ณ ตำหนักเฉียนชิงตำหนักที่ใหญ่ที่สุด และงดงามที่สุดในวังหลังเป็นที่ประทับของฮองเฮา ผู้มีอำนาจสูงสุดเหนือหมู่ 12 ตำหนักของสนมของฮ่องเต้เฉินเฉิง แห่งราชวงศ์เฉิน“ฮองเฮาเพคะ โอสถเพคะ”นางกำนัลข้างกายประคองถ้วยโอสถที่นางเคี่ยวเองกับมือตามคำสั่งของฮองเฮาวางลงตรงหน้าพระพักตร์ขาวซีดของผู้เป็นใหญ่ในตำหนักนี้เฟิ่งอี๋ฮองเฮา สตรีในวัยสามสิบปีมองถ้วยบรรจุโอสถสีดำมีควันสีขาวจาง ๆ ลอยกรุ่นอยู่เหนือผิวน้ำ กลิ่นของมันชวนคลื่นเหียนยิ่งนัก ไม่ทันไรนางก็จำยอมเบือนหน้าหนีแล้วร่างบางก็สั่นสะท้านคล้ายกับจะขย้อนข้าวต้มในตอนเช้ามา“อะ.. อ๊อก..”“ฮองเฮาเพคะ ให้ตามหมอหลวงหรือไม่”นางกำนัลข้างกายลูบแผ่นหลังให้นายเหนือหัว ในขณะที่นางกำนัลอีกผู้หนึ่งรีบนำบ้วนพระโอษฐ์มารองรับสิ่งที่ฮองเฮาสํารอกออกมาจากปาก“มะ.. ไม่ต้อง”เฟิ่งอี๋รีบยกมือห้าม แววตาสั่นระริก ใบหน้าขาวซีดนั้นยิ่งดูซูบลงไปอีก ตั้งแต่ทรงพระครรภ์หลายสัปดาห์ที่ผ่านมานี้นางมีอาการแพ้ท้องอย่างหนัก ทันทีที่ได้กลิ่นอาหารหรือยา นางก็จะอาเจียนออกมาจึงทำให้ร่างกายที่ผ่ายผอมอยู่แล้วผอมลงไปอีก“แต่....”นางกำนัลข้างกายสีหน้าไม่สู้ดีนักด้วยความกังวลใจ เมื่อต้นเดื
ริมฝีปากขาวซีดเอ่ยถามเสียงแหบแห้ง นางได้รับความเฉยเมยจากสามีมาร่วมเดือน พบหน้ากันอีกครั้งเขากลับจะเอาชีวิตของเธอและลูกน้อยเสียแล้ว“รับสั่งเรื่องใดงั้นรึ เจ้ารู้อยู่เต็มอกว่าตนทำผิดเรื่องใด ยังจะแสร้งตีหน้าใสซื่อบริสุทธิ์ คิดว่าเราหูหนวกตาบอดแล้วรึ”เฉินเฉิงฮ่องเต้เชิดพระพักตร์ขึ้น เอ่ยด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว สองมือไพล่หลัง แผ่นหลังเหยียดตรง เรือนร่างสูงเด่นงามสง่าสมดั่งผู้อยู่บนบัลลังก์มังกร อยู่เหนือคนนับล้าน“หม่อมฉันไม่เคยทำผิดต่อพระองค์”แม้เสียงของฮองเฮาจะแผ่วเบา แต่คำนั้นหนักแน่น นับตั้งแต่นางอภิเษกกับประมุขของแผ่นดิน ทั้งจิตใจและร่างกายก็มอบไว้บนฝ่ามือเขาเพียงผู้เดียว เป็นเขาเองต่างหากที่มีสนมนางในนับร้อย แม้เจ็บซ้ำที่ต้องแบ่งปันสามีให้สตรีอื่น แต่นางก็ฝืนทนกล้ำกลืนความเจ็บซ้ำนั้นเอาไว้ เพราะตระหนักดีว่า สามีของนางเป็นฮ่องเต้มีชีวิตเพื่อแผ่นดิน มิได้มีไว้ให้นางครอบครองเพียงผู้เดียว“ไม่เคยทำผิดต่อข้างั้นรึ !”ฮ่องเต้ทรงสาวพระบาทตรงเข้าหาฮองเฮา มือแกร่งบีบไหล่นางทั้งสองข้างอย่างแรง จากนั้นก็ตะคอกใส่หน้าของนางว่า “แล้วบุรุษที่เจ้าซุกซ่อนเอาไว้ในคราบของขันทีในตำหนักของเจ้าคืออะไร แ
“หม่อมฉันจงรักและภักดีต่อพระองค์เพียงผู้เดียวเพคะ”กุ้ยเฟยส่งเสียงหวานอย่างออดอ้อน... แต่แล้วนางก็รู้สึกว่าท้องของนางบีบรัดเจ็บปวดมากขึ้นจนใบหน้าเหยเก มือที่เคยเกาะกุมลำแขนแกร่งของเขาก็เกร็งจิกเข้าไปในเนื้อโดยไม่รู้ตัว บนหน้าผากมีเหงื่อผุดพราย เนื้อตัวเย็นเฉียบฉับพลันฮ่องเต้ทรงรับรู้ได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง จึงก้มลงมองดูนางพลางตรัสถามว่า“กุ้ยเฟยเจ้าเป็นอะไร”“ฝะ... ฝ่าบาทเพคะ หม่อมฉันเจ็บท้อง”นางส่งเสียงออกมาอย่างยากลำบาก ความเจ็บปวดทรมานมันเริ่มแผ่ซ่านไปทั่วทั้งตัวราวกับตกอยู่ในนรกขุมอเวจีเมื่อฮ่องเต้ทรงทอดพระเนตรมองดูส่วนล่างของสนมรักก็พบเลือดมากมายไหลออกมาย้อมกระโปรงของนางจนแดงฉาน พระองค์ถึงกับเบิกตาโพลง ริมฝีปากค้าง ภาพของนางซ้อนทับกับภาพของฮองเฮาตอนแท้งลูกไม่มีผิดเพี้ยนเมื่อเห็นใบหน้าถอดสีของฮ่องเต้ กุ้ยเฟยจึงก้มลงดูท้องของตนเอง ภาพเบื้องล่างที่เห็นทำให้นางกรีดร้องออกมาราวกับคนเสียสติ แล้วหมดสติไป“เร่งฝีเท้ากลับตำหนักไป่เหอ กงกงตามหมอหลวงมาเร็วเข้า !”ฮ่องเต้ทรงตวาดสั่งออกมาอย่างร้อนพระทัยณ ตำหนักไป่เหอภายในตำหนักของกุ้ยเฟย ร่างในแท่นบรรทมขยับไหวกายเพียงเล็กน้อย นางกำนัล
เมื่อเห็นว่าคนในอ้อมกอดดูจะสงบลงแล้ว ฮ่องเต้จึงประคองนางมาที่แท่นบรรทม ใช้ร่างกายของตนเป็นต่างหมอนให้นางนอนเอนลง จากนั้นก็สั่งหมอหลวงให้รีบเข้ามาดูอาการเฟิ่งอี๋เงยหน้าขึ้นมองดูสามีของตนที่กำลังเฝ้าทะนุถนอมร่างกายฟางเหรินกุ้ยเฟยอย่างรักใคร่ ยิ่งเห็นเขารักร่างกายนี้มากเท่าไหร่ ความแค้นก็ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นเท่านั้นเมื่อก่อนนางเป็นฮองเฮาที่ดีต่อเขามากเพียงไร เขากลับเฉยชา หนำซ้ำยังสั่งประหารตระกูลนางจนหมดสิ้น ในเมื่อเป็นคนดีแล้วถูกเหยียบย่ำ นางก็จะใช้ร่างกายของคนที่นางชิงชังที่สุดตอบสนองความกรุณาของเขาคืนให้เป็นพันเท่าทวีคูณ !“ทูลฝ่าบาท พิษในกายของพระสนมถูกขับออกหมดแล้ว เหลือเพียงแผลที่เกิดจากคมคันฉ่องเมื่อครู่ กระหม่อมได้ใส่โอสถให้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”หมอหลวงเฒ่าถวายรายงาน“ขอบใจมาก เจ้าออกไปเถอะ”ฮ่องเต้พยักหน้าเบา ๆ แววตาเหนื่อยล้า สองสามวันมานี้เกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นมากมายนัก เมื่อเห็นร่างในอ้อมแขนเหม่อลอย เขาก็เข้าใจว่านางยังคงเศร้าเสียใจกับการสูญเสียลูกในครรภ์ จึงออกพระโอษฐ์ว่า “เพื่อเป็นการชดเชยที่เจ้าสูญเสียลูกไป และเพื่อเป็นสิ่งตอบแทนที่เจ้าช่วยให้เราตาสว่างเรื่องเฟิ่งอี๋ฮองเฮ่าล
“เอาละ ในเมื่อพวกเจ้าเหล่าพี่น้อง มาถวายพระพรเราจนครบแล้ว วันนี้ก็พอเท่านี้เถิด”“ขอจงทรงพระเจริญ หมื่น ๆ ปี หมื่น ๆ ปี”สนมทั้งหมดล้วนลุกขึ้นถวายพระพรน้อมส่ง ยกเว้น ฟางเหรินกุ้ยเฟย !“กุ้ยเฟย”เสียงเรียกขานดังขึ้นพร้อมกับฝ่ามือใหญ่วางลงที่บ่าของนาง เฟิ่งอี๋จึงดึงสติของตนกลับมาในปัจจุบัน“ถวายพระพรฝ่าบาทเพคะ”เฟิ่งอี๋ในร่างของฟางเหรินกุ้ยเฟยลุกขึ้นยอบกายถวายความเคารพตามธรรมเนียมท่วงท่าห่างเหิน บวกกับน้ำเสียงเย็นชานั้น ทำให้เฉินเฉิงฮ่องเต้เข้าใจว่านางยังคงเสียใจเรื่องลูก จึงรีบเข้าไปประคองนางให้ลุกขึ้น แล้วกล่าวว่า“ร่างกายเจ้ายังไม่แข็งแรง ไม่ต้องมากพิธีเช่นนี้”ฮ่องเต้ประคองนางให้นั่งบนเก้าอี้ดังเดิม พร้อมกับกอบกุมมือนิ่มเอาไว้ แล้วเอ่ยอย่างเอาใจว่า“เราตรวจฎีกาหมดแล้ว วันนี้ทั้งวันทั้งคืนเราจะอยู่เป็นเพื่อนเจ้าที่ตำหนักดีหรือไม่”เฟิ่งอี๋เม้มปากเข้าหากันจนสนิทเป็นเส้นตรง หลุบตาลงต่ำซ่อนความโกรธแค้นเอาไว้จนมิดชิด นางจะร่วมเตียงกับคนที่สั่งประหารนางและลูกอย่างทารุณ และฆ่าล้างตระกูลของนางจนสิ้นได้อย่างไร“ขอประทานอภัยเพคะ หม่อมฉันเพิ่งจะสูญเสียลูกไปร่างกายยังไม่พร้อมที่จะปรนนิบัติฝ่าบ
เช้าวันใหม่หลังจากเสวยพระกระยาหารเรียบร้อยแล้ว เฟิ่งอี๋ในร่างของฟางเหรินกุ้ยเฟยก็มีรับสั่งจะเสด็จไปยังคุกหลวง ที่จองจำผู้ต้องสงสัยในคดีลอบวางพิษนางกำนัล และขันทีต่างหายใจกันไม่ทั่วท้องรีบเอ่ยทักท้วงว่า“พระวรกายของพระสนมยังไม่แข็งแรง ไม่ควรเสด็จไปยังคุกหลวงที่เต็มไปด้วยไอชั่วร้าย”“สถานที่เลวร้ายเช่นนั้น หากกระหม่อมปล่อยให้พระนางไป ฝ่าบาทต้องทรงพิโรธแน่ ๆ พ่ะย่ะค่ะ”“ได้โปรด ถอนรับสั่งด้วยเพคะ”เฟิ่งอี๋ทรงนิ่งฟังคำทัดทานนั้น คล้ายลมที่พัดผ่านหู หากนางไม่ลงไปสืบความด้วยตนเอง จะรู้ได้เช่นไรว่าใครที่อยู่เบื้องหลังการลอบสังหารร่างนี้ !เมื่อก่อนนางยอมโอนอ่อนอยู่ในตำหนัก แล้วเป็นเช่นไรเล่า สุดท้ายความตายก็มาเยือนถึงตำหนักฟางเหรินกุ้ยเฟยเป็นที่โปรดปรานของฝ่าบาทย่อมเป็นที่ริษยาในเหล่านางสนมด้วยกัน อีกทั้งยังชอบยกหางตนเหยียบย่ำคนอื่น ศัตรูในวังหลังมีมากจนเดาไม่ได้ว่าเป็นฝีมือใครกันแน่ร่างอ้อนแอ้นบอบบางในชุดชาววังชั้นสูงไหวกายลุกขึ้น แผ่นหลังเหยียดตรง แล้วเยื้องพระบาทมุ่งหน้าไปยังคุกหลวงโดยไม่กล่าวสิ่งใดอีกขันทีที่ดูแลตำหนักตะลีตะลานสั่งนางกำนัลเสียงขรม เมื่อห้ามไม่ได้ก็ต้องดูแลรับใช้ให้ด
ได้ยินดังนั้น หัวใจของเฟิ่งอี๋ก็เต้นแรงขึ้น รีบหันหน้าไปมองดูผู้คุม เขายังคงยืนหันหลังนิ่ง อีกทั้งจุดที่เขายืนอยู่ด้านนอกยังห่างไกลจากจุดที่นางสอบถามนักโทษ คำพูดของนางกำนัลเมื่อครู่เขาอาจจะไม่ได้ยิน ถึงได้ยินก็คงจะจับใจความไม่ได้ เพราะเสียงของนางกำนัลแหบแห้ง อีกทั้งยังรัวคำพูดด้วยความตื่นตกใจเรื่องนี้ซับซ้อนกว่าที่นางคิดไว้ ดีไม่ดีนางอาจจะถูกบั่นหัวไปด้วยเช่นกัน ถ้ายาถ้วยนั้นเป็นยาขับเลือด นั่นหมายความว่าลูกในท้องของฟางเหรินกุ้ยเฟยไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อมังกรเป็นแน่แท้ แต่ลูกของนางเป็นลูกชู้ !เฟิ่งอี๋หันกลับมาจ้องอดีตนางกำนัลข้างกายกุ้ยเฟย แล้วยกนิ้วชี้ขึ้นแตะที่ริมฝีปากเป็นสัญลักษณ์บอกให้นางเบาเสียงลง ก่อนเอ่ยต่อไปว่า“อี๋เหนียง ข้าถูกยาพิษจนเกือบจะเอาชีวิตไม่รอด เมื่อฟื้นขึ้นมาข้าก็จำอะไรไม่ได้ หากเจ้าอยากให้เราช่วยชีวิตเจ้าก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้เราฟังอีกครั้ง”เฟิ่งอี๋ใช้น้ำเสียงปลอบประโลม กึ่งบังคับนางให้เล่าความจริงออกมา“พระสนม วันนั้นก่อนที่จะเสด็จไปตำหนักเฉียนชิง พระนางรับสั่งให้หม่อมฉันไปเอายาขับเลือดจากหมอกว่างมาให้พระนางเสวย หม่อมฉันเพียงแค่ทำตามพระประสงค์ของพระน
ณ ศาลาแปดเหลี่ยม ริมบึงบัวเฟินหนิงกุ้ยเหรินก้าวเข้ามาในศาลาอย่างเงียบเชียบ นางยกมุมปากขึ้นนิด ๆ คาดไม่ถึงว่าหลังจากที่น้องสาวต่างมารดาผู้นี้ฟื้นขึ้นจากความตายแล้ว จะมีหัวคิดมากขึ้น รู้จักเลือกสถานที่สนทนาที่ไม่ให้ผู้ใดสงสัยและมีความปลอดภัยอย่างยิ่ง เพราะศาลาแห่งนี้ก็อยู่ในที่โล่ง จึงไม่ต้องกังวลว่าจะมีการลอบทำร้าย อีกทั้ง ผู้ติดตามจากทั้งสองตำหนักล้วนยืนรอพวกนางอยู่ข้างนอกในรัศมีที่ไม่สามารถได้ยินการสนทนาของคนที่อยู่ในศาลาได้“ถวายพระพร ว่าที่ฮองเฮาเพคะ”กุ้ยเหรินยอบตัวลง จงใจออกเสียงฮองเฮาให้ดังมากกว่าปกติ เหน็บแนมในความได้ดีของน้องสาวร่วมสายเลือด แม้จะเกิดในตระกูลเดียวกัน แต่วาสนาของคนทั้งคู่กลับต่างกันลิบลับนางเป็นลูกภรรยาเอก เกิดจากฮูหยินที่มาจากตระกูลมีชื่อเสียง แต่กลับมีความงามสู้ลูกอนุภรรยาที่เป็นนางโลมชั้นต่ำไม่ได้ ! ทันทีที่ฟางเหรินลืมตาดูโลก ทุกคนในครอบครัวต่างลืมว่านางเป็นลูกสาวอีกคน เมื่อเติบโตขึ้นนางเพียรพยายามหัดเรียนเขียนอักษร เดินหมาก วาดภาพเพื่อแสวงหาความรุ่งโรจน์ในวังหลวง แต่น้องสาวผู้นี้ยังตามมาจองล้างจองผลาญนางถึงที่นี่ แย่งเอาความรุ่งโรจน์ที่นางปรารถนาไปครอบคร
เฟิ่งอี๋เหยียดยิ้มที่มุมปาก แล้วกรีดนิ้วหยิบน้ำชาขึ้นจิบอย่างสำราญใจ“ใต้เท้าเกอหลาง หัวหน้าองครักษ์ขอเข้าเฝ้า”เสียงขันทีประจำตำหนักเมฆาสวรรค์ร้องประกาศขึ้นตามระเบียบการขอเข้าเฝ้าฮ่องเต้“เข้ามาได้”เฟิ่งอี๋เอ่ยเสียงเรียบเป็นการอนุญาต ขันทีจึงเดินนำขุนนางผู้นั้นเข้ามา เมื่อฮ่องเต้หญิงโบกมือขึ้นหนึ่งครั้ง นางกำนัลและขันทีก็หายออกไปจากห้องรับรองอย่างรวดเร็ว“ถวายพระพรฝ่าบาท ของจงทรงพระเจริญ หมื่นปี หมื่นปี หมื่นหมื่นปี”เกอหลางคุกเข่าลงถวายความเคารพต่อฮ่องเต้พระองค์ใหม่ ซึ่งเคยเป็นสตรีอันเป็นที่รักยิ่งของเขา เขาจึงรู้สึกกระอักกระอ่วนใจปนเปกับความคิดสับสนบางประการ“ลุกขึ้นเถอะ ไม่ตั้งมากพิธี”เฟิ่งอี๋บอก ดวงตาหงส์คมกริบจับจ้องบุรุษตรงหน้าอย่างใคร่ครวญ ความรักที่มีต่อฟางเหรินของบุรุษผู้นี้ทำให้แผนการแก้แค้นทุกอย่างราบรื่น แต่นางก็ไม่อาจแน่ใจได้ว่าความรักที่มีมากล้นนี้จะหวนกลับมาทำร้ายนางหรือไม่ หากเขารู้ว่าแท้จริงแล้ววิญญาณที่อยู่ในร่างนี้ไม่ใช่ฟางเหรินคนรักของเขา !“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ”เกอหลางลุกขึ้น แล้วมองสบพระเนตรฮ่องเต้หญิง ฉับพลันนั้นเขารู้สึกว่าไม่เคยรู้จักสตรีตรงหน้าแม้แต่น้อย ด
เฉินฉู่หยัดสะโพกขึ้นรับกับปากน้อยอย่างซ่านกระสัน สองมือสอดเข้าเรือนผมสีดำนุ่มสลวยของนาง แล้วเคล้าคลึงอย่างสุขซ่านเฟิ่งอี๋ใช้เรียวลิ้นเล็กตวัดไล้เลียที่ส่วนหัวมังกรบากใหญ่ลิ้มรสหวานผสมกับรสเค็มปะแล่ม จากนั้นก็ปาดเลียไปทั่วแก่นลำ“อืม... ฮองเฮา... ฮองเฮา ข้าจะทนไม่ไหวแล้ว”เฉินฉู่ไม่อาจทนการยั่วเย้าได้อีกไป เขาหยัดกายขึ้นแล้วกดนางลงกับเตียงเป็นฝ่ายขึ้นคร่อมนางไว้ จากนั้นก็จ้วงแทงแก่นมังกรใหญ่เข้าสู่กายนางอย่างเร็วรวด“อ๊าซ์ !”เฟิ่งอี๋อุทานครางออกมาลั่น แก่นมังกรร้อนฉ่ามุดเข้าสู่ภายในกายของนางจนสุดลำ“ฮองเฮา...ข้ารักเจ้า... ข้ารักเจ้า”อ๋องเฉิงฉู่พร่ำไม่หยุดปาก ขณะที่พรมจูบไปตามใบหน้างดงามเต็มไปด้วยเสน่ห์เร้าใจ จากนั้นก็ก้มลงบดจูบนางอย่างเร่าร้อน ใช้ปลายลิ้นร้อนตวัดเกี่ยวพันกับลิ้นเล็กเพื่อดูดดื่มความหวานล้ำ เมื่อถอนจูบออกเขาก็ขบเม้มกลีบปากล่างของนางอย่างหื่นกระหาย“อ่า”เฟิ่งอี๋ยกมือขึ้นลูบไล้ไปตามแผ่นหลังแกร่ง เร่งเร้าให้เขาขยับสะโพกอัดแก่นมังกรเข้าออกร่างอ๋องเฉิงฉู่สั่นสะท้านตอบรับ ลมหายใจกระชั้น เขาจึงขบนางเบา ๆ ที่บ่าอย่างลุ่มหลง แล้วหยัดตัวขึ้น สองมือจับเอวนางไว้แล้วเริ่มกระแทกแ
อ๋องเฉินฉู่เอ่ยกับนาง แต่กลับก้มหน้าลง มิอาจมองนางตรง ๆ ได้ เพราะอาภรณ์ที่นางสวมใส่บางนัก จนมองเห็นโครงร่างของทรวงอกอวบอิ่มเป็นดอกบัวตูมดอกใหญ่ ปลายยอดดอกพุ่งชี้มาทางเขา จนรู้สึกว่าห้องนี้ช่างร้อนเกินไปแล้ว“ท่านอ๋อง.... บัดนี้ฮ่องเต้ทรงประชวรมิอาจออกว่าราชการได้ งานในราชสำนักหากปล่อยไว้เนิ่นนานไม่ดีแน่ เรามองไม่เห็นผู้ใดแล้ว.... นอกจากท่าน... ท่านเท่านั้นที่จะบริหารบ้านเมืองต่อไปได้”เสียงของนางหวานล้ำอีกทั้งยังเจื่อความขมขื่นในใจ ต่อให้ผู้ฟังเป็นบุรุษใจหินเพียบงใด ก็อ่อนยวบลงราวกับขี้ผึ้งลนไฟเมื่อได้ยินนางเอ่ยเช่นนั้นสายตาของอ๋องเฉินฉู่ก็แปรเปลี่ยนเป็นกรุ้มกริ่มขึ้นมา ต่อให้นางเป็นแม่ของแผ่นดิน แต่ดรุณีน้อยก็ยังเป็นบุปผาแรกแย้มอยู่วันยังค่ำ เมื่อเสาหลักที่ยึดเกาะพังทลายลง มีหรือนางจะไม่หันเข้าหาเสาต้นใหม่เป็นที่พักพิง“ขอบพระทัยฮองเฮาที่ทรงเชื่อมั่นในตัวข้า”เขาเอ่ยอย่างลำพองใจเป็นที่สุด นับตั้งแต่อดีตเชื้อพระวงศ์ก็มิอาจหลีกเลี่ยงการเข่นฆ่าพี่น้องเพื่อชิงบัลลังก์ แต่สำหรับเขาแล้วรู้สึกว่าสวรรค์ช่างเข้าข้างยิ่งนัก เลือดไม่เปื้อนมือเขาสักหยด แต่บัลลังก์กลับถูกถวายใส่พานให้เขาเสียแล้ว
“ว่าอย่างไรนะ”ฮ่องไทเฮาแทบจะล้มลงกับพื้น นางกำนัลสองคนจึงรีบเข้ามาพยุงไว้ ผู้ที่ได้ยินถ้อยคำนั้นถึงกับอุทานออกมาอย่างพร้อมเพรียง – ฮ่องเต้มีชีวิตอยู่ราวกับคนตายหรือเนี่ย –ส่วนหมอหลวงนั้นมิอาจตอบคำถามได้อีกต่อไปทรุดตัวลงแล้วโขกศีรษะลงกับพื้นราวกับคนเสียสติเพื่อร้องขอชีวิต“โปรดไว้ชีวิตหม่อมฉันด้วย”“เอามันไปตัดหัว !”ฮองไทเฮาสั่งลงอาญาทั้งน้ำตาเฉินเฉิงฮ่องเต้ได้ยิน และเห็นทุกอย่างผ่านห่างตา เห็นว่าหมอหลวงถูกทหารลากออกไปได้รับโทษทัณฑ์แทนฮองเฮา แต่เขามิอาจเอ่ยวาจาร้องขอความเป็นธรรมแทนหมอหลวงได้ แม้กระทั่งขยับตัวก็มิอาจทำได้ ทำได้เพียงปล่อยเรื่องทั้งหมดให้เป็นไป พระองค์เสียใจอย่างที่สุดที่เฟิ่งอี๋ไม่ฆ่าเขาให้ตาย เพราะถ้าเขาตายก็ไม่ต้องรู้สึกเจ็บปวดและสิ้นหวังเหมือนตอนนี้ !2 วันต่อมาเฟิ่งอี๋ในร่างของฟางเหรินฮองเฮากำลังกรีดนิ้วหยิบช้อนตักน้ำแกงป้อนฮ่องเต้ซึ่งนอนอยู่บนแท่นบรรทม น้ำแกงสีทองไหลเข้าพระโอษฐ์ได้เพียงหนึ่งส่วน ส่วนที่เหลือล้วนถูกเขาใช้ลมขับพ่นออกมาจนเลอะไปทั้งหน้าและปากของตนเองเฟิ่งอี๋ไม่เพียงแต่ไม่โมโหกลับยังยิ้มเย็นให้คนที่ทำตัวเหมือนเด็กเอาแต่ใจไม่ยอมกลืนอาหารลงไปดี ๆ น
ตั้งแต่สตรีนางนี้เหยียบย่างเข้าสู่วังหลวง ล้วนมีเรื่องร้ายให้พระองค์ต้องกังวลพระทัยบ่อย ๆ พระองค์จึงไม่โปรดนางเท่าใดนัก ยิ่งวันนี้โอรสของพระองค์ถึงกับประชวรในขณะที่ฟางเหรินเป็นผู้ปรนนิบัติ พระองค์จึงชิงชังนางเข้าไส้ เพราะปักพระทัยเชื่อว่า สตรีนางนี้เป็นกาลกิณีที่นำเภทภัยมาสู่บัลลังก์ !ฮองไทเฮาตวัดสายตาคืนกลับมา ด้วยเคยเป็นพญาหงส์มานานจึงซ่อนอารมณ์ความรู้สึกทุกอย่างไว้ภายใต้หน้ากากยับย่นที่เต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งวัย พระองค์รอให้หมอหลวงตรวจพระวรกายขององค์ฮ่องเต้จนเรียบร้อยแล้วจึงตรัสถามว่า“เป็นอย่างไรบ้าง”“เรียนไทเฮา... จากการตรวจชีพจรพบว่าเลือดลมของฝ่าบาทวุ่นวายสับสน คล้ายกับว่าเผชิญกับเรื่องตื่นตระหนก หรือตื่นเต้นอย่างสุดขีด เกินกว่าร่างกายจะรับไหว จึงหมดสติไปพ่ะย่ะค่ะ”หมอหลวงประสานมือไว้ได้หน้าแล้วกล่าวรายงาน ไม่กล้าสบพระเนตรฮองไทเฮาคล้ายกับมีสิ่งใดซ่อนไว้“ถ้าเพียงแค่ตกใจ ไยตอนนี้ฮ่องเต้ยังไม่ฟื้นเล่า”ฮองไทเฮาน้ำเสียงเข้มขึ้น ซักถามอย่างข้องใจ“อะ... เอ่อ..”หัวใจของหมอหลวงเต้นแรงขึ้น บนหน้าผากเริ่มมีเหงื่อผุดพรายขึ้นมา“ท่านหมอ”ฮองไทเฮาเรียกหมอหลวงเสียงเยียบเย็นเสียงนั้นทำให้ห
เฉินเฉิงแววตาสั่นระริกในนั้นปรากฏรอยหวาดกลัวและสับสน อยากจะวิ่งหนีแต่ร่างกายขยับไม่ได้ตามคำสั่งแม้แต่น้อย อยากตะโกนให้คนช่วยแต่ขากรรไกรเขากลับค้างไม่สามารถเปล่งวาจาออกมาเป็นคำได้เลย“อ่า.... พระองค์ทรงลืมไปแล้วหรือ.... มีสตรีนางหนึ่งที่ยอมละทิ้งอาชีพทางการแพทย์ ทิ้งความฝันของตนเพียงเพื่อถวายตัวและหัวใจรับใช้ฝ่าบาทอย่างโง่งม”เฟิ่งอี๋หยัดกายขึ้น เอ่ยถึงความหลังขณะที่ใช้ปลายนิ้วไล้ไปตามพระพักตร์ขาวซีดของฮ่องเต้“ในครั้งนั้น ฝ่าบาททรงโปรดหม่อมฉันที่สุด จนได้รับแต่งตั้งเป็นฮองเฮา และยังตรัสกับหม่อมฉันว่า - สตรีงามไม่นานก็โรยรา แต่สตรีมีปัญญาเลิศล้ำ ควรค่าต่อการเป็นแม่ของแผ่นดิน - เหอะ !”นางแค่นเสียงออกมาคำหนึ่ง ดวงตารื้นขึ้นด้วยน้ำตาแห่งความเจ็บซ้ำ จากนั้นก็เอ่ยต่อไปด้วยเสียงสั่นพร่าว่า“ถ้อยคำเหล่านั้นล้วนจอมปลอมทั้งสิ้น มีปัญญาสูงค่าแล้วอย่างไร สุดท้ายพระองค์ก็เลือกสตรีเลอโฉมขึ้นมาแทนที่หม่อมฉัน หนำซ้ำยังควักเอาหัวใจของหม่อมฉันออกมาเฉือนเป็นชิ้น ๆ โดยการสั่งให้หม่อมฉันดื่มยาขับเลือด ! ลูกของหม่อมฉัน พระองค์ทรงฆ่าลูกของเราด้วยมือของพระองค์เอง !”น้ำตาของนางไหลอาบทั้งสองแก้ม น้ำอุ่น ๆ ไ
ร่างงดงามเกร็งสะท้าน กลีบเนื้อสาวบีบรัดแก่นกายตุบ ๆ ในขณะที่นางรู้สึกเหมือนร่างกายระเบิดแตกออกแล้วลอยละลิ่วขึ้นสู่สวรรค์บุรุษหนุ่มผู้เร่าร้อนกระแทกอัดลำหอกเข้าจนสุดลำเป็นครั้งสุดท้าย แล้วแหงนหงายหน้าขึ้นคำรามลั่น“อ๊าก”ร่างกำยำของเขากระตุกหงึก ๆ สาดซัดน้ำอุ่น ๆ เข้าสู่กายนาง ปักลำหอกตรึงนางไว้ แล้วโน้มตัวลงสวมกอดร่างนุ่มนิ่มหอมกรุ่นเฟิ่งอี๋เผยอปากน้อย ๆ อย่างปริ่มสุขสมใจ พึมพำออกมาเสียงแผ่วเบาว่า“เมื่อถึงวันนั้น.... ท่านยังจะรั้งอยู่ข้างกายข้าหรือไม่”เสียงของนางเบามากราวกับเสียงแมลงบินผ่าน เกอหลางจึงฟังไม่ออกว่านางพูดอะไร แต่เมื่อจะขยับปากถาม นางก็หลับไปเสียแล้วณ ตำหนักเมฆาสวรรค์หลังจากงานเฉลิมฉลองตำแหน่งฮองเฮาเมื่อตอนเย็นสิ้นสุดลง เฟิ่งอี๋ก็ประคองแขนองค์ฮ่องเต้เข้ามายังห้องบรรทมในตำหนักเมฆาสวรรค์ ตำหนักหลวงที่เมื่อก่อนไม่ทรงอนุญาตให้สนมนางใดพักค้างคืนที่นี่ได้ เพราะเกรงว่าฝ่ายในจะสอดมือเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องในราชสำนักแม้เฟิ่งอี๋จะเคยครอบครองตำแหน่งฮองเฮานับสิบปีแต่ก็ไม่มีโอกาสได้ค้างคืนกับฮ่องเต้ในตำหนักแห่งนี้เลยสักครั้ง ยามนี้นางอาศัยร่างของฟางเหรินสนมผู้มีความงามเป็นหนึ
เกอหลางครางหือในลำคอคราหนึ่งประกายตาเขาเข้มขึ้นจนยากจะควบคุม ลำหอกที่อยู่ตรงส่วนกึ่งกลางกายก็พลันแข็งขึงขึ้นจนเจ็บร้าว แล้วริมฝีปากร้อนระอุก็จู่โจมเข้าที่ลําคอขาวผ่องของนางอย่างฉับไว และทรงพลังบุรุษหนุ่มที่เต็มไปด้วยความพลุ่งพล่านดันร่างสวยไปชิดผนังถังอาบน้ำอีกด้าน แล้วใช้ฝ่ามือกอบกุมเต้าอวบ ๆ ของนางเอาไว้ จากนั้นเขาก็จูบพรมเลื่อนมาจนถึงเนินเนื้อภูเขาสองลูก แล้วตวัดปลายลิ้นร้อนปาดเลียที่ป้านปทุมถันข้างหนึ่ง“อ่า...”เฟิ่งอี๋แหงนหน้าครางผะแผ่วอย่างซ่านกระสัน แอ่นทรวงอกหยัดดันเต้าของตนเข้าปากเขาให้แนบชิดมากขึ้น“อึก”เกอหลางดูดดึงภูเขาหนั่นเนื้อราวกับเด็กทารก มืออีกข้างก็บีบเฟ้นฟอนจนยอดปทุมถันครัดเคร่งดีดดิ้นสู้มือส่วนฝ่ามืออีกข้างก็เลื่อนลงสู่หว่างขานาง เขาขยับนิ้วทั้งห้าเคล้าคลึงกลีบเนื้อนาง แล้วใช้หัวแม่มือแกร่งบดบี้ที่เม็ดทับทิม“อ๊า...”เฟิ่งอี๋แหงนหงายครางหนักขึ้นรู้สึกว่าบริเวณหวงห้ามที่เขากำลังรุกล้ำนั้นมีน้ำชุ่มฉ่ำออกมา มือหนึ่งของเขาสาละวนอยู่กับเต้านาง อีกมือก็ถูไถติ่งเนื้อเสียวย้ำ ๆ ส่วนปากเขาก็ไล้เลีย ดูดดึงยอดถันของนาง ทำเอาเรือนร่างของนางบิดเร่าอย่างสุดแสนจะทรมาน“เกอหล
ณ ตำหนักเฉียนชิงเฟิ่งอี๋ในร่างของกุ้ยเฟยจุดธูปบูชาตามพิธีกรรม จากนั้นก็ปล่อยให้ขันที และนางกำนัลเผากระดาษเงิน กระดาษทองอยู่หน้าตำหนัก ส่วนตนเองนั้นแอบเดินเข้ามาภายในห้องบรรทมของตนเองนางอยู่ที่ตำหนักแห่งนี้เกือบสิบปี แม้จะหลับตาเดิน นางยังจำทางได้อย่างแม่นยำ ดังนั้น เพียงไม่นานเฟิ่งอี๋ก็เข้ามาที่ห้องนอนของตนเอง นางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ด้วยความเศร้าใจ ตำหนักที่เคยเต็มไปด้วยความโอ่อ่าสวยงาม บัดนี้ถูกแทนที่ด้วยความเงียบเหงาวังเวง ตำหนักอันสวยงามถูกทิ้งร้างให้ฝุ่นจับไร้คนดูแลดวงตาเศร้าหมองของเฟิ่งอี๋ถูกเปลือกตาปิดลงจากนั้นเมื่อนางลืมตาขึ้นอีกคราก็กลับกลายเป็นแววตาวาววับเฉียบคม“เมื่อข้าสูญสิ้นสิ่งใดไป ข้าต้องได้มันกลับคืนเป็นพันเท่า !”เสียงนั้นเต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยว จากนั้นนางก็เดินไปยังโต๊ะเครื่องแป้ง เปิดหีบสีทองใบขนาดกลางออก ในนั้นมีผ้าไหมที่ถูกเย็บเป็นลักษณะพิเศษเพื่อบรรจุสิ่งของบางอย่าง นางหยิบมันขึ้นมาอย่างระมัดระวัง ดวงตาของนางวาวโรจน์ขึ้น“เมื่อแรกรักพระองค์เคยประทานสิ่งนี้ให้หม่อมฉัน..... เมื่อมีแค้นสุดแสนสาหัส หม่อมฉันก็จะคืนมันให้พระองค์ !”ณ ตำหนักไป่เหอ นางกำนัลสองคนกำ