ริมฝีปากขาวซีดเอ่ยถามเสียงแหบแห้ง นางได้รับความเฉยเมยจากสามีมาร่วมเดือน พบหน้ากันอีกครั้งเขากลับจะเอาชีวิตของเธอและลูกน้อยเสียแล้ว
“รับสั่งเรื่องใดงั้นรึ เจ้ารู้อยู่เต็มอกว่าตนทำผิดเรื่องใด ยังจะแสร้งตีหน้าใสซื่อบริสุทธิ์ คิดว่าเราหูหนวกตาบอดแล้วรึ”
เฉินเฉิงฮ่องเต้เชิดพระพักตร์ขึ้น เอ่ยด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว สองมือไพล่หลัง แผ่นหลังเหยียดตรง เรือนร่างสูงเด่นงามสง่าสมดั่งผู้อยู่บนบัลลังก์มังกร อยู่เหนือคนนับล้าน
“หม่อมฉันไม่เคยทำผิดต่อพระองค์”
แม้เสียงของฮองเฮาจะแผ่วเบา แต่คำนั้นหนักแน่น นับตั้งแต่นางอภิเษกกับประมุขของแผ่นดิน ทั้งจิตใจและร่างกายก็มอบไว้บนฝ่ามือเขาเพียงผู้เดียว เป็นเขาเองต่างหากที่มีสนมนางในนับร้อย แม้เจ็บซ้ำที่ต้องแบ่งปันสามีให้สตรีอื่น แต่นางก็ฝืนทนกล้ำกลืนความเจ็บซ้ำนั้นเอาไว้ เพราะตระหนักดีว่า สามีของนางเป็นฮ่องเต้มีชีวิตเพื่อแผ่นดิน มิได้มีไว้ให้นางครอบครองเพียงผู้เดียว
“ไม่เคยทำผิดต่อข้างั้นรึ !”
ฮ่องเต้ทรงสาวพระบาทตรงเข้าหาฮองเฮา มือแกร่งบีบไหล่นางทั้งสองข้างอย่างแรง จากนั้นก็ตะคอกใส่หน้าของนางว่า “แล้วบุรุษที่เจ้าซุกซ่อนเอาไว้ในคราบของขันทีในตำหนักของเจ้าคืออะไร แล้วยังจะยาบำรุงครรภ์ที่เจ้าดื่มทุกวัน คือ อะไร คิดว่าเราโง่จนไม่รู้ว่าเจ้าแอบคบชู้จนตั้งครรภ์หรืออย่างไร !”
สิ้นคำ เขาก็ผลักร่างสั่นสะท้านลงกับพื้นอย่างไม่ไยดี
ตุบ
นางกำนัลส่งเสียงกรี้ดออกมาเบา ๆ ด้วยความตกใจ แล้วรีบเข้าไปประคองร่างฮองเฮาบนพื้น เฟิ่งอี๋ขมวดคิ้วด้วยความเจ็บหน่วงที่ท้องน้อยแปลก ๆ มือเรียวรีบยกขึ้นกุมท้องตามสัณชาตญาณ พลางบอกลูกน้อยในใจว่า - เด็กดีเข้มแข็งไว้นะลูก แม่อุตส่าห์เฝ้ารอเจ้ามาสิบกว่าปี เจ้าต้องอยู่กับแม่นะ –
เหงื่อผุดพรายขึ้นตามหน้าผากขาวไร้สีของฮองเฮา นางกัดฟันข่มความเจ็บปวดเอาไว้แล้วเอ่ยว่า “หม่อมฉันถูกปรักปรำ เด็กในครรภ์นี้คือเลือดเนื้อเชื้อไขของพระองค์นะเพคะ”
ฮ่องเต้สูดลมหายใจเข้าพระอุระเพื่อระงับความโกรธในใจ แค่นเสียงขึ้นจมูกว่า
“ลูกของเรารึ เรามาตำหนักเจ้าแค่ไม่กี่ครั้ง อีกทั้งหากเจ้าจะตั้งครรภ์ ก็ควรตั้งครรภ์ตั้งนานแล้ว ไยมาท้องเอาตอนนี้ ตอนที่เจ้าซุกซ่อนบุรุษไว้ในตำหนัก ทหารนำตัวชายโฉดผู้นั้นออกมา !”
ประโยคสุดท้ายฮ่องเต้สั่งทหารองครักษ์เสียงดังลั่น ใบหน้าถมึงทึงด้วยความโกรธ
ไม่นานนักทหารสองนายก็นำบุรุษแปลกหน้าผู้หนึ่งในชุดขันทีของตำหนักเฉียนชิงเข้ามาคุกเข่าต่อหน้าพระพักตร์
“เจ้าจะปฏิเสธว่าไม่รู้จักมันรึ”
ฮ่องเต้เอ่ยถามเสียงเฉียบเย็น
“หม่อมฉันไม่รู้จักคนผู้นี้จริง ๆ เพคะ”
เฟิ่งอี๋ส่ายหน้าตอบ
ฟางเหรินกุ้ยเฟยที่นั่งชมละครอยู่ข้าง ๆ ขยับกายลุกขึ้นดุจบุปผาไหวตามลม แล้วเข้าคล้องแขนฮ่องเต้พลางปรายตามองคนบนพื้นอย่างเย้ยหยันก่อนเอ่ยเสียงหวานเฉกเดิมว่า
“โจรที่ไหนกันจะยอมรับว่าตนเองขโมยของ ไม่สู้ถามคนในตำหนักคนอื่นดีหรือไม่เพคะ”
เมื่อฮ่องเต้พยักหน้าเป็นเชิงอนุญาต นางจึงเรียกข้ารับใช้ตำหนักเฉียนชิงที่เป็นคนของนางออกมาซักถาม “ไท่เจี้ยนเจ้ารู้จักบุรุษผู้นี้หรือไม่”
หัวหน้าขันทีของตำหนักเฉียนชิงเหลือบมองฟางเหรินกุ้ยเฟย และองค์ฮ่องเต้ จากนั้นก็หมอบตัวสั่นอยู่กับพื้นพลางส่งเสียงที่ฟังไม่ได้ความว่า
“กระหม่อม... กระหม่อม... คือ.. กระ...”
“อยู่ต่อหน้าข้า เจ้ายังไม่พูดความจริงมาอีก !”
ฮ่องเต้ตวาดออกมา สนมรักที่ยืนอยู่ข้างกายจึงลูบอกของเขาเบา ๆ คล้ายกับกำลังปลอบเขาให้สงบสติอารมณ์
“ชายผู้นี้เป็นคนที่ฮองเฮานำมาเลี้ยงไว้ในตำหนักพระเจ้าค่ะ”
หัวหน้าขันทีผู้นั้นตะโกนออกมาทั้งที่ยังหมอบอยู่ ไม่เหลือบมองชายแปลกหน้าผู้นั้นด้วยซ้ำ
เมื่อหลักฐานทุกอย่างต่างชี้ชัดว่านางลอบคบชายชู้ ฮองเฮาได้แต่ส่ายหน้าอย่างช้า ๆ นึกไม่ถึงว่าคนพวกนี้จะรวมหัวกันใส่ร้ายนาง
“หม่อมฉันถูกใส่ความเพคะ ฝ่าบาทโปรดใคร่ครวญด้วย”
เฟิ่งอี๋ร้องออกมาพลางสะอื้นไห้ แม้นเป็นฮองเฮาแต่นางก็ไม่เคยข่มเหงรังแกสนมนางใด แต่ไยพวกนางถึงไม่ยอมละเว้นนางกับลูก !
ฮ่องเต้ไม่ฟัง อีกทั้งไม่มองหน้านางแม้แต่น้อย เขาเชิดหน้าขึ้นแล้วตรัสสั่งลงโทษนางทันที
“ให้นางกินยาขับก้อนเลือดชั่ว ๆ ออกมาซะ และมอบผ้าขาว ประหารตระกูลนางเก้าชั่วโคตร !”
เมื่อได้ยินดังนั้นนางก็กรีดร้องออกมาจนไม่มีเสียง ดวงตาเฟิ่งอี๋แดงก่ำคล้ายร่ำไห้ออกมาเป็นสายเลือด ทหารสองนายจับนางกรอกยาขับเลือด เฟิ่งอี๋ขัดขืนสุดกำลังแต่สุดท้ายเรี่ยวแรงอันน้อยนิดก็มิอาจต้านทาน
ทันทีที่น้ำยาไหลซึมแผ่ซ่านเข้าสู่ร่างกาย ท้องของนางก็เริ่มบีบรัดจนเจ็บปวด นางเงยหน้าขึ้นมองฟางเหรินกุ้ยเฟย ใบหน้าสวยนั้นกำลังฉาบรอยยิ้มบาง ๆ เอาไว้ ส่วนสามีที่สั่งฆ่าเลือดเนื้อตัวเองกับมือกลับใบหน้าเย็นชายิ่ง
เมื่อเลือดไหลซึมออกมาจนแดงฉานเปรอะเปื้อนไปทั้งกระโปรง นางก็รับรู้ว่าลูกได้เดินทางล่วงหน้าไปยังธารเหลืองก่อนแล้ว หัวใจของนางแตกสลายออกเป็นเสี่ยง ๆ
“ลูกแม่.... ลูกแม่....”
น้ำตาของนางไหลออกมาเป็นสายเลือดแล้วจริง ๆ
“พระราชทานแพรขาว !”
ตรัสสั่งเสร็จ ฮ่องเต้ก็สะบัดพระภูษาเสด็จออกไป พร้อมกับพระสนมกุ้ยเฟย
ในขณะที่เฟิ่งอี๋ฮองเฮาถูกจับแขวนคอด้วยผ้าขาว ดวงตาจ้องมองแผ่นหลังคนทั้งคู่เต็มไปด้วยความอาฆาตแค้น
“ข้าถูกปรักปรำจนตัวตาย วิญญาณมิอาจสงบได้ พวกเจ้าก็อย่าหวังว่าจะได้สงบสุข !”
ทันทีที่ทหารปล่อยมือทิ้งร่างนางลง ผ้าขาวที่พาดลำคอเอาไว้ก็รัดแน่น ร่างนางกระตุกสามสี่หนอย่างทรมานก่อนจะสิ้นใจตายอย่างเดียวดาย
ภายในเกี้ยวสีทองลายมังกร
ฟางเหรินกุ้ยเฟยเอนซบไหล่ของฮ่องเต้ ใช้แก้มนุ่มเนียนคลอเคลียไปกับต้นแขนคล้ายกับจะปลุกปลอบใจให้เขาคลายความทุกข์โศกในใจ
ฮ่องเต้ลูบไล้ใบหน้าสวยดุจบุปผางามในฤดูวสันต์ กลิ่นหอมกรุ่นจากกายนางช่วยให้ความเศร้าหัวใจเขาได้บรรเทาลงบ้าง
“เฮอ.... คงจะมีเพียงเจ้าเท่านั้นที่ภักดีต่อเราด้วยความจริงใจ”
พระองค์ทรงทอดถอนลมหายใจออกมา เมื่อหวนนึกถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ หากไม่มีหลักฐานชี้ชัดว่าฮองเฮามีชู้ เขาเองก็ไม่อยากเชื่อว่าเฟิ่งอี๋จะทรยศเขาได้ลงคอ ตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมานางอยู่ในจารีตประเพณีอันดีงามเสมอ
“หม่อมฉันจงรักและภักดีต่อพระองค์เพียงผู้เดียวเพคะ”กุ้ยเฟยส่งเสียงหวานอย่างออดอ้อน... แต่แล้วนางก็รู้สึกว่าท้องของนางบีบรัดเจ็บปวดมากขึ้นจนใบหน้าเหยเก มือที่เคยเกาะกุมลำแขนแกร่งของเขาก็เกร็งจิกเข้าไปในเนื้อโดยไม่รู้ตัว บนหน้าผากมีเหงื่อผุดพราย เนื้อตัวเย็นเฉียบฉับพลันฮ่องเต้ทรงรับรู้ได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง จึงก้มลงมองดูนางพลางตรัสถามว่า“กุ้ยเฟยเจ้าเป็นอะไร”“ฝะ... ฝ่าบาทเพคะ หม่อมฉันเจ็บท้อง”นางส่งเสียงออกมาอย่างยากลำบาก ความเจ็บปวดทรมานมันเริ่มแผ่ซ่านไปทั่วทั้งตัวราวกับตกอยู่ในนรกขุมอเวจีเมื่อฮ่องเต้ทรงทอดพระเนตรมองดูส่วนล่างของสนมรักก็พบเลือดมากมายไหลออกมาย้อมกระโปรงของนางจนแดงฉาน พระองค์ถึงกับเบิกตาโพลง ริมฝีปากค้าง ภาพของนางซ้อนทับกับภาพของฮองเฮาตอนแท้งลูกไม่มีผิดเพี้ยนเมื่อเห็นใบหน้าถอดสีของฮ่องเต้ กุ้ยเฟยจึงก้มลงดูท้องของตนเอง ภาพเบื้องล่างที่เห็นทำให้นางกรีดร้องออกมาราวกับคนเสียสติ แล้วหมดสติไป“เร่งฝีเท้ากลับตำหนักไป่เหอ กงกงตามหมอหลวงมาเร็วเข้า !”ฮ่องเต้ทรงตวาดสั่งออกมาอย่างร้อนพระทัยณ ตำหนักไป่เหอภายในตำหนักของกุ้ยเฟย ร่างในแท่นบรรทมขยับไหวกายเพียงเล็กน้อย นางกำนัล
เมื่อเห็นว่าคนในอ้อมกอดดูจะสงบลงแล้ว ฮ่องเต้จึงประคองนางมาที่แท่นบรรทม ใช้ร่างกายของตนเป็นต่างหมอนให้นางนอนเอนลง จากนั้นก็สั่งหมอหลวงให้รีบเข้ามาดูอาการเฟิ่งอี๋เงยหน้าขึ้นมองดูสามีของตนที่กำลังเฝ้าทะนุถนอมร่างกายฟางเหรินกุ้ยเฟยอย่างรักใคร่ ยิ่งเห็นเขารักร่างกายนี้มากเท่าไหร่ ความแค้นก็ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นเท่านั้นเมื่อก่อนนางเป็นฮองเฮาที่ดีต่อเขามากเพียงไร เขากลับเฉยชา หนำซ้ำยังสั่งประหารตระกูลนางจนหมดสิ้น ในเมื่อเป็นคนดีแล้วถูกเหยียบย่ำ นางก็จะใช้ร่างกายของคนที่นางชิงชังที่สุดตอบสนองความกรุณาของเขาคืนให้เป็นพันเท่าทวีคูณ !“ทูลฝ่าบาท พิษในกายของพระสนมถูกขับออกหมดแล้ว เหลือเพียงแผลที่เกิดจากคมคันฉ่องเมื่อครู่ กระหม่อมได้ใส่โอสถให้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”หมอหลวงเฒ่าถวายรายงาน“ขอบใจมาก เจ้าออกไปเถอะ”ฮ่องเต้พยักหน้าเบา ๆ แววตาเหนื่อยล้า สองสามวันมานี้เกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นมากมายนัก เมื่อเห็นร่างในอ้อมแขนเหม่อลอย เขาก็เข้าใจว่านางยังคงเศร้าเสียใจกับการสูญเสียลูกในครรภ์ จึงออกพระโอษฐ์ว่า “เพื่อเป็นการชดเชยที่เจ้าสูญเสียลูกไป และเพื่อเป็นสิ่งตอบแทนที่เจ้าช่วยให้เราตาสว่างเรื่องเฟิ่งอี๋ฮองเฮ่าล
“เอาละ ในเมื่อพวกเจ้าเหล่าพี่น้อง มาถวายพระพรเราจนครบแล้ว วันนี้ก็พอเท่านี้เถิด”“ขอจงทรงพระเจริญ หมื่น ๆ ปี หมื่น ๆ ปี”สนมทั้งหมดล้วนลุกขึ้นถวายพระพรน้อมส่ง ยกเว้น ฟางเหรินกุ้ยเฟย !“กุ้ยเฟย”เสียงเรียกขานดังขึ้นพร้อมกับฝ่ามือใหญ่วางลงที่บ่าของนาง เฟิ่งอี๋จึงดึงสติของตนกลับมาในปัจจุบัน“ถวายพระพรฝ่าบาทเพคะ”เฟิ่งอี๋ในร่างของฟางเหรินกุ้ยเฟยลุกขึ้นยอบกายถวายความเคารพตามธรรมเนียมท่วงท่าห่างเหิน บวกกับน้ำเสียงเย็นชานั้น ทำให้เฉินเฉิงฮ่องเต้เข้าใจว่านางยังคงเสียใจเรื่องลูก จึงรีบเข้าไปประคองนางให้ลุกขึ้น แล้วกล่าวว่า“ร่างกายเจ้ายังไม่แข็งแรง ไม่ต้องมากพิธีเช่นนี้”ฮ่องเต้ประคองนางให้นั่งบนเก้าอี้ดังเดิม พร้อมกับกอบกุมมือนิ่มเอาไว้ แล้วเอ่ยอย่างเอาใจว่า“เราตรวจฎีกาหมดแล้ว วันนี้ทั้งวันทั้งคืนเราจะอยู่เป็นเพื่อนเจ้าที่ตำหนักดีหรือไม่”เฟิ่งอี๋เม้มปากเข้าหากันจนสนิทเป็นเส้นตรง หลุบตาลงต่ำซ่อนความโกรธแค้นเอาไว้จนมิดชิด นางจะร่วมเตียงกับคนที่สั่งประหารนางและลูกอย่างทารุณ และฆ่าล้างตระกูลของนางจนสิ้นได้อย่างไร“ขอประทานอภัยเพคะ หม่อมฉันเพิ่งจะสูญเสียลูกไปร่างกายยังไม่พร้อมที่จะปรนนิบัติฝ่าบ
เช้าวันใหม่หลังจากเสวยพระกระยาหารเรียบร้อยแล้ว เฟิ่งอี๋ในร่างของฟางเหรินกุ้ยเฟยก็มีรับสั่งจะเสด็จไปยังคุกหลวง ที่จองจำผู้ต้องสงสัยในคดีลอบวางพิษนางกำนัล และขันทีต่างหายใจกันไม่ทั่วท้องรีบเอ่ยทักท้วงว่า“พระวรกายของพระสนมยังไม่แข็งแรง ไม่ควรเสด็จไปยังคุกหลวงที่เต็มไปด้วยไอชั่วร้าย”“สถานที่เลวร้ายเช่นนั้น หากกระหม่อมปล่อยให้พระนางไป ฝ่าบาทต้องทรงพิโรธแน่ ๆ พ่ะย่ะค่ะ”“ได้โปรด ถอนรับสั่งด้วยเพคะ”เฟิ่งอี๋ทรงนิ่งฟังคำทัดทานนั้น คล้ายลมที่พัดผ่านหู หากนางไม่ลงไปสืบความด้วยตนเอง จะรู้ได้เช่นไรว่าใครที่อยู่เบื้องหลังการลอบสังหารร่างนี้ !เมื่อก่อนนางยอมโอนอ่อนอยู่ในตำหนัก แล้วเป็นเช่นไรเล่า สุดท้ายความตายก็มาเยือนถึงตำหนักฟางเหรินกุ้ยเฟยเป็นที่โปรดปรานของฝ่าบาทย่อมเป็นที่ริษยาในเหล่านางสนมด้วยกัน อีกทั้งยังชอบยกหางตนเหยียบย่ำคนอื่น ศัตรูในวังหลังมีมากจนเดาไม่ได้ว่าเป็นฝีมือใครกันแน่ร่างอ้อนแอ้นบอบบางในชุดชาววังชั้นสูงไหวกายลุกขึ้น แผ่นหลังเหยียดตรง แล้วเยื้องพระบาทมุ่งหน้าไปยังคุกหลวงโดยไม่กล่าวสิ่งใดอีกขันทีที่ดูแลตำหนักตะลีตะลานสั่งนางกำนัลเสียงขรม เมื่อห้ามไม่ได้ก็ต้องดูแลรับใช้ให้ด
ณ ตำหนักเฉียนชิงตำหนักที่ใหญ่ที่สุด และงดงามที่สุดในวังหลังเป็นที่ประทับของฮองเฮา ผู้มีอำนาจสูงสุดเหนือหมู่ 12 ตำหนักของสนมของฮ่องเต้เฉินเฉิง แห่งราชวงศ์เฉิน“ฮองเฮาเพคะ โอสถเพคะ”นางกำนัลข้างกายประคองถ้วยโอสถที่นางเคี่ยวเองกับมือตามคำสั่งของฮองเฮาวางลงตรงหน้าพระพักตร์ขาวซีดของผู้เป็นใหญ่ในตำหนักนี้เฟิ่งอี๋ฮองเฮา สตรีในวัยสามสิบปีมองถ้วยบรรจุโอสถสีดำมีควันสีขาวจาง ๆ ลอยกรุ่นอยู่เหนือผิวน้ำ กลิ่นของมันชวนคลื่นเหียนยิ่งนัก ไม่ทันไรนางก็จำยอมเบือนหน้าหนีแล้วร่างบางก็สั่นสะท้านคล้ายกับจะขย้อนข้าวต้มในตอนเช้ามา“อะ.. อ๊อก..”“ฮองเฮาเพคะ ให้ตามหมอหลวงหรือไม่”นางกำนัลข้างกายลูบแผ่นหลังให้นายเหนือหัว ในขณะที่นางกำนัลอีกผู้หนึ่งรีบนำบ้วนพระโอษฐ์มารองรับสิ่งที่ฮองเฮาสํารอกออกมาจากปาก“มะ.. ไม่ต้อง”เฟิ่งอี๋รีบยกมือห้าม แววตาสั่นระริก ใบหน้าขาวซีดนั้นยิ่งดูซูบลงไปอีก ตั้งแต่ทรงพระครรภ์หลายสัปดาห์ที่ผ่านมานี้นางมีอาการแพ้ท้องอย่างหนัก ทันทีที่ได้กลิ่นอาหารหรือยา นางก็จะอาเจียนออกมาจึงทำให้ร่างกายที่ผ่ายผอมอยู่แล้วผอมลงไปอีก“แต่....”นางกำนัลข้างกายสีหน้าไม่สู้ดีนักด้วยความกังวลใจ เมื่อต้นเดื
เช้าวันใหม่หลังจากเสวยพระกระยาหารเรียบร้อยแล้ว เฟิ่งอี๋ในร่างของฟางเหรินกุ้ยเฟยก็มีรับสั่งจะเสด็จไปยังคุกหลวง ที่จองจำผู้ต้องสงสัยในคดีลอบวางพิษนางกำนัล และขันทีต่างหายใจกันไม่ทั่วท้องรีบเอ่ยทักท้วงว่า“พระวรกายของพระสนมยังไม่แข็งแรง ไม่ควรเสด็จไปยังคุกหลวงที่เต็มไปด้วยไอชั่วร้าย”“สถานที่เลวร้ายเช่นนั้น หากกระหม่อมปล่อยให้พระนางไป ฝ่าบาทต้องทรงพิโรธแน่ ๆ พ่ะย่ะค่ะ”“ได้โปรด ถอนรับสั่งด้วยเพคะ”เฟิ่งอี๋ทรงนิ่งฟังคำทัดทานนั้น คล้ายลมที่พัดผ่านหู หากนางไม่ลงไปสืบความด้วยตนเอง จะรู้ได้เช่นไรว่าใครที่อยู่เบื้องหลังการลอบสังหารร่างนี้ !เมื่อก่อนนางยอมโอนอ่อนอยู่ในตำหนัก แล้วเป็นเช่นไรเล่า สุดท้ายความตายก็มาเยือนถึงตำหนักฟางเหรินกุ้ยเฟยเป็นที่โปรดปรานของฝ่าบาทย่อมเป็นที่ริษยาในเหล่านางสนมด้วยกัน อีกทั้งยังชอบยกหางตนเหยียบย่ำคนอื่น ศัตรูในวังหลังมีมากจนเดาไม่ได้ว่าเป็นฝีมือใครกันแน่ร่างอ้อนแอ้นบอบบางในชุดชาววังชั้นสูงไหวกายลุกขึ้น แผ่นหลังเหยียดตรง แล้วเยื้องพระบาทมุ่งหน้าไปยังคุกหลวงโดยไม่กล่าวสิ่งใดอีกขันทีที่ดูแลตำหนักตะลีตะลานสั่งนางกำนัลเสียงขรม เมื่อห้ามไม่ได้ก็ต้องดูแลรับใช้ให้ด
“เอาละ ในเมื่อพวกเจ้าเหล่าพี่น้อง มาถวายพระพรเราจนครบแล้ว วันนี้ก็พอเท่านี้เถิด”“ขอจงทรงพระเจริญ หมื่น ๆ ปี หมื่น ๆ ปี”สนมทั้งหมดล้วนลุกขึ้นถวายพระพรน้อมส่ง ยกเว้น ฟางเหรินกุ้ยเฟย !“กุ้ยเฟย”เสียงเรียกขานดังขึ้นพร้อมกับฝ่ามือใหญ่วางลงที่บ่าของนาง เฟิ่งอี๋จึงดึงสติของตนกลับมาในปัจจุบัน“ถวายพระพรฝ่าบาทเพคะ”เฟิ่งอี๋ในร่างของฟางเหรินกุ้ยเฟยลุกขึ้นยอบกายถวายความเคารพตามธรรมเนียมท่วงท่าห่างเหิน บวกกับน้ำเสียงเย็นชานั้น ทำให้เฉินเฉิงฮ่องเต้เข้าใจว่านางยังคงเสียใจเรื่องลูก จึงรีบเข้าไปประคองนางให้ลุกขึ้น แล้วกล่าวว่า“ร่างกายเจ้ายังไม่แข็งแรง ไม่ต้องมากพิธีเช่นนี้”ฮ่องเต้ประคองนางให้นั่งบนเก้าอี้ดังเดิม พร้อมกับกอบกุมมือนิ่มเอาไว้ แล้วเอ่ยอย่างเอาใจว่า“เราตรวจฎีกาหมดแล้ว วันนี้ทั้งวันทั้งคืนเราจะอยู่เป็นเพื่อนเจ้าที่ตำหนักดีหรือไม่”เฟิ่งอี๋เม้มปากเข้าหากันจนสนิทเป็นเส้นตรง หลุบตาลงต่ำซ่อนความโกรธแค้นเอาไว้จนมิดชิด นางจะร่วมเตียงกับคนที่สั่งประหารนางและลูกอย่างทารุณ และฆ่าล้างตระกูลของนางจนสิ้นได้อย่างไร“ขอประทานอภัยเพคะ หม่อมฉันเพิ่งจะสูญเสียลูกไปร่างกายยังไม่พร้อมที่จะปรนนิบัติฝ่าบ
เมื่อเห็นว่าคนในอ้อมกอดดูจะสงบลงแล้ว ฮ่องเต้จึงประคองนางมาที่แท่นบรรทม ใช้ร่างกายของตนเป็นต่างหมอนให้นางนอนเอนลง จากนั้นก็สั่งหมอหลวงให้รีบเข้ามาดูอาการเฟิ่งอี๋เงยหน้าขึ้นมองดูสามีของตนที่กำลังเฝ้าทะนุถนอมร่างกายฟางเหรินกุ้ยเฟยอย่างรักใคร่ ยิ่งเห็นเขารักร่างกายนี้มากเท่าไหร่ ความแค้นก็ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นเท่านั้นเมื่อก่อนนางเป็นฮองเฮาที่ดีต่อเขามากเพียงไร เขากลับเฉยชา หนำซ้ำยังสั่งประหารตระกูลนางจนหมดสิ้น ในเมื่อเป็นคนดีแล้วถูกเหยียบย่ำ นางก็จะใช้ร่างกายของคนที่นางชิงชังที่สุดตอบสนองความกรุณาของเขาคืนให้เป็นพันเท่าทวีคูณ !“ทูลฝ่าบาท พิษในกายของพระสนมถูกขับออกหมดแล้ว เหลือเพียงแผลที่เกิดจากคมคันฉ่องเมื่อครู่ กระหม่อมได้ใส่โอสถให้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”หมอหลวงเฒ่าถวายรายงาน“ขอบใจมาก เจ้าออกไปเถอะ”ฮ่องเต้พยักหน้าเบา ๆ แววตาเหนื่อยล้า สองสามวันมานี้เกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นมากมายนัก เมื่อเห็นร่างในอ้อมแขนเหม่อลอย เขาก็เข้าใจว่านางยังคงเศร้าเสียใจกับการสูญเสียลูกในครรภ์ จึงออกพระโอษฐ์ว่า “เพื่อเป็นการชดเชยที่เจ้าสูญเสียลูกไป และเพื่อเป็นสิ่งตอบแทนที่เจ้าช่วยให้เราตาสว่างเรื่องเฟิ่งอี๋ฮองเฮ่าล
“หม่อมฉันจงรักและภักดีต่อพระองค์เพียงผู้เดียวเพคะ”กุ้ยเฟยส่งเสียงหวานอย่างออดอ้อน... แต่แล้วนางก็รู้สึกว่าท้องของนางบีบรัดเจ็บปวดมากขึ้นจนใบหน้าเหยเก มือที่เคยเกาะกุมลำแขนแกร่งของเขาก็เกร็งจิกเข้าไปในเนื้อโดยไม่รู้ตัว บนหน้าผากมีเหงื่อผุดพราย เนื้อตัวเย็นเฉียบฉับพลันฮ่องเต้ทรงรับรู้ได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง จึงก้มลงมองดูนางพลางตรัสถามว่า“กุ้ยเฟยเจ้าเป็นอะไร”“ฝะ... ฝ่าบาทเพคะ หม่อมฉันเจ็บท้อง”นางส่งเสียงออกมาอย่างยากลำบาก ความเจ็บปวดทรมานมันเริ่มแผ่ซ่านไปทั่วทั้งตัวราวกับตกอยู่ในนรกขุมอเวจีเมื่อฮ่องเต้ทรงทอดพระเนตรมองดูส่วนล่างของสนมรักก็พบเลือดมากมายไหลออกมาย้อมกระโปรงของนางจนแดงฉาน พระองค์ถึงกับเบิกตาโพลง ริมฝีปากค้าง ภาพของนางซ้อนทับกับภาพของฮองเฮาตอนแท้งลูกไม่มีผิดเพี้ยนเมื่อเห็นใบหน้าถอดสีของฮ่องเต้ กุ้ยเฟยจึงก้มลงดูท้องของตนเอง ภาพเบื้องล่างที่เห็นทำให้นางกรีดร้องออกมาราวกับคนเสียสติ แล้วหมดสติไป“เร่งฝีเท้ากลับตำหนักไป่เหอ กงกงตามหมอหลวงมาเร็วเข้า !”ฮ่องเต้ทรงตวาดสั่งออกมาอย่างร้อนพระทัยณ ตำหนักไป่เหอภายในตำหนักของกุ้ยเฟย ร่างในแท่นบรรทมขยับไหวกายเพียงเล็กน้อย นางกำนัล
ริมฝีปากขาวซีดเอ่ยถามเสียงแหบแห้ง นางได้รับความเฉยเมยจากสามีมาร่วมเดือน พบหน้ากันอีกครั้งเขากลับจะเอาชีวิตของเธอและลูกน้อยเสียแล้ว“รับสั่งเรื่องใดงั้นรึ เจ้ารู้อยู่เต็มอกว่าตนทำผิดเรื่องใด ยังจะแสร้งตีหน้าใสซื่อบริสุทธิ์ คิดว่าเราหูหนวกตาบอดแล้วรึ”เฉินเฉิงฮ่องเต้เชิดพระพักตร์ขึ้น เอ่ยด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว สองมือไพล่หลัง แผ่นหลังเหยียดตรง เรือนร่างสูงเด่นงามสง่าสมดั่งผู้อยู่บนบัลลังก์มังกร อยู่เหนือคนนับล้าน“หม่อมฉันไม่เคยทำผิดต่อพระองค์”แม้เสียงของฮองเฮาจะแผ่วเบา แต่คำนั้นหนักแน่น นับตั้งแต่นางอภิเษกกับประมุขของแผ่นดิน ทั้งจิตใจและร่างกายก็มอบไว้บนฝ่ามือเขาเพียงผู้เดียว เป็นเขาเองต่างหากที่มีสนมนางในนับร้อย แม้เจ็บซ้ำที่ต้องแบ่งปันสามีให้สตรีอื่น แต่นางก็ฝืนทนกล้ำกลืนความเจ็บซ้ำนั้นเอาไว้ เพราะตระหนักดีว่า สามีของนางเป็นฮ่องเต้มีชีวิตเพื่อแผ่นดิน มิได้มีไว้ให้นางครอบครองเพียงผู้เดียว“ไม่เคยทำผิดต่อข้างั้นรึ !”ฮ่องเต้ทรงสาวพระบาทตรงเข้าหาฮองเฮา มือแกร่งบีบไหล่นางทั้งสองข้างอย่างแรง จากนั้นก็ตะคอกใส่หน้าของนางว่า “แล้วบุรุษที่เจ้าซุกซ่อนเอาไว้ในคราบของขันทีในตำหนักของเจ้าคืออะไร แ
ณ ตำหนักเฉียนชิงตำหนักที่ใหญ่ที่สุด และงดงามที่สุดในวังหลังเป็นที่ประทับของฮองเฮา ผู้มีอำนาจสูงสุดเหนือหมู่ 12 ตำหนักของสนมของฮ่องเต้เฉินเฉิง แห่งราชวงศ์เฉิน“ฮองเฮาเพคะ โอสถเพคะ”นางกำนัลข้างกายประคองถ้วยโอสถที่นางเคี่ยวเองกับมือตามคำสั่งของฮองเฮาวางลงตรงหน้าพระพักตร์ขาวซีดของผู้เป็นใหญ่ในตำหนักนี้เฟิ่งอี๋ฮองเฮา สตรีในวัยสามสิบปีมองถ้วยบรรจุโอสถสีดำมีควันสีขาวจาง ๆ ลอยกรุ่นอยู่เหนือผิวน้ำ กลิ่นของมันชวนคลื่นเหียนยิ่งนัก ไม่ทันไรนางก็จำยอมเบือนหน้าหนีแล้วร่างบางก็สั่นสะท้านคล้ายกับจะขย้อนข้าวต้มในตอนเช้ามา“อะ.. อ๊อก..”“ฮองเฮาเพคะ ให้ตามหมอหลวงหรือไม่”นางกำนัลข้างกายลูบแผ่นหลังให้นายเหนือหัว ในขณะที่นางกำนัลอีกผู้หนึ่งรีบนำบ้วนพระโอษฐ์มารองรับสิ่งที่ฮองเฮาสํารอกออกมาจากปาก“มะ.. ไม่ต้อง”เฟิ่งอี๋รีบยกมือห้าม แววตาสั่นระริก ใบหน้าขาวซีดนั้นยิ่งดูซูบลงไปอีก ตั้งแต่ทรงพระครรภ์หลายสัปดาห์ที่ผ่านมานี้นางมีอาการแพ้ท้องอย่างหนัก ทันทีที่ได้กลิ่นอาหารหรือยา นางก็จะอาเจียนออกมาจึงทำให้ร่างกายที่ผ่ายผอมอยู่แล้วผอมลงไปอีก“แต่....”นางกำนัลข้างกายสีหน้าไม่สู้ดีนักด้วยความกังวลใจ เมื่อต้นเดื