“หากเป็นคนดีแล้วถูกผู้อื่นเหยียบย่ำ ข้าก็จะเป็นคนเลวให้ใต้หล้ากล่าวขานนานชั่วกัลป์ !” เฟิ่งอี๋ฮองเฮาถูกฮ่องเต้บีบบังคับให้กินยาฆ่าลูกในท้อง แล้วสั่งประหารนางอย่างไม่เป็นธรรม สวรรค์จึงเมตตาให้วิญญาณของนางสลับร่างกับสนมรักของฮ่องเต้ การฟื้นคืนชีพครั้งนี้นางจะสามารถทวงความเป็นธรรมให้ตนเองได้หรือไม่ และการแก้แค้นจะดุเดือดแค่ไหนไปติดตามกันค่ะ
View Moreเฟิ่งอี๋เหยียดยิ้มที่มุมปาก แล้วกรีดนิ้วหยิบน้ำชาขึ้นจิบอย่างสำราญใจ“ใต้เท้าเกอหลาง หัวหน้าองครักษ์ขอเข้าเฝ้า”เสียงขันทีประจำตำหนักเมฆาสวรรค์ร้องประกาศขึ้นตามระเบียบการขอเข้าเฝ้าฮ่องเต้“เข้ามาได้”เฟิ่งอี๋เอ่ยเสียงเรียบเป็นการอนุญาต ขันทีจึงเดินนำขุนนางผู้นั้นเข้ามา เมื่อฮ่องเต้หญิงโบกมือขึ้นหนึ่งครั้ง นางกำนัลและขันทีก็หายออกไปจากห้องรับรองอย่างรวดเร็ว“ถวายพระพรฝ่าบาท ของจงทรงพระเจริญ หมื่นปี หมื่นปี หมื่นหมื่นปี”เกอหลางคุกเข่าลงถวายความเคารพต่อฮ่องเต้พระองค์ใหม่ ซึ่งเคยเป็นสตรีอันเป็นที่รักยิ่งของเขา เขาจึงรู้สึกกระอักกระอ่วนใจปนเปกับความคิดสับสนบางประการ“ลุกขึ้นเถอะ ไม่ตั้งมากพิธี”เฟิ่งอี๋บอก ดวงตาหงส์คมกริบจับจ้องบุรุษตรงหน้าอย่างใคร่ครวญ ความรักที่มีต่อฟางเหรินของบุรุษผู้นี้ทำให้แผนการแก้แค้นทุกอย่างราบรื่น แต่นางก็ไม่อาจแน่ใจได้ว่าความรักที่มีมากล้นนี้จะหวนกลับมาทำร้ายนางหรือไม่ หากเขารู้ว่าแท้จริงแล้ววิญญาณที่อยู่ในร่างนี้ไม่ใช่ฟางเหรินคนรักของเขา !“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ”เกอหลางลุกขึ้น แล้วมองสบพระเนตรฮ่องเต้หญิง ฉับพลันนั้นเขารู้สึกว่าไม่เคยรู้จักสตรีตรงหน้าแม้แต่น้อย ด
เฉินฉู่หยัดสะโพกขึ้นรับกับปากน้อยอย่างซ่านกระสัน สองมือสอดเข้าเรือนผมสีดำนุ่มสลวยของนาง แล้วเคล้าคลึงอย่างสุขซ่านเฟิ่งอี๋ใช้เรียวลิ้นเล็กตวัดไล้เลียที่ส่วนหัวมังกรบากใหญ่ลิ้มรสหวานผสมกับรสเค็มปะแล่ม จากนั้นก็ปาดเลียไปทั่วแก่นลำ“อืม... ฮองเฮา... ฮองเฮา ข้าจะทนไม่ไหวแล้ว”เฉินฉู่ไม่อาจทนการยั่วเย้าได้อีกไป เขาหยัดกายขึ้นแล้วกดนางลงกับเตียงเป็นฝ่ายขึ้นคร่อมนางไว้ จากนั้นก็จ้วงแทงแก่นมังกรใหญ่เข้าสู่กายนางอย่างเร็วรวด“อ๊าซ์ !”เฟิ่งอี๋อุทานครางออกมาลั่น แก่นมังกรร้อนฉ่ามุดเข้าสู่ภายในกายของนางจนสุดลำ“ฮองเฮา...ข้ารักเจ้า... ข้ารักเจ้า”อ๋องเฉิงฉู่พร่ำไม่หยุดปาก ขณะที่พรมจูบไปตามใบหน้างดงามเต็มไปด้วยเสน่ห์เร้าใจ จากนั้นก็ก้มลงบดจูบนางอย่างเร่าร้อน ใช้ปลายลิ้นร้อนตวัดเกี่ยวพันกับลิ้นเล็กเพื่อดูดดื่มความหวานล้ำ เมื่อถอนจูบออกเขาก็ขบเม้มกลีบปากล่างของนางอย่างหื่นกระหาย“อ่า”เฟิ่งอี๋ยกมือขึ้นลูบไล้ไปตามแผ่นหลังแกร่ง เร่งเร้าให้เขาขยับสะโพกอัดแก่นมังกรเข้าออกร่างอ๋องเฉิงฉู่สั่นสะท้านตอบรับ ลมหายใจกระชั้น เขาจึงขบนางเบา ๆ ที่บ่าอย่างลุ่มหลง แล้วหยัดตัวขึ้น สองมือจับเอวนางไว้แล้วเริ่มกระแทกแ
อ๋องเฉินฉู่เอ่ยกับนาง แต่กลับก้มหน้าลง มิอาจมองนางตรง ๆ ได้ เพราะอาภรณ์ที่นางสวมใส่บางนัก จนมองเห็นโครงร่างของทรวงอกอวบอิ่มเป็นดอกบัวตูมดอกใหญ่ ปลายยอดดอกพุ่งชี้มาทางเขา จนรู้สึกว่าห้องนี้ช่างร้อนเกินไปแล้ว“ท่านอ๋อง.... บัดนี้ฮ่องเต้ทรงประชวรมิอาจออกว่าราชการได้ งานในราชสำนักหากปล่อยไว้เนิ่นนานไม่ดีแน่ เรามองไม่เห็นผู้ใดแล้ว.... นอกจากท่าน... ท่านเท่านั้นที่จะบริหารบ้านเมืองต่อไปได้”เสียงของนางหวานล้ำอีกทั้งยังเจื่อความขมขื่นในใจ ต่อให้ผู้ฟังเป็นบุรุษใจหินเพียบงใด ก็อ่อนยวบลงราวกับขี้ผึ้งลนไฟเมื่อได้ยินนางเอ่ยเช่นนั้นสายตาของอ๋องเฉินฉู่ก็แปรเปลี่ยนเป็นกรุ้มกริ่มขึ้นมา ต่อให้นางเป็นแม่ของแผ่นดิน แต่ดรุณีน้อยก็ยังเป็นบุปผาแรกแย้มอยู่วันยังค่ำ เมื่อเสาหลักที่ยึดเกาะพังทลายลง มีหรือนางจะไม่หันเข้าหาเสาต้นใหม่เป็นที่พักพิง“ขอบพระทัยฮองเฮาที่ทรงเชื่อมั่นในตัวข้า”เขาเอ่ยอย่างลำพองใจเป็นที่สุด นับตั้งแต่อดีตเชื้อพระวงศ์ก็มิอาจหลีกเลี่ยงการเข่นฆ่าพี่น้องเพื่อชิงบัลลังก์ แต่สำหรับเขาแล้วรู้สึกว่าสวรรค์ช่างเข้าข้างยิ่งนัก เลือดไม่เปื้อนมือเขาสักหยด แต่บัลลังก์กลับถูกถวายใส่พานให้เขาเสียแล้ว
“ว่าอย่างไรนะ”ฮ่องไทเฮาแทบจะล้มลงกับพื้น นางกำนัลสองคนจึงรีบเข้ามาพยุงไว้ ผู้ที่ได้ยินถ้อยคำนั้นถึงกับอุทานออกมาอย่างพร้อมเพรียง – ฮ่องเต้มีชีวิตอยู่ราวกับคนตายหรือเนี่ย –ส่วนหมอหลวงนั้นมิอาจตอบคำถามได้อีกต่อไปทรุดตัวลงแล้วโขกศีรษะลงกับพื้นราวกับคนเสียสติเพื่อร้องขอชีวิต“โปรดไว้ชีวิตหม่อมฉันด้วย”“เอามันไปตัดหัว !”ฮองไทเฮาสั่งลงอาญาทั้งน้ำตาเฉินเฉิงฮ่องเต้ได้ยิน และเห็นทุกอย่างผ่านห่างตา เห็นว่าหมอหลวงถูกทหารลากออกไปได้รับโทษทัณฑ์แทนฮองเฮา แต่เขามิอาจเอ่ยวาจาร้องขอความเป็นธรรมแทนหมอหลวงได้ แม้กระทั่งขยับตัวก็มิอาจทำได้ ทำได้เพียงปล่อยเรื่องทั้งหมดให้เป็นไป พระองค์เสียใจอย่างที่สุดที่เฟิ่งอี๋ไม่ฆ่าเขาให้ตาย เพราะถ้าเขาตายก็ไม่ต้องรู้สึกเจ็บปวดและสิ้นหวังเหมือนตอนนี้ !2 วันต่อมาเฟิ่งอี๋ในร่างของฟางเหรินฮองเฮากำลังกรีดนิ้วหยิบช้อนตักน้ำแกงป้อนฮ่องเต้ซึ่งนอนอยู่บนแท่นบรรทม น้ำแกงสีทองไหลเข้าพระโอษฐ์ได้เพียงหนึ่งส่วน ส่วนที่เหลือล้วนถูกเขาใช้ลมขับพ่นออกมาจนเลอะไปทั้งหน้าและปากของตนเองเฟิ่งอี๋ไม่เพียงแต่ไม่โมโหกลับยังยิ้มเย็นให้คนที่ทำตัวเหมือนเด็กเอาแต่ใจไม่ยอมกลืนอาหารลงไปดี ๆ น
ตั้งแต่สตรีนางนี้เหยียบย่างเข้าสู่วังหลวง ล้วนมีเรื่องร้ายให้พระองค์ต้องกังวลพระทัยบ่อย ๆ พระองค์จึงไม่โปรดนางเท่าใดนัก ยิ่งวันนี้โอรสของพระองค์ถึงกับประชวรในขณะที่ฟางเหรินเป็นผู้ปรนนิบัติ พระองค์จึงชิงชังนางเข้าไส้ เพราะปักพระทัยเชื่อว่า สตรีนางนี้เป็นกาลกิณีที่นำเภทภัยมาสู่บัลลังก์ !ฮองไทเฮาตวัดสายตาคืนกลับมา ด้วยเคยเป็นพญาหงส์มานานจึงซ่อนอารมณ์ความรู้สึกทุกอย่างไว้ภายใต้หน้ากากยับย่นที่เต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งวัย พระองค์รอให้หมอหลวงตรวจพระวรกายขององค์ฮ่องเต้จนเรียบร้อยแล้วจึงตรัสถามว่า“เป็นอย่างไรบ้าง”“เรียนไทเฮา... จากการตรวจชีพจรพบว่าเลือดลมของฝ่าบาทวุ่นวายสับสน คล้ายกับว่าเผชิญกับเรื่องตื่นตระหนก หรือตื่นเต้นอย่างสุดขีด เกินกว่าร่างกายจะรับไหว จึงหมดสติไปพ่ะย่ะค่ะ”หมอหลวงประสานมือไว้ได้หน้าแล้วกล่าวรายงาน ไม่กล้าสบพระเนตรฮองไทเฮาคล้ายกับมีสิ่งใดซ่อนไว้“ถ้าเพียงแค่ตกใจ ไยตอนนี้ฮ่องเต้ยังไม่ฟื้นเล่า”ฮองไทเฮาน้ำเสียงเข้มขึ้น ซักถามอย่างข้องใจ“อะ... เอ่อ..”หัวใจของหมอหลวงเต้นแรงขึ้น บนหน้าผากเริ่มมีเหงื่อผุดพรายขึ้นมา“ท่านหมอ”ฮองไทเฮาเรียกหมอหลวงเสียงเยียบเย็นเสียงนั้นทำให้ห
เฉินเฉิงแววตาสั่นระริกในนั้นปรากฏรอยหวาดกลัวและสับสน อยากจะวิ่งหนีแต่ร่างกายขยับไม่ได้ตามคำสั่งแม้แต่น้อย อยากตะโกนให้คนช่วยแต่ขากรรไกรเขากลับค้างไม่สามารถเปล่งวาจาออกมาเป็นคำได้เลย“อ่า.... พระองค์ทรงลืมไปแล้วหรือ.... มีสตรีนางหนึ่งที่ยอมละทิ้งอาชีพทางการแพทย์ ทิ้งความฝันของตนเพียงเพื่อถวายตัวและหัวใจรับใช้ฝ่าบาทอย่างโง่งม”เฟิ่งอี๋หยัดกายขึ้น เอ่ยถึงความหลังขณะที่ใช้ปลายนิ้วไล้ไปตามพระพักตร์ขาวซีดของฮ่องเต้“ในครั้งนั้น ฝ่าบาททรงโปรดหม่อมฉันที่สุด จนได้รับแต่งตั้งเป็นฮองเฮา และยังตรัสกับหม่อมฉันว่า - สตรีงามไม่นานก็โรยรา แต่สตรีมีปัญญาเลิศล้ำ ควรค่าต่อการเป็นแม่ของแผ่นดิน - เหอะ !”นางแค่นเสียงออกมาคำหนึ่ง ดวงตารื้นขึ้นด้วยน้ำตาแห่งความเจ็บซ้ำ จากนั้นก็เอ่ยต่อไปด้วยเสียงสั่นพร่าว่า“ถ้อยคำเหล่านั้นล้วนจอมปลอมทั้งสิ้น มีปัญญาสูงค่าแล้วอย่างไร สุดท้ายพระองค์ก็เลือกสตรีเลอโฉมขึ้นมาแทนที่หม่อมฉัน หนำซ้ำยังควักเอาหัวใจของหม่อมฉันออกมาเฉือนเป็นชิ้น ๆ โดยการสั่งให้หม่อมฉันดื่มยาขับเลือด ! ลูกของหม่อมฉัน พระองค์ทรงฆ่าลูกของเราด้วยมือของพระองค์เอง !”น้ำตาของนางไหลอาบทั้งสองแก้ม น้ำอุ่น ๆ ไ
ร่างงดงามเกร็งสะท้าน กลีบเนื้อสาวบีบรัดแก่นกายตุบ ๆ ในขณะที่นางรู้สึกเหมือนร่างกายระเบิดแตกออกแล้วลอยละลิ่วขึ้นสู่สวรรค์บุรุษหนุ่มผู้เร่าร้อนกระแทกอัดลำหอกเข้าจนสุดลำเป็นครั้งสุดท้าย แล้วแหงนหงายหน้าขึ้นคำรามลั่น“อ๊าก”ร่างกำยำของเขากระตุกหงึก ๆ สาดซัดน้ำอุ่น ๆ เข้าสู่กายนาง ปักลำหอกตรึงนางไว้ แล้วโน้มตัวลงสวมกอดร่างนุ่มนิ่มหอมกรุ่นเฟิ่งอี๋เผยอปากน้อย ๆ อย่างปริ่มสุขสมใจ พึมพำออกมาเสียงแผ่วเบาว่า“เมื่อถึงวันนั้น.... ท่านยังจะรั้งอยู่ข้างกายข้าหรือไม่”เสียงของนางเบามากราวกับเสียงแมลงบินผ่าน เกอหลางจึงฟังไม่ออกว่านางพูดอะไร แต่เมื่อจะขยับปากถาม นางก็หลับไปเสียแล้วณ ตำหนักเมฆาสวรรค์หลังจากงานเฉลิมฉลองตำแหน่งฮองเฮาเมื่อตอนเย็นสิ้นสุดลง เฟิ่งอี๋ก็ประคองแขนองค์ฮ่องเต้เข้ามายังห้องบรรทมในตำหนักเมฆาสวรรค์ ตำหนักหลวงที่เมื่อก่อนไม่ทรงอนุญาตให้สนมนางใดพักค้างคืนที่นี่ได้ เพราะเกรงว่าฝ่ายในจะสอดมือเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องในราชสำนักแม้เฟิ่งอี๋จะเคยครอบครองตำแหน่งฮองเฮานับสิบปีแต่ก็ไม่มีโอกาสได้ค้างคืนกับฮ่องเต้ในตำหนักแห่งนี้เลยสักครั้ง ยามนี้นางอาศัยร่างของฟางเหรินสนมผู้มีความงามเป็นหนึ
เกอหลางครางหือในลำคอคราหนึ่งประกายตาเขาเข้มขึ้นจนยากจะควบคุม ลำหอกที่อยู่ตรงส่วนกึ่งกลางกายก็พลันแข็งขึงขึ้นจนเจ็บร้าว แล้วริมฝีปากร้อนระอุก็จู่โจมเข้าที่ลําคอขาวผ่องของนางอย่างฉับไว และทรงพลังบุรุษหนุ่มที่เต็มไปด้วยความพลุ่งพล่านดันร่างสวยไปชิดผนังถังอาบน้ำอีกด้าน แล้วใช้ฝ่ามือกอบกุมเต้าอวบ ๆ ของนางเอาไว้ จากนั้นเขาก็จูบพรมเลื่อนมาจนถึงเนินเนื้อภูเขาสองลูก แล้วตวัดปลายลิ้นร้อนปาดเลียที่ป้านปทุมถันข้างหนึ่ง“อ่า...”เฟิ่งอี๋แหงนหน้าครางผะแผ่วอย่างซ่านกระสัน แอ่นทรวงอกหยัดดันเต้าของตนเข้าปากเขาให้แนบชิดมากขึ้น“อึก”เกอหลางดูดดึงภูเขาหนั่นเนื้อราวกับเด็กทารก มืออีกข้างก็บีบเฟ้นฟอนจนยอดปทุมถันครัดเคร่งดีดดิ้นสู้มือส่วนฝ่ามืออีกข้างก็เลื่อนลงสู่หว่างขานาง เขาขยับนิ้วทั้งห้าเคล้าคลึงกลีบเนื้อนาง แล้วใช้หัวแม่มือแกร่งบดบี้ที่เม็ดทับทิม“อ๊า...”เฟิ่งอี๋แหงนหงายครางหนักขึ้นรู้สึกว่าบริเวณหวงห้ามที่เขากำลังรุกล้ำนั้นมีน้ำชุ่มฉ่ำออกมา มือหนึ่งของเขาสาละวนอยู่กับเต้านาง อีกมือก็ถูไถติ่งเนื้อเสียวย้ำ ๆ ส่วนปากเขาก็ไล้เลีย ดูดดึงยอดถันของนาง ทำเอาเรือนร่างของนางบิดเร่าอย่างสุดแสนจะทรมาน“เกอหล
ณ ตำหนักเฉียนชิงเฟิ่งอี๋ในร่างของกุ้ยเฟยจุดธูปบูชาตามพิธีกรรม จากนั้นก็ปล่อยให้ขันที และนางกำนัลเผากระดาษเงิน กระดาษทองอยู่หน้าตำหนัก ส่วนตนเองนั้นแอบเดินเข้ามาภายในห้องบรรทมของตนเองนางอยู่ที่ตำหนักแห่งนี้เกือบสิบปี แม้จะหลับตาเดิน นางยังจำทางได้อย่างแม่นยำ ดังนั้น เพียงไม่นานเฟิ่งอี๋ก็เข้ามาที่ห้องนอนของตนเอง นางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ด้วยความเศร้าใจ ตำหนักที่เคยเต็มไปด้วยความโอ่อ่าสวยงาม บัดนี้ถูกแทนที่ด้วยความเงียบเหงาวังเวง ตำหนักอันสวยงามถูกทิ้งร้างให้ฝุ่นจับไร้คนดูแลดวงตาเศร้าหมองของเฟิ่งอี๋ถูกเปลือกตาปิดลงจากนั้นเมื่อนางลืมตาขึ้นอีกคราก็กลับกลายเป็นแววตาวาววับเฉียบคม“เมื่อข้าสูญสิ้นสิ่งใดไป ข้าต้องได้มันกลับคืนเป็นพันเท่า !”เสียงนั้นเต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยว จากนั้นนางก็เดินไปยังโต๊ะเครื่องแป้ง เปิดหีบสีทองใบขนาดกลางออก ในนั้นมีผ้าไหมที่ถูกเย็บเป็นลักษณะพิเศษเพื่อบรรจุสิ่งของบางอย่าง นางหยิบมันขึ้นมาอย่างระมัดระวัง ดวงตาของนางวาวโรจน์ขึ้น“เมื่อแรกรักพระองค์เคยประทานสิ่งนี้ให้หม่อมฉัน..... เมื่อมีแค้นสุดแสนสาหัส หม่อมฉันก็จะคืนมันให้พระองค์ !”ณ ตำหนักไป่เหอ นางกำนัลสองคนกำ
ณ ตำหนักเฉียนชิงตำหนักที่ใหญ่ที่สุด และงดงามที่สุดในวังหลังเป็นที่ประทับของฮองเฮา ผู้มีอำนาจสูงสุดเหนือหมู่ 12 ตำหนักของสนมของฮ่องเต้เฉินเฉิง แห่งราชวงศ์เฉิน“ฮองเฮาเพคะ โอสถเพคะ”นางกำนัลข้างกายประคองถ้วยโอสถที่นางเคี่ยวเองกับมือตามคำสั่งของฮองเฮาวางลงตรงหน้าพระพักตร์ขาวซีดของผู้เป็นใหญ่ในตำหนักนี้เฟิ่งอี๋ฮองเฮา สตรีในวัยสามสิบปีมองถ้วยบรรจุโอสถสีดำมีควันสีขาวจาง ๆ ลอยกรุ่นอยู่เหนือผิวน้ำ กลิ่นของมันชวนคลื่นเหียนยิ่งนัก ไม่ทันไรนางก็จำยอมเบือนหน้าหนีแล้วร่างบางก็สั่นสะท้านคล้ายกับจะขย้อนข้าวต้มในตอนเช้ามา“อะ.. อ๊อก..”“ฮองเฮาเพคะ ให้ตามหมอหลวงหรือไม่”นางกำนัลข้างกายลูบแผ่นหลังให้นายเหนือหัว ในขณะที่นางกำนัลอีกผู้หนึ่งรีบนำบ้วนพระโอษฐ์มารองรับสิ่งที่ฮองเฮาสํารอกออกมาจากปาก“มะ.. ไม่ต้อง”เฟิ่งอี๋รีบยกมือห้าม แววตาสั่นระริก ใบหน้าขาวซีดนั้นยิ่งดูซูบลงไปอีก ตั้งแต่ทรงพระครรภ์หลายสัปดาห์ที่ผ่านมานี้นางมีอาการแพ้ท้องอย่างหนัก ทันทีที่ได้กลิ่นอาหารหรือยา นางก็จะอาเจียนออกมาจึงทำให้ร่างกายที่ผ่ายผอมอยู่แล้วผอมลงไปอีก“แต่....”นางกำนัลข้างกายสีหน้าไม่สู้ดีนักด้วยความกังวลใจ เมื่อต้นเดื...
Comments