แอบรักเธออีกสักที
ตอนที่ 4
สิบนาทีต่อมา
จักรยานชะลอช้าก่อนจะหยุดลงที่หน้าบ้านไม้สองชั้นขนาดกลาง ไม่เล็ก แต่ก็ไม่ใหญ่เกินไปนัก ฉันหย่อนเท้าลงกับพื้น ทว่ายังคงนั่งนิ่งอยู่บนจักรยานอีกครู่หนึ่ง สายตาสอดส่องมองหาเจ้าของบ้านที่ตอนนี้ไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหน
เห็นก็แต่มอเตอร์ไซค์คันที่พี่เหนือขี่นำมาก่อนล่วงหน้าแต่ไม่ยักเห็นเจ้าของ โรงรถมีกระบะที่สภาพราวกับไม่มีใครใช้งานจอดอยู่ ผ้าใบคลุมหลังคารถเต็มไปด้วยเศษใบไม้แห้ง
ก่อนที่สายตาจะเบนมองไปยังตู้จดหมายสีเหลืองสดมีกังหันอันเล็ก ๆ ตกแต่งอยู่ด้านบน มันยังดูเหมือนเดิมแต่ก็เก่าลงตามกาลเวลา
ลมเย็นพัดโชยมาทำให้คลายร้อนลงได้เล็กน้อย มีแก้วเจ้าจอมต้นใหญ่ให้ร่มเงาบริเวณหน้าบ้านทั้งยังออกช่อดอกบานสะพรั่งสวยจนต้องแหงนหน้าขึ้นมอง
ฉันทิ้งจักรยานพิงรั้วบ้านเอาไว้ก่อนจะเดินเข้าไป ได้ยินเสียงหัวเราะของเด็กเล็ก ๆ คนหนึ่งดังแว่วมา แต่ยังไม่ทันได้เข้าไปทักทายคนที่จะต้องทำความรู้จัก เพราะคิดถึงความหลังทำให้เบี่ยงเดินไปด้านหลังตัวบ้านแทน
เดินมาจนสุดทางด้านหลังตัวบ้าน ห่างจากชานเรือนมีคลองธรรมชาติเส้นเล็กตัดผ่าน สายน้ำไหลเอื่อย ๆ ผิวน้ำเป็นประกายล้อกับแสงจากดวงอาทิตย์ ประกอบกับเสียงนกร้องดังอยู่ทั่วไป ต้นจากขึ้นเรียงติดกันอยู่อีกฟากหนึ่งของลำคลอง มองดูเขียวสดทำให้รู้สึกสดชื่นตามไปด้วย
ฉันได้แต่ยืนนิ่ง ยิ้มกับตัวเองในความสงบเงียบที่ไม่ได้สัมผัสมานาน รู้สึกคิดถึงความหลังขึ้นมา เมื่อก่อนบางครั้งฉันกับพี่ปราณก็แวะเอาทุเรียนที่สวนมาส่งให้บ้านพี่เหนือบ่อย ๆ และระหว่างที่รอพี่ปราณคุยกับเพื่อน ตัวฉันก็ชอบมานั่งทอดอารมณ์ทำตัวเป็นนางเอกมิวสิกวิดีโออยู่ตรงนี้
อันที่จริงฉันกับพี่เหนือสนิทสนมกันพอสมควร อภิสิทธิ์หนึ่งเนื่องด้วยฉันเป็นน้องสาวของพี่ปราณ แต่แม้จะใกล้กันแค่นี้ ฉันก็ได้แค่แอบมองเจ้าตัวอยู่ในมุมเล็ก ๆ โดยมีฉากบังหน้าคือสถานะน้องสาวเพื่อนสนิทเขาแค่นั้นเอง
“หลังจากนี้ก็ได้มายืนมองทุกวันแล้ว”
น้ำเสียงกลั้วหัวเราะดังขึ้นจากทางด้านหลัง รู้ได้ในทันทีว่าเป็นเจ้าของบ้าน พี่เหนือกำลังยืนกระดกน้ำดื่มอยู่ตรงชานเรือนทอดสายตามองไปยังธรรมชาติเขียวชอุ่มตรงหน้า
“ที่ถนนใหญ่มีเปลมาขาย เราอยากได้มานอนเล่นแถวนี้ไหม เดี๋ยวพี่จัดการให้” ว่าแล้วก็หันรีซ้ายขวามองดูลู่ทางตามปากว่า
“ไม่ต้องหรอก ปายก็มาแค่ตอนเย็นเอง”
“เข้ามาก่อน ร้อนจะตายชัก”
“อืม”
ฉันเดินเข้าตัวบ้านผ่านชานเรือนที่ว่าโดยมีพี่เหนือนำเข้าไป ในบ้านโปร่งโล่งสบายเพราะนอกจากโครงบ้านที่เป็นไม้แล้ว รอบด้านของตัวบ้านก็เป็นกระจกใสมองเห็นความเขียวสดของสวนโดยรอบได้เต็มตา หน้าต่างหลายบานเปิดอ้ารับลมธรรมชาติโดยไม่จำเป็นต้องเปิดพัดลม หรือเครื่องปรับอากาศให้เปลืองไฟ
บ้านหลังนี้แปลกตาไปเล็กน้อย ข้าวของเครื่องใช้ดูน้อยลงกว่าแต่ก่อน มีความเป็นระเบียบมากขึ้น ที่พี่ปราณบอกว่าตอนนี้พ่อกับแม่ของพี่เหนือไม่ได้อยู่ที่นี่แล้วเห็นจะเป็นเรื่องจริง เป็นบ้านที่เหมือนจะอยู่อาศัยแค่คนเดียว
ก็ถ้าไม่นับร่างเล็กกระจ้อยของใครคนหนึ่งซึ่งกำลังนอนเอกเขนกอยู่บนโซฟา เด็กชายอายุราว ๆ เจ็ดแปดขวบตัดผมทรงกะลาครอบ เรือนร่างเล็กทว่าอุดมไปด้วยเนื้อแน่นอ้วนป้อม หน้าตาน่ารักน่าชัง ไม่แม้แต่จะชายหางตามองคนมาเยือน
เสียงเล็กร้องออกมาในหลายจังหวะ สายตาจดจ้องอยู่กับไอแพดในมือ และนี่ต้องเป็นหลานคนที่ว่าของพี่เหนืออย่างแน่นอน
เจ้าของบ้านยืนเท้าสะเอวส่ายหัวไปมา มองคนที่กำลังหัวร้อนกับเกมอยู่ครู่ก็หันมาหรี่ตามองฉัน สีหน้าเกรงใจขึ้นมาเล็กน้อย แต่ก็แค่เล็กน้อยเท่านั้น
“นี่จ๋อมหลานพี่เอง”
“อือ”
“จ๋อม”
“ว่าไงอาเหนือ?”
“เดี๋ยวเหอะ”
ร่างสูงของพี่เหนือเดินเข้าไปดึงไอแพดออกจากมือของจ๋อมทันทีที่เห็นว่าคนเป็นหลานไม่คิดจะขยับตัวลุกขึ้น ทำเพียงแค่เลิกคิ้วถามเท่านั้น แต่พอโดนแย่งไอแพดไปก็รีบขยับตัวลุกขึ้นนั่งทันที
นัยน์ตาใสแป๋วจ้องมองคนเป็นอาด้วยสีหน้าสำนึกผิดขึ้นมาเสียอย่างนั้น พี่เหนือเอาของที่ยึดมาวางไว้บนชั้นวางของ ยืนเท้าสะเอวมองเด็กตัวเล็ก ๆ ด้วยทีท่าดุขึ้นเล็กน้อย
“อาสอนว่ายังไง?”
“อาเหนือสอนว่าต้องพูดครับ”
“แล้วไงอีก?”
“เวลาผู้ใหญ่คุยด้วยต้องตั้งใจฟัง”
“?”
“ครับ”
“ดีมาก”
ฉันได้แต่เม้มปากกลั้นยิ้มเมื่อเห็นโมเมนต์อาหลานที่ไม่เคยได้เห็นมาก่อนแบบนี้ พี่เหนือที่ปกติแล้วเป็นคนเอะอะโผงผางกวนประสาทยิ้มเก่งหัวเราะง่าย ตอนนี้กลับกำลังวางท่าเข้มแบบที่ไม่เคยได้เห็น
“ไม่เห็นจะต้องดุหลานเลย” ฉันเดินเข้าไปจนใกล้ ส่งยิ้มใจดีให้จ๋อมที่คงจะเพิ่งหันมาเห็นกัน
“แฟนอาเหนือเหรอครับ?”
“แฟนบ้าไรจ๋อม?”
พี่เหนือหลุดหัวเราะออกมาแล้วทิ้งตัวนั่งลงข้างกันกับคนเป็นหลาน ในขณะที่ฉันพยายามจะไม่สนใจคำปฏิเสธโดยเร็วพลันของเขาเมื่อครู่ที่ว่าฉันไม่ใช่แฟน พี่เหนือคงจะไม่ได้คิดอะไรรีบเอ่ยปากแนะนำฉันให้จ๋อมรู้จัก
“นี่คนที่จะมาช่วยดูแลจ๋อมเวลาที่อาไม่อยู่บ้านไง สวัสดีอาปายเขาสิ”
“สวัสดีครับอาปาย” ดวงหน้าเล็กยกยิ้มกว้างจนเห็นเหงือกสีชมพู ฟันหน้าซี่เล็กหลอเกือบทั้งแถบ
“สวัสดีจ๋อม”
ฉันพยายามทำตัวเป็นกันเองด้วยการเดินไปนั่งลงข้างกัน จ๋อมหันมาเอียงคอมองเล็กน้อยก่อนจะหันไปหาอาแท้ ๆ อีกครั้ง
“ไม่ใช่อาต่ายแล้วเหรอครับ?”
“…”
จังหวะนี้เองคนหล่อที่ถูกหลานตั้งคำถามถึงกับยิ้มค้าง พี่เหนือชำเลืองตามองกันเล็กน้อยแล้วทำทีหัวเราะเสียงดัง
“อาต่ายเขาไม่ว่างแล้ว ตอนนี้เป็นอาปายแทน”
“แต่เมื่อวาน…”
“เหอะน่า”
คนทำตัวมีพิรุธส่งสัญญาณให้เด็กตัวเล็กเลิกถามด้วยการตีหน้าดุ ถึงจะไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรแต่ก็พอจะเดาสถานการณ์ได้นิดหน่อย ฉันคงไม่ใช่คนแรกที่ได้งานนี้แน่นอน
“คนชื่อต่ายเคยมาเลี้ยงจ๋อมก่อนหน้านี้เหรอ?”
“แค่มาดูงาน พี่ยังไม่ได้ตอบรับจะจ้างใคร” พี่เหนือยักไหล่เหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่ฉันก็แอบเกรงใจคนที่ว่าเลยรีบเอ่ยปากถามต่อ
“ปายมาแย่งงานคนอื่นเขารึเปล่า?”
“ต่ายบ้านอยู่ไกลมาก ถ้ารับงานจริงแล้วตอนมืดค่ำจะกลับยังไง?”
และเพราะเหตุผลข้อนี้เองทำให้ฉันไม่จำเป็นต้องสงสัยอะไรอีก เพราะถ้าเทียบกัน บ้านฉันอยู่แค่หลังสถานีรถไฟเท่านั้น ปั่นจักรยานสิบนาทีก็ถึงกัน ต่อให้เลิกมืดค่ำก็ไม่ได้น่ากลัวอะไรมากนัก
“แล้วเรื่องค่าจ้างเดี๋ยวพี่เขียนสัญญาให้” พี่เหนือหยัดตัวลุกขึ้นยืนเดินไปหาอะไรสักอย่าง แต่ฉันก็รีบเอ่ยท้วงขึ้น
“ปายบอกว่าไม่ต้องจ่าย…”
“ไม่ต้องได้ไง? ไอ้ปราณรู้คงกินหัวพี่พอดี”
“พี่ก็ไม่ต้องบอกพี่ปราณสิ”
“ไม่บอกได้ไง ก็มันเป็นคนบอกว่าเราจะมาทำงาน”
“…”
พี่เหนือไม่ได้สนใจกันแล้ว แต่กำลังค้นหาของที่คาดว่าน่าจะเป็นปากกากับกระดาษ ขณะเดียวกันฉันก็มองไปรอบ ๆ ตัว ชั้นวางของขนาดใหญ่เต็มไปด้วยข้าวของเครื่องใช้แบบผู้ชายไม่ต่างอะไรกับของใช้ของพี่ปราณ
แต่ที่มันสะดุดตาเหลือเกินก็คือซองอะไรสักอย่างที่กองซ้อนกันเป็นตั้งอยู่ที่ชั้นบนสุด สีสันของมันสะดุดตาโดดออกมาจากของชิ้นอื่น ๆ
แค่เห็นลวดลายลายการ์ตูนคุ้นตาฉันก็ต้องเบิกตาโตรู้สึกตกอกตกใจขึ้นมา เพราะเพิ่งจะเห็นลวดลายแบบเดียวกันเมื่อเช้านี้ที่โต๊ะเขียนหนังสือของฉันเอง
ก็ซองจดหมายพวกนั้นไง…
จดหมายที่ฉันเคยส่งให้เขาแบบไม่เคยลงชื่อเลยสักฉบับ…
ถึงจะไม่กล้าฟันธงลงไปว่าซองจดหมายที่กำลังเห็นอยู่ในขณะนี้เป็นของฉันเอง แต่ก็อดคิดขึ้นมาไม่ได้เหมือนกันว่ามันอาจจะใช่
และถ้ามันเป็นของฉันจริง… ก็แสดงว่าเขาไม่ได้ทิ้งมันไป…
“มีคนส่งให้สมัยเรียน”
อาจเพราะกำลังช็อกอยู่ทำให้ไม่ทันได้สังเกตว่าตอนนี้พี่เหนือเดินกลับมาแล้วพร้อมกระดาษกับปากกาในมือ สายตามองตามทิศทางการมองของฉันก่อนจะละสายตากลับมาพร้อมทั้งพึมพำบอกด้วยสีหน้าแย้มยิ้มอย่างคนอารมณ์ดี
“จดหมายรัก”
“เหรอ?” ฉันตอบรับออกไปได้แค่นั้น พยายามจับสังเกตอาการคนตรงหน้าแต่ก็ไม่ได้มีอะไรที่ดูแปลกไปแม้แต่น้อย
พี่เหนือดูเหมือนจะไม่รู้ว่าจดหมายรักที่ว่า… คนส่งให้เขาคือฉันเอง…
ร่างสูงทิ้งตัวลงนั่งที่เดิมจรดปลายปากกาเขียนอะไรสักอย่างลงแผ่นกระดาษไม่ได้สนใจจะพูดถึงหัวข้อเดิมต่อ
มันไม่แปลกที่เขาจะมีคนส่งอะไรประเภทนี้ให้ เพราะเจ้าตัวก็รู้ดีอยู่แล้วว่าตัวเองเป็นที่หมายปองของบรรดาสาวค่อนโรงเรียน เลยไม่ได้เห็นทีท่าเขินอายหรืออะไรประเภทนั้น
ฉันชำเลืองมองไปยังซองจดหมายพวกนั้นอีกครั้งด้วยความรู้สึกประหม่าหนัก กลัวขึ้นมาว่าเจ้าของมันจะรู้ต้นทางคนส่ง ทั้งที่ก็ไม่มีทางรู้ได้เลยเพราะฉันเองไม่เคยลงชื่ออย่างที่บอก
ถึงรู้ว่าไม่ควรทำตัวมีพิรุธเพราะเรื่องพวกนั้นมันผ่านมาตั้งแต่ปีมะโว้ แต่สุดท้ายก็ห้ามปากเอาไว้ไม่ทัน
“พี่…”
“หืม?”
คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงกันข้ามไม่ได้เงยขึ้นมอง ยังคงตั้งหน้าตั้งตาจดอะไรใส่แผ่นกระดาษ และฉันก็รู้สึกอยากจะตีก้นตัวเองแรง ๆ สักทีที่คันปากหนักจนสุดท้ายห้ามใจไม่ไหวต้องเอ่ยปากถามออกไป
“พี่เก็บอะไรแบบนั้นด้วยเหรอ?”
“หมายถึงจดหมาย?”
“อืม”
คราวนี้เขาเงยหน้าขึ้นมาพร้อมทั้งวางปากกาลง ริมฝีปากผุดยิ้มเล็กน้อย ชำเลืองมองกลับไปตรงนั้นอีกครั้งก่อนจะหันกลับมายักคิ้วด้วยสีหน้ากวน
“เก็บดิ จะได้ย้ำเตือนว่าคนมันหล่อ”
“โห หลงตัวเองโคตร”
ปากฉันก็พูดสวนออกไปแบบนั้น แต่จริงแล้วถึงขั้นถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ก็ถ้าเหตุผลหลงตัวเองแบบนี้ไม่มีอะไรน่าสงสัยเท่าไรนัก อาจจะไม่ได้สนใจด้วยซ้ำว่าใครคือเจ้าของตัวจริง
“ไม่ได้หลงตัวเอง อันที่จริงมีเป็นกระบุง”
คนหล่อยักไหล่ทำหน้าภาคอกภูมิใจ รอยยิ้มคลี่กว้างกว่าเดิม ฉันได้แต่หัวเราะออกมาเพราะนิสัยเจ้าตัวไม่ได้เปลี่ยนไปเลยจากเมื่อก่อน ทั้งน้ำเสียงกวน ๆ ทั้งรอยยิ้มแบบนั้น แต่ก็โล่งใจได้ไม่ถึงนาทีเพราะประโยคถัดมา
“แต่ก็ไม่ได้เก็บหมดหรอก”
“หืม?”
“ก็เก็บไว้แค่ของคน ๆ นึง” น้ำเสียงเรื่อย ๆ เอ่ยต่อ รอยยิ้มกว้างยังคงประดับบนใบหน้า นัยน์ตาสุกใสเป็นประกาย ในขณะที่ใจฉันกระตุกวูบอีกครั้ง
“คนเดียว?”
“อืม แค่คนเดียว”
“…”
“ซ้ำคนส่งยังไม่เคยลงชื่อเลยสักฉบับเดียว”
แอบรักเธออีกสักทีตอนที่ 5 หัวใจฉันหล่นวูบครั้งแล้วครั้งเล่ากับคำบอกเล่าที่เหมือนไม่ได้คิดอะไรของอีกคน พี่เหนือไม่ได้ขยายความต่อ แต่ยื่นกระดาษแผ่นที่ตัวเองเพิ่งเขียนอะไรเสร็จส่งต่อมาให้ “พี่จดเวลาเลิกเรียนของจ๋อมไว้ให้หมดแล้ว และก็เวลากลับบ้านของพี่ เบอร์โทรคนที่ร้านเผื่อว่าพี่ไม่รับสาย เราจะมาตอนไหนก็มาเดี๋ยวพี่จะเอากุญแจสำรองมาให้” เมื่อเห็นว่าเขาไม่คิดจะพูดถึงเรื่องจดหมายนั่นอีก ฉันก็ไม่จำเป็นที่จะต้องหาเหาใส่หัว เปลี่ยนเรื่องคุยก็ดีเหมือนกัน “พี่จะให้ปายมาเริ่มงานวันไหน?” “พรุ่งนี้เลยก็ได้ถ้าสะดวก” “โอเค” “แล้วเรื่องกลับบ้านตอนกลางคืนเดี๋ยวพี่ไปส่ง” “ไม่ต้องหรอกบ้านปายอยู่แค่นี้เองปั่นจักรยานเอาก็ได้” “เอางั้น?” “สบายมาก ว่าแต่พี่จะให้ค่าจ้างจริงไหม?” ฉันเลิกคิ้วถามถึงเรื่องที่เจ้าบ้านว่าอีกครั้ง พี่เหนือหลุดขำออกมาทำหน้ารู้ทัน “จ้างดิ เห็นพี่เป็นคนยังไง?” “ก็นึกว่าเลือกปายเพราะปายไม่เอาค่าจ้างเสียอีก” “มีจรรยาบรรณเว้ย” น้ำเสีย
แอบรักเธออีกสักทีบทนำ กรุงเทพฯ 20.00 น. ประตูเวิร์กช็อปปิดลงแล้วหลังจากลูกค้าคนสุดท้ายเดินออกไป ‘พรีม’ เพื่อนสาวคนสนิทควบด้วยตำแหน่งเพื่อนร่วมงานซึ่งอยู่ในชุดเสื้อคลุมสีขาวยาวถึงข้อเข่าไม่รอช้ารีบเดินไปพลิกป้ายด้านหลังบานประตูกระจกใสจากข้อความที่ระบุว่า open เปลี่ยนเป็น closedแทน ใบหน้าอ่อนล้าหันกลับมามองฉันซึ่งกำลังนั่งกดปากกาลูกลื่นเป็นจังหวะช้า ๆ นัยน์ตาหรี่ลงเล็กน้อยอย่างใช้ความคิดเมื่อเห็นสภาพของคนเป็นเพื่อนที่ตอนนี้น่าจะไม่อยู่ในสภาวะที่จะไปบำบัดใครเขาได้ แม้ว่าหน้าเวิร์กช็อปจะมีป้ายอักษรโลหะตัวเบ้อเร่อระบุว่าเป็น ‘เวิร์กช็อปจิตวิทยา และศิลปะบำบัด’ แต่คนให้คำแนะนำกลับทำตัวราวกับต้องการได้รับการบำบัดเสียเอง พรีมถอดเสื้อคลุมตัวยาวออกอย่างเชื่องช้าก่อนจะแขวนมันเก็บกลับที่เดิมบนราวแขวนเฉกเช่นทุกวันหลังเลิกงาน ร่างเพรียวระหงหมุนตัวกลับมามองกันเป็นครั้งที่สิบในรอบวัน แต่คราวนี้ไม่ใช่แค่มองอย่างเดียว นัยน์ตากลมโตกะพริบช้ามีน้ำใสเอ่อคลอ ฉันถอนหายใจอย่างหนักอกก่อนจะหลับตาลงในจังหวะที่คนเป็นเพื่อนเดินเข้ามาถึงต
แอบรักเธออีกสักทีตอนที่ 1 หลายวันต่อมา 09.00 น. “ปายลงไปรับข้าวหน่อย พี่อาบน้ำอยู่” “อืม…” “ลุกขึ้นเร็ว” “รู้แล้ว ๆ” ฉันจำใจต้องสะบัดผ้าห่มออกจากตัว กะพริบตาช้า ๆ เพื่อให้ชินกับแสงสว่างที่ลอดผ่านม่านหน้าต่างเข้ามา ประตูห้องนอนปิดลงตอนที่เห็นหลังไว ๆ ของพี่ปราณเดินกลับออกไปในสภาพผ้าเช็ดตัวผืนเดียวพันท่อนล่าง บนหัวยังเต็มไปด้วยฟองสีขาวของแชมพู แม้ว่าจะขี้เกียจแค่ไหนก็ต้องพาสังขารตัวเองเดินลงบันไดมา ในบ้านเงียบเชียบไม่มีใครอยู่นอกจากคนที่กำลังอาบน้ำอยู่ด้านบน เสียงบีบแตรดังขึ้นอีกครั้งราวกับเป็นการย้ำเตือนว่าตอนนี้มีคนกำลังรออยู่ “มาแล้วค่ะ ๆ” ฉันเร่งรีบเดินออกจากตัวบ้าน คีบแตะคู่โปรดที่ไม่ได้ใส่มานานหลายปี ก่อนจะหันมองไปยังรั้วบ้านสีขาวสูงประมาณระดับอก ร่างสูงโปร่งคุ้นตาของใครคนหนึ่งกำลังสาวะวนอยู่กับการหอบหิ้วถุงพลาสติกหลายถุงลงจากตะกร้าหลังรถมอเตอร์ไซค์ ใครคนนั้นตั้งท่าจะบีบแตรอีกรอบ แต่ก็ต้องชะงักไปเมื่อหันมาสบสานสายตากับฉันเข้าพอดี แสงแดดสว่างจ้า
แอบรักเธออีกสักทีตอนที่ 2เพราะเขาไปแล้วฉันถึงยกยิ้มขึ้นมาได้ เป็นจังหวะเดียวกันกับเสียงของพี่ปราณดังมาจากในบ้านพอหันมองไปก็พบว่าคนเป็นพี่อยู่ในชุดลำลองเตรียมจะออกไปข้างนอก พี่คว้าเอาหมวกแก็ปมาสวม นิ้วมือหมุนควงกุญแจรถเดินออกมาพี่ปราณเป็นชายหนุ่มวัยยี่สิบเก้าเท่ากันกับพี่เหนือทั้งยังเป็นเพื่อนซี้กันตั้งแต่เด็ก แถมหน้าตายังหล่อเหลาพอ ๆ กัน สมัยเรียนสองคนนี้เป็นหนุ่มหล่อประจำโรงเรียน อันที่จริงก็เรียกได้ว่าหล่อประจำอำเภอเลยดีกว่า และยิ่งโตแต่ละคนก็ยิ่งดูดี“มันไปแล้วเหรอ?” พี่ปราณเดินมาถึงตัวพอดี พร้อมกันก็คว้าเอาถุงข้าวมันไก่ไปถือไว้เอง“พี่เหนือมาส่งแบบนี้ทุกวันเหรอ?” ฉันเอ่ยปากถามทันที คนถูกถามยักไหล่ก่อนจะเอ่ยตอบ ทั้งพยายามจะแย่งน้ำเต้าหู้ไปด้วย“มันก็มาเองบ้าง ให้เด็กที่ร้านมาบ้าง”“นี่ของปาย” ฉันดึงเอาถุงน้ำเต้าหู้คืนมาพร้อมซ่อนมันไว้ด้านหลัง“ไอ้เหนือซื้อมาให้ว่างั้น?” พี่ปราณยกยิ้มเล็กน้อย แล้วถอนหายใจเสียงดัง “อยู่มาตั้งกี่ปีพี่ไม่เห็นเคยได้กิน”“พี่เหนือคงจะเห็นว่าปายเพิ่งกลับมา”“อือฮึ”“พี่จะเข้าสวนเหรอ?”“เออ เอาข้าวไปเลี้ยงคนงานที่สวน”“ปายไปด้วยได้ไหม?”“ไม่ต้องหรอกวันน
แอบรักเธออีกสักทีตอนที่ 3 สิบห้านาทีต่อมา เพราะตอนนี้เป็นเวลาช่วงสาย หน้าตลาดยังคงมีคนเดินจับจ่ายซื้อของกันคึกคัก รถราหน้าสถานีรถไฟก็ยังคงหนาตา ฉันจอดจักรยานลงหน้าร้านข้าวมันไก่ที่มีป้ายตัวเบ้อเร่อเขียนกำกับเอาไว้ และวงเล็บพ่วงท้ายด้วยว่ารับจัดเลี้ยงโต๊ะจีน แม้ว่าอำเภอเราจะไม่ใหญ่มาก แต่เพราะนี่เป็นร้านข้าวมันไก่เจ้าดังเลื่องชื่อของจังหวัดทำให้มีคนมาเข้าคิวซื้อกันให้ควั่ก ทั้งยังมีกระบะสองสามคันจอดเทียบฟุตพาตอยู่หน้าร้าน ลูกจ้างร้านหลายคนกำลังกุลีกุจอขนเอาถุงใส่กล่องข้าวเหมือนกันกับที่พี่เหนือแวะเอาไปให้ที่บ้านเมื่อชั่วโมงก่อนขึ้นท้ายกระบะพวกนั้น นอกจากร้านข้าวมันไก่ขนาดใหญ่แล้ว ถัดออกไปข้างกันก็มีร้านขายน้ำเต้าหู ถัดออกไปอีกก็มีร้านขายโจ๊ก รวมถึงร้านรวงที่ตั้งแผงขายอาหารอยู่ริมฟุตพาต และถัดไปอีกก็คือถนนตัดเข้าตลาดสดฝั่งตรงข้ามกับตลาดเป็นสถานีรถไฟประจำอำเภอ ขบวนรถกำลังเคลื่อนตัวออกจากหน้าสถานี พร้อมกับเสียงประกาศออกลำโพงว่ารถไฟกำลังจะเคลื่อนขบวนไปยังสถานีถัดไปดังก้องได้ยินมาถึงตรงนี้เอาเป็นว่าแถวนี้เรียกได้ว่าเจริญพอสมควรเทียบกับที่อื่น ๆ ใ
แอบรักเธออีกสักทีตอนที่ 5 หัวใจฉันหล่นวูบครั้งแล้วครั้งเล่ากับคำบอกเล่าที่เหมือนไม่ได้คิดอะไรของอีกคน พี่เหนือไม่ได้ขยายความต่อ แต่ยื่นกระดาษแผ่นที่ตัวเองเพิ่งเขียนอะไรเสร็จส่งต่อมาให้ “พี่จดเวลาเลิกเรียนของจ๋อมไว้ให้หมดแล้ว และก็เวลากลับบ้านของพี่ เบอร์โทรคนที่ร้านเผื่อว่าพี่ไม่รับสาย เราจะมาตอนไหนก็มาเดี๋ยวพี่จะเอากุญแจสำรองมาให้” เมื่อเห็นว่าเขาไม่คิดจะพูดถึงเรื่องจดหมายนั่นอีก ฉันก็ไม่จำเป็นที่จะต้องหาเหาใส่หัว เปลี่ยนเรื่องคุยก็ดีเหมือนกัน “พี่จะให้ปายมาเริ่มงานวันไหน?” “พรุ่งนี้เลยก็ได้ถ้าสะดวก” “โอเค” “แล้วเรื่องกลับบ้านตอนกลางคืนเดี๋ยวพี่ไปส่ง” “ไม่ต้องหรอกบ้านปายอยู่แค่นี้เองปั่นจักรยานเอาก็ได้” “เอางั้น?” “สบายมาก ว่าแต่พี่จะให้ค่าจ้างจริงไหม?” ฉันเลิกคิ้วถามถึงเรื่องที่เจ้าบ้านว่าอีกครั้ง พี่เหนือหลุดขำออกมาทำหน้ารู้ทัน “จ้างดิ เห็นพี่เป็นคนยังไง?” “ก็นึกว่าเลือกปายเพราะปายไม่เอาค่าจ้างเสียอีก” “มีจรรยาบรรณเว้ย” น้ำเสีย
แอบรักเธออีกสักทีตอนที่ 4 สิบนาทีต่อมา จักรยานชะลอช้าก่อนจะหยุดลงที่หน้าบ้านไม้สองชั้นขนาดกลาง ไม่เล็ก แต่ก็ไม่ใหญ่เกินไปนัก ฉันหย่อนเท้าลงกับพื้น ทว่ายังคงนั่งนิ่งอยู่บนจักรยานอีกครู่หนึ่ง สายตาสอดส่องมองหาเจ้าของบ้านที่ตอนนี้ไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหนเห็นก็แต่มอเตอร์ไซค์คันที่พี่เหนือขี่นำมาก่อนล่วงหน้าแต่ไม่ยักเห็นเจ้าของ โรงรถมีกระบะที่สภาพราวกับไม่มีใครใช้งานจอดอยู่ ผ้าใบคลุมหลังคารถเต็มไปด้วยเศษใบไม้แห้ง ก่อนที่สายตาจะเบนมองไปยังตู้จดหมายสีเหลืองสดมีกังหันอันเล็ก ๆ ตกแต่งอยู่ด้านบน มันยังดูเหมือนเดิมแต่ก็เก่าลงตามกาลเวลา ลมเย็นพัดโชยมาทำให้คลายร้อนลงได้เล็กน้อย มีแก้วเจ้าจอมต้นใหญ่ให้ร่มเงาบริเวณหน้าบ้านทั้งยังออกช่อดอกบานสะพรั่งสวยจนต้องแหงนหน้าขึ้นมอง ฉันทิ้งจักรยานพิงรั้วบ้านเอาไว้ก่อนจะเดินเข้าไป ได้ยินเสียงหัวเราะของเด็กเล็ก ๆ คนหนึ่งดังแว่วมา แต่ยังไม่ทันได้เข้าไปทักทายคนที่จะต้องทำความรู้จัก เพราะคิดถึงความหลังทำให้เบี่ยงเดินไปด้านหลังตัวบ้านแทน เดินมาจนสุดทางด้านหลังตัวบ้าน ห่างจากชานเรือนมีคลองธรรมชาติเส้นเล็ก
แอบรักเธออีกสักทีตอนที่ 3 สิบห้านาทีต่อมา เพราะตอนนี้เป็นเวลาช่วงสาย หน้าตลาดยังคงมีคนเดินจับจ่ายซื้อของกันคึกคัก รถราหน้าสถานีรถไฟก็ยังคงหนาตา ฉันจอดจักรยานลงหน้าร้านข้าวมันไก่ที่มีป้ายตัวเบ้อเร่อเขียนกำกับเอาไว้ และวงเล็บพ่วงท้ายด้วยว่ารับจัดเลี้ยงโต๊ะจีน แม้ว่าอำเภอเราจะไม่ใหญ่มาก แต่เพราะนี่เป็นร้านข้าวมันไก่เจ้าดังเลื่องชื่อของจังหวัดทำให้มีคนมาเข้าคิวซื้อกันให้ควั่ก ทั้งยังมีกระบะสองสามคันจอดเทียบฟุตพาตอยู่หน้าร้าน ลูกจ้างร้านหลายคนกำลังกุลีกุจอขนเอาถุงใส่กล่องข้าวเหมือนกันกับที่พี่เหนือแวะเอาไปให้ที่บ้านเมื่อชั่วโมงก่อนขึ้นท้ายกระบะพวกนั้น นอกจากร้านข้าวมันไก่ขนาดใหญ่แล้ว ถัดออกไปข้างกันก็มีร้านขายน้ำเต้าหู ถัดออกไปอีกก็มีร้านขายโจ๊ก รวมถึงร้านรวงที่ตั้งแผงขายอาหารอยู่ริมฟุตพาต และถัดไปอีกก็คือถนนตัดเข้าตลาดสดฝั่งตรงข้ามกับตลาดเป็นสถานีรถไฟประจำอำเภอ ขบวนรถกำลังเคลื่อนตัวออกจากหน้าสถานี พร้อมกับเสียงประกาศออกลำโพงว่ารถไฟกำลังจะเคลื่อนขบวนไปยังสถานีถัดไปดังก้องได้ยินมาถึงตรงนี้เอาเป็นว่าแถวนี้เรียกได้ว่าเจริญพอสมควรเทียบกับที่อื่น ๆ ใ
แอบรักเธออีกสักทีตอนที่ 2เพราะเขาไปแล้วฉันถึงยกยิ้มขึ้นมาได้ เป็นจังหวะเดียวกันกับเสียงของพี่ปราณดังมาจากในบ้านพอหันมองไปก็พบว่าคนเป็นพี่อยู่ในชุดลำลองเตรียมจะออกไปข้างนอก พี่คว้าเอาหมวกแก็ปมาสวม นิ้วมือหมุนควงกุญแจรถเดินออกมาพี่ปราณเป็นชายหนุ่มวัยยี่สิบเก้าเท่ากันกับพี่เหนือทั้งยังเป็นเพื่อนซี้กันตั้งแต่เด็ก แถมหน้าตายังหล่อเหลาพอ ๆ กัน สมัยเรียนสองคนนี้เป็นหนุ่มหล่อประจำโรงเรียน อันที่จริงก็เรียกได้ว่าหล่อประจำอำเภอเลยดีกว่า และยิ่งโตแต่ละคนก็ยิ่งดูดี“มันไปแล้วเหรอ?” พี่ปราณเดินมาถึงตัวพอดี พร้อมกันก็คว้าเอาถุงข้าวมันไก่ไปถือไว้เอง“พี่เหนือมาส่งแบบนี้ทุกวันเหรอ?” ฉันเอ่ยปากถามทันที คนถูกถามยักไหล่ก่อนจะเอ่ยตอบ ทั้งพยายามจะแย่งน้ำเต้าหู้ไปด้วย“มันก็มาเองบ้าง ให้เด็กที่ร้านมาบ้าง”“นี่ของปาย” ฉันดึงเอาถุงน้ำเต้าหู้คืนมาพร้อมซ่อนมันไว้ด้านหลัง“ไอ้เหนือซื้อมาให้ว่างั้น?” พี่ปราณยกยิ้มเล็กน้อย แล้วถอนหายใจเสียงดัง “อยู่มาตั้งกี่ปีพี่ไม่เห็นเคยได้กิน”“พี่เหนือคงจะเห็นว่าปายเพิ่งกลับมา”“อือฮึ”“พี่จะเข้าสวนเหรอ?”“เออ เอาข้าวไปเลี้ยงคนงานที่สวน”“ปายไปด้วยได้ไหม?”“ไม่ต้องหรอกวันน
แอบรักเธออีกสักทีตอนที่ 1 หลายวันต่อมา 09.00 น. “ปายลงไปรับข้าวหน่อย พี่อาบน้ำอยู่” “อืม…” “ลุกขึ้นเร็ว” “รู้แล้ว ๆ” ฉันจำใจต้องสะบัดผ้าห่มออกจากตัว กะพริบตาช้า ๆ เพื่อให้ชินกับแสงสว่างที่ลอดผ่านม่านหน้าต่างเข้ามา ประตูห้องนอนปิดลงตอนที่เห็นหลังไว ๆ ของพี่ปราณเดินกลับออกไปในสภาพผ้าเช็ดตัวผืนเดียวพันท่อนล่าง บนหัวยังเต็มไปด้วยฟองสีขาวของแชมพู แม้ว่าจะขี้เกียจแค่ไหนก็ต้องพาสังขารตัวเองเดินลงบันไดมา ในบ้านเงียบเชียบไม่มีใครอยู่นอกจากคนที่กำลังอาบน้ำอยู่ด้านบน เสียงบีบแตรดังขึ้นอีกครั้งราวกับเป็นการย้ำเตือนว่าตอนนี้มีคนกำลังรออยู่ “มาแล้วค่ะ ๆ” ฉันเร่งรีบเดินออกจากตัวบ้าน คีบแตะคู่โปรดที่ไม่ได้ใส่มานานหลายปี ก่อนจะหันมองไปยังรั้วบ้านสีขาวสูงประมาณระดับอก ร่างสูงโปร่งคุ้นตาของใครคนหนึ่งกำลังสาวะวนอยู่กับการหอบหิ้วถุงพลาสติกหลายถุงลงจากตะกร้าหลังรถมอเตอร์ไซค์ ใครคนนั้นตั้งท่าจะบีบแตรอีกรอบ แต่ก็ต้องชะงักไปเมื่อหันมาสบสานสายตากับฉันเข้าพอดี แสงแดดสว่างจ้า
แอบรักเธออีกสักทีบทนำ กรุงเทพฯ 20.00 น. ประตูเวิร์กช็อปปิดลงแล้วหลังจากลูกค้าคนสุดท้ายเดินออกไป ‘พรีม’ เพื่อนสาวคนสนิทควบด้วยตำแหน่งเพื่อนร่วมงานซึ่งอยู่ในชุดเสื้อคลุมสีขาวยาวถึงข้อเข่าไม่รอช้ารีบเดินไปพลิกป้ายด้านหลังบานประตูกระจกใสจากข้อความที่ระบุว่า open เปลี่ยนเป็น closedแทน ใบหน้าอ่อนล้าหันกลับมามองฉันซึ่งกำลังนั่งกดปากกาลูกลื่นเป็นจังหวะช้า ๆ นัยน์ตาหรี่ลงเล็กน้อยอย่างใช้ความคิดเมื่อเห็นสภาพของคนเป็นเพื่อนที่ตอนนี้น่าจะไม่อยู่ในสภาวะที่จะไปบำบัดใครเขาได้ แม้ว่าหน้าเวิร์กช็อปจะมีป้ายอักษรโลหะตัวเบ้อเร่อระบุว่าเป็น ‘เวิร์กช็อปจิตวิทยา และศิลปะบำบัด’ แต่คนให้คำแนะนำกลับทำตัวราวกับต้องการได้รับการบำบัดเสียเอง พรีมถอดเสื้อคลุมตัวยาวออกอย่างเชื่องช้าก่อนจะแขวนมันเก็บกลับที่เดิมบนราวแขวนเฉกเช่นทุกวันหลังเลิกงาน ร่างเพรียวระหงหมุนตัวกลับมามองกันเป็นครั้งที่สิบในรอบวัน แต่คราวนี้ไม่ใช่แค่มองอย่างเดียว นัยน์ตากลมโตกะพริบช้ามีน้ำใสเอ่อคลอ ฉันถอนหายใจอย่างหนักอกก่อนจะหลับตาลงในจังหวะที่คนเป็นเพื่อนเดินเข้ามาถึงต