื่นมาก็ต้องพบกับข่าวร้ายชนิดที่ว่า เห็นข้อความที่พี่เหนือส่งมาปุ๊บก็ต้องรีบกระโจนลงจากเตียงวิ่งตึงตังลงมาจากชั้นสองของบ้านแทบจะในทันที เสียงแม่ตะโกนถามมาว่าเป็นอะไร ยังไม่มีเวลาแม้จะหันไปสนใจตอบคำถามท่านเลย ได้แต่คว้าเอาจักรยานคันเดิมมาควบ สองเท้าถีบปั่นอย่างเร่งรีบไปยังจุดหมายปลายทางที่ก็เป็นบ้านของพี่เหนือเหมือนทุกวัน แต่ที่ต่างคือ… วันนี้หน้าบ้านไม้สองชั้นคุ้นตามีรถจอดอยู่หนึ่งคัน… ยังไม่ทันที่จะเดินเข้าไป น้ำตาก็รื้นขึ้นมาติดอยู่ที่ขอบตา แค่นึกถึงเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไปอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า หรือไม่ก็อาจจะแค่ไม่กี่นาทีนี้… หัวใจมันก็เจ็บขึ้นมาเสียแล้ว… “อาปาย” “จ๋อม” แค่เดินเข้ามาได้ไม่กี่ก้าว จ๋อมที่หันมาเห็นกันก่อนเป็นคนแรกก็รีบวิ่งเข้ามาหาทันที ฉันย่อตัวลงกอดหลานไว้แน่น พยายามข่มจิตข่มใจให้เป็