แอบรักเธออีกสักทีบทนำ กรุงเทพฯ 20.00 น. ประตูเวิร์กช็อปปิดลงแล้วหลังจากลูกค้าคนสุดท้ายเดินออกไป ‘พรีม’ เพื่อนสาวคนสนิทควบด้วยตำแหน่งเพื่อนร่วมงานซึ่งอยู่ในชุดเสื้อคลุมสีขาวยาวถึงข้อเข่าไม่รอช้ารีบเดินไปพลิกป้ายด้านหลังบานประตูกระจกใสจากข้อความที่ระบุว่า open เปลี่ยนเป็น closedแทน ใบหน้าอ่อนล้าหันกลับมามองฉันซึ่งกำลังนั่งกดปากกาลูกลื่นเป็นจังหวะช้า ๆ นัยน์ตาหรี่ลงเล็กน้อยอย่างใช้ความคิดเมื่อเห็นสภาพของคนเป็นเพื่อนที่ตอนนี้น่าจะไม่อยู่ในสภาวะที่จะไปบำบัดใครเขาได้ แม้ว่าหน้าเวิร์กช็อปจะมีป้ายอักษรโลหะตัวเบ้อเร่อระบุว่าเป็น ‘เวิร์กช็อปจิตวิทยา และศิลปะบำบัด’ แต่คนให้คำแนะนำกลับทำตัวราวกับต้องการได้รับการบำบัดเสียเอง พรีมถอดเสื้อคลุมตัวยาวออกอย่างเชื่องช้าก่อนจะแขวนมันเก็บกลับที่เดิมบนราวแขวนเฉกเช่นทุกวันหลังเลิกงาน ร่างเพรียวระหงหมุนตัวกลับมามองกันเป็นครั้งที่สิบในรอบวัน แต่คราวนี้ไม่ใช่แค่มองอย่างเดียว นัยน์ตากลมโตกะพริบช้ามีน้ำใสเอ่อคลอ ฉันถอนหายใจอย่างหนักอกก่อนจะหลับตาลงในจังหวะที่คนเป็นเพื่อนเดินเข้ามาถึงต
แอบรักเธออีกสักทีตอนที่ 1 หลายวันต่อมา 09.00 น. “ปายลงไปรับข้าวหน่อย พี่อาบน้ำอยู่” “อืม…” “ลุกขึ้นเร็ว” “รู้แล้ว ๆ” ฉันจำใจต้องสะบัดผ้าห่มออกจากตัว กะพริบตาช้า ๆ เพื่อให้ชินกับแสงสว่างที่ลอดผ่านม่านหน้าต่างเข้ามา ประตูห้องนอนปิดลงตอนที่เห็นหลังไว ๆ ของพี่ปราณเดินกลับออกไปในสภาพผ้าเช็ดตัวผืนเดียวพันท่อนล่าง บนหัวยังเต็มไปด้วยฟองสีขาวของแชมพู แม้ว่าจะขี้เกียจแค่ไหนก็ต้องพาสังขารตัวเองเดินลงบันไดมา ในบ้านเงียบเชียบไม่มีใครอยู่นอกจากคนที่กำลังอาบน้ำอยู่ด้านบน เสียงบีบแตรดังขึ้นอีกครั้งราวกับเป็นการย้ำเตือนว่าตอนนี้มีคนกำลังรออยู่ “มาแล้วค่ะ ๆ” ฉันเร่งรีบเดินออกจากตัวบ้าน คีบแตะคู่โปรดที่ไม่ได้ใส่มานานหลายปี ก่อนจะหันมองไปยังรั้วบ้านสีขาวสูงประมาณระดับอก ร่างสูงโปร่งคุ้นตาของใครคนหนึ่งกำลังสาวะวนอยู่กับการหอบหิ้วถุงพลาสติกหลายถุงลงจากตะกร้าหลังรถมอเตอร์ไซค์ ใครคนนั้นตั้งท่าจะบีบแตรอีกรอบ แต่ก็ต้องชะงักไปเมื่อหันมาสบสานสายตากับฉันเข้าพอดี แสงแดดสว่างจ้า
แอบรักเธออีกสักทีตอนที่ 2เพราะเขาไปแล้วฉันถึงยกยิ้มขึ้นมาได้ เป็นจังหวะเดียวกันกับเสียงของพี่ปราณดังมาจากในบ้านพอหันมองไปก็พบว่าคนเป็นพี่อยู่ในชุดลำลองเตรียมจะออกไปข้างนอก พี่คว้าเอาหมวกแก็ปมาสวม นิ้วมือหมุนควงกุญแจรถเดินออกมาพี่ปราณเป็นชายหนุ่มวัยยี่สิบเก้าเท่ากันกับพี่เหนือทั้งยังเป็นเพื่อนซี้กันตั้งแต่เด็ก แถมหน้าตายังหล่อเหลาพอ ๆ กัน สมัยเรียนสองคนนี้เป็นหนุ่มหล่อประจำโรงเรียน อันที่จริงก็เรียกได้ว่าหล่อประจำอำเภอเลยดีกว่า และยิ่งโตแต่ละคนก็ยิ่งดูดี“มันไปแล้วเหรอ?” พี่ปราณเดินมาถึงตัวพอดี พร้อมกันก็คว้าเอาถุงข้าวมันไก่ไปถือไว้เอง“พี่เหนือมาส่งแบบนี้ทุกวันเหรอ?” ฉันเอ่ยปากถามทันที คนถูกถามยักไหล่ก่อนจะเอ่ยตอบ ทั้งพยายามจะแย่งน้ำเต้าหู้ไปด้วย“มันก็มาเองบ้าง ให้เด็กที่ร้านมาบ้าง”“นี่ของปาย” ฉันดึงเอาถุงน้ำเต้าหู้คืนมาพร้อมซ่อนมันไว้ด้านหลัง“ไอ้เหนือซื้อมาให้ว่างั้น?” พี่ปราณยกยิ้มเล็กน้อย แล้วถอนหายใจเสียงดัง “อยู่มาตั้งกี่ปีพี่ไม่เห็นเคยได้กิน”“พี่เหนือคงจะเห็นว่าปายเพิ่งกลับมา”“อือฮึ”“พี่จะเข้าสวนเหรอ?”“เออ เอาข้าวไปเลี้ยงคนงานที่สวน”“ปายไปด้วยได้ไหม?”“ไม่ต้องหรอกวันน
แอบรักเธออีกสักทีตอนที่ 3 สิบห้านาทีต่อมา เพราะตอนนี้เป็นเวลาช่วงสาย หน้าตลาดยังคงมีคนเดินจับจ่ายซื้อของกันคึกคัก รถราหน้าสถานีรถไฟก็ยังคงหนาตา ฉันจอดจักรยานลงหน้าร้านข้าวมันไก่ที่มีป้ายตัวเบ้อเร่อเขียนกำกับเอาไว้ และวงเล็บพ่วงท้ายด้วยว่ารับจัดเลี้ยงโต๊ะจีน แม้ว่าอำเภอเราจะไม่ใหญ่มาก แต่เพราะนี่เป็นร้านข้าวมันไก่เจ้าดังเลื่องชื่อของจังหวัดทำให้มีคนมาเข้าคิวซื้อกันให้ควั่ก ทั้งยังมีกระบะสองสามคันจอดเทียบฟุตพาตอยู่หน้าร้าน ลูกจ้างร้านหลายคนกำลังกุลีกุจอขนเอาถุงใส่กล่องข้าวเหมือนกันกับที่พี่เหนือแวะเอาไปให้ที่บ้านเมื่อชั่วโมงก่อนขึ้นท้ายกระบะพวกนั้น นอกจากร้านข้าวมันไก่ขนาดใหญ่แล้ว ถัดออกไปข้างกันก็มีร้านขายน้ำเต้าหู ถัดออกไปอีกก็มีร้านขายโจ๊ก รวมถึงร้านรวงที่ตั้งแผงขายอาหารอยู่ริมฟุตพาต และถัดไปอีกก็คือถนนตัดเข้าตลาดสดฝั่งตรงข้ามกับตลาดเป็นสถานีรถไฟประจำอำเภอ ขบวนรถกำลังเคลื่อนตัวออกจากหน้าสถานี พร้อมกับเสียงประกาศออกลำโพงว่ารถไฟกำลังจะเคลื่อนขบวนไปยังสถานีถัดไปดังก้องได้ยินมาถึงตรงนี้เอาเป็นว่าแถวนี้เรียกได้ว่าเจริญพอสมควรเทียบกับที่อื่น ๆ ใ
แอบรักเธออีกสักทีตอนที่ 4 สิบนาทีต่อมา จักรยานชะลอช้าก่อนจะหยุดลงที่หน้าบ้านไม้สองชั้นขนาดกลาง ไม่เล็ก แต่ก็ไม่ใหญ่เกินไปนัก ฉันหย่อนเท้าลงกับพื้น ทว่ายังคงนั่งนิ่งอยู่บนจักรยานอีกครู่หนึ่ง สายตาสอดส่องมองหาเจ้าของบ้านที่ตอนนี้ไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหนเห็นก็แต่มอเตอร์ไซค์คันที่พี่เหนือขี่นำมาก่อนล่วงหน้าแต่ไม่ยักเห็นเจ้าของ โรงรถมีกระบะที่สภาพราวกับไม่มีใครใช้งานจอดอยู่ ผ้าใบคลุมหลังคารถเต็มไปด้วยเศษใบไม้แห้ง ก่อนที่สายตาจะเบนมองไปยังตู้จดหมายสีเหลืองสดมีกังหันอันเล็ก ๆ ตกแต่งอยู่ด้านบน มันยังดูเหมือนเดิมแต่ก็เก่าลงตามกาลเวลา ลมเย็นพัดโชยมาทำให้คลายร้อนลงได้เล็กน้อย มีแก้วเจ้าจอมต้นใหญ่ให้ร่มเงาบริเวณหน้าบ้านทั้งยังออกช่อดอกบานสะพรั่งสวยจนต้องแหงนหน้าขึ้นมอง ฉันทิ้งจักรยานพิงรั้วบ้านเอาไว้ก่อนจะเดินเข้าไป ได้ยินเสียงหัวเราะของเด็กเล็ก ๆ คนหนึ่งดังแว่วมา แต่ยังไม่ทันได้เข้าไปทักทายคนที่จะต้องทำความรู้จัก เพราะคิดถึงความหลังทำให้เบี่ยงเดินไปด้านหลังตัวบ้านแทน เดินมาจนสุดทางด้านหลังตัวบ้าน ห่างจากชานเรือนมีคลองธรรมชาติเส้นเล็ก
แอบรักเธออีกสักทีตอนที่ 5 หัวใจฉันหล่นวูบครั้งแล้วครั้งเล่ากับคำบอกเล่าที่เหมือนไม่ได้คิดอะไรของอีกคน พี่เหนือไม่ได้ขยายความต่อ แต่ยื่นกระดาษแผ่นที่ตัวเองเพิ่งเขียนอะไรเสร็จส่งต่อมาให้ “พี่จดเวลาเลิกเรียนของจ๋อมไว้ให้หมดแล้ว และก็เวลากลับบ้านของพี่ เบอร์โทรคนที่ร้านเผื่อว่าพี่ไม่รับสาย เราจะมาตอนไหนก็มาเดี๋ยวพี่จะเอากุญแจสำรองมาให้” เมื่อเห็นว่าเขาไม่คิดจะพูดถึงเรื่องจดหมายนั่นอีก ฉันก็ไม่จำเป็นที่จะต้องหาเหาใส่หัว เปลี่ยนเรื่องคุยก็ดีเหมือนกัน “พี่จะให้ปายมาเริ่มงานวันไหน?” “พรุ่งนี้เลยก็ได้ถ้าสะดวก” “โอเค” “แล้วเรื่องกลับบ้านตอนกลางคืนเดี๋ยวพี่ไปส่ง” “ไม่ต้องหรอกบ้านปายอยู่แค่นี้เองปั่นจักรยานเอาก็ได้” “เอางั้น?” “สบายมาก ว่าแต่พี่จะให้ค่าจ้างจริงไหม?” ฉันเลิกคิ้วถามถึงเรื่องที่เจ้าบ้านว่าอีกครั้ง พี่เหนือหลุดขำออกมาทำหน้ารู้ทัน “จ้างดิ เห็นพี่เป็นคนยังไง?” “ก็นึกว่าเลือกปายเพราะปายไม่เอาค่าจ้างเสียอีก” “มีจรรยาบรรณเว้ย” น้ำเสีย
แอบรักเธออีกสักทีตอนที่ 6 สายลมพัดโชยทำให้เรือนผมยาวสยายปลิวไปตีเข้ากับใบหน้าของคนขับ พี่เหนือรวบผมส่งต่อมาให้ฉันจับเอาไว้ เสียงหัวเราะของเขาราวกับว่าเป็นเรื่องน่าขำที่เรากำลังทำตัวเหมือนเด็ก ๆ ทั้งที่ก็อายุขนาดนี้กันแล้วแท้ ๆ ทว่าในใจฉันกลับรู้สึกหวั่นไหวขึ้นมากับความใกล้ชิดระดับนี้ที่แม้แต่เมื่อก่อนก็ไม่เคยได้มีโอกาสสัมผัส สองข้างแก้มร้อนผ่าวจนรู้สึกได้ พี่เหนือบิดมอเตอร์ไซค์ไปตามถนนเส้นเล็ก ลัดเลาะไปตามบ้านเรือนอย่างชำนาญเส้นทาง อากาศปลอดโปร่งเพราะไม่มีอาคารสูงระฟ้า มีก็แต่ไม้ใหญ่ที่กิ่งก้านโบกสะบัดตามแรงลม วันนี้อากาศดีไม่มีแดดแม้แต่นิด กระนั้นกรอบหน้าของฉันก็มีเหงื่อเย็นชื้นผุดซึม ไม่รู้เวลาผ่านไปนานเท่าไร รู้แค่เพียงหัวสมองมันเหม่อลอยไปไกล ระหว่างเราไม่มีคำพูดอะไรให้คุยกันเพราะคงคุยไม่รู้เรื่องเนื่องจากเสียงลมแรงตามความเร็วที่รถเคลื่อนที่ไป ในขณะที่เขาตั้งหน้าตั้งตาขับรถฮึมฮำร้องเพลงอย่างคนอารมณ์ดี ตัวฉันกลับนั่งเกร็งพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่หลุดยิ้มกว้างออกมา ใช้เวลาไม่นานมากนัก รถก็จอดลงตรงหน้าบ้านสวนของครอ
แอบรักเธออีกสักทีตอนที่ 7ฉันห่มผ้าให้จ๋อมถึงคออีกครั้ง แล้วเดินไปปิดไฟ จังหวะเดียวกันประตูห้องนอนก็เปิดออก เจ้าของบ้านเดินเข้ามาเงียบเชียบ พอเห็นว่าจ๋อมหลับไปแล้วก็ยกยิ้มขึ้นมาได้ “ปกติป่านนี้ไอ้จ๋อมมันยังไม่นอนเลย” “ปายอ่านนิทานให้ฟัง” ฉันรีบบอกอย่างภูมิใจ จนคนว่าจ้างหันมามอง “แค่อ่านนิทานก็หลับง่าย ๆ แบบนี้เลย?” “จ๋อมบอกว่าแม่เคยอ่านให้ฟัง” “…” แล้วเราทั้งคู่ก็เงียบกันไปอึดใจ สีหน้าพี่เหนือดูหม่นเศร้าขึ้นมาเล็กน้อยไม่ต่างจากจ๋อมเมื่อชั่วโมงก่อน แต่ก็ทันได้เห็นแค่แว้บเดียวเท่านั้น ก่อนดวงหน้าคมคายจะกลับมายิ้มกว้างเหมือนเดิม “พี่เป็นโรคนอนไม่หลับ” “จริงเหรอ?” ฉันเลื่อนคิ้วเข้าหากันในทันที เงยหน้าขึ้นมองเขา พี่เหนือไหวไหล่เล็กน้อยก่อนจะตอบ “ก็เป็นมาหลายปีแล้ว” “พี่หาหมอบ้างไหม?” “หาแล้วแต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไร” เจ้าตัวว่างั้นพร้อมกันก็พยักหน้าเรียกให้ฉันเดินออกจากห้องไปพร้อมกัน ฉันได้แต่มองตามแผ่นหลังกว้าง กับสีหน้าที่ดูราวกับปกติสบายดีของเขาอย่าง
เหนือรักปายตอนพิเศษ 4 ปัจจุบัน เสียงหัวเราะของคนหลายคนดังแว่วมาให้ได้ยิน ตอนที่ผมกำลังเดินไปยังเวิร์กช็อปเล็ก ๆ ข้างกันกับตัวบ้านของผมเองที่ ๆ ปายตั้งใจจะเปิดสอนศิลปะให้กับคนที่สนใจ และก็ได้รับการตอบรับดีพอสมควร เพราะในตัวอำเภอไม่มีที่ไหนเปิดสอนศิลปะเป็นจริงเป็นจัง หากจะเรียนก็ต้องเข้าเมืองไปไกลกว่าสองชั่วโมง ลูกค้าส่วนมากก็เป็นเด็กนักเรียนที่พ่อแม่สนใจจะสนับสนุนลูก ๆ ให้เอาดีทางด้านนี้ แต่ก็มีผู้ใหญ่หลายคนอยู่เหมือนกันที่ให้ความสนใจมาลงเรียน บางกลุ่มก็มาเรียนบ้างเป็นพัก ๆ บางคนก็ตั้งใจจะเรียนระยะยาวแม้งานที่ว่านี้จะไม่ได้ทำรายได้เป็นกอบเป็นกำ แต่คนที่ตั้งใจทำก็ดูจะพอใจที่ทุกอย่างไปได้สวยอย่างที่คิด วันนี้เป็นเย็นวันธรรมดาคนเลยไม่เยอะเท่าไรนัก สังเกตได้จากรองเท้าที่ถอดเรียงเอาไว้บนชั้นวางรองเท้าด้านนอก หากเป็นวันเสาร์อาทิตย์คนก็จะเยอะกว่านี้ เสียงกริ่งประตูดังขึ้นตอนที่ผมผลักบานประตูเดินเข้าไป คนหลายคนด้านในหันมองมา เด็กนักเรียนผู้หญิงหลายคนกำลังนั่งจับกลุ่มวาดภาพสีน้ำ ตรงหน้าของแต่ละคนมีกระดานวาดภาพวางบนขาตั้งไม้ทรงสูง ผมได้แต่
เหนือรักปายตอนพิเศษ 3@ โรงเรียน “กูอยากถือป้าย” “ก็ถ้าไม่ใช่มึงเป็นดรัมฯ แล้วจะให้ใครเป็น?” “กูขี้เกียจซ้อม ขอถือป้ายแทนได้ปะ?” “ไอ้ฝ้ายก็จะนั่งเสลี่ยง มึงก็อยากจะถือป้าย ไม่มีใครอยากเป็นดรัมฯ บ้างเลยหรือยังไง?” “…” ผมได้แต่นั่งมองเพื่อนผู้หญิงโต้กันไปโต้กันมาเรื่องการเตรียมงานกีฬาสีของโรงเรียนที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้านี้ ขนาดว่านั่งเฉย ๆ ไม่ออกความเห็นอะไร สายตาคนอื่นก็พากันหันมากดดัน ราวกับจะให้ผมเป็นคนออกความเห็นว่าใครควรจะเป็นดรัมเมเยอร์เสียอย่างนั้น “อะไร? กูจะรู้ไหมเนี่ย? กูผู้ชาย” “มึงเป็นประธานไงเหนือ และนี่ไม่มีใครอยากเป็นเลยสักคน ดรัมฯ ไม้แรกเลยนะเว้ย กูละงงจริง ๆ”ไอ้จ๋าเกาหัวแกรก ๆ สีหน้าคิดไม่ตก สายตากดดันเลื่อนมองกลับไปยังคิมซึ่งนั่งกอดอกอยู่บนโต๊ะเรียนอีกครั้ง คนถูกมองพ่นลมหายใจเสียงดังพลางก็บ่นกระปอดกระแปด “ก็กูอยากถือป้าย มึงก็เป็นดรัมฯ เองสิ” “ลดน้ำหนักให้ได้สักสิบห้ากิโลฯ กูจะเป็นให้” คนที่เพื่อนปัดภาระให้เ
เหนือรักปายตอนพิเศษ 2@ โรงเรียน วันนี้เป็นอีกครั้งที่ใต้โต๊ะเรียนของผมมีคนเอาจดหมายมาสอดไว้เหมือนกับหลายวันที่ผ่านมา ก่อนหน้านี้ก็ใช่ว่าจะไม่มีคนเอาของมาส่งให้ หากแต่ไม่มีใครใช้วิธีส่งจดหมายแบบนี้ ส่วนมากเป็นขนมกับของขวัญเสียมากกว่าก็มีอยู่แค่คนเดียวที่ใช้วิธีส่งจดหมายมา และแค่เห็นซองจดหมายก็รู้ได้ในทันทีว่าเป็นของคน ๆ เดียวกัน คนอื่นรอบตัวผมในขณะนี้ยังคงตั้งหน้าตั้งตาลอกการบ้านกันเหมือนอย่างเคยตอนที่ผมดึงเอากระดาษโน้ตลายกระต่ายสีชมพูออกจากซอง ไล่สายตาอ่านสิ่งที่เขียนอยู่บนแผ่นกระดาษอันที่จริงก็ไม่ได้ต่างไปจากทุกฉบับที่ผ่านมา คนส่งยังคงเขียนทำนองว่า วันนี้แอบมองผมตอนทำนู่นทำนี่ พรรณนาว่าตัวผมหล่อแค่ไหน ไม่ก็ประเภทที่ว่าเมื่อคืนฝันถึงผมอะไรประมาณนั้นทุก ๆ ย่อหน้าจะมีสติกเกอร์รูปหัวใจแปะอยู่ ท้ายแผ่นจะมีรูปการ์ตูนที่วาดไม่ซ้ำกันในแต่ละวัน อย่างวันนี้ก็เป็นผู้หญิงกำลังยืนเกาะแขนผู้ชายที่ก็คิดว่าคงแทนตัวผมเอง ผมได้แต่ระบายรอยยิ้มออกมา เพราะต้นทางคนส่งดูท่าจะตั้งใจมาก ไม่ว่าผมจะมาโรงเรียนเช้าแค่ไหน ก็จะเห็นว่ามีจดหมายสอดที่ใต้โต
เหนือรักปายตอนพิเศษ 1 สิบปีก่อน@ เหนือ “กูถึงแล้ว” ‘จอดรออยู่หลังสถานี’ “เค” ปลายสายวางไปแล้ว กระเป๋าเป้ใบใหญ่ถูกแบกขึ้นบ่าอีกรอบหลังจากถูกวางทิ้งไว้เมื่อนาทีก่อนเพราะผมเดินไปซื้อน้ำที่ร้านค้าหน้าสถานีรถไฟ อากาศประเทศไทยตอนกลางวันร้อนตับแตกแบบนี้ อะไรก็ไม่ดีเท่าได้กินน้ำแดงเย็น ๆ สักถุง หลังจากไปอยู่บ้านป้ามาตลอดปิดเทอมฤดูร้อนตอนนี้ก็ได้ฤกษ์กลับบ้านตัวเองเสียที เนื่องจากโรงเรียนใกล้เปิดเทอมแล้ว อีกไม่กี่วันก็คงต้องกลับไปเรียนเหมือนอย่างเคย และคงเป็นปีสุดท้ายที่จะได้ใช้ชีวิตในรั้วโรงเรียน เพราะปีนี้ผมกำลังจะขึ้นชั้นม.หก “ไปบ้านกูก่อนแล้วกัน” แค่เจอหน้ากันไอ้ปราณเพื่อนสนิทที่เอามอเตอร์ไซค์มาจอดรอรับก็เอ่ยบอก พลางเอาขาตั้งรถขึ้น ผมไม่ทันได้พูดอะไรมันก็เตรียมจะออกรถ สุดท้ายเลยต้องรีบคร่อมขาซ้อนท้ายมัน ไม่จำเป็นต้องเอ่ยปากถามเพื่อนว่าทำไมต้องไปบ้านมันก่อน เพราะถึงยังไงบ้านที่ว่าก็เป็นทางผ่านที่จะไปบ้านผมอยู่แล้ว สายลมพัดปะทะเข้าหาใบหน้าไม่ได้ช่วยให้คลายร้อนลงเท่า
แอบรักเธออีกสักทีตอนที่ 49 หลายวันต่อมา หลังจากงานแต่งผ่านพ้นไปได้ด้วยดี เราทุกคนก็กลับมาใช้ชีวิตกันอย่างปกติสุข ฉันยังคงไปเลี้ยงจ๋อมเหมือนทุกวัน พี่เหนือก็ออกไปดูแลร้านของเขาเหมือนทุกที พี่ปราณก็ยังคงช่วยดูแลกิจการของที่บ้าน ส่วนจ๋อมก็กำลังเตรียมสอบปลายภาคของระดับชั้นประถมศึกษา เพราะงานวันแต่งเราเชิญคนรู้จักมาเยอะมาก และแขกหลายคนก็เป็นอาจารย์ที่โรงเรียนเก่าของเราทั้งคู่รวมถึงรุ่นพี่รุ่นน้องชั้นปีอื่น ๆ ช่วงท้ายของงานทางอาจารย์เลยมีการขอแรงจากศิษย์เก่าเข้าไปช่วยจัดการเรื่องการย้ายโต๊ะนักเรียนแบบเก่าไปเก็บไว้ที่โกดังหลังโรงเรียนเพื่อที่จะรับโต๊ะเขียนแบบเลกเชอร์เข้ามาแทน แน่นอนว่าฉันกับพี่เหนือเองก็อาสาจะไปช่วย พวกเพื่อน ๆ ของเขา และเพื่อนสมัยเรียนของฉันก็พากันมาร่วมแรงร่วมใจกันในวันนี้ด้วยเหมือนกัน “ดีไหม?” “อะไร…” “ก็แกกับพี่เหนือไง ใกล้ได้ลูกรึยัง?” “บ้า…” “อย่ามาเขินหน่อยเลย เห็นว่าลุงหมานอยากมีหลานให้อุ้มไว ๆ” “ก็กำลังช่วยกันทำอยู่” “โอ๊ย! ไม่น่าถามเลยจริง
แอบรักเธออีกสักทีตอนที่ 48 สองชั่วโมงต่อมา หลังจากที่เดินไหว้ผู้หลักผู้ใหญ่โต๊ะนู้นโต๊ะนี้จนเสร็จ ทุกคนก็ทานอาหารกันจนอิ่มหนำ ตอนนี้ก็เข้าสู่ช่วงเปิด VTR ของคู่บ่าวสาวที่พี่ปราณเป็นคนเสนอตัวจัดเตรียมให้เอง ฉันกับพี่เหนือได้แต่ยืนกลั้นขำกันอยู่บนเวทีเมื่อแต่ละรูปที่คนเป็นพี่เลือกมามันช่างน่าขำ ตั้งแต่รูปของเราสมัยยังเป็นเด็กตัวเล็ก ๆ ข้ามมาสมัยผมของฉันยังสั้นเท่าติ่งหู และตัดมาที่ภาพสมัยมัธยมปลายที่เริ่มจะดูดีขึ้นมาหน่อย ช่างต่างจากคนเป็นเจ้าบ่าวที่หน้าตาดีมาตั้งแต่เด็กแบบที่คงไม่เคยพบเจอยุคมืดของตัวเองมาก่อน วิดีโอเล่นผ่านไปเรื่อย ๆ จนเข้าสู่รูปพรีเวดดิ้งของเราทั้งคู่ ที่ออกจะหวานเกินไปเสียหน่อย ทุกรูปพี่เหนือจะมองกันด้วยสายตาแบบที่ทำเอาหัวใจละลาย บรรดาสาว ๆ ในงานพากันกรี๊ดกร๊าดวี้ดว้ายกันไม่หยุดกับสายตาประเภทนั้นแม้จะเป็นเพียงภาพถ่ายก็ตาม และตอนนี้เองที่พี่เหนือเลื่อนมือมากุมประสานเข้ากันกับมือของฉัน สายตาที่มองมาอย่างสื่อความหมายทำเอาใจเต้นแรง แม้ว่าเราจะอยู่ท่ามกลางคนหลายร้อยคนฉันก็ไม่อาจห้ามจังหวะหัวใจให้เต้นช้าลงได้เลย
แอบรักเธออีกสักทีตอนที่ 47 หนึ่งเดือนต่อมา วันงานแต่ง งานเลี้ยงตอนเย็นจัดขึ้นที่หอประชุมของโรงเรียน ที่เดียวกันกับที่เรามางานเลี้ยงรุ่นกันเมื่อหลายเดือนก่อนหลังจากเสร็จสิ้นงานตอนเช้าไป ฉันก็แทบจะนอนหมดแรง เพราะพ่อกับแม่เชิญแขกมาแทบจะทั้งอำเภอ กว่าจะแห่ขันหมากเสร็จ กว่าจะกินข้าว กว่าจะพิธีรีตอง เอาเป็นว่าจบงานเช้าปุ๊บฉันก็หลับเป็นตาย ปล่อยหน้าที่ส่วนอื่น ๆ ให้พี่เหนือกับคนอื่นเป็นคนจัดการ แต่ก็นอนไปได้ไม่นาน พอช่วงบ่ายก็ถูกปลุกลุกขึ้นมาแต่งหน้าทำผมเพื่อที่จะไปงานเลี้ยงช่วงค่ำต่อ สารภาพตามตรงว่าระหว่างที่ช่างแต่งหน้าบรรจงแต่งแต้มใบหน้าอย่างตั้งอกตั้งใจฉันเผลอน้ำลายยืดตั้งสองสามที โอเค… เอาเป็นว่างานแต่งงานไม่ได้สนุกแบบที่คิดก็พอ และพอมาถึงหน้างานบ่าวสาวต้องรับบทนางยืนยิ้มรอถ่ายรูปอยู่ที่ฉากด้านหน้าทางเข้าซึ่งใหญ่โตอลังการแบบที่คิดไปไม่ถึงว่าพี่เหนือจะเล่นใหญ่อะไรเบอร์นี้ อันที่จริงพ่อกับแม่ฉันจะเป็นคนจัดการเรื่องงงเรื่องงานให้ แต่พี่เหนือบอกว่าเดี๋ยวเขาจัดการให้เองทั้งหมด และทั้งหมดนี่ก็คงหมดเงินไปบานตะไท
แอบรักเธออีกสักทีตอนที่ 46 หลายวันต่อมา แล้วสุดท้ายเราสามคนก็ได้อยู่ด้วยกันเหมือนเดิม… เหตุการณ์เมื่อหลายวันก่อนจบลงด้วยดี หลังจากที่ฉันกับจ๋อมกอดกันร้องไห้ไปหลายต่อหลายยก พี่นัยก็มาคุยด้วย และบอกว่าจ๋อมคงจะไม่อยากไปจริง ๆ อาจจะต้องรบกวนพี่เหนือช่วยดูแลจ๋อมต่อ ไม่ใช่แค่เพราะจ๋อมไม่อยากไป แต่เป็นเพราะตัวพี่นัยเองก็มีสามีใหม่ ทั้งยังต้องทำงานกันทุกวัน เวลาเลิกเรียนจ๋อมอาจจะไม่มีคนดูแล แต่ที่มารับไปอยู่ด้วยเป็นเพราะกลัวว่าจ๋อมจะคิดถึง และแกเองก็คิดถึงลูกมากเหมือนกัน แต่ด้วยหน้าที่การงาน และเรื่องอื่นหลายสิ่งหลายอย่าง ห่วงก็แต่จ๋อมจะมาเป็นภาระพี่เหนือแทน ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่เลย เราทั้งคู่พากันออกตัวจะดูแลจ๋อมให้เองไม่ต้องเป็นห่วง สุดท้ายก็จบลงตรงที่พี่นัยจะมาเยี่ยมจ๋อมทุกอาทิตย์ หรือไม่ก็จะพาจ๋อมไปเที่ยวทุกอาทิตย์แทน ส่วนเรื่องเงินแม้ว่าพี่นัยจะบอกว่าจะส่งเสียจ๋อมเองแต่พี่เหนือก็บ่ายเบี่ยงปฏิเสธไป บอกว่าอยากจะช่วยดูแลทางด้านการเงินด้วย และฉันก็เพิ่งมารู้ทีหลังว่าพี่นัยเองมีภาระค่าใช้จ่ายหลายอย่าง อีกทั้งไม่มีเวลาดูแลได้ดีเท
แอบรักเธออีกสักทีตอนที่ 45 หลายเดือนต่อมา เมื่อคืนฉันกลับมานอนที่บ้าน ทั้งยังต้องโต้รุ่งวาดภาพส่งให้ลูกค้าที่คอมมิชชันงานเข้ามา วันนี้ก็เลยตื่นสายกว่าปกติ แต่พอตื่นมาก็ต้องพบกับข่าวร้ายชนิดที่ว่า เห็นข้อความที่พี่เหนือส่งมาปุ๊บก็ต้องรีบกระโจนลงจากเตียงวิ่งตึงตังลงมาจากชั้นสองของบ้านแทบจะในทันที เสียงแม่ตะโกนถามมาว่าเป็นอะไร ยังไม่มีเวลาแม้จะหันไปสนใจตอบคำถามท่านเลย ได้แต่คว้าเอาจักรยานคันเดิมมาควบ สองเท้าถีบปั่นอย่างเร่งรีบไปยังจุดหมายปลายทางที่ก็เป็นบ้านของพี่เหนือเหมือนทุกวัน แต่ที่ต่างคือ… วันนี้หน้าบ้านไม้สองชั้นคุ้นตามีรถจอดอยู่หนึ่งคัน… ยังไม่ทันที่จะเดินเข้าไป น้ำตาก็รื้นขึ้นมาติดอยู่ที่ขอบตา แค่นึกถึงเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไปอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า หรือไม่ก็อาจจะแค่ไม่กี่นาทีนี้… หัวใจมันก็เจ็บขึ้นมาเสียแล้ว… “อาปาย” “จ๋อม” แค่เดินเข้ามาได้ไม่กี่ก้าว จ๋อมที่หันมาเห็นกันก่อนเป็นคนแรกก็รีบวิ่งเข้ามาหาทันที ฉันย่อตัวลงกอดหลานไว้แน่น พยายามข่มจิตข่มใจให้เป็