ช่วงหลายวันที่ผ่านมา บรรยากาศในเมืองหลวงนั้นขมุกขมัวมากกว่าแต่ก่อน หลิวซีซวนอยู่ในชุดขาวลายหงส์แดงประจำตัว ยืนอยู่หน้าจวนพระราชทานเห็นความผิดปกติแต่ก็ไม่อาจบอกได้ว่ามันคืออะไร
บางครั้งก็รู้สึกเหมือนกับมีความชั่วร้ายกำลังสิงสู่ แต่คิดอีกทีก็อาจจะเป็นเพราะความสับสนวุ่นวายของผู้คนในเมืองหลวง ที่มีทั้งดีชั่วปะปนกันก็ได้
“ทำไมข้าจึงได้รู้สึกไม่สบายใจเช่นนี้”
“ความสามารถด้านการทำนายของเจ้ากลับมาแล้วไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงไม่ลองตรวจดู” เซวียนจางหย่งที่ยืนอยู่ข้างกายในชุดขุนนางเต็มยศ หันมาถามเขาบ้าง
“แปลกเหลือเกิน ข้าก็คิดว่าความสามารถข้ากลับมาแล้ว แต่จู่ๆ มันก็หายไปอีก บางทีร่างกายของข้าอาจจะต้องการเวลามากกว่านี้ก็เป็นได้” แม้ว่าเขาจะสงสัยในตัวเอง แต่ก็จนปัญญาที่จะหาทางออก
เวลานี้เขาได้สามีแล้ว ความสามารถอื่นใดล้วนไม่สำคัญ
“ช่างมันเถอะ ต่อให้เจ้าไม่มีพลังวิเศษอันใด ข้าก็จะเป็นคนปกป้องเจ้าเอง” หัวหน้าหน่วยตงฉางเอ่ยคำหวานกับเกอคนงาม จนอีกฝ่ายอายม้วน
“จริงขอรับ คุณชายหลิว หัวหน้าของพวกข้ารักคุณชายถึงเพียงนี้ ถึงอย่างไรก็ต้องดูแลทะนุถนอมปกป้องคุณชายเป็นอย่างดีแน่นอน คุณชายโปรดอย่ากังวล”
หนึ่งในสมาชิกหน่วยตงฉางเอ่ยขึ้นมาด้วยท่าทางประจบเอาใจ ทว่าสิ่งที่ซ่อนอยู่ลึกภายในกลับตรงกันข้าม บุรุษผู้นี้ก็คือโจวเฟิง หรือก็คือไต้ซือไป๋ ที่ใช้วิชาสับเปลี่ยนวิญญาณแล้วยึดครองร่างเอาไว้ เขาเคยทดสอบหลายครั้งก็พบว่าหลิวซีซวนน่าตายคนนี้ จำตนไม่ได้แน่นอน เขาจึงใช้ความใกล้ชิดตีสนิทแล้วลอบวางค่ายกลดักสวรรค์อยู่รอบจวนของหลิวซีซวน ทำให้ดักพลังวิเศษทุกอย่างที่ได้จากสายเลือดตระกูลหลิวเอาไว้ได้ทั้งหมด
และก็เป็นไปตามแผน หลิวซีซวนไร้พลัง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าโดนลอบวางค่ายกลถึงในเรือน คราวนี้ก็จะไม่มีใครสามารถขัดขวางแผนการของพวกเขาได้อีกแล้ว
“เช่นนั้นเรารีบไปเถอะ วันนี้มีการว่าราชการที่ท้องพระโรง พวกเราต้องเข้าเฝ้าฮ่องเต้ เจ้าที่เป็นถึงกุนซือกองทัพขององค์ชายห้า ก็จะได้รับการปูนบำเหน็จและอาจจะได้รับการอวยยศด้วย”
หลิวซีซวนเบ้ปากคว่ำ เขาไม่ได้อยากได้การปูนบำเหน็จหรือยศถาบรรดาศักดิ์ สิ่งเดียวที่เขาต้องการคือ เซวียนจางหย่ง เพียงผู้เดียวเท่านั้น ที่วันนี้ต้องไปเพราะไม่อาจขัดราชโองการและที่สำคัญก็เพราะว่านิมิตที่เห็นคนรักถูกฮ่องเต้แทงตายต่างหาก
บอกตามตรง ถึงจะไม่เคยเห็นหน้าแต่เขารู้สึกไม่ถูกชะตากับฮ่องเต้เสียแล้ว
“ท่านได้ใส่เกราะอ่อนของตระกูลหลิวแล้ว ใช่หรือไม่”
“ใส่แล้ว เจ้าช่างใส่ใจข้ายิ่งนัก” หลิวซีซวนพรูลมหายใจอย่างโล่งอก ก่อนจะขึ้นรถม้าเดินทางไปพร้อมกับเซวียนจางหย่ง
จากเกอคนงามอันดับหนึ่งของเมืองหลวง ชีวิตกลายเป็นเกอชั่วคบชู้ วันนี้เปลี่ยนชื่อแซ่ ชีวิตพุ่งทะยานกลายเป็นกุนซือกองทัพ
ชีวิตข้านี่มันน่าตื่นเต้นเสียจริง จะมีอะไรน่าตื่นเต้นไปกว่านี้อีกมั้ยนะ
“ฮ่องเต้เสด็จ”
ยามนี้ ขุนนางยืนเรียงรายหนาแน่นเต็มท้องพระโรง เมื่อฮ่องเต้เสด็จมา ทุกคนก็โค้งถวายพระพรอย่างพร้อมเพรียง เขาเห็นองค์ชายนั้นยืนรวมกับเหล่าองค์ชายแถวด้านหน้า ไม่ไกลกันนั้นมีท่านแม่ทัพหยวน แม่ทัพเซวียน และเหล่ามหาเสนาบดี ถัดมาเรื่อยๆ เขาถึงได้เห็นอดีตสามีมาเข้าเฝ้าด้วยท่าทางสงบนิ่ง แตกต่างจากที่พบครั้งล่าสุด ส่วนตัวเขานั้นยืนอยู่หลังสุด เนื่องจากไม่ใช่ขุนนางในราชสำนัก
แม้จะยืนอยู่ลำพัง แต่เขาก็ยังมีโจวเฟิง ยืนอยู่เป็นเพื่อน ส่วนเซวียนจางหย่งในฐานะหัวหน้าหน่วยตงฉางนั้นสวมหน้ากากปิดหน้าปิดตา ยืนอยู่ไม่ไกลจากมหาขันทีข้างกายฮ่องเต้นัก บรรยากาศในท้องพระโรงนั้นเต็มไปด้วยความศักดิ์สิทธิ์ และยิ่งโอรสสวรรค์เหยียบย่างเข้ามาก็ยิ่งเสริมความขลังจนเขาขนลุกซู่ ในชีวิตก่อน เขาเคยดูซีรีส์แนวจีนโบราณอยู่หลายเรื่อง แต่เมื่อได้มาอยู่ในเหตุการณ์จริงนั้น หลิวซีซวนพูดได้เลยว่าแรงกดดันที่แผ่ออกมานั้น แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
“ทุกคนตามสบาย” เสียงเข้มเอ่ยขึ้นมา เมื่อหลิวซีซวนเงยหน้าขึ้นมาก็เหลือบสายตามององค์เหนือหัวในชุดมังกรสีทอง ใบหน้าหล่อคมที่มีส่วนละม้ายกับแม่ทัพเซวียนอยู่หลายส่วน ริมฝีปากบางแย้มยิ้มอบอุ่น ราวกับชายวัยกลางคนใจดีคนหนึ่ง
ใช่ เขาคือชายที่อยู่ในนิมิต คนเดียวกับที่แทงจางหย่ง
เขาผิดหวังไม่น้อยเพราะคนที่ลงมือทำร้ายจางหย่งนั้นคือฮ่องเต้ ที่มีศักดิ์เป็นญาติกันด้วยซ้ำ
อีกฝ่ายเป็นถึงฮ่องเต้ แล้วเขาจะเอาอะไรไปสู้เนี่ย
หลิวซีซวนสูดลมหายใจลึกแล้วเพ่งมองไปยังบุตรมังกรผู้นั้น ฉับพลันเขาสัมผัสได้ถึงแรงกดดันมหาศาลกระแทกกลับมา ก่อนจะปรากฏมังกรทองรายล้อมชายผู้นั้นราวกับผู้พิทักษ์
จู่ๆ รอบกายของเขาก็หยุดนิ่งราวกับเวลากำลังหยุดหมุน คนที่อยู่ในท้องพระโรงต่างพากันนิ่งค้างกันหมด แม้แต่สายลมที่พัดเอื่อยก็หยุดนิ่ง มีเพียงเขาและมังกรทองสองตัวที่กำลังสบสายตากันนิ่ง อยู่ในมิติที่ไม่มีใครมองเห็น มังกรทองมองมาที่เขาอย่างเคร่งเครียด ก่อนจะเลื้อยมาประจันหน้ากับเขาอย่างรวดเร็ว
“คนแซ่หลิว ลูกหลานของหลิวหงชิง” เสียงเข้มเอ่ยขึ้นมาจากมังกรตนนั้น เพียงแค่เอ่ยออกมาเบาๆ เขาก็ขาสั่นด้วยความหวาดผวา
เชี่ย นี่มันเรื่องอะไรกันวะ
“เอ่อ คือ” หลิวซีซวนขาแข็ง พูดไม่ออก ทำได้แค่ยืนจ้องหน้ากับมังกรโดยไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ
“เจ้าโดนวางกับดักหรือ”
ห๊ะ กับดักอะไร
มังกรทองพ่นลมหายใจใส่เขาจนอุ่นร้อนไปทั้งร่าง ทั้งที่มันทำให้ร้อนวาบไปทั้งตัวแต่เขากลับรู้สึกราวกับว่าอีกฝ่ายกำลังอวยพรให้กับเขา ก่อนจะเลื้อยจากไป จากนั้น การว่าราชการก็กลับมาดำเนินต่อไป สถาพท้องพระโรงกลับมาเป็นปกติเช่นเคย ที่ไม่ปกติคงจะเป็นหลิวซีซวนที่ยืนหน้าแข็งค้างอยู่ที่เดิม
เมื่อกี้คือมังกรตัวเป็นๆ มังกรพูดได้ด้วย แล้วที่มังกรของฮ่องเต้พูดเมื่อกี้ มันคืออะไรกันแน่“เรื่องแรกที่ข้าอยากจะพูดก็คือ เรื่องของกองทัพที่เอาชนะศึกทางเหนือได้อย่างราบคาบ แม่ทัพหยวนหลี่เฉียงนั้นสร้างคุณงามความดีให้กับแคว้นเว่ย มีชัยเหนือเผ่าสู่ที่เหิมเกริมหนักข้อ ออกทำร้ายชาวบ้านที่เมืองหนิงเฉิง มอบรางวัลเป็นทองสิบหีบ ไข่มุกราตรีสิบหีบ รวมทั้งข้ายังได้จัดสรรที่ดินให้กับแม่ทัพหยวนและนายทหารในกองทัพตามความเหมาะสม”“เป็นพระกรุณาพ่ะย่ะค่ะ แต่กระหม่อมนั้นเป็นทหารทำหน้าที่รับใช้แผ่นดินปกติ ของล้ำค่าควรเมือง กระหม่อมไม่ขอรับ” แม่ทัพหยวนตอบปฏิเสธอย่างแข็งทื่อ หากเป็นคนอื่นเอ่ยเช่นนี้ อาจจะทำให้ฮ่องเต้เฉินเฟยหลงกริ้ว แต่เพราะเขารู้จักแม่ทัพหยวนผู้นี้ดีจึงเข้าใจ นักรบเช่นแม่ทัพหยวน ไม่ได้ต้องการเงินทอง แถมเขาไม่ถนัดเรื่องการประจบสอพลอสักเท่าไหร่“ส่วนเจ้า องค์ชายห้าเฉินหนิงจิน เจ้าทำให้พ่อประทับใจมาก ข้าได้ข่าวว่าเจ้าเร่งทัพไปช่วยทางเหนือจนแทบไม่ได้กินไม่ได้นอน ไปถึงก็นำยาถอนพิษมอบให้กับคนในกองทัพกิน จนอาการดีขึ้นและสามารถพลิกกลับมาเอาชนะเผ่าสู่ได้”“เสด็จพ่อกล่าวเกินไปแล้ว ลูกนั้นโชคดีมีกุนซ
“เอาล่ะ เรื่องของกองทัพเหนือจบไปแล้ว มีเรื่องอะไรอีกหรือไม่”เสนาบดีเซี่ยโม่โฉวรีบก้าวขึ้นมาด้านหน้า ก่อนจะรายงานด้วยน้ำเสียงดังชัดเจน“ทูลฝ่าบาท แคว้นเว่ยนั้นระส่ำระสายปั่นป่วนมานาน เมื่อวันก่อนมีเหตุการณ์อาเพศเกิดขึ้น มีทหารถูกสังหารตายแล้วเอาเลือดทากำแพงทั้งสี่มุมเมือง สภาพคล้ายกับถูกทำพิธีบูชายัญ หลังจากนั้นท้องฟ้าก็มืดครึ้ม มองไม่เห็นแสงดาว มีชาวบ้านหลายคนมาร้องเรียนว่าสัตว์เลี้ยงตายอย่างเป็นปริศนา พืชพรรณก็เหี่ยวเฉาอย่างไร้สาเหตุ ปล่อยไว้เช่นนี้ คงไม่ดี”“แล้วท่านคิดเห็นเช่นไร”“พวกเราควรทำพิธีบวงสรวงทวยเทพเพื่อปัดรังควานพ่ะย่ะค่ะ ข้าได้ยินว่ามีหลวงจีนที่วัดจากไห่โอวเป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในการทำพิธียิ่งนัก เห็นควรจะเชิญไต้ซือหูมาทำพิธีพะยะค่ะ”แค่ได้ยินคำว่าไห่โอว เฉินเฟยหลงก็มีดวงตามืดดำขึ้นมา ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นฮ่องเต้ที่ใจดีเกินไป คนของจวิ้นอ๋องเลยคิดว่าเขาโง่ จนยอมปล่อยให้อีกฝ่ายติดตามคณะหลวงจีนกลับมาทำพิธีที่เมืองหลวงหรือ“เจ้าหมายถึงหลวงจีนจากวัดเดียวกับที่จวิ้นอ๋องไปบวชหรือ น้องชายของข้าคนนี้ช่างแสนดีนัก ยอมออกบวชอุทิศบุญกุศลให้กับประชาชน สมแล้วที่เป็นผู้มีศีล ละทางโล
“โจวเฟิง ท่านอย่าพูดจามากพิธีนักเลย ข้ารู้ว่าคนของหน่วยตงฉางนั้นทำงานหนัก ท่านไปเถิด ไม่ต้องห่วงข้า” เอ่ยจบ เขาก็ปิดประตูรถม้าแล้วเดินทางจากไปโดยที่โจวเฟิงนั้นคอยมองจนอีกฝ่ายลับสายตา ใบหน้าเคร่งขรึมมั่นคงจึงเผยรอยยิ้มชั่วช้าออกมา ก่อนจะเดินกลับไปทางเดิมอีกครั้งเพื่อไปพบกับใครบางคน“ท่านแม่ทัพหยวน ท่านอยู่ที่นี่นี่เอง ข้านึกว่าท่านกลับไปเสียแล้ว” โจวเฟิงเอ่ยทักหยวนหลี่เฉียงด้วยท่าทางเร่งร้อน“เกิดอะไรขึ้น”“หัวหน้าของข้า เซวียนจางหย่ง ต้องการปรึกษาธุระสำคัญกับท่าน เป็นธุระที่ไม่อาจแพร่งพราย โปรดตามข้ามาตามลำพังเถิด” โจวเฟิงพาแม่ทัพหยวนเดินลัดเลาะออกมาทางด้านหลังของวังหลวงอย่างคล่องแคล่วว่องไว สมกับที่ทำงานในหน่วยตงฉาง หลวงจีนนอกรีตที่สิงสู่ร่างคนหนุ่มนั้นพึงพอใจกับตนเองไม่น้อย นับว่าการที่สับเปลี่ยนวิญญาณกับคนของหน่วยตงฉางถือเป็นเรื่องที่ตัดสินใจถูกที่สุด เพราะไม่ว่าเขาจะทำอะไรก็ไม่มีใครระแวงสงสัยเลยสักนิดชริ้ง!!ทว่า จู่ๆ ก็มีดาบคมมาพาดที่ลำคอของเขาอย่างที่ไม่ทันได้ตั้งตัว โจวเฟิงหรือไต้ซือไป๋ถึงกับตัวแข็งค้างไม่กล้าขยับ ก่อนจะค่อยๆ หันกลับมามองแม่ทัพใหญ่ผู้นี้ให้เต็มสองตา“ท่านชักด
ตั้งแต่กลับมาจากราชสำนัก หลิวซีซวนก็ราวกับคนที่วิญญาณหลุดออกจากร่าง เขายังจดจำสายตาเอ็นดูปนขบขันของฝ่าบาทได้ไม่เปลี่ยน ดูเหมือนโอรสสวรรค์ผู้นี้จะสนุกกับการใช้งานเขาไม่น้อย ดูเหมือนจะเป็นเวรกรรมที่เขาใฝ่สูงเกินตัว เอ่ยปากขอโสมพันปีต่อหน้าฮ่องเต้ ซ้ำพระองค์ยังประทานให้อย่างไม่อิดออด หากเขาเอ่ยปฏิเสธไม่ยอมช่วยทำพิธีออกไป คงเสียหมาไม่น้อยโสมพันปีชิ้นนี้ มันไม่ได้เป็นเพียงแค่รางวัล แต่มันเป็นของที่ฝ่าบาทเอามาใช้อุดปากไม่ให้หนีชะตากรรมในการเป็นผู้ทำพิธีบวงสรวงทวยเทพ แทนคนของเซี่ยโม่โฉวโฮ มันจะคุ้มกันมั้ยวะเนี่ยบวงสรวงทวยเทพ มันคืออะไร ตั้งแต่เกิดมา สิ่งที่เขาเข้าใกล้ทวยเทพมากที่สุดก็คือการปักตะไคร้ให้ฝนหยุดตอนออกกองเท่านั้นท่านหมอประจำตัวที่ถูกส่งมาจากเซวียนจางหย่งดูจะยินดีปรีดิ์เปรมหนักหนาที่ได้ยลโฉมโสมพันปีกับตา เขารีบนำโสมไปปรุงยาให้เขาอย่างเร่งด่วน ดูเหมือนว่าหนทางที่จะมีมดลูกที่แข็งแรงพร้อมผลิตทายาทของเขาจะใกล้แค่เอื้อม แต่เขากลับหดหู่ยิ่งนักเฮ้อ บวงสรวงทวยเทพ มันทำยังไงโว้ยคืนนี้ หลิวซีซวนกลับเข้าไปในมิติส่วนตัวของตนเองอีกครั้งด้วยท่าทางห่อเหี่ยว หน้าตาดำมืดเหมือนกับโดนของมาเป็น
หลิวซีซวนไม่ได้เร่งรีบแต่ประการใด เขาปล่อยให้สาวใช้ปรนนิบัติอย่างเต็มที่ทั้งขัดสีฉวีวรรณ แต่งแต้มใบหน้าด้วยชาดและแป้งผัดหน้า กลิ่นกายหอมฟุ้งด้วยน้ำมันหอมระเหยสูตรลับ พร้อมกับแต่งกายงดงามราวกับคุณชายเกอผู้อ่อนหวานจากตระกูลใหญ่ใครจะรอ ช่างหัวมัน ไม่ได้เชิญให้มาเสียหน่อยเมื่อเขาเดินออกมาที่ห้องโถงก็พบกับขุนนางจากกรมพิธีการสองคนที่มีท่าทีหงุดหงิดงุ่นง่านอย่างไม่เก็บสีหน้า ใกล้ๆ กันนั้นมีโจวเฟิงที่ทำหน้าตาเลิ่กลั่ก วางหน้าไม่ถูก ดูเหมือนว่าเขาเป็นคนที่รับหน้าพวกขุนนางพวกนี้แทนเขากระมัง“คารวะใต้เท้าทั้งสอง ไม่ทราบว่ามาเยือนที่จวนของข้า มีธุระอะไร” ทันทีที่ได้เห็นเกอคนงามที่ดูเปล่งปลั่งบานสะพรั่งเสียยิ่งกว่าตอนที่เจอในท้องพระโรง ก็ถึงกับหายใจผิดจังหวะ หลิวซีซวนในยามที่ดูผ่อนคลายอยู่ในจวนตัวเองนั้นดูงดงามราวกับดอกไม้ป่า ทว่าก็แฝงไปด้วยพลังและความลึกลับบางอย่างที่บอกไม่ถูก แต่เมื่อรู้สึกตัวได้ว่าพวกเขากำลังทำตัวเป็นที่น่าขบขัน ก็ปรับท่าทีให้เคร่งขรึมเช่นเคยต้องไม่ลืมว่าที่เขามาที่นี่เพื่ออะไร“คุณชายหลิว ได้ยินชื่อเสียงมานาน ไม่คิดว่าจะเป็นเกอรูปงามเช่นนี้ ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่แคว้นเว่ย
นักพรตผู้นั้นไม่กักเก็บความเกลียดชังที่มีในตัวเขาเลยสักนิด ผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาเริ่มพากันรุมล้อมจ้องมองเรื่องสนุกตรงหน้า หลิวซีซวนได้แต่ส่ายหัวเมื่อเจอตาแก่ดื้อด้านไม่ยอมคน เขามองเลยนักพรตเหลียงไปทางด้านหลังก็พบว่าเสนาบดีเซี่ยนั้นกำลังยืนมองเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยสีหน้าสาสมใจ“ท่านนักพรต ข้าก็มีความรู้ความเชี่ยวชาญที่สืบทอดมาในตระกูลหลิว ตระกูลของข้านั้นมีผู้ที่ทำคุณงามความดีให้กับบ้านเมืองมากมาย ตัวข้าเองก็ช่วยเหลือหน่วยตงฉางที่เมืองเหิงเยว่ ถึงจะเป็นเกอ ข้าก็สร้างแต่คุณงามความดี ไม่เคยทำเรื่องชั่วช้า ท่านนักพรตได้โปรดวางใจ”เขาลองใช้ไม้อ่อนกล่อมตาแก่ตรงหน้า ดูเหมือนว่าพอเขาเอ่ยอ้างถึงตระกูลของตนเอง อีกฝ่ายจะมีท่าทีอ่อนลงไปไม่น้อย ต้องขอบคุณบรรพบุรุษเหลือเกินที่สร้างคุณงามความดีจนคนรุ่นหลังยังเกรงใจ ทว่าจู่ๆ กลับมีเสียงแหลมของหญิงสาวสูงศักดิ์คนคุ้นเคย ดังขึ้นมาท่ามกลางฝูงชน“ไม่เคยทำเรื่องชั่วช้าหรือ ช่างน่าขันเหลือเกิน เหตุใดเจ้าถึงพูดออกมาได้” เซี่ยอ้ายเหม่ยปรากฏตัวขึ้นมาท่ามกลางฝูงชนที่ยืนรุมล้อมกันอย่างแออัด หญิงสาวในเวลานี้ราวกับมีเพลิงไฟแผดเผาไปทั้งร่าง ดวงตากลมมองมาที่อดีตเพ
“กรี๊ดดดดดด” เซี่ยอ้ายเหม่ยสิ้นสภาพบุตรสาวขุนนางผู้สูงศักดิ์ ยามเมื่อถูกคนหน้าคล้ายอดีตสหายพูดจี้ใจดำ หญิงสาวยกนิ้วชี้ใบหน้างาม ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาอย่างเดือดดาล ในขณะที่หลิวซีซวนแม้จะโมโหเพียงใดก็ทำเพียงแค่แย้มยิ้มออกมาจางๆ เท่านั้นนางช่างกล้าดีเหลือเกิน เป็นผู้สังหารเหอซีซวนแท้ๆ ยังกล้ากล่าวหาข้าอีก“ข้าผู้นี้ นอกจากใบหน้าแล้ว มีอะไรเหมือนเหอซีซวน เขาร่ายรำได้เก่งกาจเท่าข้าหรือไม่ เขาตรวจทำนายดวงชะตาได้หรือ หรือว่าเขามีความรู้เรื่องค่ายกล พวกท่านก็ตรองดูเถิดว่าความสามารถเช่นนี้ หาใช่ทุกคนจะมีได้ ฮูหยินถานปรักปรำข้ารุนแรงเกินไปแล้ว”“โกหก เจ้าน่ะหรือจะมีความสามารถเช่นนั้น เจ้าเป็นได้แค่เกออ่อนแอโง่เง่าเท่านั้น เหอซีซวน ข้าเป็นสหายเจ้ามานาน มีหรือจะจำเจ้าไม่ได้ ไม่ได้มีเพียงแค่ข้า แต่ยังมีคนจากตระกูลเหอที่มาช่วยเป็นพยานด้วย เจ้ามันเกอสกปรก ไม่เหมาะจะทำพิธีสำคัญ”สิ้นเสียง เหอซี่ห่าวและฮูหยินรองตระกูลเหอก็เดินเข้ามาด้วยท่าทางหวาดหวั่น เหอซี่ห่าวเป็นถึงบุตรชายคนเดียวของคหบดีเหอชาง เป็นน้องชายคนละแม่เพียงคนเดียวของเขา ถึงแม้จะเกลียดชังกันเพียงใดแต่หลิวซีซวนก็ไม่คิดว่าน้องชายผู้ไม่เอาไหนผู้น
ถึงจะสังหรณ์ใจแต่แรกว่าวันนี้คงจะเกิดเรื่อง แต่ก็ไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องถึงขั้นมีผู้เยี่ยมยุทธ์ถือดาบสี่คนกำลังเดินอาดๆ เข้ามาฟาดฟันใส่เขาเซี่ยโม่โฉว ตาแก่หัวหมอ เขามาทำพิธีบวงสรวง ไม่ได้มาออกรบ แล้วการสู้กับนักพรตสี่คนมันพิสูจน์ความสามารถในการทำพิธีตรงไหนไม่ทราบในตอนที่เขายืนสบถอยู่ในใจ หนึ่งในนักพรตก็ควักยันต์ออกมา ก่อนจะปามาที่เขาอย่างรวดเร็ว โชคดีที่หลิวซีซวนเห็นทันจึงกระโดดหลบออกไป เมื่อพ้นมาได้จึงพบว่ายันต์นั้นแปรสภาพเป็นระเบิด ระเบิดแรงจนพื้นที่เขายืนอยู่เมื่อครู่ถึงกับยุบลงไปเชี่ย เมื่อกี้เกือบตายรอบที่สองหลิวซีซวนกระโดดหนีมาอีกทาง ทว่ากลับมีนักพรตอีกคนยืนดักทางเอาไว้ เขาเอาดาบในมือฟันใส่หลิวซีซวนเต็มแรง จนฟันเฉี่ยวต้นแขนเขาไปจนได้เลือดจางๆ หลิวซีซวนต้องรีบตั้งสติโดยพลันเพราะนักพรตทั้งสี่ ดูจะไม่ทิ้งเวลาให้เขาหายใจหายคอเลย“หยุด หยุด ใจเย็นๆ ก่อนสิโว้ย”“นี่น่ะหรือ คนของตระกูลหลิวที่จะมาทำพิธีบวงสรวง ข้าคิดว่าเขาดูอ่อนแอและบอบบางเกินไป”“นั่นสิ เป็นเพียงเกอ แต่ยังกล้าเผยอมาทำพิธีศักดิ์สิทธิ์ เจ้าคงถนัดแต่ยั่วสวาทจนลืมไปแล้วกระมังว่าหน้าที่พวกนี้ เป็นของบุรุษ”“ใช่ เจ้าจงถอนต
ห้าปีต่อมาหลังจากเหตุการณ์วุ่นวายในเมืองหลวงเมื่อห้าปีก่อน จวนตระกูลหลิวก็ปิดเงียบมาตลอด ฮ่องเต้เฉินเฟยหลงนั้นเหนื่อยใจไม่น้อยที่อุตส่าห์พาตัวทายาทตระกูลหลิวกลับมาอยู่ในเมืองหลวง แต่อีกฝ่ายก็ยังคงมีนิสัยเหมือนกับต้นตระกูล นั่นคือเกลียดความวุ่นวาย สิ่งที่หลิวซีซวนขอพระราชทานเป็นรางวัลจากเขาคือ การที่เขาสามารถอยู่เฉยๆ ได้ และปฏิเสธการเข้าพบคนจากราชสำนักหรือใครหน้าไหนก็ตามเขาจะต้องการอะไรอีกเล่า ในเมื่อยามนี้ได้สามีแล้ว เงินทองก็มีจนไม่รู้จะใช้ยังไงหมด ทรัพย์สมบัติในคลังสมบัติตระกูลหลิวก็ถูกเก็บไว้อย่างดีที่บ้านตระกูลหลิวที่เหิงเยว่โดยมีท่านตาตู้เฉิงเป็นผู้ดูแลด้านตู้เจาและตู้ลี่จูนั้นหลังจากเริ่มกิจการของตัวเอง ยามนี้ก็กลายเป็นร้านค้าชื่อดังที่มีหลายสาขา การงานการเงินมั่นคง ส่วนบุตรชายอย่างอาจ้านก็กำลังเตรียมสอบเข้าโรงเรียนหมอตามที่ตั้งใจไว้ หลิวซีซวนภูมิใจไม่น้อยที่คนข้างกายเขากำลังไปได้ดีกันทุกคน“กรี๊ดดดด อ๊ากกกกกกก”ยามนี้เสียงกรีดร้องกลับดังออกมาจากจวนตระกูลหลิวในเมืองหลวง บ่าวไพร่พากันวิ่งวุ่น ยามนี้สองจวนทุบกำแพงเข้าหากันจนกลายเป็นจวนขนาดใหญ่ ยิ่งเป็นการเสริมบารมีให้หลิวซีซวนแ
“เจ้ารู้ข่าวของถานตงหยางแล้วใช่หรือไม่”“ตอนนั้น ข้าเห็นเขาจากในภาพนิมิตแล้ว สุดท้ายคนผู้นั้นก็ถูกฆ่าตายอย่างไร้ค่ายิ่งนัก”“แล้วเจ้า..ไม่เสียใจหรือ” เซวียนจางหย่งนั้นเป็นบุรุษใจกว้าง เขารู้ดีว่าเขากำลังแต่งให้กับคนงามที่เคยผ่านการแต่งงานมาแล้ว เขาตระหนักอยู่เสมอว่า แม้หลิวซีซวนจะเลิกรากับอีกฝ่ายไปแล้ว แต่ก็ใช่ว่าจะไร้เยื่อใย อย่างไรก็คนที่เคยอยู่กินกันมาหลายปี“ไม่หรอก เขาสมควรตายจริงๆ คนเช่นนั้นอย่างไรก็คิดไม่ได้ วันข้างหน้าย่อมต้องก่อการเลวร้ายอีกแน่ นับว่าความแค้นระหว่างข้าและเขาได้จบสิ้นในชาตินี้อย่างสมบูรณ์แล้ว” หลิวซีซวนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด เรียกรอยยิ้มจากบุรุษรูปงามได้ไม่น้อยตัดเวรกันได้แล้วก็ดีชายหนุ่มก้าวเข้ามา ก่อนจะดึงอีกฝ่ายเข้าสู่อ้อมกอดแนบชิดทั้งสองร่างจากทางด้านหลัง แก้มนวลขึ้นสีเล็กน้อยทำให้ชายหนุ่มรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาบ้าง ที่ผ่านมาเหอซีซวนนั้นเป็นคนซุกซนชอบเรื่องสนุกสนาน แต่หลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เขาก็ซึมลงไปถนัดตาจนน่าเป็นห่วง เขานึกไปว่าอีกฝ่ายเสียอกเสียใจเรื่องอดีตสามีเสียอีก แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้กำลังมีบางเรื่องรบกวนจิตใจเกอคนงามอยู่“แล้วเมื่อกี้ เจ้ากำลั
หลังจากเหตุการณ์วุ่นวายที่เกิดขึ้นเมืองหลวง ก็ถึงเวลาแห่งการฟื้นฟู โชคดีที่นอกจากจัตุรัสกลางเมืองแล้ว ไม่มีสิ่งใดพังทลาย ทว่าก็มีชาวบ้านโดนลูกหลงจนบาดเจ็บเป็นจำนวนไม่น้อย จนฮ่องเต้ต้องประกาศเรียกตัวหมอตามเมืองต่างๆ ให้เร่งเข้ามาช่วยรักษาอาการให้ปลอดภัยสิ่งที่ทำให้ผู้คนนึกทึ่งในช่วงเวลาวิกฤตก็คือ องค์ชายห้าจอมเสเพลนั้น แท้จริงแล้วเป็นเจ้าของที่แท้จริงของห้องอาหารส่องดาว พระองค์นำอาหารจากห้องอาหารมาเปิดโรงทานแจกจ่ายให้กับผู้คนอย่างไม่รอช้า เหล่าองค์ชายคนอื่นก็ไม่น้อยหน้า เมื่อได้เวลาแสดงความสามารถก็ต่างพากันช่วยฟื้นฟูบ้านเมืองกันอย่างเต็มกำลังสถานการณ์ในเมืองจึงกลับมาสู่สภาพปกติดังเดิม แต่สิ่งที่ไม่เหมือนเดิมคือกลุ่มขุนนางชั่ว งานนี้ความผิดประจักษ์เห็นต่อหน้า จวิ้นอ๋องกำเริบเสิบสาน ตั้งใจชิงบัลลังก์ถึงขั้นกล้าลงมือกับประชาชนโดยมีขุนนางหลายคนหนุนหลัง ฮ่องเต้แต่ไหนแต่ไรประนีประนอม ใจอ่อนให้จวิ้นอ๋องที่มีอำนาจฝั่งมารดาถ่วงดุลอยู่ไม่น้อย แต่เมื่ออีกฝ่ายตายไปแล้ว เขาก็ไม่คิดจะยั้งมือกับพวกขุนนางทั้งหมดที่ร่วมก่อการในครั้งนี้หนึ่งในนั้นก็คือ เสนาบดีเซี่ยโม่โฉว วันนั้นเลี่ยงชิงและเลี่ยงหรงใ
“หลานรัก” เสียงเพรียกดังขึ้นมาแต่ไกล เขาหลับตาลง ก่อนจะพบว่าตนเองมาโผล่อยู่ในมิติส่วนตัวของตนอีกครั้งในที่นี้นั้นสงบเงียบและปลอดโปร่ง ต่างจากโลกแห่งความจริงที่เขากำลังเผชิญ ท่านตาหลิวหงชิงกำลังจิบชาร้อนด้วยท่าทางผ่อนคลาย ก่อนจะหันมายิ้มให้เขา“ท่านตา เกิดเรื่องใหญ่แล้ว”“ข้ารู้แล้ว เรื่องนั้นไม่เป็นปัญหา”“แต่ท่านตา ผู้คนกำลังจะตาย ข้าเองก็จะไม่ไหวแล้ว”“ชู่ หลานรัก ทำใจให้สบาย ข้าบอกเจ้าแล้วใช่หรือไม่ว่า วันนี้เจ้าต้องมีสติให้มาก” หลิวหงชิงยกยิ้มอ่อนโยนให้กับหลานคนเดียว ก่อนจะเดินเข้ามาใกล้“ข้าพยายามเต็มที่แล้ว ท่านตา แต่ข้าจัดการพวกมันไม่ได้ ข้าช่วยใครไม่ได้เลย”“ไม่ใช่ความผิดของเจ้า เจ้าทำดีแล้ว เด็กดี ข้าพาเจ้ามาที่นี่เพื่อให้มีชีวิตที่ดี ได้สร้างครอบครัวดั่งที่ใจปรารถนา ข้าไม่ได้ตั้งใจจะให้เจ้าต้องรับศึกหนักเช่นนี้” ชายชราปลอบหลานชาย ก่อนจะเอ่ยต่อ“เวลาที่ผ่านมา ข้าติดอยู่ในมิติส่วนตัวนี้มานานเกินไปเหลือเกิน ยามนี้เหอซีซวนได้รับการปลดปล่อยแล้ว ตัวข้าที่เป็นเพียงแค่เศษเสี้ยววิญญาณก็ควรถึงเวลาต้องไปแล้วเช่นกัน”“ท่านตา ท่านจะไปไหน ท่านไปแล้ว ข้าจะอยู่กับใคร” “เจ้าก็อยู่กับสามี
เขาจะทำอะไรได้ ยามนี้แค่ทรงตัวยืนอยู่ แล้วตั้งรับดาบที่เข้ามารอบทิศก็ลำบากมากแล้ว และก่อนที่เขาพลาดท่าก็มีใครบางคน ปรี่มาช่วยเขาเสียก่อน“คุณชายหลี่” ใช่แล้ว คือพ่อหนุ่มดวงมหาโชคคนดีคนเดิมนั่นเอง ดูจากฝีไม้ลายมือ เขาก็พอจะดูออกว่าคนผู้นี้นั้นไม่สันทัดเรื่องการใช้กำลังเท่าไหร่นัก ไม่แปลกใจที่ได้ทำงานสายผู้ตรวจการมากกว่าจะไปทางทหาร แบบเซวียนจางหย่ง“หลิวซีซวน เจ้าระวังตัวด้วย”“สามีข้าเป็นอย่างไรบ้าง”หลี่เฉียงฮุยถึงกับหันกลับมามองเขา ด้วยสายตาเหลือเชื่อ“เจ้าห่วงชีวิตสหายข้ามากกว่าชีวิตตนเองอีกหรือ รีบเอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะ ข้าเองก็ไม่รู้จะช่วยเจ้าต้านไว้ได้มากเพียงใด”“คุณชายหลี่ ท่านช่วยหยุดโจวเฟิง มันจะจุดเทียนอีกครั้ง ค่ายกลชิงดวงจะกลับมาทำงานได้ใหม่” หลี่เฉียงฮุยมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นทันที เขาสองคนถูกรุมล้อมรอบด้าน จนแทบจะเอาตัวไม่รอดเช่นนี้ จะทำอะไรได้“งั้นเอาเช่นนี้ก็แล้วกัน” หลี่เฉียงฮุยถือคติว่า อะไรทำได้ก็ให้ทำไปก่อน เขาดึงมีดสั้นที่ซ่อนอยู่ออกมา ก่อนจะปาไปทางโจวเฟิงหวังปลิดชีพถึงจะปลิดชีพไม่ได้ แต่ทำลายสมาธิมันได้ก็ยังดีแต่ใครจะไปคาดคิดในสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นมีดสั้นพ
หลิวซีซวนค่อยๆ ลุกขึ้นมาช้าๆ ด้วยแรงแค้นที่แน่นอก หากคนตกใจสามารถยกโอ่งหนีไฟไหม้ได้ คนที่กำลังโกรธก็น่าจะยกภูเขาได้ไม่ต่างกัน โดยที่ไม่มีใครคาดฝัน เกอคนงามร่างบางที่เมื่อครู่ยังซวนเซ กลับเดินไปยกแท่นพิธีที่หักครึ่งแล้วทุ่มไปทางโจวเฟิงอย่างไม่ออมมือตู้ม!!!โจวเฟิงนั้นแม้บาดเจ็บอยู่ แต่ประสาทสัมผัสยังคงเฉียบคม เขาจึงกระโดดหลบแท่นหินขนาดใหญ่ได้อย่างหวุดหวิด“นี่เจ้า”“หมาลอบกัด เจ้าแอบซ่อนอยู่ข้างกายข้าและจางหย่งมาตลอด” หลิวซีซวนตวาดดังลั่น เสียงสั่นด้วยความโมโห“แล้วอย่างไร บุรุษผู้นี้มันโง่เอง มันกล้าบุกเข้ามาสอบสวนข้าเพียงลำพัง ทั้งที่รู้ว่าข้านั้นเป็นหลวงจีนที่มีวิชาอาคม สุดท้ายมันก็ถูกข้าใช้วิชาสับเปลี่ยนวิญญาณ และปล่อยให้มันตายไปกับร่างเดิมของข้าในคุก ฮ่าๆๆ”“เจ้ามันสารเลว เพราะเจ้า ผู้คนถึงได้เดือดร้อน เจ้าไม่ได้ต้องการช่วยจวิ้นอ๋องให้ครองบัลลังก์ เจ้าก็แค่ต้องการละเลงเลือดทาแผ่นดินก็เท่านั้น เจ้ามันปีศาจชัดๆ ไม่ต้องพูดมาก เจ้าจะเป็นใครก็ช่าง ข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้ารอดไปได้แน่ กล้าทำร้ายคนของข้า เช่นนั้นเจ้าก็จงรับผลกรรม” หลิวซีซวนหยิบดาบขึ้นมาถือไว้พร้อมกับกระชับไว้แน่น พร้อมที่จะโ
ไต้ซือไป๋ในร่างของโจวเฟิงล้วงเข้าไปในปกเสื้อ ดึงเทียนทำพิธีสีแดงแท่งใหม่มาถือไว้อย่างหมายมาด เวลาเหลืออีกไม่มากนัก หากว่าเทียนเล่มเก่าดับ เช่นนั้นเขาก็จะจุดแท่งใหม่ด้วยตัวเองถึงอย่างไร เขาก็ต้องทำภารกิจวันนี้ให้สำเร็จให้ได้เขาควบม้ามุ่งหน้าเข้าไปใจกลางเมือง ถึงแม้เทียนจะดับ แต่หากเขาสามารถจุดเทียนสำรองนี้ได้ภายในเวลาหนึ่งชั่วยามโดยที่เหยื่อบูชายัญทั้งสี่ทิศยังคงอยู่ที่เดิม ค่ายกลก็ยังกลับมาทำงานได้อีกครั้งไม่แน่ว่าป่านนี้ คนที่บุกไปทำลายพิธีอาจจะโดนทัณฑ์สวรรค์ผ่าร่างจนตายไปแล้วก็ได้โจวเฟิงมองออกไปไกลยังใจกลางเมือง ก็เห็นเมฆก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว ก่อนจะมีอัสนีฟาดลงมาที่กลางเมืองจนเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว จนแผ่นดินสะเทือนเปรี้ยง!!สายฟ้าฟาดลงมากลางแท่นพิธีที่จัตุรัสกลางเมืองเก้าครั้งติดกันไม่หยุด วันนี้ที่เมืองหลวงนั้นเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาว เดี๋ยวมืดครึ้มเดี๋ยวสว่าง จู่ๆ ท้องฟ้านั้นกลับส่งสายฟ้าฟาดลงมา ท่ามกลางการต่อสู้ของทั้งสองฝ่าย“แฮ่กๆๆ รอดจริงๆ ด้วย” หลิวซีซวนที่ร่ายรำอยู่นาน สุดท้ายเขาก็สามารถเอาตัวรอดจากทัณฑ์สวรรค์ได้ เขามองไปรอบกายก็พบว่าจัตุรัสกลางเมืองนั้นเละ ไม่เหลือชิ้น
ในขณะพวกเขายังสู้กันต่อ แต่หลิวซีซวนกำลังตัวสั่นอยู่กลางพิธี ดวงตาสีทองมองขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยสีหน้าแตกตื่นนี่เราลืมอะไรไปรึเปล่าอ๋อ เราลืมไปใช่หรือไม่ว่าหลังจากทำลายค่ายกลชิงดวงแล้ว จะได้รับทัณฑ์สวรรค์เป็นสายฟ้าฟาดเวรเอ๊ย กูจะโดนฟ้าผ่าอีกแล้วเหรอวะเนี่ย ครั้งที่แล้วโดนไปยังเกือบตายสักพัก เขากลับได้ยินเสียงกระซิบแผ่วเบาจากภายใน เป็นเสียงของท่านตาที่คงอดทนไม่ไหว จึงแอบมาบอกเขา“ค่ายกลเทวาร่ายรำ” เขามองท้องฟ้าที่เริ่มมีเมฆตั้งเค้าอีกรอบด้วยความสยอง เวลานี้จำเป็นต้องงัดวิชาทุกวิชาของตระกูลหลิวออกมาเพื่อปกป้องตนเองเสียก่อน เทวาร่ายรำก็เป็นอีกอย่างหนึ่งที่ทำเพื่อสร้างเกราะกำบังกายให้กับตนเองจะรออะไรล่ะ ร่ายรำไปเลยสิจ๊ะหลิวซีซวนขยับร่างกายไปพร้อมกับบริกรรมคาถาไปด้วย เขาต้องเรียกสติตนเองตลอดเวลาเพราะหาไม่แล้วอาจจะเผลอก่นด่าสวรรค์ไปแล้วหลายรอบ รอบกายของเกอคนงามเปล่งประกายสีทอง ราวกับแผ่ออกมาเพื่อเป็นเกราะกำบังภัย ตัวของเขาสั่นเทิ้มไม่หยุด กล้ามเนื้อถูกเคี่ยวกรำอย่างหนัก จนเริ่มรับพลังมหาศาลที่ไหลเวียนในกายไม่ไหว เขาไม่รู้ว่าจะรอดหรือไม่ แต่เขาจะไม่ยอมโดนฟ้าผ่าตายอีกหนแน่ๆที่หน้าประตูเม
เซวียนจางหย่งถึงกับมีสีหน้ามืดครึ้ม ทัพของจวิ้นอ๋องและแม่ทัพหวงจะมีอะไรให้น่ากังวล ต่อให้พวกเขาบุกเข้ามาเวลานี้ ก็ไม่แน่ว่าจะมีชัยเหนือคนที่เหลือสิ่งที่น่ากลัวคือ ทัพของหยวนหลี่เฉียงต่างหาก คนผู้นั้นเด็ดขาดโหดเหี้ยม ไม่เคยแพ้ให้กับผู้ใด ไม่เคยมีใครคิดระแวงว่าเขาจะย้ายฝั่งไปสนับสนุนจวิ้นอ๋อง“ข้านี่โชคดีเหลือเกินที่เลือกออกเดินทางไปศึกษาวิชากับพวกหลวงจีนและนักพรตตามเมืองต่างๆ จึงได้รู้จักหลวงจีนที่เชี่ยวชาญวิชานอกรีตอย่างหาตัวจับได้ยาก เขาเก่งถึงขนาดที่สามารถสับเปลี่ยนดวงวิญญาณของตนเองกับผู้อื่นได้ เช่นนี้ข้าคงไม่เหลืออะไรให้กังวล แม่ทัพที่ยิ่งใหญ่ยังต้องยอมสยบให้กับข้า หึหึ” จวิ้นอ๋องเอ่ยอย่างอารมณ์ดี พร้อมกับมองสงครามกลางเมืองที่กำลังห้ำหั่นกันอย่างดุเดือด แม้ว่ายามนี้จะมีกองกำลังน้อยกว่าแต่กลับได้เปรียบกว่าทหารหาญและราชองครักษ์ในที่นี้ เซวียนจางหย่งต้องต่อสู้ไปพร้อมกับเฝ้าสังเกตอาการของคนรักที่อยู่กลางแท่นพิธีเพียงลำพังหลิวซีซวนหวนคิดถึงท่านตา ถึงว่าเมื่อคืนถึงคอยกำชับให้เราตั้งสติ เพราะจะเกิดเรื่องแบบนี้นี่เอง ครั้งก่อนเขาเป็นผู้ที่ทำลายพิธีชิงดวงของหลี่เฉียงฮุยเพียงผู้เดียว ครา