เมื่อเห็นว่าคนในอ้อมกอดดูจะสงบลงแล้ว ฮ่องเต้จึงประคองนางมาที่แท่นบรรทม ใช้ร่างกายของตนเป็นต่างหมอนให้นางนอนเอนลง จากนั้นก็สั่งหมอหลวงให้รีบเข้ามาดูอาการ
เฟิ่งอี๋เงยหน้าขึ้นมองดูสามีของตนที่กำลังเฝ้าทะนุถนอมร่างกายฟางเหรินกุ้ยเฟยอย่างรักใคร่ ยิ่งเห็นเขารักร่างกายนี้มากเท่าไหร่ ความแค้นก็ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น
เมื่อก่อนนางเป็นฮองเฮาที่ดีต่อเขามากเพียงไร เขากลับเฉยชา หนำซ้ำยังสั่งประหารตระกูลนางจนหมดสิ้น ในเมื่อเป็นคนดีแล้วถูกเหยียบย่ำ นางก็จะใช้ร่างกายของคนที่นางชิงชังที่สุดตอบสนองความกรุณาของเขาคืนให้เป็นพันเท่าทวีคูณ !
“ทูลฝ่าบาท พิษในกายของพระสนมถูกขับออกหมดแล้ว เหลือเพียงแผลที่เกิดจากคมคันฉ่องเมื่อครู่ กระหม่อมได้ใส่โอสถให้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
หมอหลวงเฒ่าถวายรายงาน
“ขอบใจมาก เจ้าออกไปเถอะ”
ฮ่องเต้พยักหน้าเบา ๆ แววตาเหนื่อยล้า สองสามวันมานี้เกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นมากมายนัก เมื่อเห็นร่างในอ้อมแขนเหม่อลอย เขาก็เข้าใจว่านางยังคงเศร้าเสียใจกับการสูญเสียลูกในครรภ์ จึงออกพระโอษฐ์ว่า “เพื่อเป็นการชดเชยที่เจ้าสูญเสียลูกไป และเพื่อเป็นสิ่งตอบแทนที่เจ้าช่วยให้เราตาสว่างเรื่องเฟิ่งอี๋ฮองเฮ่าลอบคบชู้....”
เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ ร่างในอ้อมแขนก็สั่นสะท้านขึ้นมาอีกครา แต่เป็นเพราะว่านางหันหลังพิงหน้าอกเขา พระองค์จึงไม่มีโอกาสได้เห็นว่าดวงตาของนางแดงก่ำด้วยความเจ็บแค้นหาใช่ความเสียใจไม่ เขาจึงตรัสด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า
“เราจะแต่งตั้งเจ้าเป็นฮองเฮาคนใหม่ มีอำนาจอยู่เหนือทั้ง 12 ตำหนักในวังหลัง”
ว่าที่ฮองเฮาพระองค์ใหม่กำลังทอดพระเนตรดอกบัวตระการตาในสระ หากแต่แววตานั้นกลับมิได้มีเงาของดอกบัวแม้แต่น้อย พระนางยังทรงจมอยู่กับความคิดของตน
อีกไม่กี่วันข้างหน้านางจะได้รับการแต่งตั้งเป็นฮองเฮา ตำแหน่งเก่าของนางที่ถูกแต่งตั้งใหม่ คล้ายกับวิญญาณเดิมของเฟิ่งอี๋ ที่ย้ายจากร่างสตรีวัยสามสิบสู่ร่างใหม่ของฟางเหริน สตรีวัยสิบแปดปีที่เต็มไปด้วยความสาว และความสวย แต่ร่างนี้ เป็นร่างที่นางชิงชังยิ่งนัก !
มือเรียวของเฟิ่งอี๋รวบกำเข้าหากันแน่นโดยไม่รู้ตัว นางกำนัล และขันทีคอยยืนรับใช้อยู่ห่าง ๆ แม้ว่าพระนางจะทรงนั่งอยู่ริมสระน้ำนานแล้ว แต่ก็ไม่มีผู้ใดกล้ารบกวน
เฟิ่งอี๋ ยังจำวันแรกที่ฟางเหรินเหยียบย่างเข้าสู่พระราชวังต้องห้ามแห่งนี้ได้ดี.....
วันนั้นเป็นวันคัดเลือกสนมนางกำนัลประจำปี สตรีสกุลดีเพียบพร้อมทั้งกิริยาวาจาถูกคัดเลือกเข้าสู่วังหลวงนับร้อยนาง เพื่อให้องค์ฮ่องเต้ทรงพิจารณาเลือกสนมข้างกายคนใหม่ ทันทีที่เฉินเฉิงฮ่องเต้ทอดพระเนตรเห็นความงามของฟางเหรินที่เปรียบประดุจราชินีบุปผา พระองค์ถึงกับรับสั่งเลือกนางเป็นสนมเพียงผู้เดียว สตรีที่เหลือก็มอบให้เป็นนางกำนัลให้แก่ตำหนักต่าง ๆ เรื่องนี้เป็นที่โจษจันกันนานนับเดือน
อีกทั้ง ฮ่องเต้ยังพระราชทานตำแหน่งเฟยให้ฟางเหรินทันทีที่เข้าถวายงานในแท่นบรรทม สูงกว่าตำแหน่งของเฟินหนิง พี่สาวต่างมารดาของฟางเหริน แม้นางจะเข้าถวายงานรับใช้ฝ่าบาทก่อนน้องสาวถึง 2 ปี แต่ก็ยังเป็นได้เพียงกุ้ยเหรินเล็ก ๆ นางหนึ่งเท่านั้น
ครั้งนั้น ฮ่องเต้ทรงลุ่มหลงฟางเหรินเพียงใดทุกคนล้วนประจักษ์ ด้วยผิวพรรณ สัดส่วน แลใบหน้านั้นราวกับนางสวรรค์ลงมาเดินเล่นบนแดนมนุษย์ พระองค์ทรงอยู่ในตำหนักของนาง 7 วัน 7 คืนมิออกว่าราชการ
แล้วเมื่อออกว่าราชการในวันถัดมาฮ่องเต้ก็ทรงแต่งตั้งนางเป็นกุ้ยเฟยทันทีโดยไม่สนใจลำดับขั้นธรรมเนียมการแต่งตั้งตำแหน่งสนมที่บัญญัติไว้อีกต่อไป
เช้าวันนั้น เฟิ่งอี๋นั่งในตำแหน่งฮองเฮา บนบัลลังก์หงส์ทองคำรอรับพระสนมจาก 12 ตำหนักมาถวายพระพรตามธรรมเนียม เหล่าสนมล้วนมากันพร้อมหน้าตั้งแต่เช้าตรู่ แต่พระสนมคนใหม่กลับมาช้าที่สุด หนำซ้ำยังให้นางกำนัลประคองแขนเข้ามา ยุรยาตรดั่งเดินชมสวนในอุทยานก็มิปาน
“ถวายพระพรองค์ฮองเฮาเพคะ”
ฟางเหรินเปล่งเสียงหวานปานน้ำผึ้ง แต่กลับไม่ยอมยอบตัวลงดั่งวาจาที่ลั่นออกมา นางยกยิ้มที่มุมปากสบพระเนตรผู้ที่อยู่บนบัลลังก์หงส์อย่างไม่สะทกสะท้าน ด้วยลำพองใจว่านางเป็นที่โปรดปรานขององค์ฮ่องเต้ยิ่งนัก เมื่อเห็นเปลวไฟในแววตาของสนมทุกคนที่อยู่รายรอบ นางจึงจงใจโยนเชื้อไฟเข้าไปอีกโดยการเอ่ยว่า “หม่อมฉันต้องขออภัยฮองเฮาเป็นอย่างยิ่งที่มิอาจคุกเข่าถวายพระพรเหมือนดังพี่หญิงคนอื่น ๆ ได้ ด้วยเพราะร่างกายของหม่อมฉันถูกฝ่าบาทเคี่ยวกรำถึง 7 วัน 7 คืน จนระบมไปหมดทั้งกาย เพียงแค่เดินจากตำหนักไป่เหอมาที่ตำหนักเฉียนชิงก็นับว่ายากแล้ว”
เมื่อจบคำ ไฟริษยากองใหญ่ก็ดูเหมือนจะพวยพุ่งจนท่วมท้นตำหนักเฉียนชิง มีเพียงเฟิ่งอี๋ฮองเฮาเท่านั้นที่ยังคงมองนางอย่างเฉยชาประดุจก้อนน้ำแข็งท่ามกลางกองไฟ
“นำตั่งนั่งให้ฟางเหรินกุ้ยเฟย”
ฮองเฮาสั่งเสียงเรียบ เมื่อขันทีนำตั่งมาให้กุ้ยเฟยแล้ว ฮองเฮาจึงกล่าวกับนางว่า “ลำบากเจ้าแล้ว”
แม้ฮองเฮาจะรู้ว่าฟางเหรินจงใจหยามนางถึงตำหนักเฉียงชิง แต่นางก็ไม่นำพาเรื่องนี้มาใส่ใจมากนัก เพราะสนมที่อยู่ข้างกายฮ่องเต้มีนับพัน ต่อให้นางกำจัดฟางเหรินไปหนึ่งคน ในภายภาคหน้าก็ยังมีสนมที่จะก้าวขึ้นเป็นที่โปรดปรานคนใหม่เกิดขึ้นเรื่อย ๆ หากนางไล่กำจัดทุกคนชีวิตคงจะเหน็ดเหนื่อยมาก สู้นางเอาเวลาที่ริษยาคนไปอื่นไปบำรุงร่างกายให้เหมาะแก่การตั้งครรภ์ให้ฮ่องเต้มิดีกว่าหรือ เพราะในฐานะฮองเฮานั้น ไม่จำเป็นต้องแย่งเป็นที่โปรดปรานขององค์ฮ่องเต้ พระองค์ก็ต้องเสด็จมาที่ตำหนักเฉียงชิงทุกเดือนตามกฎมณเฑียรบาล
“ขอบพระทัยเพคะ”
เมื่อไม่มีโอกาสได้เห็นใบหน้าโกรธกริ้วเพราะความริษยาของฮองเฮาแล้ว กุ้ยเฟยก็อดเสียดายไม่ได้
“ในเมื่อฟางเหรินกุ้ยเฟยทุ่มเทแรงกายแรงใจปรนนิบัติฝ่าบาทแทนพวกเราเหล่าพี่น้องดีเพียงนี้ เราในฐานะแม่ของแผ่นดินจึงอยากจะมอบของตอบแทนให้เจ้าสักเล็กน้อย”
ฮองเฮาแย้มพระโอษฐ์นิด ๆ กล่าวอย่างมีเมตตาใบหน้าเรียบเฉยนั้นไม่สามารถอ่านความรู้สึกจริง ๆ ได้เลย
ฟางเหรินกุ้ยเฟยได้ยินดังนั้นก็รีบเอ่ยเสียงหวานตอบกลับไปว่า
“ขอบพระทัยเพคะ”
แม้จะตอบไปเช่นนั้น แต่ในใจกลับขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ฮองเฮาผู้นี้จงใจเล่นงานทางอ้อมชัด ๆ การที่นางไม่ยอมคุกเข่าถวายพระพร นอกจากฮองเฮาไม่ตำหนิแล้วยังพระราชทานของรางวัลตอบแทนนางด้วย มิเท่ากับยืมมือเหล่าสนมมาเล่นงานนางเพราะความริษยาหรอกรึ
“เอาละ ในเมื่อพวกเจ้าเหล่าพี่น้อง มาถวายพระพรเราจนครบแล้ว วันนี้ก็พอเท่านี้เถิด”“ขอจงทรงพระเจริญ หมื่น ๆ ปี หมื่น ๆ ปี”สนมทั้งหมดล้วนลุกขึ้นถวายพระพรน้อมส่ง ยกเว้น ฟางเหรินกุ้ยเฟย !“กุ้ยเฟย”เสียงเรียกขานดังขึ้นพร้อมกับฝ่ามือใหญ่วางลงที่บ่าของนาง เฟิ่งอี๋จึงดึงสติของตนกลับมาในปัจจุบัน“ถวายพระพรฝ่าบาทเพคะ”เฟิ่งอี๋ในร่างของฟางเหรินกุ้ยเฟยลุกขึ้นยอบกายถวายความเคารพตามธรรมเนียมท่วงท่าห่างเหิน บวกกับน้ำเสียงเย็นชานั้น ทำให้เฉินเฉิงฮ่องเต้เข้าใจว่านางยังคงเสียใจเรื่องลูก จึงรีบเข้าไปประคองนางให้ลุกขึ้น แล้วกล่าวว่า“ร่างกายเจ้ายังไม่แข็งแรง ไม่ต้องมากพิธีเช่นนี้”ฮ่องเต้ประคองนางให้นั่งบนเก้าอี้ดังเดิม พร้อมกับกอบกุมมือนิ่มเอาไว้ แล้วเอ่ยอย่างเอาใจว่า“เราตรวจฎีกาหมดแล้ว วันนี้ทั้งวันทั้งคืนเราจะอยู่เป็นเพื่อนเจ้าที่ตำหนักดีหรือไม่”เฟิ่งอี๋เม้มปากเข้าหากันจนสนิทเป็นเส้นตรง หลุบตาลงต่ำซ่อนความโกรธแค้นเอาไว้จนมิดชิด นางจะร่วมเตียงกับคนที่สั่งประหารนางและลูกอย่างทารุณ และฆ่าล้างตระกูลของนางจนสิ้นได้อย่างไร“ขอประทานอภัยเพคะ หม่อมฉันเพิ่งจะสูญเสียลูกไปร่างกายยังไม่พร้อมที่จะปรนนิบัติฝ่าบ
เช้าวันใหม่หลังจากเสวยพระกระยาหารเรียบร้อยแล้ว เฟิ่งอี๋ในร่างของฟางเหรินกุ้ยเฟยก็มีรับสั่งจะเสด็จไปยังคุกหลวง ที่จองจำผู้ต้องสงสัยในคดีลอบวางพิษนางกำนัล และขันทีต่างหายใจกันไม่ทั่วท้องรีบเอ่ยทักท้วงว่า“พระวรกายของพระสนมยังไม่แข็งแรง ไม่ควรเสด็จไปยังคุกหลวงที่เต็มไปด้วยไอชั่วร้าย”“สถานที่เลวร้ายเช่นนั้น หากกระหม่อมปล่อยให้พระนางไป ฝ่าบาทต้องทรงพิโรธแน่ ๆ พ่ะย่ะค่ะ”“ได้โปรด ถอนรับสั่งด้วยเพคะ”เฟิ่งอี๋ทรงนิ่งฟังคำทัดทานนั้น คล้ายลมที่พัดผ่านหู หากนางไม่ลงไปสืบความด้วยตนเอง จะรู้ได้เช่นไรว่าใครที่อยู่เบื้องหลังการลอบสังหารร่างนี้ !เมื่อก่อนนางยอมโอนอ่อนอยู่ในตำหนัก แล้วเป็นเช่นไรเล่า สุดท้ายความตายก็มาเยือนถึงตำหนักฟางเหรินกุ้ยเฟยเป็นที่โปรดปรานของฝ่าบาทย่อมเป็นที่ริษยาในเหล่านางสนมด้วยกัน อีกทั้งยังชอบยกหางตนเหยียบย่ำคนอื่น ศัตรูในวังหลังมีมากจนเดาไม่ได้ว่าเป็นฝีมือใครกันแน่ร่างอ้อนแอ้นบอบบางในชุดชาววังชั้นสูงไหวกายลุกขึ้น แผ่นหลังเหยียดตรง แล้วเยื้องพระบาทมุ่งหน้าไปยังคุกหลวงโดยไม่กล่าวสิ่งใดอีกขันทีที่ดูแลตำหนักตะลีตะลานสั่งนางกำนัลเสียงขรม เมื่อห้ามไม่ได้ก็ต้องดูแลรับใช้ให้ด
ณ ตำหนักเฉียนชิงตำหนักที่ใหญ่ที่สุด และงดงามที่สุดในวังหลังเป็นที่ประทับของฮองเฮา ผู้มีอำนาจสูงสุดเหนือหมู่ 12 ตำหนักของสนมของฮ่องเต้เฉินเฉิง แห่งราชวงศ์เฉิน“ฮองเฮาเพคะ โอสถเพคะ”นางกำนัลข้างกายประคองถ้วยโอสถที่นางเคี่ยวเองกับมือตามคำสั่งของฮองเฮาวางลงตรงหน้าพระพักตร์ขาวซีดของผู้เป็นใหญ่ในตำหนักนี้เฟิ่งอี๋ฮองเฮา สตรีในวัยสามสิบปีมองถ้วยบรรจุโอสถสีดำมีควันสีขาวจาง ๆ ลอยกรุ่นอยู่เหนือผิวน้ำ กลิ่นของมันชวนคลื่นเหียนยิ่งนัก ไม่ทันไรนางก็จำยอมเบือนหน้าหนีแล้วร่างบางก็สั่นสะท้านคล้ายกับจะขย้อนข้าวต้มในตอนเช้ามา“อะ.. อ๊อก..”“ฮองเฮาเพคะ ให้ตามหมอหลวงหรือไม่”นางกำนัลข้างกายลูบแผ่นหลังให้นายเหนือหัว ในขณะที่นางกำนัลอีกผู้หนึ่งรีบนำบ้วนพระโอษฐ์มารองรับสิ่งที่ฮองเฮาสํารอกออกมาจากปาก“มะ.. ไม่ต้อง”เฟิ่งอี๋รีบยกมือห้าม แววตาสั่นระริก ใบหน้าขาวซีดนั้นยิ่งดูซูบลงไปอีก ตั้งแต่ทรงพระครรภ์หลายสัปดาห์ที่ผ่านมานี้นางมีอาการแพ้ท้องอย่างหนัก ทันทีที่ได้กลิ่นอาหารหรือยา นางก็จะอาเจียนออกมาจึงทำให้ร่างกายที่ผ่ายผอมอยู่แล้วผอมลงไปอีก“แต่....”นางกำนัลข้างกายสีหน้าไม่สู้ดีนักด้วยความกังวลใจ เมื่อต้นเดื
ริมฝีปากขาวซีดเอ่ยถามเสียงแหบแห้ง นางได้รับความเฉยเมยจากสามีมาร่วมเดือน พบหน้ากันอีกครั้งเขากลับจะเอาชีวิตของเธอและลูกน้อยเสียแล้ว“รับสั่งเรื่องใดงั้นรึ เจ้ารู้อยู่เต็มอกว่าตนทำผิดเรื่องใด ยังจะแสร้งตีหน้าใสซื่อบริสุทธิ์ คิดว่าเราหูหนวกตาบอดแล้วรึ”เฉินเฉิงฮ่องเต้เชิดพระพักตร์ขึ้น เอ่ยด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว สองมือไพล่หลัง แผ่นหลังเหยียดตรง เรือนร่างสูงเด่นงามสง่าสมดั่งผู้อยู่บนบัลลังก์มังกร อยู่เหนือคนนับล้าน“หม่อมฉันไม่เคยทำผิดต่อพระองค์”แม้เสียงของฮองเฮาจะแผ่วเบา แต่คำนั้นหนักแน่น นับตั้งแต่นางอภิเษกกับประมุขของแผ่นดิน ทั้งจิตใจและร่างกายก็มอบไว้บนฝ่ามือเขาเพียงผู้เดียว เป็นเขาเองต่างหากที่มีสนมนางในนับร้อย แม้เจ็บซ้ำที่ต้องแบ่งปันสามีให้สตรีอื่น แต่นางก็ฝืนทนกล้ำกลืนความเจ็บซ้ำนั้นเอาไว้ เพราะตระหนักดีว่า สามีของนางเป็นฮ่องเต้มีชีวิตเพื่อแผ่นดิน มิได้มีไว้ให้นางครอบครองเพียงผู้เดียว“ไม่เคยทำผิดต่อข้างั้นรึ !”ฮ่องเต้ทรงสาวพระบาทตรงเข้าหาฮองเฮา มือแกร่งบีบไหล่นางทั้งสองข้างอย่างแรง จากนั้นก็ตะคอกใส่หน้าของนางว่า “แล้วบุรุษที่เจ้าซุกซ่อนเอาไว้ในคราบของขันทีในตำหนักของเจ้าคืออะไร แ
“หม่อมฉันจงรักและภักดีต่อพระองค์เพียงผู้เดียวเพคะ”กุ้ยเฟยส่งเสียงหวานอย่างออดอ้อน... แต่แล้วนางก็รู้สึกว่าท้องของนางบีบรัดเจ็บปวดมากขึ้นจนใบหน้าเหยเก มือที่เคยเกาะกุมลำแขนแกร่งของเขาก็เกร็งจิกเข้าไปในเนื้อโดยไม่รู้ตัว บนหน้าผากมีเหงื่อผุดพราย เนื้อตัวเย็นเฉียบฉับพลันฮ่องเต้ทรงรับรู้ได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง จึงก้มลงมองดูนางพลางตรัสถามว่า“กุ้ยเฟยเจ้าเป็นอะไร”“ฝะ... ฝ่าบาทเพคะ หม่อมฉันเจ็บท้อง”นางส่งเสียงออกมาอย่างยากลำบาก ความเจ็บปวดทรมานมันเริ่มแผ่ซ่านไปทั่วทั้งตัวราวกับตกอยู่ในนรกขุมอเวจีเมื่อฮ่องเต้ทรงทอดพระเนตรมองดูส่วนล่างของสนมรักก็พบเลือดมากมายไหลออกมาย้อมกระโปรงของนางจนแดงฉาน พระองค์ถึงกับเบิกตาโพลง ริมฝีปากค้าง ภาพของนางซ้อนทับกับภาพของฮองเฮาตอนแท้งลูกไม่มีผิดเพี้ยนเมื่อเห็นใบหน้าถอดสีของฮ่องเต้ กุ้ยเฟยจึงก้มลงดูท้องของตนเอง ภาพเบื้องล่างที่เห็นทำให้นางกรีดร้องออกมาราวกับคนเสียสติ แล้วหมดสติไป“เร่งฝีเท้ากลับตำหนักไป่เหอ กงกงตามหมอหลวงมาเร็วเข้า !”ฮ่องเต้ทรงตวาดสั่งออกมาอย่างร้อนพระทัยณ ตำหนักไป่เหอภายในตำหนักของกุ้ยเฟย ร่างในแท่นบรรทมขยับไหวกายเพียงเล็กน้อย นางกำนัล
เช้าวันใหม่หลังจากเสวยพระกระยาหารเรียบร้อยแล้ว เฟิ่งอี๋ในร่างของฟางเหรินกุ้ยเฟยก็มีรับสั่งจะเสด็จไปยังคุกหลวง ที่จองจำผู้ต้องสงสัยในคดีลอบวางพิษนางกำนัล และขันทีต่างหายใจกันไม่ทั่วท้องรีบเอ่ยทักท้วงว่า“พระวรกายของพระสนมยังไม่แข็งแรง ไม่ควรเสด็จไปยังคุกหลวงที่เต็มไปด้วยไอชั่วร้าย”“สถานที่เลวร้ายเช่นนั้น หากกระหม่อมปล่อยให้พระนางไป ฝ่าบาทต้องทรงพิโรธแน่ ๆ พ่ะย่ะค่ะ”“ได้โปรด ถอนรับสั่งด้วยเพคะ”เฟิ่งอี๋ทรงนิ่งฟังคำทัดทานนั้น คล้ายลมที่พัดผ่านหู หากนางไม่ลงไปสืบความด้วยตนเอง จะรู้ได้เช่นไรว่าใครที่อยู่เบื้องหลังการลอบสังหารร่างนี้ !เมื่อก่อนนางยอมโอนอ่อนอยู่ในตำหนัก แล้วเป็นเช่นไรเล่า สุดท้ายความตายก็มาเยือนถึงตำหนักฟางเหรินกุ้ยเฟยเป็นที่โปรดปรานของฝ่าบาทย่อมเป็นที่ริษยาในเหล่านางสนมด้วยกัน อีกทั้งยังชอบยกหางตนเหยียบย่ำคนอื่น ศัตรูในวังหลังมีมากจนเดาไม่ได้ว่าเป็นฝีมือใครกันแน่ร่างอ้อนแอ้นบอบบางในชุดชาววังชั้นสูงไหวกายลุกขึ้น แผ่นหลังเหยียดตรง แล้วเยื้องพระบาทมุ่งหน้าไปยังคุกหลวงโดยไม่กล่าวสิ่งใดอีกขันทีที่ดูแลตำหนักตะลีตะลานสั่งนางกำนัลเสียงขรม เมื่อห้ามไม่ได้ก็ต้องดูแลรับใช้ให้ด
“เอาละ ในเมื่อพวกเจ้าเหล่าพี่น้อง มาถวายพระพรเราจนครบแล้ว วันนี้ก็พอเท่านี้เถิด”“ขอจงทรงพระเจริญ หมื่น ๆ ปี หมื่น ๆ ปี”สนมทั้งหมดล้วนลุกขึ้นถวายพระพรน้อมส่ง ยกเว้น ฟางเหรินกุ้ยเฟย !“กุ้ยเฟย”เสียงเรียกขานดังขึ้นพร้อมกับฝ่ามือใหญ่วางลงที่บ่าของนาง เฟิ่งอี๋จึงดึงสติของตนกลับมาในปัจจุบัน“ถวายพระพรฝ่าบาทเพคะ”เฟิ่งอี๋ในร่างของฟางเหรินกุ้ยเฟยลุกขึ้นยอบกายถวายความเคารพตามธรรมเนียมท่วงท่าห่างเหิน บวกกับน้ำเสียงเย็นชานั้น ทำให้เฉินเฉิงฮ่องเต้เข้าใจว่านางยังคงเสียใจเรื่องลูก จึงรีบเข้าไปประคองนางให้ลุกขึ้น แล้วกล่าวว่า“ร่างกายเจ้ายังไม่แข็งแรง ไม่ต้องมากพิธีเช่นนี้”ฮ่องเต้ประคองนางให้นั่งบนเก้าอี้ดังเดิม พร้อมกับกอบกุมมือนิ่มเอาไว้ แล้วเอ่ยอย่างเอาใจว่า“เราตรวจฎีกาหมดแล้ว วันนี้ทั้งวันทั้งคืนเราจะอยู่เป็นเพื่อนเจ้าที่ตำหนักดีหรือไม่”เฟิ่งอี๋เม้มปากเข้าหากันจนสนิทเป็นเส้นตรง หลุบตาลงต่ำซ่อนความโกรธแค้นเอาไว้จนมิดชิด นางจะร่วมเตียงกับคนที่สั่งประหารนางและลูกอย่างทารุณ และฆ่าล้างตระกูลของนางจนสิ้นได้อย่างไร“ขอประทานอภัยเพคะ หม่อมฉันเพิ่งจะสูญเสียลูกไปร่างกายยังไม่พร้อมที่จะปรนนิบัติฝ่าบ
เมื่อเห็นว่าคนในอ้อมกอดดูจะสงบลงแล้ว ฮ่องเต้จึงประคองนางมาที่แท่นบรรทม ใช้ร่างกายของตนเป็นต่างหมอนให้นางนอนเอนลง จากนั้นก็สั่งหมอหลวงให้รีบเข้ามาดูอาการเฟิ่งอี๋เงยหน้าขึ้นมองดูสามีของตนที่กำลังเฝ้าทะนุถนอมร่างกายฟางเหรินกุ้ยเฟยอย่างรักใคร่ ยิ่งเห็นเขารักร่างกายนี้มากเท่าไหร่ ความแค้นก็ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นเท่านั้นเมื่อก่อนนางเป็นฮองเฮาที่ดีต่อเขามากเพียงไร เขากลับเฉยชา หนำซ้ำยังสั่งประหารตระกูลนางจนหมดสิ้น ในเมื่อเป็นคนดีแล้วถูกเหยียบย่ำ นางก็จะใช้ร่างกายของคนที่นางชิงชังที่สุดตอบสนองความกรุณาของเขาคืนให้เป็นพันเท่าทวีคูณ !“ทูลฝ่าบาท พิษในกายของพระสนมถูกขับออกหมดแล้ว เหลือเพียงแผลที่เกิดจากคมคันฉ่องเมื่อครู่ กระหม่อมได้ใส่โอสถให้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”หมอหลวงเฒ่าถวายรายงาน“ขอบใจมาก เจ้าออกไปเถอะ”ฮ่องเต้พยักหน้าเบา ๆ แววตาเหนื่อยล้า สองสามวันมานี้เกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นมากมายนัก เมื่อเห็นร่างในอ้อมแขนเหม่อลอย เขาก็เข้าใจว่านางยังคงเศร้าเสียใจกับการสูญเสียลูกในครรภ์ จึงออกพระโอษฐ์ว่า “เพื่อเป็นการชดเชยที่เจ้าสูญเสียลูกไป และเพื่อเป็นสิ่งตอบแทนที่เจ้าช่วยให้เราตาสว่างเรื่องเฟิ่งอี๋ฮองเฮ่าล
“หม่อมฉันจงรักและภักดีต่อพระองค์เพียงผู้เดียวเพคะ”กุ้ยเฟยส่งเสียงหวานอย่างออดอ้อน... แต่แล้วนางก็รู้สึกว่าท้องของนางบีบรัดเจ็บปวดมากขึ้นจนใบหน้าเหยเก มือที่เคยเกาะกุมลำแขนแกร่งของเขาก็เกร็งจิกเข้าไปในเนื้อโดยไม่รู้ตัว บนหน้าผากมีเหงื่อผุดพราย เนื้อตัวเย็นเฉียบฉับพลันฮ่องเต้ทรงรับรู้ได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง จึงก้มลงมองดูนางพลางตรัสถามว่า“กุ้ยเฟยเจ้าเป็นอะไร”“ฝะ... ฝ่าบาทเพคะ หม่อมฉันเจ็บท้อง”นางส่งเสียงออกมาอย่างยากลำบาก ความเจ็บปวดทรมานมันเริ่มแผ่ซ่านไปทั่วทั้งตัวราวกับตกอยู่ในนรกขุมอเวจีเมื่อฮ่องเต้ทรงทอดพระเนตรมองดูส่วนล่างของสนมรักก็พบเลือดมากมายไหลออกมาย้อมกระโปรงของนางจนแดงฉาน พระองค์ถึงกับเบิกตาโพลง ริมฝีปากค้าง ภาพของนางซ้อนทับกับภาพของฮองเฮาตอนแท้งลูกไม่มีผิดเพี้ยนเมื่อเห็นใบหน้าถอดสีของฮ่องเต้ กุ้ยเฟยจึงก้มลงดูท้องของตนเอง ภาพเบื้องล่างที่เห็นทำให้นางกรีดร้องออกมาราวกับคนเสียสติ แล้วหมดสติไป“เร่งฝีเท้ากลับตำหนักไป่เหอ กงกงตามหมอหลวงมาเร็วเข้า !”ฮ่องเต้ทรงตวาดสั่งออกมาอย่างร้อนพระทัยณ ตำหนักไป่เหอภายในตำหนักของกุ้ยเฟย ร่างในแท่นบรรทมขยับไหวกายเพียงเล็กน้อย นางกำนัล
ริมฝีปากขาวซีดเอ่ยถามเสียงแหบแห้ง นางได้รับความเฉยเมยจากสามีมาร่วมเดือน พบหน้ากันอีกครั้งเขากลับจะเอาชีวิตของเธอและลูกน้อยเสียแล้ว“รับสั่งเรื่องใดงั้นรึ เจ้ารู้อยู่เต็มอกว่าตนทำผิดเรื่องใด ยังจะแสร้งตีหน้าใสซื่อบริสุทธิ์ คิดว่าเราหูหนวกตาบอดแล้วรึ”เฉินเฉิงฮ่องเต้เชิดพระพักตร์ขึ้น เอ่ยด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว สองมือไพล่หลัง แผ่นหลังเหยียดตรง เรือนร่างสูงเด่นงามสง่าสมดั่งผู้อยู่บนบัลลังก์มังกร อยู่เหนือคนนับล้าน“หม่อมฉันไม่เคยทำผิดต่อพระองค์”แม้เสียงของฮองเฮาจะแผ่วเบา แต่คำนั้นหนักแน่น นับตั้งแต่นางอภิเษกกับประมุขของแผ่นดิน ทั้งจิตใจและร่างกายก็มอบไว้บนฝ่ามือเขาเพียงผู้เดียว เป็นเขาเองต่างหากที่มีสนมนางในนับร้อย แม้เจ็บซ้ำที่ต้องแบ่งปันสามีให้สตรีอื่น แต่นางก็ฝืนทนกล้ำกลืนความเจ็บซ้ำนั้นเอาไว้ เพราะตระหนักดีว่า สามีของนางเป็นฮ่องเต้มีชีวิตเพื่อแผ่นดิน มิได้มีไว้ให้นางครอบครองเพียงผู้เดียว“ไม่เคยทำผิดต่อข้างั้นรึ !”ฮ่องเต้ทรงสาวพระบาทตรงเข้าหาฮองเฮา มือแกร่งบีบไหล่นางทั้งสองข้างอย่างแรง จากนั้นก็ตะคอกใส่หน้าของนางว่า “แล้วบุรุษที่เจ้าซุกซ่อนเอาไว้ในคราบของขันทีในตำหนักของเจ้าคืออะไร แ
ณ ตำหนักเฉียนชิงตำหนักที่ใหญ่ที่สุด และงดงามที่สุดในวังหลังเป็นที่ประทับของฮองเฮา ผู้มีอำนาจสูงสุดเหนือหมู่ 12 ตำหนักของสนมของฮ่องเต้เฉินเฉิง แห่งราชวงศ์เฉิน“ฮองเฮาเพคะ โอสถเพคะ”นางกำนัลข้างกายประคองถ้วยโอสถที่นางเคี่ยวเองกับมือตามคำสั่งของฮองเฮาวางลงตรงหน้าพระพักตร์ขาวซีดของผู้เป็นใหญ่ในตำหนักนี้เฟิ่งอี๋ฮองเฮา สตรีในวัยสามสิบปีมองถ้วยบรรจุโอสถสีดำมีควันสีขาวจาง ๆ ลอยกรุ่นอยู่เหนือผิวน้ำ กลิ่นของมันชวนคลื่นเหียนยิ่งนัก ไม่ทันไรนางก็จำยอมเบือนหน้าหนีแล้วร่างบางก็สั่นสะท้านคล้ายกับจะขย้อนข้าวต้มในตอนเช้ามา“อะ.. อ๊อก..”“ฮองเฮาเพคะ ให้ตามหมอหลวงหรือไม่”นางกำนัลข้างกายลูบแผ่นหลังให้นายเหนือหัว ในขณะที่นางกำนัลอีกผู้หนึ่งรีบนำบ้วนพระโอษฐ์มารองรับสิ่งที่ฮองเฮาสํารอกออกมาจากปาก“มะ.. ไม่ต้อง”เฟิ่งอี๋รีบยกมือห้าม แววตาสั่นระริก ใบหน้าขาวซีดนั้นยิ่งดูซูบลงไปอีก ตั้งแต่ทรงพระครรภ์หลายสัปดาห์ที่ผ่านมานี้นางมีอาการแพ้ท้องอย่างหนัก ทันทีที่ได้กลิ่นอาหารหรือยา นางก็จะอาเจียนออกมาจึงทำให้ร่างกายที่ผ่ายผอมอยู่แล้วผอมลงไปอีก“แต่....”นางกำนัลข้างกายสีหน้าไม่สู้ดีนักด้วยความกังวลใจ เมื่อต้นเดื