แอบรักเธออีกสักที
ตอนที่ 3
สิบห้านาทีต่อมา
เพราะตอนนี้เป็นเวลาช่วงสาย หน้าตลาดยังคงมีคนเดินจับจ่ายซื้อของกันคึกคัก รถราหน้าสถานีรถไฟก็ยังคงหนาตา ฉันจอดจักรยานลงหน้าร้านข้าวมันไก่ที่มีป้ายตัวเบ้อเร่อเขียนกำกับเอาไว้ และวงเล็บพ่วงท้ายด้วยว่ารับจัดเลี้ยงโต๊ะจีน
แม้ว่าอำเภอเราจะไม่ใหญ่มาก แต่เพราะนี่เป็นร้านข้าวมันไก่เจ้าดังเลื่องชื่อของจังหวัดทำให้มีคนมาเข้าคิวซื้อกันให้ควั่ก ทั้งยังมีกระบะสองสามคันจอดเทียบฟุตพาตอยู่หน้าร้าน ลูกจ้างร้านหลายคนกำลังกุลีกุจอขนเอาถุงใส่กล่องข้าวเหมือนกันกับที่พี่เหนือแวะเอาไปให้ที่บ้านเมื่อชั่วโมงก่อนขึ้นท้ายกระบะพวกนั้น
นอกจากร้านข้าวมันไก่ขนาดใหญ่แล้ว ถัดออกไปข้างกันก็มีร้านขายน้ำเต้าหู ถัดออกไปอีกก็มีร้านขายโจ๊ก รวมถึงร้านรวงที่ตั้งแผงขายอาหารอยู่ริมฟุตพาต และถัดไปอีกก็คือถนนตัดเข้าตลาดสด
ฝั่งตรงข้ามกับตลาดเป็นสถานีรถไฟประจำอำเภอ ขบวนรถกำลังเคลื่อนตัวออกจากหน้าสถานี พร้อมกับเสียงประกาศออกลำโพงว่ารถไฟกำลังจะเคลื่อนขบวนไปยังสถานีถัดไปดังก้องได้ยินมาถึงตรงนี้
เอาเป็นว่าแถวนี้เรียกได้ว่าเจริญพอสมควรเทียบกับที่อื่น ๆ ในอำเภอเดียวกัน
ฉันจอดจักรยานทิ้งไว้หน้าร้านเดินเข้าไปกวาดตามองหาคนที่ต้องการจะคุยด้วย และมันก็จริงอย่างที่พี่ปราณบอก นอกจากลูกค้าที่กำลังนั่งกินข้าวกันเนืองแน่น ที่โต๊ะตัวหนึ่งมีคนกำลังนั่งกดเครื่องคิดเลขด้วยท่าทางเป็นงานเป็นการ เงยหน้าขึ้นมาสั่งงานเด็กร้านบ้างเป็นบางที
รายล้อมร่างสูงที่นั่งทำงานอยู่ มีสาว ๆ สองสามคนกำลังพากันโปรยยิ้มให้เถ้าแก่ร้านข้าวมันไก่ไม่ห่าง คนที่ว่าเองก็เงยหน้าขึ้นมายิ้มกว้าง พูดคุยตอบโต้กับบรรดาสาว ๆ บ้างเป็นบางที
สาว ๆ ที่ว่าก็คุ้นหน้าคุ้นตาดี ถึงจะไม่ได้เจอมานานแต่ฉันก็จำหน้าแต่ละคนได้
มด กับกระถินคือเพื่อนสมัยเรียนของฉันเอง เราเรียนชั้นเดียวกัน แค่เรียนคนละห้อง มดน่าจะทำงานอยู่ร้านเสริมสวยแถวนี้สังเกตได้จากการแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าสีสันฉูดฉาด รวมถึงที่ข้อแขนมีไดร์เป่าผมอันใหญ่กอดไว้อยู่ ส่วนกระถินในชุดเอี๊ยมสีแดงเป็นลูกสาวของเฮียเล็กร้านขายน้ำเต้าหู้ข้าง ๆ ที่บอกไปในตอนแรก
แม้ใจจะแอบกังวลขึ้นมาถึงขั้นเกือบจะหันหลังกลับแต่หนึ่งในสองคนนั้นคงจะบังเอิญหันมาเห็นฉันเข้าพอดี เสียงเล็กแหลมบาดแก้วหูที่ไม่ได้ยินมานานร้องตะโกนขึ้น เล่นเอาลูกค้าที่กำลังนั่งกินข้าวพากันหันมองมา
“ปาย!!!”
“นั่นปายจริง ๆ ด้วย!”
“ปาย!”
คงไม่ทันแล้วที่คิดจะหันหลังกลับ เพราะเสียงวี้ดว้ายของเพื่อนดังต่อเนื่องไม่หยุด ฉันหันกลับไปมองก่อนจะต้องเจอกับสายตาของใครต่อใครที่ยังคงจ้องมองมา และนาทีนี้คนทั้งร้านคงรู้แน่ว่าฉันชื่อปาย
ฉันทำใจเดินเข้าไปทักทายเพื่อนร่วมชั้นสมัยเรียนอย่างเลี่ยงไม่ได้ มดเอาแต่กรี๊ดกร๊าดไม่หยุด ในขณะที่กระถินรีบเข้ามาจับแขนฉันเขย่าอย่างดีใจ
“โอ๊ย! ไม่ได้เจอกันตั้งนาน!”
“ไม่คิดจะกลับมาบ้านบ้างเลย เพื่อน ๆ ถามถึงตลอดเลยนะ”
“แล้วนี่กลับมานานหรือยัง?”
“ปายสวยขึ้นนะเนี่ย”
“แล้วพี่ปราณไม่มาด้วยเหรอ?”
“จะ… ใจเย็น เราเพิ่งกลับมาเมื่อวาน”
ฉันยกมือขึ้นห้ามแทบไม่ทันเมื่อสองคนเอาแต่รัวคำถามเข้าใส่ไม่หยุด มดถึงกับวางไดร์เป่าผมที่ก็ไม่อาจรู้ได้ว่าถือมาด้วยทำไมลงบนโต๊ะ กระถินเองก็ทำตาโตยื่นหน้าเข้ามากวาดสายตามองใบหน้ากันในระยะประชิด
ทั้งสองเป็นคนเสียงดัง และวี้ดว้ายกระตู้วู้มาแต่ไหนแต่ไรฉันถึงเกือบจะถอดใจกลับไปตั้งแต่เมื่อครู่เพราะไม่อยากจะเป็นจุดรวมสายตา แต่ตอนนี้จำต้องมายืนตอบคำถามเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันมานานแทน
คนอื่นหันกลับไปกินข้าวต่อแล้ว คงจะชินกับเสียงแหลม ๆ ของสองสาวที่น่าจะประจำการอยู่แถว ๆ นี้เป็นปกติ แต่ก็มีอยู่คนที่กำลังมองมา
พี่เหนือที่เมื่อครู่ก่อนยังนั่งก้มหน้าก้มตากดเครื่องคิดเลขตอนนี้กำลังยิ้มหล่อทอดสายตามองกันอยู่ เสียงกวนเอ่ยทักขึ้นเป็นครั้งที่สองของวัน
“ไง… ไหนว่าลดความอ้วน?”
“ปายไม่ได้จะมากินข้าว”
ฉันตอบกลับแทบจะในทันที และแน่นอนว่าการสนทนานี้มีอีกสองคนกำลังตะแคงคอฟังอยู่ด้วย ก่อนที่ทั้งคู่จะเอ่ยแทรกขึ้นแทบจะพร้อมกัน
“แอบไปเจอกันมาเมื่อไร? ทำไมพี่เหนือไม่เห็นบอกมดเลย!”
“นั่นสิ พี่เหนือไปบ้านปายมาเหรอ?”
“แล้วทำไมพี่ต้องบอกด้วยวะเนี่ย?” คนโดนยิงคำถามใส่หัวเราะเบา ๆ อย่างไม่ใส่ใจ
“อาถิน! ลื้อกลับมาช่วยงานอั๊วสักทีซี มัวแต่ไปคุยกับอาเหนืออีอยู่ได้ทุกวี่ทุกวัน ไอ้ลูกคนนี้”
เสียงล้งเล้งที่ฉันจำได้ดีว่าเป็นเฮียเล็กเจ้าของร้านน้ำเต้าหู้ตะโกนเรียกลูกสาวเสียงดังเพราะมีลูกค้าหลายคนกำลังเข้าคิวซื้อน้ำเต้าหู้อยู่ คนถูกเรียกทำหน้างอแต่ถึงอย่างนั้นก็รีบกระแทกเท้าเดินกลับไปช่วยงานคนเป็นพ่อ พร้อมกันก็ส่งเสียงตอบแบบที่ได้ยินกันทั้งบาง
“ป๊าก็บ่นอยู่ได้ทุกวัน! ไม่อยากได้ลูกเขยหรือยังไง!”
“เชอะ! ทำเหมือนว่าจะได้เป็นเมียพี่เหนืองั้นแหละ” มดเองก็ทำหน้าบูดขึ้นมากะทันหัน ก่อนจะหันมากระซิบบอกฉัน “พี่เหนือฉันจอง”
ฉันทำได้แค่ยิ้มให้เท่านั้น ใจไม่ได้คิดอะไร สาว ๆ ก็จองพี่เหนือกันทั้งอำเภอนั่นแหละ จังหวะเดียวกันลูกจ้างร้านก็เอาถุงใส่ข้าวมาส่งให้คนข้าง ๆ พอดี มดจ่ายเงินแล้วรีบคว้าเอาถุงข้าวนั้นไว้ โดยไม่ลืมหยิบไดร์เป่าผมมาถือไว้อีกรอบ
“ไปทำงานก่อน ฉันทำงานอยู่ร้านเสริมสวยฝั่งสถานีตรงนู้น อยากทำผมก็แวะไปนะ ไม่ก็มาเจอที่นี่ก็ได้มาทุกวัน” ประโยคหลังเพื่อนกระซิบเข้าที่ข้างหูสีหน้ากรุ้มกริ่ม ทว่าอีกคนกลับได้ยินด้วย
“ไม่ต้องมาทุกวันก็ได้” พี่เหนือพูดเสียงกลั้วหัวเราะ เล่นเอาคนบอกมาทุกวันหันไปทำตาโตใส่
“พี่ไล่ลูกค้าแบบนี้ได้ยังไง?”
“ไล่บ้าอะไร? มาเช้ากลางวันเย็นไม่เบื่อบ้างหรือไง?”
“เบื่ออะไร… นี่ขนาดมาสามเวลาหลังอาหารพี่ยังไม่ใจอ่อนเลย”
“ไปทำงานไป เดี๋ยวเจ๊แดงก็โทรมาตามที่พี่อีก”
“ก็ฟีลตามเมียไง”
“เมียบ้าไรมด?”
“ไปแล้ว เดี๋ยวโดนหักตัง”
มดเดินจากไปอีกคนทิ้งไว้แค่เสียงหัวเราะของคนที่บังเอิญได้ยินบทสนทนาชวนหัวเมื่อครู่ คราวนี้พี่เหนือหันมามองฉันแทน คิ้วหนาเลิกขึ้นเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยปากถาม
“ไม่กินข้าวแล้วมาทำไร?”
“พี่ปราณบอกว่าพี่กำลังหาพี่เลี้ยงเด็ก”
ฉันเอ่ยไปตรง ๆ ทิ้งตัวนั่งเก้าอี้ฝั่งตรงกันข้าม พี่เหนือพยักหน้ารับรู้ทำท่าเหมือนคิดอะไรสักอย่างจนฉันแอบใจแป้วขึ้นมา กลัวก็แต่เขาจะรับคนอื่นทำไปเสียแล้ว ยิ่งได้เห็นว่าสองสาวเมื่อครู่รุกหนักแค่ไหนก็ยิ่งใจเสีย
บางทีอาจจะเป็นมดหรือกระถินที่ได้งานที่ว่าไป
“หรือพี่รับคนอื่นแล้ว?” ฉันอึกอักถามไม่เต็มเสียง แต่คนว่าจ้างกลับหัวเราะออกมาราวกับจะรู้ว่าฉันกำลังคิดถึงใคร
“สองคนนั้นไม่ทำหรอก”
“ทำไมอะ? ก็จีบพี่ทั้งสองคนนี่”
“พี่ชวนแล้ว”
“ฮะ?”
“สองคนนั้นบอกว่าพี่ใช้เวลาอยู่ที่ร้านมากกว่า”
“อ๋อ”
ฉันพยักหน้าเข้าใจได้ในทันที ถ้าเกิดรับงานที่ว่าก็จะเจอหน้าพี่เหนือแค่แป๊บเดียวน่ะสิ แต่ถ้าไม่ก็จะได้มาหาที่ร้านเช้ากลางวันเย็นแบบที่มดว่าเมื่อครู่ไง
“แล้วพี่ได้คนหรือยัง?”
“จริง ๆ ก็มีคนมาติดต่อหลายคนอยู่”
คนตรงหน้าหรี่ตาเล็กน้อยสีหน้าใช้ความคิด เพราะกลัวว่าคนอื่นจะได้งานไปฉันเลยอดไม่ได้ที่จะต้องพูดอะไรบางอย่างออกมา
“ก็ถ้าพี่หาคนไม่ได้จริง ๆ ให้ปายช่วยเลี้ยงก็ได้”
“…” ดวงหน้าหล่อหันมองกลับมา สีหน้าแปลกอกแปลกใจที่ฉันเสนอตัว
“และปาย… ไม่เอาตังเลยด้วย”
“…”
และพี่เหนือก็ยิ่งทำสีหน้าประหลาดใจหนักขึ้นไปอีกเมื่อเจอข้อเสนอสุดพิเศษที่ฉันเองก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าตัวเองจะหลุดพูดออกไป
พอคิดขึ้นมาได้ว่ามันดูจงใจมากเกินไปหน่อยฉันเลยขยับตัวลุกขึ้นยืน พยายามแสดงออกเหมือนว่าไม่ได้คิดอะไร
“พอดีปายว่าง ๆ ไม่มีอะไรทำ”
“รีบปั่นจักรยานมานี่เพราะจะมาบอกแค่นี้?”
“ปายไม่ได้รีบเลย แต่โทรมาแล้วพี่ไม่รับ” ฉันอึกอักตอบเบนสายตาหนี ชี้ไม้ชี้มือไปทางจักรยานที่ว่าซึ่งจอดอยู่นอกร้าน “ร้านพี่ก็อยู่แค่นี้เอง ปายอยากออกกำลังกายเลยปั่นมา”
“ไม่รีบ…”
“อือ”
“แต่ออกมาทั้งชุดนอนเนี่ยเหรอ?”
“…”
คราวนี้ฉันก็ถึงกับคิดหาคำแก้ตัวไม่ทัน หลุบตาลงมองสภาพตัวเองที่ตอนนี้ก็อยู่ในชุดนอนจริง ๆ เสียงหัวเราะของพี่เหนือยิ่งทำให้ไม่กล้าเงยหน้าสบตา แต่ก็เห็นได้จากทางหางตาว่าเขาหยัดตัวลุกขึ้นยืน ส่งเสียงตะโกนเรียกใครสักคน
“วีระ!”
“ครับลูกพี่!”
ลูกจ้างร้านคนหนึ่งวิ่งเข้ามาหาท่าทางเป็นงานเป็นการ แม้อายุน่าจะมากกว่าเจ้าของร้านแต่กลับเรียกพี่เหนือว่าลูกพี่ ฉันหันกลับไปมองก็เห็นว่าเขากำลังสั่งงานเป็นจริงเป็นจัง ว่าใครจะเข้ามารับของกี่โมง หรือว่าต้องออกไปส่งของที่ไหนกี่โมงบ้าง
เวลาไม่ถึงหนึ่งนาทีก็สั่งงานยาวเป็นหางว่าวเสร็จ สงสารก็แต่วีระที่จดรายละเอียดแทบไม่ทัน พี่เหนือส่งต่อเครื่องคิดเลขให้วีระ เดินนำออกจากร้านไปก่อนจะหันมาพยักหน้าเรียกฉันที่ยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม
“ไปกัน”
“ไปไหน?”
“ไปรู้จักหลานพี่ไง”
“สรุปว่า…”
“อือฮึ เราได้งาน”
เขาหันกลับไปแล้ว จังหวะถัดมาก็คร่อมมอเตอร์ไซค์คันเดิม หันมาเห็นว่าฉันยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิมก็พยักหน้าเรียก
“เอ้า ไม่ไปรึไง? หรือจะปั่นจักรยานตามไป?”
“ปะ… ปายปั่นตามไป”
“เค”
พี่เหนือบิดรถออกไปแล้ว ในขณะที่ฉันยังต้องเก็บสติสตางค์ที่หล่นเรี่ยราดเพราะความตกใจของตัวเองอยู่อีกครู่ใหญ่ ก่อนจะวิ่งไปกระโดดคร่อมจักรยานถีบปั่นตามเขาไปอย่างรีบเร่ง
แสงแดดช่วงสายของวันแผดเผารุนแรงอย่างกับอยู่ในนรกก็ไม่ปาน แต่ฉันกลับคลี่ยิ้มกว้างออกมาได้โดยที่ไม่รู้ตัว
แอบรักเธออีกสักทีตอนที่ 4 สิบนาทีต่อมา จักรยานชะลอช้าก่อนจะหยุดลงที่หน้าบ้านไม้สองชั้นขนาดกลาง ไม่เล็ก แต่ก็ไม่ใหญ่เกินไปนัก ฉันหย่อนเท้าลงกับพื้น ทว่ายังคงนั่งนิ่งอยู่บนจักรยานอีกครู่หนึ่ง สายตาสอดส่องมองหาเจ้าของบ้านที่ตอนนี้ไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหนเห็นก็แต่มอเตอร์ไซค์คันที่พี่เหนือขี่นำมาก่อนล่วงหน้าแต่ไม่ยักเห็นเจ้าของ โรงรถมีกระบะที่สภาพราวกับไม่มีใครใช้งานจอดอยู่ ผ้าใบคลุมหลังคารถเต็มไปด้วยเศษใบไม้แห้ง ก่อนที่สายตาจะเบนมองไปยังตู้จดหมายสีเหลืองสดมีกังหันอันเล็ก ๆ ตกแต่งอยู่ด้านบน มันยังดูเหมือนเดิมแต่ก็เก่าลงตามกาลเวลา ลมเย็นพัดโชยมาทำให้คลายร้อนลงได้เล็กน้อย มีแก้วเจ้าจอมต้นใหญ่ให้ร่มเงาบริเวณหน้าบ้านทั้งยังออกช่อดอกบานสะพรั่งสวยจนต้องแหงนหน้าขึ้นมอง ฉันทิ้งจักรยานพิงรั้วบ้านเอาไว้ก่อนจะเดินเข้าไป ได้ยินเสียงหัวเราะของเด็กเล็ก ๆ คนหนึ่งดังแว่วมา แต่ยังไม่ทันได้เข้าไปทักทายคนที่จะต้องทำความรู้จัก เพราะคิดถึงความหลังทำให้เบี่ยงเดินไปด้านหลังตัวบ้านแทน เดินมาจนสุดทางด้านหลังตัวบ้าน ห่างจากชานเรือนมีคลองธรรมชาติเส้นเล็ก
แอบรักเธออีกสักทีตอนที่ 5 หัวใจฉันหล่นวูบครั้งแล้วครั้งเล่ากับคำบอกเล่าที่เหมือนไม่ได้คิดอะไรของอีกคน พี่เหนือไม่ได้ขยายความต่อ แต่ยื่นกระดาษแผ่นที่ตัวเองเพิ่งเขียนอะไรเสร็จส่งต่อมาให้ “พี่จดเวลาเลิกเรียนของจ๋อมไว้ให้หมดแล้ว และก็เวลากลับบ้านของพี่ เบอร์โทรคนที่ร้านเผื่อว่าพี่ไม่รับสาย เราจะมาตอนไหนก็มาเดี๋ยวพี่จะเอากุญแจสำรองมาให้” เมื่อเห็นว่าเขาไม่คิดจะพูดถึงเรื่องจดหมายนั่นอีก ฉันก็ไม่จำเป็นที่จะต้องหาเหาใส่หัว เปลี่ยนเรื่องคุยก็ดีเหมือนกัน “พี่จะให้ปายมาเริ่มงานวันไหน?” “พรุ่งนี้เลยก็ได้ถ้าสะดวก” “โอเค” “แล้วเรื่องกลับบ้านตอนกลางคืนเดี๋ยวพี่ไปส่ง” “ไม่ต้องหรอกบ้านปายอยู่แค่นี้เองปั่นจักรยานเอาก็ได้” “เอางั้น?” “สบายมาก ว่าแต่พี่จะให้ค่าจ้างจริงไหม?” ฉันเลิกคิ้วถามถึงเรื่องที่เจ้าบ้านว่าอีกครั้ง พี่เหนือหลุดขำออกมาทำหน้ารู้ทัน “จ้างดิ เห็นพี่เป็นคนยังไง?” “ก็นึกว่าเลือกปายเพราะปายไม่เอาค่าจ้างเสียอีก” “มีจรรยาบรรณเว้ย” น้ำเสีย
แอบรักเธออีกสักทีบทนำ กรุงเทพฯ 20.00 น. ประตูเวิร์กช็อปปิดลงแล้วหลังจากลูกค้าคนสุดท้ายเดินออกไป ‘พรีม’ เพื่อนสาวคนสนิทควบด้วยตำแหน่งเพื่อนร่วมงานซึ่งอยู่ในชุดเสื้อคลุมสีขาวยาวถึงข้อเข่าไม่รอช้ารีบเดินไปพลิกป้ายด้านหลังบานประตูกระจกใสจากข้อความที่ระบุว่า open เปลี่ยนเป็น closedแทน ใบหน้าอ่อนล้าหันกลับมามองฉันซึ่งกำลังนั่งกดปากกาลูกลื่นเป็นจังหวะช้า ๆ นัยน์ตาหรี่ลงเล็กน้อยอย่างใช้ความคิดเมื่อเห็นสภาพของคนเป็นเพื่อนที่ตอนนี้น่าจะไม่อยู่ในสภาวะที่จะไปบำบัดใครเขาได้ แม้ว่าหน้าเวิร์กช็อปจะมีป้ายอักษรโลหะตัวเบ้อเร่อระบุว่าเป็น ‘เวิร์กช็อปจิตวิทยา และศิลปะบำบัด’ แต่คนให้คำแนะนำกลับทำตัวราวกับต้องการได้รับการบำบัดเสียเอง พรีมถอดเสื้อคลุมตัวยาวออกอย่างเชื่องช้าก่อนจะแขวนมันเก็บกลับที่เดิมบนราวแขวนเฉกเช่นทุกวันหลังเลิกงาน ร่างเพรียวระหงหมุนตัวกลับมามองกันเป็นครั้งที่สิบในรอบวัน แต่คราวนี้ไม่ใช่แค่มองอย่างเดียว นัยน์ตากลมโตกะพริบช้ามีน้ำใสเอ่อคลอ ฉันถอนหายใจอย่างหนักอกก่อนจะหลับตาลงในจังหวะที่คนเป็นเพื่อนเดินเข้ามาถึงต
แอบรักเธออีกสักทีตอนที่ 1 หลายวันต่อมา 09.00 น. “ปายลงไปรับข้าวหน่อย พี่อาบน้ำอยู่” “อืม…” “ลุกขึ้นเร็ว” “รู้แล้ว ๆ” ฉันจำใจต้องสะบัดผ้าห่มออกจากตัว กะพริบตาช้า ๆ เพื่อให้ชินกับแสงสว่างที่ลอดผ่านม่านหน้าต่างเข้ามา ประตูห้องนอนปิดลงตอนที่เห็นหลังไว ๆ ของพี่ปราณเดินกลับออกไปในสภาพผ้าเช็ดตัวผืนเดียวพันท่อนล่าง บนหัวยังเต็มไปด้วยฟองสีขาวของแชมพู แม้ว่าจะขี้เกียจแค่ไหนก็ต้องพาสังขารตัวเองเดินลงบันไดมา ในบ้านเงียบเชียบไม่มีใครอยู่นอกจากคนที่กำลังอาบน้ำอยู่ด้านบน เสียงบีบแตรดังขึ้นอีกครั้งราวกับเป็นการย้ำเตือนว่าตอนนี้มีคนกำลังรออยู่ “มาแล้วค่ะ ๆ” ฉันเร่งรีบเดินออกจากตัวบ้าน คีบแตะคู่โปรดที่ไม่ได้ใส่มานานหลายปี ก่อนจะหันมองไปยังรั้วบ้านสีขาวสูงประมาณระดับอก ร่างสูงโปร่งคุ้นตาของใครคนหนึ่งกำลังสาวะวนอยู่กับการหอบหิ้วถุงพลาสติกหลายถุงลงจากตะกร้าหลังรถมอเตอร์ไซค์ ใครคนนั้นตั้งท่าจะบีบแตรอีกรอบ แต่ก็ต้องชะงักไปเมื่อหันมาสบสานสายตากับฉันเข้าพอดี แสงแดดสว่างจ้า
แอบรักเธออีกสักทีตอนที่ 2เพราะเขาไปแล้วฉันถึงยกยิ้มขึ้นมาได้ เป็นจังหวะเดียวกันกับเสียงของพี่ปราณดังมาจากในบ้านพอหันมองไปก็พบว่าคนเป็นพี่อยู่ในชุดลำลองเตรียมจะออกไปข้างนอก พี่คว้าเอาหมวกแก็ปมาสวม นิ้วมือหมุนควงกุญแจรถเดินออกมาพี่ปราณเป็นชายหนุ่มวัยยี่สิบเก้าเท่ากันกับพี่เหนือทั้งยังเป็นเพื่อนซี้กันตั้งแต่เด็ก แถมหน้าตายังหล่อเหลาพอ ๆ กัน สมัยเรียนสองคนนี้เป็นหนุ่มหล่อประจำโรงเรียน อันที่จริงก็เรียกได้ว่าหล่อประจำอำเภอเลยดีกว่า และยิ่งโตแต่ละคนก็ยิ่งดูดี“มันไปแล้วเหรอ?” พี่ปราณเดินมาถึงตัวพอดี พร้อมกันก็คว้าเอาถุงข้าวมันไก่ไปถือไว้เอง“พี่เหนือมาส่งแบบนี้ทุกวันเหรอ?” ฉันเอ่ยปากถามทันที คนถูกถามยักไหล่ก่อนจะเอ่ยตอบ ทั้งพยายามจะแย่งน้ำเต้าหู้ไปด้วย“มันก็มาเองบ้าง ให้เด็กที่ร้านมาบ้าง”“นี่ของปาย” ฉันดึงเอาถุงน้ำเต้าหู้คืนมาพร้อมซ่อนมันไว้ด้านหลัง“ไอ้เหนือซื้อมาให้ว่างั้น?” พี่ปราณยกยิ้มเล็กน้อย แล้วถอนหายใจเสียงดัง “อยู่มาตั้งกี่ปีพี่ไม่เห็นเคยได้กิน”“พี่เหนือคงจะเห็นว่าปายเพิ่งกลับมา”“อือฮึ”“พี่จะเข้าสวนเหรอ?”“เออ เอาข้าวไปเลี้ยงคนงานที่สวน”“ปายไปด้วยได้ไหม?”“ไม่ต้องหรอกวันน
แอบรักเธออีกสักทีตอนที่ 5 หัวใจฉันหล่นวูบครั้งแล้วครั้งเล่ากับคำบอกเล่าที่เหมือนไม่ได้คิดอะไรของอีกคน พี่เหนือไม่ได้ขยายความต่อ แต่ยื่นกระดาษแผ่นที่ตัวเองเพิ่งเขียนอะไรเสร็จส่งต่อมาให้ “พี่จดเวลาเลิกเรียนของจ๋อมไว้ให้หมดแล้ว และก็เวลากลับบ้านของพี่ เบอร์โทรคนที่ร้านเผื่อว่าพี่ไม่รับสาย เราจะมาตอนไหนก็มาเดี๋ยวพี่จะเอากุญแจสำรองมาให้” เมื่อเห็นว่าเขาไม่คิดจะพูดถึงเรื่องจดหมายนั่นอีก ฉันก็ไม่จำเป็นที่จะต้องหาเหาใส่หัว เปลี่ยนเรื่องคุยก็ดีเหมือนกัน “พี่จะให้ปายมาเริ่มงานวันไหน?” “พรุ่งนี้เลยก็ได้ถ้าสะดวก” “โอเค” “แล้วเรื่องกลับบ้านตอนกลางคืนเดี๋ยวพี่ไปส่ง” “ไม่ต้องหรอกบ้านปายอยู่แค่นี้เองปั่นจักรยานเอาก็ได้” “เอางั้น?” “สบายมาก ว่าแต่พี่จะให้ค่าจ้างจริงไหม?” ฉันเลิกคิ้วถามถึงเรื่องที่เจ้าบ้านว่าอีกครั้ง พี่เหนือหลุดขำออกมาทำหน้ารู้ทัน “จ้างดิ เห็นพี่เป็นคนยังไง?” “ก็นึกว่าเลือกปายเพราะปายไม่เอาค่าจ้างเสียอีก” “มีจรรยาบรรณเว้ย” น้ำเสีย
แอบรักเธออีกสักทีตอนที่ 4 สิบนาทีต่อมา จักรยานชะลอช้าก่อนจะหยุดลงที่หน้าบ้านไม้สองชั้นขนาดกลาง ไม่เล็ก แต่ก็ไม่ใหญ่เกินไปนัก ฉันหย่อนเท้าลงกับพื้น ทว่ายังคงนั่งนิ่งอยู่บนจักรยานอีกครู่หนึ่ง สายตาสอดส่องมองหาเจ้าของบ้านที่ตอนนี้ไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหนเห็นก็แต่มอเตอร์ไซค์คันที่พี่เหนือขี่นำมาก่อนล่วงหน้าแต่ไม่ยักเห็นเจ้าของ โรงรถมีกระบะที่สภาพราวกับไม่มีใครใช้งานจอดอยู่ ผ้าใบคลุมหลังคารถเต็มไปด้วยเศษใบไม้แห้ง ก่อนที่สายตาจะเบนมองไปยังตู้จดหมายสีเหลืองสดมีกังหันอันเล็ก ๆ ตกแต่งอยู่ด้านบน มันยังดูเหมือนเดิมแต่ก็เก่าลงตามกาลเวลา ลมเย็นพัดโชยมาทำให้คลายร้อนลงได้เล็กน้อย มีแก้วเจ้าจอมต้นใหญ่ให้ร่มเงาบริเวณหน้าบ้านทั้งยังออกช่อดอกบานสะพรั่งสวยจนต้องแหงนหน้าขึ้นมอง ฉันทิ้งจักรยานพิงรั้วบ้านเอาไว้ก่อนจะเดินเข้าไป ได้ยินเสียงหัวเราะของเด็กเล็ก ๆ คนหนึ่งดังแว่วมา แต่ยังไม่ทันได้เข้าไปทักทายคนที่จะต้องทำความรู้จัก เพราะคิดถึงความหลังทำให้เบี่ยงเดินไปด้านหลังตัวบ้านแทน เดินมาจนสุดทางด้านหลังตัวบ้าน ห่างจากชานเรือนมีคลองธรรมชาติเส้นเล็ก
แอบรักเธออีกสักทีตอนที่ 3 สิบห้านาทีต่อมา เพราะตอนนี้เป็นเวลาช่วงสาย หน้าตลาดยังคงมีคนเดินจับจ่ายซื้อของกันคึกคัก รถราหน้าสถานีรถไฟก็ยังคงหนาตา ฉันจอดจักรยานลงหน้าร้านข้าวมันไก่ที่มีป้ายตัวเบ้อเร่อเขียนกำกับเอาไว้ และวงเล็บพ่วงท้ายด้วยว่ารับจัดเลี้ยงโต๊ะจีน แม้ว่าอำเภอเราจะไม่ใหญ่มาก แต่เพราะนี่เป็นร้านข้าวมันไก่เจ้าดังเลื่องชื่อของจังหวัดทำให้มีคนมาเข้าคิวซื้อกันให้ควั่ก ทั้งยังมีกระบะสองสามคันจอดเทียบฟุตพาตอยู่หน้าร้าน ลูกจ้างร้านหลายคนกำลังกุลีกุจอขนเอาถุงใส่กล่องข้าวเหมือนกันกับที่พี่เหนือแวะเอาไปให้ที่บ้านเมื่อชั่วโมงก่อนขึ้นท้ายกระบะพวกนั้น นอกจากร้านข้าวมันไก่ขนาดใหญ่แล้ว ถัดออกไปข้างกันก็มีร้านขายน้ำเต้าหู ถัดออกไปอีกก็มีร้านขายโจ๊ก รวมถึงร้านรวงที่ตั้งแผงขายอาหารอยู่ริมฟุตพาต และถัดไปอีกก็คือถนนตัดเข้าตลาดสดฝั่งตรงข้ามกับตลาดเป็นสถานีรถไฟประจำอำเภอ ขบวนรถกำลังเคลื่อนตัวออกจากหน้าสถานี พร้อมกับเสียงประกาศออกลำโพงว่ารถไฟกำลังจะเคลื่อนขบวนไปยังสถานีถัดไปดังก้องได้ยินมาถึงตรงนี้เอาเป็นว่าแถวนี้เรียกได้ว่าเจริญพอสมควรเทียบกับที่อื่น ๆ ใ
แอบรักเธออีกสักทีตอนที่ 2เพราะเขาไปแล้วฉันถึงยกยิ้มขึ้นมาได้ เป็นจังหวะเดียวกันกับเสียงของพี่ปราณดังมาจากในบ้านพอหันมองไปก็พบว่าคนเป็นพี่อยู่ในชุดลำลองเตรียมจะออกไปข้างนอก พี่คว้าเอาหมวกแก็ปมาสวม นิ้วมือหมุนควงกุญแจรถเดินออกมาพี่ปราณเป็นชายหนุ่มวัยยี่สิบเก้าเท่ากันกับพี่เหนือทั้งยังเป็นเพื่อนซี้กันตั้งแต่เด็ก แถมหน้าตายังหล่อเหลาพอ ๆ กัน สมัยเรียนสองคนนี้เป็นหนุ่มหล่อประจำโรงเรียน อันที่จริงก็เรียกได้ว่าหล่อประจำอำเภอเลยดีกว่า และยิ่งโตแต่ละคนก็ยิ่งดูดี“มันไปแล้วเหรอ?” พี่ปราณเดินมาถึงตัวพอดี พร้อมกันก็คว้าเอาถุงข้าวมันไก่ไปถือไว้เอง“พี่เหนือมาส่งแบบนี้ทุกวันเหรอ?” ฉันเอ่ยปากถามทันที คนถูกถามยักไหล่ก่อนจะเอ่ยตอบ ทั้งพยายามจะแย่งน้ำเต้าหู้ไปด้วย“มันก็มาเองบ้าง ให้เด็กที่ร้านมาบ้าง”“นี่ของปาย” ฉันดึงเอาถุงน้ำเต้าหู้คืนมาพร้อมซ่อนมันไว้ด้านหลัง“ไอ้เหนือซื้อมาให้ว่างั้น?” พี่ปราณยกยิ้มเล็กน้อย แล้วถอนหายใจเสียงดัง “อยู่มาตั้งกี่ปีพี่ไม่เห็นเคยได้กิน”“พี่เหนือคงจะเห็นว่าปายเพิ่งกลับมา”“อือฮึ”“พี่จะเข้าสวนเหรอ?”“เออ เอาข้าวไปเลี้ยงคนงานที่สวน”“ปายไปด้วยได้ไหม?”“ไม่ต้องหรอกวันน
แอบรักเธออีกสักทีตอนที่ 1 หลายวันต่อมา 09.00 น. “ปายลงไปรับข้าวหน่อย พี่อาบน้ำอยู่” “อืม…” “ลุกขึ้นเร็ว” “รู้แล้ว ๆ” ฉันจำใจต้องสะบัดผ้าห่มออกจากตัว กะพริบตาช้า ๆ เพื่อให้ชินกับแสงสว่างที่ลอดผ่านม่านหน้าต่างเข้ามา ประตูห้องนอนปิดลงตอนที่เห็นหลังไว ๆ ของพี่ปราณเดินกลับออกไปในสภาพผ้าเช็ดตัวผืนเดียวพันท่อนล่าง บนหัวยังเต็มไปด้วยฟองสีขาวของแชมพู แม้ว่าจะขี้เกียจแค่ไหนก็ต้องพาสังขารตัวเองเดินลงบันไดมา ในบ้านเงียบเชียบไม่มีใครอยู่นอกจากคนที่กำลังอาบน้ำอยู่ด้านบน เสียงบีบแตรดังขึ้นอีกครั้งราวกับเป็นการย้ำเตือนว่าตอนนี้มีคนกำลังรออยู่ “มาแล้วค่ะ ๆ” ฉันเร่งรีบเดินออกจากตัวบ้าน คีบแตะคู่โปรดที่ไม่ได้ใส่มานานหลายปี ก่อนจะหันมองไปยังรั้วบ้านสีขาวสูงประมาณระดับอก ร่างสูงโปร่งคุ้นตาของใครคนหนึ่งกำลังสาวะวนอยู่กับการหอบหิ้วถุงพลาสติกหลายถุงลงจากตะกร้าหลังรถมอเตอร์ไซค์ ใครคนนั้นตั้งท่าจะบีบแตรอีกรอบ แต่ก็ต้องชะงักไปเมื่อหันมาสบสานสายตากับฉันเข้าพอดี แสงแดดสว่างจ้า
แอบรักเธออีกสักทีบทนำ กรุงเทพฯ 20.00 น. ประตูเวิร์กช็อปปิดลงแล้วหลังจากลูกค้าคนสุดท้ายเดินออกไป ‘พรีม’ เพื่อนสาวคนสนิทควบด้วยตำแหน่งเพื่อนร่วมงานซึ่งอยู่ในชุดเสื้อคลุมสีขาวยาวถึงข้อเข่าไม่รอช้ารีบเดินไปพลิกป้ายด้านหลังบานประตูกระจกใสจากข้อความที่ระบุว่า open เปลี่ยนเป็น closedแทน ใบหน้าอ่อนล้าหันกลับมามองฉันซึ่งกำลังนั่งกดปากกาลูกลื่นเป็นจังหวะช้า ๆ นัยน์ตาหรี่ลงเล็กน้อยอย่างใช้ความคิดเมื่อเห็นสภาพของคนเป็นเพื่อนที่ตอนนี้น่าจะไม่อยู่ในสภาวะที่จะไปบำบัดใครเขาได้ แม้ว่าหน้าเวิร์กช็อปจะมีป้ายอักษรโลหะตัวเบ้อเร่อระบุว่าเป็น ‘เวิร์กช็อปจิตวิทยา และศิลปะบำบัด’ แต่คนให้คำแนะนำกลับทำตัวราวกับต้องการได้รับการบำบัดเสียเอง พรีมถอดเสื้อคลุมตัวยาวออกอย่างเชื่องช้าก่อนจะแขวนมันเก็บกลับที่เดิมบนราวแขวนเฉกเช่นทุกวันหลังเลิกงาน ร่างเพรียวระหงหมุนตัวกลับมามองกันเป็นครั้งที่สิบในรอบวัน แต่คราวนี้ไม่ใช่แค่มองอย่างเดียว นัยน์ตากลมโตกะพริบช้ามีน้ำใสเอ่อคลอ ฉันถอนหายใจอย่างหนักอกก่อนจะหลับตาลงในจังหวะที่คนเป็นเพื่อนเดินเข้ามาถึงต