เขาหลับตาลง ยากนักที่จะตัดใจจากโฉมสะคราญล่มเมืองเช่นนี้ นางเปรียบเสมือนน้ำผึ้งในแดนสวรรค์ยิ่งกินก็ยิ่งหวาน ยิ่งชวนให้ติดตรึงในรสนั้นจนยากจะตัดใจ
ในขณะที่เขาตกอยู่ในห้วงคำนึงของตน ก็รู้สึกถึงสัมผัสอุ่นนุ่มประทับลงที่ริมฝีปากตน เขาจึงรีบลืมตาขึ้นแล้วก็พบกับใบหน้างดงามอยู่ห่างจากเขาเพียงแค่ 1 ชุ่น เขาร้องออกมาคำหนึ่ง แล้วขยับตัวหมายจะถอยหลังตามสัญชาตญาณ
“อ๊ะ !”
แต่ร่างสวยกลับโอบรัดเขาไว้อย่างรวดเร็ว แล้วทิ้งน้ำหนักทั้งหมดลงบนเตียง บุรุษที่ถูกเนื้อนิ่มของนางเบียดเสียดร่างกายก็กลับรู้สึกปั่นป่วนขึ้นมาฉับพลัน เป็นผลให้เขาไม่ทันระวังตัว จึงถูกดึงให้ล้มลงไปกับเตียงพร้อมนาง
ตุบ !
“เบา ๆ อย่าส่งเสียง.... ท่านอยากให้พวกนางกำนัลในตำหนักเข้ามาเห็นเราสองคนในท่าทีแบบนี้รึ”
เสียงกังวานใสของดรุณีวัยแรกแย้มนั้น ช่างชวนให้ลุ่มหลง
คิ้วดาบที่พาดเฉียงบนใบหน้าคมคายอาจหาญของหัวหน้าองครักษ์ย่นเข้าหากันในแสงสลัว เมื่อวานเขาประหลาดใจที่นางทำตัวคล้ายคนไม่รู้จักกัน แต่คืนนี้ฟางเหรินกลับทำให้เขาประหลาดใจยิ่งกว่า จากดรุณีน้อยหวานหยดย้อยคล้ายกับลูกแมวช่างออดอ้อน กลายเป็นปีศาจจิ้งจอกแสนเร่าร้อนไปได้อย่างไร !
“ฟางเหริน เจ้าไม่เคยเรียกข้าว่า... ท่าน มาก่อน”
เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงนั้นแฝงความสงสัยอยู่สามส่วน ร่างกายของเขาก็เหมือนจะต่อต้านการโอบกอดจากร่างนุ่มนิ่มเล็กน้อย
“ท่านใส่ใจไปไยกับคำเรียกขาน อย่างไรข้าก็เป็นของท่านแล้ว”
น้ำเสียงหวานปานจะคั้นออกมาเป็นน้ำตาลได้ของนางออดอ้อน พร้อมกับวางมือเรียวลูบไล้ไปตามแผงอกกำยำของเขา นางรู้สึกว่ากล้ามเนื้อหน้าอกขององครักษ์วังหลวงช่างแน่นดียิ่งนัก เหตุใดหลายปีที่ผ่านมานางจึงทนรับใช้ฮ่องเต้ที่มีแต่เนื้อนิ่ม ๆ แม้จะไม่อ้วนเผละแต่ก็ไม่แน่นน่ากัดเหมือนบุรุษวัยหนุ่มผู้นี้
“ฟางเหริน... จะ เจ้าปล่อยข้าก่อนได้หรือไม่ ข้ามีเรื่องอยากถามเจ้า”
เมื่อนางรุกรานกายเขามากขึ้น เขาก็คร้านจะใส่ใจเรื่องคำเรียกขาน เพราะแม้แต่เสียงของเขาที่เปล่งออกมาก็ไม่อาจควบคุมได้ เขารู้สึกว่าเสียงของเขาสั่นพร่าเหลือเกิน
“ท่านว่ามาสิ ข้ามีเรื่องจะรบกวนท่านให้ช่วยเช่นกัน”
นางเอ่ยเสียงกระเส่า พร้อมกับวาดแขนเรียวขึ้นโอบรอบคอเขา แล้วบดเบียดเนื้ออุ่นนุ่มเข้าหาเขาอย่างยั่วยวน ทำเอาเลือดภายในกายเขาร้อนฉ่าขึ้นทั่วทั้งตัว ก่อนที่เขาจะควบคุมตนเองไม่ได้จึงรีบเอ่ยปากว่า
“ลูกในท้องของเจ้าที่เสียไป ใช่ลูกของเราหรือไม่”
เมื่อได้ยินเขาถามเช่นนั้น เฟิ่งอี๋ชะงักไปเพราะไม่คาดคิดว่าฟางเหรินจะปิดบังเรื่องที่นางตั้งครรภ์ทั้งกับฮ่องเต้ และกับชู้ด้วยเช่นกัน
เดิมทีนางเพียงแค่จะคิดใช้เรือนร่างตนเองเพื่อแลกเปลี่ยนให้ชู้ผู้นี้ทำอะไรบางอย่างให้ แต่เมื่อเขาสนใจเรื่องลูก และกังวลเรื่องของฟางเหริน งั้นเรื่องที่นางจะไหว้วานให้เขาไปทำต้องสำเร็จแน่ ๆ นึกไม่ถึงว่าเรื่องจะง่ายดายเพียงนี้ !
“ท่านพี่... ละ ลูกของเราถูกคนใจร้ายลอบวางยาจนตายไปแล้ว”
เฟิ่งอี๋เปลี่ยนท่าทีเป็นเศร้าโศก แล้วบีบน้ำตาออกมา
เกอหลางเมื่อได้ยินเช่นนั้น ก็รู้สึกราวกับว่าร่วงหล่นลงมาจากหน้าผากระแทกลงสู่ผสุธาจนเจ็บร้าวไปทั้งแผ่นอก
“มันผู้ใดที่ฆ่าลูกข้า”
เขาแค่นเสียงคำรามต่ำ ดวงตามีประกายโทสะจนแทบจะควบคุมไม่ได้
“เฟินหนิงกุ้ยเหริน พี่สาวของข้า... ท่านพี่ต้องแก้แค้นให้ข้า และลูกของเรานะ”
นางเอ่ยทั้งน้ำตา พร้อมกับยื่นมือขึ้นมาคล้ายกับจะวิ่งวอน ร่างกายของบุรุษหนุ่มถึงกับสั่นสะท้านไปกับความสูญเสียของเขาและนาง
เขาคว้าจับมือนางเอาไว้แน่น แล้ววางมันไว้เหนือศีรษะ จากนั้นก็โน้มตัวลงประทับริมฝีปากลงจูบซับน้ำตาที่ข้างแก้มเนียนนุ่มทั้งซ้ายและขวา
จากนั้น ก็จุมพิตลงที่กลีบปากบางราวกับบุปผชาติสีสด เขากดปากตนเองลงไปลึกอย่างดูดดื่มโหยหา อีกทั้งยังผสมปนเปไปด้วยการปลอบประโลม
เฟิ่งอี๋เผยอริมฝีปากรับจูบ แล้วขบริมฝีปากเขาอย่างยั่วเย้า อีกทั้งมือเรียวที่ยังเป็นอิสระอีกข้างก็เลื่อนลงไปแกะสายรัดเอวของเขาออกอย่างคล่องแคล่ว
เกอหลางคำรามในลำคอครางหนึ่ง เมื่อไฟสวาทเผาไหม้เขาจนไม่อาจควบคุมได้แล้ว !
หัวหน้าองครักษ์หนุ่ม ปล่อยมือนาง แล้วลูบไล้สํารวจเรือนร่างที่แสนคะนึงหา ในขณะที่สอดแทรกปลายลิ้นร้อนครวญความหอมหวานดุจน้ำผึ้งจากเรียวลิ้นเล็ก เขาบดจูบหนักหน่วงจวนเจียนจะหมดอากาศหายใจจึงยอมละปากออก
“อ่า... ฟางเหริน เจ้ารู้หรือไม่ หลายวันมานี้ข้ากังวลเรื่องของเจ้าจนมิอาจข่มตาหลับลงได้”
เขาส่งเสียงแหบพร่า สายตาอันเร่าร้อนของเขาจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าสวยหยาดเยิ้ม การปลุกปั่นอัคคีสวาทเมื่อครู่เผาผลาญใบหน้านางจนแดงก่ำ ริมฝีปากเผยอขึ้นเล็ก ๆ ดวงตาฉ่ำหวานไปด้วยความปรารถนา
“คะนึงหาข้ามากเพียงใด ก็โปรดรักข้าให้มากยิ่งกว่า”
เฟิ่งอี๋เอ่ยเสียงกระเส่าแว่วหวาน เมื่อสายรัดเอวของเขาถูกนางปลดออกแล้ว สาบเสื้อก็เผยอออกให้เห็นแผงหน้าอกที่มีมัดกล้ามเนื้อเป็นรูปร่างอย่างชัดเจน จนอดไม่ได้ที่จะเอื้อมสอดเข้าไปลูบไล้ผิวเนื้อแข็งแกร่ง
“ฟางเหริน......”
เกอหลางเรียกชื่อนางผะแผ่วราวคนละเมอ จากนั้นก็ประทับริมฝีปากรวกร้อนไปตามผิวเนื้อเนียนละเอียดของนาง ทุกครั้งที่ประทับจูบลง มือแกร่งก็ค่อย ๆ เปลื้องอาภรณ์ของนางออก เขาลากลิ้นไล้เลียแล้วจูบพรมไปตามลำคอขาวระหง ลาดไหล่ขาวผ่อง จากนั้นออกแรงขบเม้มเบาๆ
“อือ.....”
นางครางออกมาอย่างสุขซ่าน
ในขณะที่ปากร้ายกำลังพรมจูบไปทั่วราวกับคนเมามัว ฝ่ามือสองข้างของเขาก็บีบเฟ้นเคล้าคลึงภูเขาเนื้อนุ่มสองลูกตรงกลางอกของนาง เขาใช้นิ้วหัวแม่มือกดคลึงยอดภูเขาเนื้อสีแดงระเรื่อ จนนางเปล่งเสียงครางออกมาอีกหน
อาชาไนยผู้เหี้ยมหาญรับรู้ถึงยอดปทุมถันรัดรึงแข็งขึงสู้ฝ่ามือ จึงรีบสยบความเคร่งครัดของเต้าอวบ ๆ โดยการโฉบปากลงดูดกลืนกินความหวานของยอดภูเขานั้นอย่างว่องไว
“อ่า....”
เฟิ่งอี๋เปล่งเสียงครางออกมา เรือนร่างในวัยสาวนี้ช่างตอบสนองต่อสัมผัสวาบหวามของบุรุษหนุ่มไวนัก ทำเอานางทรมานไปทั้งกายจนบิดเร่าขึ้นโดยไม่รู้ตัว เมื่อถูกเขาครอบปากร้อนจัดลงที่ปลายยอดถัน แล้วตวัดปลายลิ้นร้อนหยอกล้อกับหัวนมที่บีบรัดจนชูชัน
ในขณะที่ปากดูกลืนความหอมหวานราวกับทารกหิวโหย ภูเขาเนื้อนุ่มอีกข้างก็ถูกฝ่ามือร้อนฉ่ากอบกุมเอาไว้เต็มฝ่ามือ ทุกครั้งที่องครักษ์หนุ่มดูดดึงปลายถัน แผ่นหลังของนางก็จะหยัดขึ้นมา พร้อมกับเสียงครวญครางครั้งแล้วครั้งเล่า
เมื่อดื่มด่ำกับภูเขาเนื้อนุ่มจนสาแก่ใจแล้ว เขาก็ผละปากออกแล้วพรมจูบเลื่อนต่ำลงสู่กายเบื้องล่าง ค่อยประทับริมฝีปากร้อนฉ่าไปตามเรือนร่างสวยอย่างละเมียด ค่อย ๆ ลิ้มลองรสชาติหอมหวานจากเนื้อสาวทั่วทุกแห่ง จูบ เม้ม ลากไล้เลียไปตามผิวราบรื่น
“หืม”
เขาครางในอกคล้ายคนที่กำลังร่ำสุราจนมัวเมา ปักจมูกลงที่ผิวกายนางสูดกลิ่นหอมอ่อนเฉพาะตัวของสตรีชาววังชั้นสูงเข้าเต็มอก จากนั้นก็ใช้ปลายลิ้นร้อนไล้วนเลียรอบสะดือ“ท่านพี่....”นางเผยอปากร้องเรียกเขาเอาไว้ สองมือผวาจับบ่าแกร่งของเขาไว้แน่น ยิ่งเขาเคลื่อนปากร้าย และปลายลิ้นร้อนเข้าใกล้จุดอ่อนไหวของนางมากเท่าไหร่ นางยิ่งบิดกายเร่าซ่านกระสันมากขึ้น“ฟางเหริน... ให้ข้าได้ปลอบประโลมเจ้าเถอะ”ใบหน้าคมคายอาจหาญเงยขึ้นมองนางด้วยความรักใคร่ ขณะที่ใช้ปลายนิ้วแกร่งกดลงที่เม็ดสีแดงบนเนินเนื้อกุหลาบงาม“อ๊ะ !”เฟิ่งอี๋สะดุ้งเล็ก ๆ เมื่อเขากดนิ้วเคล้าคลึงตรงจุดที่อ่อนไหวที่สุด ก่อเกิดความเสียวซ่านอย่างยิ่งยวดจากบริเวณนั้นแผ่กระจายไปทั่วทั้งร่าง“ทะ... ท่านพี่ จะทำอะไร อื้ออออ... อ่า”ร่างงามบิดเร่าแรงขึ้น เมื่อเกอหลางขยับปลายนิ้วแกร่งถูไถไปตามกลีบดอกกุหลาบสีแดงฉ่ำ“เจ้าสูญเสียลูกของเราไปจากตรงนี้....”ลมหายใจของเขากระชั้นถี่ขึ้นเมื่อก้มลงมองกลีบกุหลาบที่กำลังฉ่ำวาวไปด้วยน้ำหวาน ด้านบนมีเม็ดทับทิมสีสวย ส่วนด้านล่างเป็นรูสวรรค์สรรค์สร้างทารก นางต้องเจ็บปวดเพียงไรจากตรงนี้ เขาจึงอยากจะช่วยจูบซับความเจ็บปว
ทันทีที่เขาจ้องแทงลำหอกลง นางก็ครางออกมาอีกครั้ง ร่างกายที่อ่อนระทวยเมื่อครู่ก็ตอบรับลำหอกเขา นางแอ่นขึ้นสะโพกรับการตอกอัดลงอย่างว่องไวท่านี้ทำให้เขาจ้วงแทงลำหอกเข้าได้ลึกมากขึ้น ซ่านเสียวมากขึ้น จนหัวใจของทั้งคู่เต้นแรงเมื่อเขาขยับถอนลำหอกออกกลีบเนื้อนางก็รูดรัดติดตามอย่างซ่านกระสัน เขาจึงโหมกระหน่ำกระทั้นกระแทกจ้วงลำหอกใหญ่เข้าสู่กายนางอย่างหนักหน่วง“อ๊ะ ๆ เกอหลาง ๆ ขะ.. ข้าทรมานเหลือเกิน ไม่ไหวแล้ว อ๊า ๆ”เฟิ่งอี๋ส่งเสียงครวญครางกระเส่าราวคนจับไข้ จากนั้นร่างสวยก็เกร็งสะท้านขึ้นมาอีกหน“อ๊าซ์ !”นางส่งเสียงครางลั่น กล้ามเนื้อส่วนนั้นกระตุกบีบรัดลำหอกเขาอย่างรุนแรง นำพาเขาให้ขึ้นสวรรค์ตามนางไปติด ๆ“อ๊าก”เกอหลางคำรามลั่น สมองเขาพร่างพราวเต็มไปด้วยดวงดาวไปพร้อมกันนางอันเป็นที่รักเมื่อลมหายใจสงบลง เขาก็ถอนลำหอกออกจากร่างของนางช้า ๆ จากนั้นก็จุมพิตลงที่กลีบปากนาง แล้วกระซิบว่า“ฟางเหริน... เจ้าช่างแสนงาม... และแสนหวานเหลือเกิน”“ท่านก็ช่างแกร่งแข็งเหลือเกิน... ทำเอาข้าเจียนตาย”นางตอบเสียงกระเส่า ใบหน้าแดงซ่านอย่างสุขสม การร่วมรักกับบุรุษวัยยี่สิบที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังช่างเติมเต็ม
น้ำเสียงของเฟินหนิงแข็งกระด้าง การไม่เป็นที่โปรดปรานช่างนำมาซึ่งความอัปยศอดสูยิ่งนัก !“เพคะ”นางกำนัลยอบกายลง แล้วรีบสาวเท้าออกจากห้องรับรองของเรือนโดยทันที ราวกับว่ากำลังถูกสิ่งใดไล่ล่าอยู่ หลายวันมานี้ กุ้ยเหรินเอาแต่เก็บตัวอยู่ในเรือน โมโหง่าย จนข้ารับใช้ในเรือนเข้าหน้าไม่ติดเมื่อนางกำนัลออกไปแล้ว เฟินหนิงจึงเท้าแขนบนโต๊ะ แล้ววางศีรษะลงบนฝ่ามืออีกต่อหนึ่ง ก่อนทอดถอนลมหายใจออกมาพร้อมกับหลับตาลงตึบนางได้ยินฝีเท้าก้าวเข้ามาในห้อง ในใจก็พลันหงุดหงิด จึงตวาดออกไปทั้ง ๆ ที่ยังหลับตาว่า“ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือไง ห้ามใครรบกวนข้า !”“เกรงว่าจะไม่ได้แล้วกระมัง”เสียงทุ้มอันคุ้นหูดังขึ้น เฟินหนิงจึงลืมตาขึ้น แล้วเหยียดกายขึ้นอย่างช้า ๆ“อ่อ... ที่แท้ก็หัวหน้าองครักษ์ผู้จงรักภักดีต่อ... พระสนมกุ้ยเฟยนี่เอง”เฟินหนิงจงใจเน้นประโยคสุดท้าย เพื่อเย้ยหยันการลักลอบเป็นชู้กับกุ้ยเฟยซึ่งผิดศีลธรรม และเพื่อเตือนให้อีกฝ่ายรู้ว่าตนกุมความลับเรื่องใดไว้อยู่ อย่าคิดทำอะไรนางเป็นอันขาดมิฉะนั้นแล้ว นางก็จะแพร่งพรายความลับนี้ซะเกอหลาง ยังคงยืนสงบนิ่งดุจภูผา แม้ว่าถ้อยคำนั้นจะแสลงหูยิ่งนัก“ข้าได้รับพระบัญ
เขาโน้มใบหน้าของนางลงมาแล้วจูบซับน้ำตาให้นาง จากนั้นก็เอ่ยเสียงเศร้าว่า“ข้าเข้าใจ.... เจ้าไม่ต้องพูดอะไรแล้ว”“เกอหลาง ได้โปรดทวงความเป็นธรรมให้แก่ข้าและลูกด้วย”นางโผเข้าซบอกของเขาอีกครั้ง“ข้าจะทวงความเป็นธรรมให้เจ้าแน่”เกอหลางกล่าวอย่างหนักแน่น“ท่านไม่ต้องลงมือฆ่านางด้วยตนเอง ปล่อยให้เป็นเรื่องของศาลยุติธรรม ท่านเพียงแค่ตัดลิ้นนางไม่ให้แพร่งพรายเรื่องของเรา และตัดมือนางเพื่อให้นางไม่ต้องใช้มือนั้นก่อกรรมทำชั่วได้อีก !”ณ ศาลยุติธรรมใต้เท้าจ้าน เจ้ากรมอาญานั่งอยู่บนบัลลังก์ผู้พิพากษา สองฝั่งของโถงศาลมีขุนนางใหญ่จากหลายฝ่ายมาเข้าร่วมฟังการตัดสินด้วย ส่วนฮ่องเต้ และพระสนมกุ้ยเฟยประทับอยู่ในส่วนกั้นด้านในม่านมุกหน้าผากของใต้เท้าจ้านมีหยาดเหงื่อผุดขึ้น การตัดสินคดีในวันนี้แม้กระทั่งฮ่องเต้ยังเสด็จมารับฟังด้วยพระองค์เอง เพราะอี๋เหนียง ผู้ต้องสงสัยในคดีลอบวางยาพระสนมกุ้ยเฟยสารภาพออกมา การวางยาพระสนมในครั้งนั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับการใส่ร้ายเฟิ่งอี๋ฮองเฮา !คดีนี้เกี่ยวพันกับชนชั้นสูง เขาจึงต้องทำอย่างระมัดระวังเป็นพิเศษ ดังนั้น เมื่อสอบปากคำอี๋เหนียงในคุกหลวงจนได้หลักฐานที่น่าเชื่อถือแ
เฉินเฉิงเรียกนางคำหนึ่งเพื่อความแน่ใจ บนพระนลาฎมีพระเสโทผุดพรายขึ้น“เพคะฝ่าบาท.... ฝ่าบาททรงเป็นอะไรหรือไม่ ให้หม่อมฉันเรียกหมอหลวงไหมเพคะ”เฟิ่งอี๋แกล้งทำเป็นตื่นตระหนก โน้มกายเข้าไปสำรวจพระวรกายขององค์ฮ่องเต้ให้คล้ายกับว่านางห่วงใยพระองค์หนักหนา ทั้งที่ในใจนั้นอยากจะบีบคอของเขาให้ตาย !“ไม่เป็นไร.... เราจะฟังการตัดสินคดีต่อให้จบ”เฉินเฉิงฮ่องเต้สูดลมหายใจเข้าเต็มพระปัปผาสะ ข่มความเจ็บปวดใจเอาไว้ แล้วตะโกนถามโจทย์ว่า “เราจะเชื่อได้อย่างไรว่าจดหมายฉบับนั้นเป็นของเฟินหนิงกุ้ยเหรินจริง ๆ”“เรียนฝ่าบาท ข้าน้อยได้มอบจดหมายฉบับนั้นให้ใต้เท้าจ้านแล้วเพคะ”เมื่ออี๋เหนียงตอบเช่นนั้น ใต้เท้าจ้านจึงรีบรายงานต่อว่า“เรียนฝ่าบาท กระหม่อมได้นำจดหมายฉบับนั้นไปเทียบเคียงลายมือของเฟินหนิงกุ้ยเหรินแล้ว พบว่าตรงกันทุกประการพ่ะย่ะค่ะ”ฮ่องเต้ที่รับฟังอยู่ที่หลังม่านมุกถึงกับขบกรามแน่น ในขณะที่เฟิ่งอี๋ลอบยิ้มในใจที่จดหมายฉบับนั้นนางปลอมแปลงมาได้อย่างแนบเนียน เรื่องนี้สำเร็จลงได้เพราะความโอ้อวดของเฟินหนิงแท้ ๆ กุ้ยเหรินที่เพียรพยายามแต่งกวีเขียนอักษรมาถวายให้ฝ่าบาททุกค่ำเช้า โดยหวังว่าพระองค์จะทรงโปรดปรา
ด้วยท่าทีที่ไม่บ่งบอกว่าเป็นการปฏิเสธแต่อย่างใด ใต้เท้าจ้านจึงสรุปว่านางยอมรับผิดแต่โดยดี แต่ยังไม่กล้าตัดสินความผิด เพราะ ความผิดของนางมีโทษมหันต์ประหารเก้าชั่วโคตร เกรงว่าจะกระทบถึงสนมรักของฮองเต้ ดังนั้น เขาจึงหันหน้าไปยังม่านมุกเพื่อขอความเห็นจากฮ่องเต้เฉินเฉิงฮ่องเต้เห็นใบหน้าลำบากใจของใต้เท้าจ้านก็เข้าใจความหมาย เฟินหนิงก่อกรรมทำชั่วยากที่จะให้อภัย แต่นางก็เป็นพี่สาวของฟางเหริน หากตัดสินโทษตามความผิดนางจะเสียใจหรือไม่ พระองค์จึงหันไปมองสนมรักข้างกายเฟิ่งอี๋ที่กำลังบีบน้ำตาให้รื้นขึ้นมาที่ขอบตาคอยอยู่นานแล้ว จึงเงยขึ้นสบพระเนตรขององค์ฮ่องเต้เฉินเฉิงฮ่องเต้ถึงกับพระทัยสั่นไหวรีบจับมือนางเข้ามากุมไว้ แล้วตรัสว่า“เรื่องนี้... ข้าให้เจ้าตัดสินใจเอง ว่าจะให้นางรับโทษอย่างไร”เฟิ่งอี๋ได้ยินดังนั้นก็แค่นเสียงในใจ บุรุษหนอบุรุษหากได้ลุ่มหลงแล้ว แม้แต่น้ำตาเพียงน้อยนิดก็สะเทือนถึงโลกา“ขอบพระทัยเพคะ ฝ่าบาท”เฟิ่งอี๋ในร่างของฟางเหรินกุ้ยเฟยรีบลุกขึ้นยอบกายลง จากนั้นก็ย่างกายออกจากหลังม่านมุกมุ่งหน้าไปยังโถงพิจารณาคดีทันทีที่เห็นฟางเหรินก้าวออกมา เฟินหนิงก็กรีดร้องออกมาพร้อมกับวิ่งถลาเ
ณ ตำหนักเฉียนชิงเฟิ่งอี๋ในร่างของกุ้ยเฟยจุดธูปบูชาตามพิธีกรรม จากนั้นก็ปล่อยให้ขันที และนางกำนัลเผากระดาษเงิน กระดาษทองอยู่หน้าตำหนัก ส่วนตนเองนั้นแอบเดินเข้ามาภายในห้องบรรทมของตนเองนางอยู่ที่ตำหนักแห่งนี้เกือบสิบปี แม้จะหลับตาเดิน นางยังจำทางได้อย่างแม่นยำ ดังนั้น เพียงไม่นานเฟิ่งอี๋ก็เข้ามาที่ห้องนอนของตนเอง นางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ด้วยความเศร้าใจ ตำหนักที่เคยเต็มไปด้วยความโอ่อ่าสวยงาม บัดนี้ถูกแทนที่ด้วยความเงียบเหงาวังเวง ตำหนักอันสวยงามถูกทิ้งร้างให้ฝุ่นจับไร้คนดูแลดวงตาเศร้าหมองของเฟิ่งอี๋ถูกเปลือกตาปิดลงจากนั้นเมื่อนางลืมตาขึ้นอีกคราก็กลับกลายเป็นแววตาวาววับเฉียบคม“เมื่อข้าสูญสิ้นสิ่งใดไป ข้าต้องได้มันกลับคืนเป็นพันเท่า !”เสียงนั้นเต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยว จากนั้นนางก็เดินไปยังโต๊ะเครื่องแป้ง เปิดหีบสีทองใบขนาดกลางออก ในนั้นมีผ้าไหมที่ถูกเย็บเป็นลักษณะพิเศษเพื่อบรรจุสิ่งของบางอย่าง นางหยิบมันขึ้นมาอย่างระมัดระวัง ดวงตาของนางวาวโรจน์ขึ้น“เมื่อแรกรักพระองค์เคยประทานสิ่งนี้ให้หม่อมฉัน..... เมื่อมีแค้นสุดแสนสาหัส หม่อมฉันก็จะคืนมันให้พระองค์ !”ณ ตำหนักไป่เหอ นางกำนัลสองคนกำ
เกอหลางครางหือในลำคอคราหนึ่งประกายตาเขาเข้มขึ้นจนยากจะควบคุม ลำหอกที่อยู่ตรงส่วนกึ่งกลางกายก็พลันแข็งขึงขึ้นจนเจ็บร้าว แล้วริมฝีปากร้อนระอุก็จู่โจมเข้าที่ลําคอขาวผ่องของนางอย่างฉับไว และทรงพลังบุรุษหนุ่มที่เต็มไปด้วยความพลุ่งพล่านดันร่างสวยไปชิดผนังถังอาบน้ำอีกด้าน แล้วใช้ฝ่ามือกอบกุมเต้าอวบ ๆ ของนางเอาไว้ จากนั้นเขาก็จูบพรมเลื่อนมาจนถึงเนินเนื้อภูเขาสองลูก แล้วตวัดปลายลิ้นร้อนปาดเลียที่ป้านปทุมถันข้างหนึ่ง“อ่า...”เฟิ่งอี๋แหงนหน้าครางผะแผ่วอย่างซ่านกระสัน แอ่นทรวงอกหยัดดันเต้าของตนเข้าปากเขาให้แนบชิดมากขึ้น“อึก”เกอหลางดูดดึงภูเขาหนั่นเนื้อราวกับเด็กทารก มืออีกข้างก็บีบเฟ้นฟอนจนยอดปทุมถันครัดเคร่งดีดดิ้นสู้มือส่วนฝ่ามืออีกข้างก็เลื่อนลงสู่หว่างขานาง เขาขยับนิ้วทั้งห้าเคล้าคลึงกลีบเนื้อนาง แล้วใช้หัวแม่มือแกร่งบดบี้ที่เม็ดทับทิม“อ๊า...”เฟิ่งอี๋แหงนหงายครางหนักขึ้นรู้สึกว่าบริเวณหวงห้ามที่เขากำลังรุกล้ำนั้นมีน้ำชุ่มฉ่ำออกมา มือหนึ่งของเขาสาละวนอยู่กับเต้านาง อีกมือก็ถูไถติ่งเนื้อเสียวย้ำ ๆ ส่วนปากเขาก็ไล้เลีย ดูดดึงยอดถันของนาง ทำเอาเรือนร่างของนางบิดเร่าอย่างสุดแสนจะทรมาน“เกอหล
เฟิ่งอี๋เหยียดยิ้มที่มุมปาก แล้วกรีดนิ้วหยิบน้ำชาขึ้นจิบอย่างสำราญใจ“ใต้เท้าเกอหลาง หัวหน้าองครักษ์ขอเข้าเฝ้า”เสียงขันทีประจำตำหนักเมฆาสวรรค์ร้องประกาศขึ้นตามระเบียบการขอเข้าเฝ้าฮ่องเต้“เข้ามาได้”เฟิ่งอี๋เอ่ยเสียงเรียบเป็นการอนุญาต ขันทีจึงเดินนำขุนนางผู้นั้นเข้ามา เมื่อฮ่องเต้หญิงโบกมือขึ้นหนึ่งครั้ง นางกำนัลและขันทีก็หายออกไปจากห้องรับรองอย่างรวดเร็ว“ถวายพระพรฝ่าบาท ของจงทรงพระเจริญ หมื่นปี หมื่นปี หมื่นหมื่นปี”เกอหลางคุกเข่าลงถวายความเคารพต่อฮ่องเต้พระองค์ใหม่ ซึ่งเคยเป็นสตรีอันเป็นที่รักยิ่งของเขา เขาจึงรู้สึกกระอักกระอ่วนใจปนเปกับความคิดสับสนบางประการ“ลุกขึ้นเถอะ ไม่ตั้งมากพิธี”เฟิ่งอี๋บอก ดวงตาหงส์คมกริบจับจ้องบุรุษตรงหน้าอย่างใคร่ครวญ ความรักที่มีต่อฟางเหรินของบุรุษผู้นี้ทำให้แผนการแก้แค้นทุกอย่างราบรื่น แต่นางก็ไม่อาจแน่ใจได้ว่าความรักที่มีมากล้นนี้จะหวนกลับมาทำร้ายนางหรือไม่ หากเขารู้ว่าแท้จริงแล้ววิญญาณที่อยู่ในร่างนี้ไม่ใช่ฟางเหรินคนรักของเขา !“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ”เกอหลางลุกขึ้น แล้วมองสบพระเนตรฮ่องเต้หญิง ฉับพลันนั้นเขารู้สึกว่าไม่เคยรู้จักสตรีตรงหน้าแม้แต่น้อย ด
เฉินฉู่หยัดสะโพกขึ้นรับกับปากน้อยอย่างซ่านกระสัน สองมือสอดเข้าเรือนผมสีดำนุ่มสลวยของนาง แล้วเคล้าคลึงอย่างสุขซ่านเฟิ่งอี๋ใช้เรียวลิ้นเล็กตวัดไล้เลียที่ส่วนหัวมังกรบากใหญ่ลิ้มรสหวานผสมกับรสเค็มปะแล่ม จากนั้นก็ปาดเลียไปทั่วแก่นลำ“อืม... ฮองเฮา... ฮองเฮา ข้าจะทนไม่ไหวแล้ว”เฉินฉู่ไม่อาจทนการยั่วเย้าได้อีกไป เขาหยัดกายขึ้นแล้วกดนางลงกับเตียงเป็นฝ่ายขึ้นคร่อมนางไว้ จากนั้นก็จ้วงแทงแก่นมังกรใหญ่เข้าสู่กายนางอย่างเร็วรวด“อ๊าซ์ !”เฟิ่งอี๋อุทานครางออกมาลั่น แก่นมังกรร้อนฉ่ามุดเข้าสู่ภายในกายของนางจนสุดลำ“ฮองเฮา...ข้ารักเจ้า... ข้ารักเจ้า”อ๋องเฉิงฉู่พร่ำไม่หยุดปาก ขณะที่พรมจูบไปตามใบหน้างดงามเต็มไปด้วยเสน่ห์เร้าใจ จากนั้นก็ก้มลงบดจูบนางอย่างเร่าร้อน ใช้ปลายลิ้นร้อนตวัดเกี่ยวพันกับลิ้นเล็กเพื่อดูดดื่มความหวานล้ำ เมื่อถอนจูบออกเขาก็ขบเม้มกลีบปากล่างของนางอย่างหื่นกระหาย“อ่า”เฟิ่งอี๋ยกมือขึ้นลูบไล้ไปตามแผ่นหลังแกร่ง เร่งเร้าให้เขาขยับสะโพกอัดแก่นมังกรเข้าออกร่างอ๋องเฉิงฉู่สั่นสะท้านตอบรับ ลมหายใจกระชั้น เขาจึงขบนางเบา ๆ ที่บ่าอย่างลุ่มหลง แล้วหยัดตัวขึ้น สองมือจับเอวนางไว้แล้วเริ่มกระแทกแ
อ๋องเฉินฉู่เอ่ยกับนาง แต่กลับก้มหน้าลง มิอาจมองนางตรง ๆ ได้ เพราะอาภรณ์ที่นางสวมใส่บางนัก จนมองเห็นโครงร่างของทรวงอกอวบอิ่มเป็นดอกบัวตูมดอกใหญ่ ปลายยอดดอกพุ่งชี้มาทางเขา จนรู้สึกว่าห้องนี้ช่างร้อนเกินไปแล้ว“ท่านอ๋อง.... บัดนี้ฮ่องเต้ทรงประชวรมิอาจออกว่าราชการได้ งานในราชสำนักหากปล่อยไว้เนิ่นนานไม่ดีแน่ เรามองไม่เห็นผู้ใดแล้ว.... นอกจากท่าน... ท่านเท่านั้นที่จะบริหารบ้านเมืองต่อไปได้”เสียงของนางหวานล้ำอีกทั้งยังเจื่อความขมขื่นในใจ ต่อให้ผู้ฟังเป็นบุรุษใจหินเพียบงใด ก็อ่อนยวบลงราวกับขี้ผึ้งลนไฟเมื่อได้ยินนางเอ่ยเช่นนั้นสายตาของอ๋องเฉินฉู่ก็แปรเปลี่ยนเป็นกรุ้มกริ่มขึ้นมา ต่อให้นางเป็นแม่ของแผ่นดิน แต่ดรุณีน้อยก็ยังเป็นบุปผาแรกแย้มอยู่วันยังค่ำ เมื่อเสาหลักที่ยึดเกาะพังทลายลง มีหรือนางจะไม่หันเข้าหาเสาต้นใหม่เป็นที่พักพิง“ขอบพระทัยฮองเฮาที่ทรงเชื่อมั่นในตัวข้า”เขาเอ่ยอย่างลำพองใจเป็นที่สุด นับตั้งแต่อดีตเชื้อพระวงศ์ก็มิอาจหลีกเลี่ยงการเข่นฆ่าพี่น้องเพื่อชิงบัลลังก์ แต่สำหรับเขาแล้วรู้สึกว่าสวรรค์ช่างเข้าข้างยิ่งนัก เลือดไม่เปื้อนมือเขาสักหยด แต่บัลลังก์กลับถูกถวายใส่พานให้เขาเสียแล้ว
“ว่าอย่างไรนะ”ฮ่องไทเฮาแทบจะล้มลงกับพื้น นางกำนัลสองคนจึงรีบเข้ามาพยุงไว้ ผู้ที่ได้ยินถ้อยคำนั้นถึงกับอุทานออกมาอย่างพร้อมเพรียง – ฮ่องเต้มีชีวิตอยู่ราวกับคนตายหรือเนี่ย –ส่วนหมอหลวงนั้นมิอาจตอบคำถามได้อีกต่อไปทรุดตัวลงแล้วโขกศีรษะลงกับพื้นราวกับคนเสียสติเพื่อร้องขอชีวิต“โปรดไว้ชีวิตหม่อมฉันด้วย”“เอามันไปตัดหัว !”ฮองไทเฮาสั่งลงอาญาทั้งน้ำตาเฉินเฉิงฮ่องเต้ได้ยิน และเห็นทุกอย่างผ่านห่างตา เห็นว่าหมอหลวงถูกทหารลากออกไปได้รับโทษทัณฑ์แทนฮองเฮา แต่เขามิอาจเอ่ยวาจาร้องขอความเป็นธรรมแทนหมอหลวงได้ แม้กระทั่งขยับตัวก็มิอาจทำได้ ทำได้เพียงปล่อยเรื่องทั้งหมดให้เป็นไป พระองค์เสียใจอย่างที่สุดที่เฟิ่งอี๋ไม่ฆ่าเขาให้ตาย เพราะถ้าเขาตายก็ไม่ต้องรู้สึกเจ็บปวดและสิ้นหวังเหมือนตอนนี้ !2 วันต่อมาเฟิ่งอี๋ในร่างของฟางเหรินฮองเฮากำลังกรีดนิ้วหยิบช้อนตักน้ำแกงป้อนฮ่องเต้ซึ่งนอนอยู่บนแท่นบรรทม น้ำแกงสีทองไหลเข้าพระโอษฐ์ได้เพียงหนึ่งส่วน ส่วนที่เหลือล้วนถูกเขาใช้ลมขับพ่นออกมาจนเลอะไปทั้งหน้าและปากของตนเองเฟิ่งอี๋ไม่เพียงแต่ไม่โมโหกลับยังยิ้มเย็นให้คนที่ทำตัวเหมือนเด็กเอาแต่ใจไม่ยอมกลืนอาหารลงไปดี ๆ น
ตั้งแต่สตรีนางนี้เหยียบย่างเข้าสู่วังหลวง ล้วนมีเรื่องร้ายให้พระองค์ต้องกังวลพระทัยบ่อย ๆ พระองค์จึงไม่โปรดนางเท่าใดนัก ยิ่งวันนี้โอรสของพระองค์ถึงกับประชวรในขณะที่ฟางเหรินเป็นผู้ปรนนิบัติ พระองค์จึงชิงชังนางเข้าไส้ เพราะปักพระทัยเชื่อว่า สตรีนางนี้เป็นกาลกิณีที่นำเภทภัยมาสู่บัลลังก์ !ฮองไทเฮาตวัดสายตาคืนกลับมา ด้วยเคยเป็นพญาหงส์มานานจึงซ่อนอารมณ์ความรู้สึกทุกอย่างไว้ภายใต้หน้ากากยับย่นที่เต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งวัย พระองค์รอให้หมอหลวงตรวจพระวรกายขององค์ฮ่องเต้จนเรียบร้อยแล้วจึงตรัสถามว่า“เป็นอย่างไรบ้าง”“เรียนไทเฮา... จากการตรวจชีพจรพบว่าเลือดลมของฝ่าบาทวุ่นวายสับสน คล้ายกับว่าเผชิญกับเรื่องตื่นตระหนก หรือตื่นเต้นอย่างสุดขีด เกินกว่าร่างกายจะรับไหว จึงหมดสติไปพ่ะย่ะค่ะ”หมอหลวงประสานมือไว้ได้หน้าแล้วกล่าวรายงาน ไม่กล้าสบพระเนตรฮองไทเฮาคล้ายกับมีสิ่งใดซ่อนไว้“ถ้าเพียงแค่ตกใจ ไยตอนนี้ฮ่องเต้ยังไม่ฟื้นเล่า”ฮองไทเฮาน้ำเสียงเข้มขึ้น ซักถามอย่างข้องใจ“อะ... เอ่อ..”หัวใจของหมอหลวงเต้นแรงขึ้น บนหน้าผากเริ่มมีเหงื่อผุดพรายขึ้นมา“ท่านหมอ”ฮองไทเฮาเรียกหมอหลวงเสียงเยียบเย็นเสียงนั้นทำให้ห
เฉินเฉิงแววตาสั่นระริกในนั้นปรากฏรอยหวาดกลัวและสับสน อยากจะวิ่งหนีแต่ร่างกายขยับไม่ได้ตามคำสั่งแม้แต่น้อย อยากตะโกนให้คนช่วยแต่ขากรรไกรเขากลับค้างไม่สามารถเปล่งวาจาออกมาเป็นคำได้เลย“อ่า.... พระองค์ทรงลืมไปแล้วหรือ.... มีสตรีนางหนึ่งที่ยอมละทิ้งอาชีพทางการแพทย์ ทิ้งความฝันของตนเพียงเพื่อถวายตัวและหัวใจรับใช้ฝ่าบาทอย่างโง่งม”เฟิ่งอี๋หยัดกายขึ้น เอ่ยถึงความหลังขณะที่ใช้ปลายนิ้วไล้ไปตามพระพักตร์ขาวซีดของฮ่องเต้“ในครั้งนั้น ฝ่าบาททรงโปรดหม่อมฉันที่สุด จนได้รับแต่งตั้งเป็นฮองเฮา และยังตรัสกับหม่อมฉันว่า - สตรีงามไม่นานก็โรยรา แต่สตรีมีปัญญาเลิศล้ำ ควรค่าต่อการเป็นแม่ของแผ่นดิน - เหอะ !”นางแค่นเสียงออกมาคำหนึ่ง ดวงตารื้นขึ้นด้วยน้ำตาแห่งความเจ็บซ้ำ จากนั้นก็เอ่ยต่อไปด้วยเสียงสั่นพร่าว่า“ถ้อยคำเหล่านั้นล้วนจอมปลอมทั้งสิ้น มีปัญญาสูงค่าแล้วอย่างไร สุดท้ายพระองค์ก็เลือกสตรีเลอโฉมขึ้นมาแทนที่หม่อมฉัน หนำซ้ำยังควักเอาหัวใจของหม่อมฉันออกมาเฉือนเป็นชิ้น ๆ โดยการสั่งให้หม่อมฉันดื่มยาขับเลือด ! ลูกของหม่อมฉัน พระองค์ทรงฆ่าลูกของเราด้วยมือของพระองค์เอง !”น้ำตาของนางไหลอาบทั้งสองแก้ม น้ำอุ่น ๆ ไ
ร่างงดงามเกร็งสะท้าน กลีบเนื้อสาวบีบรัดแก่นกายตุบ ๆ ในขณะที่นางรู้สึกเหมือนร่างกายระเบิดแตกออกแล้วลอยละลิ่วขึ้นสู่สวรรค์บุรุษหนุ่มผู้เร่าร้อนกระแทกอัดลำหอกเข้าจนสุดลำเป็นครั้งสุดท้าย แล้วแหงนหงายหน้าขึ้นคำรามลั่น“อ๊าก”ร่างกำยำของเขากระตุกหงึก ๆ สาดซัดน้ำอุ่น ๆ เข้าสู่กายนาง ปักลำหอกตรึงนางไว้ แล้วโน้มตัวลงสวมกอดร่างนุ่มนิ่มหอมกรุ่นเฟิ่งอี๋เผยอปากน้อย ๆ อย่างปริ่มสุขสมใจ พึมพำออกมาเสียงแผ่วเบาว่า“เมื่อถึงวันนั้น.... ท่านยังจะรั้งอยู่ข้างกายข้าหรือไม่”เสียงของนางเบามากราวกับเสียงแมลงบินผ่าน เกอหลางจึงฟังไม่ออกว่านางพูดอะไร แต่เมื่อจะขยับปากถาม นางก็หลับไปเสียแล้วณ ตำหนักเมฆาสวรรค์หลังจากงานเฉลิมฉลองตำแหน่งฮองเฮาเมื่อตอนเย็นสิ้นสุดลง เฟิ่งอี๋ก็ประคองแขนองค์ฮ่องเต้เข้ามายังห้องบรรทมในตำหนักเมฆาสวรรค์ ตำหนักหลวงที่เมื่อก่อนไม่ทรงอนุญาตให้สนมนางใดพักค้างคืนที่นี่ได้ เพราะเกรงว่าฝ่ายในจะสอดมือเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องในราชสำนักแม้เฟิ่งอี๋จะเคยครอบครองตำแหน่งฮองเฮานับสิบปีแต่ก็ไม่มีโอกาสได้ค้างคืนกับฮ่องเต้ในตำหนักแห่งนี้เลยสักครั้ง ยามนี้นางอาศัยร่างของฟางเหรินสนมผู้มีความงามเป็นหนึ
เกอหลางครางหือในลำคอคราหนึ่งประกายตาเขาเข้มขึ้นจนยากจะควบคุม ลำหอกที่อยู่ตรงส่วนกึ่งกลางกายก็พลันแข็งขึงขึ้นจนเจ็บร้าว แล้วริมฝีปากร้อนระอุก็จู่โจมเข้าที่ลําคอขาวผ่องของนางอย่างฉับไว และทรงพลังบุรุษหนุ่มที่เต็มไปด้วยความพลุ่งพล่านดันร่างสวยไปชิดผนังถังอาบน้ำอีกด้าน แล้วใช้ฝ่ามือกอบกุมเต้าอวบ ๆ ของนางเอาไว้ จากนั้นเขาก็จูบพรมเลื่อนมาจนถึงเนินเนื้อภูเขาสองลูก แล้วตวัดปลายลิ้นร้อนปาดเลียที่ป้านปทุมถันข้างหนึ่ง“อ่า...”เฟิ่งอี๋แหงนหน้าครางผะแผ่วอย่างซ่านกระสัน แอ่นทรวงอกหยัดดันเต้าของตนเข้าปากเขาให้แนบชิดมากขึ้น“อึก”เกอหลางดูดดึงภูเขาหนั่นเนื้อราวกับเด็กทารก มืออีกข้างก็บีบเฟ้นฟอนจนยอดปทุมถันครัดเคร่งดีดดิ้นสู้มือส่วนฝ่ามืออีกข้างก็เลื่อนลงสู่หว่างขานาง เขาขยับนิ้วทั้งห้าเคล้าคลึงกลีบเนื้อนาง แล้วใช้หัวแม่มือแกร่งบดบี้ที่เม็ดทับทิม“อ๊า...”เฟิ่งอี๋แหงนหงายครางหนักขึ้นรู้สึกว่าบริเวณหวงห้ามที่เขากำลังรุกล้ำนั้นมีน้ำชุ่มฉ่ำออกมา มือหนึ่งของเขาสาละวนอยู่กับเต้านาง อีกมือก็ถูไถติ่งเนื้อเสียวย้ำ ๆ ส่วนปากเขาก็ไล้เลีย ดูดดึงยอดถันของนาง ทำเอาเรือนร่างของนางบิดเร่าอย่างสุดแสนจะทรมาน“เกอหล
ณ ตำหนักเฉียนชิงเฟิ่งอี๋ในร่างของกุ้ยเฟยจุดธูปบูชาตามพิธีกรรม จากนั้นก็ปล่อยให้ขันที และนางกำนัลเผากระดาษเงิน กระดาษทองอยู่หน้าตำหนัก ส่วนตนเองนั้นแอบเดินเข้ามาภายในห้องบรรทมของตนเองนางอยู่ที่ตำหนักแห่งนี้เกือบสิบปี แม้จะหลับตาเดิน นางยังจำทางได้อย่างแม่นยำ ดังนั้น เพียงไม่นานเฟิ่งอี๋ก็เข้ามาที่ห้องนอนของตนเอง นางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ด้วยความเศร้าใจ ตำหนักที่เคยเต็มไปด้วยความโอ่อ่าสวยงาม บัดนี้ถูกแทนที่ด้วยความเงียบเหงาวังเวง ตำหนักอันสวยงามถูกทิ้งร้างให้ฝุ่นจับไร้คนดูแลดวงตาเศร้าหมองของเฟิ่งอี๋ถูกเปลือกตาปิดลงจากนั้นเมื่อนางลืมตาขึ้นอีกคราก็กลับกลายเป็นแววตาวาววับเฉียบคม“เมื่อข้าสูญสิ้นสิ่งใดไป ข้าต้องได้มันกลับคืนเป็นพันเท่า !”เสียงนั้นเต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยว จากนั้นนางก็เดินไปยังโต๊ะเครื่องแป้ง เปิดหีบสีทองใบขนาดกลางออก ในนั้นมีผ้าไหมที่ถูกเย็บเป็นลักษณะพิเศษเพื่อบรรจุสิ่งของบางอย่าง นางหยิบมันขึ้นมาอย่างระมัดระวัง ดวงตาของนางวาวโรจน์ขึ้น“เมื่อแรกรักพระองค์เคยประทานสิ่งนี้ให้หม่อมฉัน..... เมื่อมีแค้นสุดแสนสาหัส หม่อมฉันก็จะคืนมันให้พระองค์ !”ณ ตำหนักไป่เหอ นางกำนัลสองคนกำ