พนิตนันท์เดินตามไปอย่างว่าง่าย สองตาแลไปรอบๆ ด้วยความตื่นตาตื่นใจ หล่อนเคยมาที่นี่แล้วก็จริงแต่ก็นานมากแล้วตั้งแต่ยังเป็นเด็กตัวเล็กผอมบาง
สาวรุ่นวัยใกล้เคียงกันพาหล่อนมายังห้องๆ หนึ่งในตัวตึกหลังใหญ่โต พอเสียงเคาะประตูดังขึ้นคนในห้องก็เอ่ยอนุญาตให้เข้าไป
หญิงสาววัยต้นสามสิบที่นั่งอยู่ตรงโซฟาตัวยาวเงยหน้าขึ้นมองและส่งยิ้มกว้างมาให้ทันทีที่เห็นหน้าหล่อน
“มาแล้วเหรอจ๊ะ? ฤทธิบอกว่านันท์กำลังหางานพิเศษทำใช่ไหม? ฉันเองก็กำลังมองหาผู้ช่วยอยู่พอดี นันท์มาทำงานกับฉันไหมล่ะ...”
เจ้าของบ้านฝ่ายหญิงเอ่ยอย่างไม่อ้อมค้อมพลางชี้ชวนให้พนิตนันท์มาใกล้ๆ พนิตนันท์เดินไปหยุดยืนใกล้โซฟาที่อีกฝ่ายนั่งอยู่แล้วก็ทรุดลงนั่งกับพื้นตรงหน้า
“ตายจริง! นั่งข้างบนนี่แหละ มาๆ ลุกขึ้น...”
“หนูนั่งตรงนี้ดีกว่าค่ะคุณ” พนิตนันท์ยืนกรานที่จะนั่งบนพื้นตามเดิม
“เอาเถอะ ตามใจแล้วกัน มาคุยกันเรื่องงานที่จะให้ทำดีกว่า ฉันอยากได้ผู้ช่วย...ก็คล้ายๆ เลขานั่นแหละ คอยเป็นธุระทำโน่นนี่ให้ และก็คอยอยู่เป็นเพื่อนฉันเวลาที่ฤทธิไม่อยู่ ฉันรู้ว่านันท์ต้องไปเรียนช่วงกลางวัน ก็เลยจะให้มาทำช่วงเย็น หรือ...นันท์จะไหวไหมถ้าฉันจะให้อยู่ที่นี่ช่วงวันธรรมดาแล้วเสาร์อาทิตย์ค่อยกลับบ้าน”
“ได้ค่ะ นันท์อยู่ที่นี่ก็ได้ค่ะ” คนฟังได้ยินเข้าก็ปรบมือชอบใจ
“เดี๋ยวฉันจะให้ป้านวลเตรียมห้องให้ นันท์มานอนห้องเล็กใกล้ห้องนอนฉันนี่แหละ สะดวกสุด แล้วสะดวกเริ่มงานเมื่อไรดีละจ๊ะ?”
พนิตนันท์กลอกตาคล้ายกำลังคิดตรึกตรองอยู่ครู่ก็เอ่ยตอบ
“วันนี้กลับไปนันท์ขอไปบอกแม่ก่อนนะคะ แล้วจะกลับไปเตรียมเก็บของ น่าจะเป็นวันพรุ่งนี้เย็นค่ะ นันท์น่าจะเริ่มงานได้”
“ดีเลย ฉันดีใจจริงๆ ที่นันท์จะมาช่วยงานฉัน ตั้งแต่ป่วยมานี่ร่างกายฉันก็ไม่เหมือนเดิม นี่มาเจอว่าเป็นมะเร็งอีก” ประโยคสุดท้ายเสียงเบาโหวง คนฟังซึ่งใจหายเมื่อได้รู้พลอยสะเทือนใจไปด้วยเพราะประหวัดถึงผู้เป็นยายที่
“คุณลินินเป็นมะเร็งเหรอคะ? ยายหนูก็เป็นมะเร็ง ยายเป็นมะเร็งลำไส้ค่ะ” ถ้ามะเร็งไม่คร่าชีวิตยาย หล่อนก็คงยังอยู่กับยาย และไม่ต้องมาเจอปัญหาอย่างที่กำลังเจออยู่นี่หรอก
พนิตนันท์เชื่อว่ายายจะไม่มีวันยอมให้หล่อนต้องลาออกจากมหาวิทยาลัย แม้ว่ายายจะเรียนมาน้อยแถมเป็นตาสีตาสาทำงานในไร่ในสวน แต่ยายก็ให้ความสำคัญกับเรื่องเรียนไม่น้อย ตอนอยู่กับยายถ้าไม่ป่วยหนักจริงๆ ยายไม่มีทางยอมให้หยุดเรียน
ยายบอกเสมอให้หล่อนตั้งใจเรียนและเรียนให้สูงที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อที่จะได้มีอนาคตที่ดี
“ฉันเสียใจด้วยนะ นันท์คงคิดถึงยายมาก”
“ค่ะ ถ้ายายยังอยู่ นันท์ก็คงยังอยู่กับยาย เรียนหนังสืออยู่ที่บ้านนอกโน่นค่ะ”
“ท่าทางนันท์จะชอบเรียนหนังสือ” เจ้านายหมาดๆ ชวนคุย พนิตนันท์ยิ้มรับ แววตาของหล่อนเปล่งประกายน่ามอง
“ค่ะ นันท์รับปากกับยายว่าจะขยันเรียนและจะเรียนจบสูงๆ จะได้มีงานดีๆ ทำ”
“อยู่ที่นี่...ไม่ต้องห่วงนะ ยังไงฉันก็ไม่ให้กระทบเรื่องเรียนของนันท์แน่นอน”
ได้ยินเจ้านายสาวรับรอง พนิตนันท์จึงค่อยใจชื้น นึกขอบคุณคนที่ช่วยหางานให้อยู่ในใจ
“ขอบพระคุณคุณลินินค่ะที่เมตตารับหนูไว้ทำงาน”
“นันท์ต้องไปขอบคุณฤทธิโน่น ถ้าเขาไม่มาฝากฝัง ฉันก็คงไม่รู้ว่านันท์กำลังหางานทำ ฉันก็คงไปมองหาที่อื่น ได้ใครมาทำงานก็ไม่รู้ ไป...ฉันจะพานันท์ไปดูห้องพัก ตามฉันมา”
เจ้าของบ้านลุกขึ้นแล้วเดินนำออกไป พนิตนันท์จึงเดินตาม ระหว่างเดินขึ้นบันไดไปชั้นสองหญิงสาวก็เอ่ยความคิดในใจออกมาด้วยน้ำเสียงติดแววกล้าๆ กลัวๆ
“เอ่อ...จริงๆ ให้หนูพักห้องที่เรือนข้างหลังก็ได้นะคะ ไม่ต้องพักบนตึกหรอกค่ะ”
“ไม่ได้หรอก ที่นั่นไกลไป เกิดฉันไม่สบายปุบปับช่วงกลางคืนจะเรียกนันท์ยังไง? นอนบนตึกด้วยกันนี่แหละดีแล้ว นี่ห้องนอนฉัน...” คนพูดชี้ไปที่ประตูห้องนอนทางฝั่งซ้ายมือ ก่อนจะเปลี่ยนไปชี้ห้องเยื้องๆ กันทางฝั่งขวามือแทน “ส่วนนี่ห้องของฤทธิเขา ฉันกับฤทธิแยกกันนอนน่ะ”
แม้จะยังไม่เคยมีแฟน แต่ประโยคนั้นกลับแปร่งหูหญิงสาวอย่างบอกไม่ถูก เพราะเหตุผลใด...สามีกับภรรยาถึงได้แยกห้องกันนอน...
“พอป่วยฉันก็ขอแยกห้องออกมาน่ะ ตอนแรกก็แค่ชั่วคราว คิดว่าดีขึ้นก็จะกลับไปนอนห้องเดียวกัน แต่ตอนนี้คงไม่แล้วล่ะ ฉันเป็นมะเร็งรังไข่...หมดหวังที่จะมีลูกแล้วล่ะนันท์”
“หนูเสียใจด้วยนะคะ” พนิตนันท์ไม่รู้จะพูดอะไรได้ดีไปกว่านี้อีกแล้ว
“ห้องตรงข้ามห้องของฤทธิ...คือห้องที่ฉันจะให้นันท์อยู่ เดิมเราใช้เป็นห้องพักแขก ขนาดของมันไม่ได้ใหญ่มาก แต่ก็มีห้องน้ำในตัว มีระเบียงเล็กๆ ที่สำคัญอยู่ติดกับห้องฉันเลย”
พนิตนันท์กวาดตามองห้องนอนที่เจ้าของบ้านบอกว่าขนาดไม่ใหญ่นัก แต่ถ้าเทียบกับห้องนอนของหล่อนที่บ้านก็นับว่าใหญ่กว่าหลายเท่า ทั้งยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ไม่ว่าจะเป็นเตียงนอนขนาดสามฟุตครึ่ง โต๊ะเครื่องแป้ง ตู้เสื้อผ้า ตลอดจนโต๊ะเขียนหนังสือตรงมุมห้อง แถมยังมีห้องน้ำในตัวอีกด้วย
สาวน้อยยิ้มออกมาด้วยความดีใจ อย่างน้อยโชคก็ยังเข้าข้าง ถึงได้ส่งสามีภรรยาคู่นี้มาช่วยหล่อน
ผ่านไปเกือบสองอาทิตย์แล้วที่พนิตนันท์เข้ามาอยู่ที่บ้านหลังใหญ่ตรงท้ายซอยในฐานะผู้ช่วยของลินินทุกอย่างเป็นไปด้วยดีนับตั้งแต่หล่อนบอกกล่าวให้ผู้เป็นแม่รับรู้ว่าจะมาทำงานที่นี่ และต้องมานอนค้างกลับบ้านได้เฉพาะวันเสาร์อาทิตย์ แรกนั้นพนิตนันท์คิดว่าแม่คงคัดค้าน เพราะวันที่ทะเลาะกันนั้นทีท่าของแม่คือยืนกรานให้หล่อนลาออกจากมหาวิทยาลัยแล้วหางานทำเต็มตัว แต่กลับผิดคาดนอกจากไม่คัดค้านแล้ว แม่ยังเห็นดีเห็นงามเสียอีก พนิตนันท์จึงค่อยโล่งใจไปเปลาะ เพราะหล่อนทำงานแถมยังได้เรียนหนังสือเหมือนเดิม ซึ่งนับเป็นสิ่งที่น่าพึงพอใจที่สุด งานและหน้าที่ของหล่อนในฐานะผู้ช่วยนั้นก็มิได้มีอะไรหนักหนา นอกเหนือจากจัดการเรื่องธุรกรรมต่างๆ หล่อนยังได้รับมอบหมายให้ทำบัญชีค่าใช้จ่ายประจำบ้านเพิ่มอีกอย่าง และก็คอยอยู่เป็
“เมื่อเช้าเธอบอกจะไปกับเพื่อน เพื่อนอยู่แถวนี้เหรอ” จู่ๆ คนตรงหัวโต๊ะก็ถามขึ้นมา น้ำเสียงเหมือนผู้ใหญ่ที่กำลังซักไซ้ไล่ความเด็กในปกครอง “ค่ะ นันท์เพิ่งทราบว่าเขาอยู่ซอยถัดไปนี่เอง” คนฟังพยักหน้ารับรู้ “ผู้หญิงหรือผู้ชาย?” “ผู้ชายค่ะ” หญิงสาวตอบเสียงเบาหวิวทีเดียวเมื่อจับกระแสเสียงเข้มในคำถามนั้นได้ “ทำอะไรก็ระวังเนื้อระวังตัวไว้ เธอน่ะเป็นผู้หญิง ไปไหนกับผู้ชายสองต่อสองมันไม่ดี” วูบหนึ่ง...พนิตนันท์นึกถึงวันก่อนนั้นที่เขารับหล่อนขึ้นรถไปส่งที่มหาวิทยาลัยแต่กลับแวะที่คอนโดมิเนียมให้หล่อนซักชุดนักศึกษาและรอจนแห้ง ถึงแม้ว่าเขาจะออกไปก่อนทิ้งให้หล่อนรอเพียงลำพังก็ตาม แต่มันก็เข้าค่ายเดียวกันไม่ใช่เหรอ? หากหล่อนเลือกที่จะนั่งนิ่งๆ ก้มหน้าก้มตากินข้าวในจานไปเงียบๆ “วันก่อนนั้นเป็นข้อยกเว้น ฉันโตแล้ว และเธอก็เหมือนเด็กในปกครอง แม่ก็เคยมาทำงานที่นี่ ตอนนี้ตัวเธอเองก็มาทำงานที่นี่เหมือนกัน” น้ำเสียงเรียบเรื่อยนั้นจี้ใจอย่างจัง “ค่ะ” พนิต
ฤทธิถอดเสื้อผ้าใส่ตะกร้าผ้าซักใต้เคาน์เตอร์อ่างล่างหน้าในห้องน้ำภายในห้องนอนส่วนตัว แล้วยืนมองเงาสะท้อนของตนเองในกระจกเขาภูมิใจกับเรือนร่างกำยำล่ำสันที่แลกมาด้วยการมีวินัยในการดูแลตัวเองทั้งเรื่องอาหารการกินและการออกกำลังกายซึ่งเขาปฏิบัติมาเป็นเวลายาวนานหลายปีเขาไล่สายตาจากกล้ามหน้าอกผ่านกล้ามท้องที่เห็นซิกส์แพ็กชัดเจน มาหยุดที่ชั้นในผ้าคอตตอนสีขาวสะอาดตานั่นไง...ตัวปัญหา!วันนี้เขาเป็นอะไรถึงได้เกิด ‘อารมณ์’ ขึ้นมาแบบนี้ ปกติเขาก็หักห้ามตัวเองได้ ด้วยการเอาใจไปไว้ที่งาน ใครต่อใครก็บอกว่าเขาเป็นคนบ้างานมีเพียงเขา...และลินิน ผู้เป็นภรรยา ที่รู้เหตุผลของการบ้างานนี้ดีเขาบ้างานทำแต่งานเพื่อที่จะทำให้ตัวเองยุ่งตลอดเวลา พอยุ่งก็ไม่มีเวลามาคิดเรื่องอื่น โดยเฉพาะ...เรื่องเซ็กส์ระหว่างเขากับภรรยาฤทธิก็เหมือนผู้ชายทั่วไปที่ยังมีความต้องการทางกาย แต่เมื่อภรรยาป่วยกระเสาะกระแส เทียวเข้าออกโรงพยาบาลเพราะสุขภาพทรุดโทรม เขาก็ไม่อยากฝืนใจหล่อนสุดท้ายจึงแยกห้องนอนกันเพื่อตัดปัญหาความรักที่มีต่อภรรยาทำให้ฤทธิปฏิเสธการมีสัมพันธ์ทั้งในแบบถาวรหรือชั่วคราวกับผู้หญิงอื่น ทั้งที่ลินินเคยเสนอทางเลือกใ
ฤทธิค่อยๆ พลิกร่างโปร่งบางของสาวน้อยให้ลงไปนั่งกึ่งนอนอยู่บนพื้นตรงจุดที่มั่นใจว่าปลอดเศษกระเบื้อง เจ้าหล่อนยังหลับตาแน่นเช่นเดิม และค่อยๆ ชันตัวขึ้นนั่งกอดเข่าไว้หลวมๆ ชายหนุ่มใช้สายตาสำรวจเร็วๆ จึงเห็นว่าเท้าซ้ายของหล่อนมีเลือดไหล“นั่งอยู่ตรงนั้นห้ามขยับ เธอเหยียบกระเบื้องเท้าเป็นแผล ให้ฉันดูก่อนว่ามีเศษกระเบื้องติดอยู่หรือเปล่า”ปากสั่ง ส่วนตัวก็ก้าวยาวๆ ข้ามไปหยิบผ้าเช็ดตัวขึ้นมาพันกายท่อนล่างเอาไว้ เรียบร้อยแล้วก็เดินกลับมา เขาคุกเข่าลงขางหนึ่งแล้วช้อนร่างสาวน้อยขึ้นมาไว้ในวงแขนอีกครั้ง“ว้าย!” เจ้าหล่อนร้องเมื่อรู้สึกตัวว่าตนเองลอยขึ้นจากพื้น ดวงตาที่ปิดสนิทเบิกโพลงด้วยความตกใจ สองแขนยกขึ้นโอบรอบคอของเขาโดยอัตโนมัติใบหน้าของทั้งคู่อยู่ห่างกันไม่กี่คืบ ดวงตาสองคู่สานสบกันนิ่ง แวบหนึ่งฤทธิคล้ายเห็นแววตาบางอย่างฉายผ่านดวงตาคู่สวยของสาวน้อย ก่อนที่จะแปรเป็นแววตระหนกฤทธิเลื่อนสายตาจากดวงตาคู่นั้นลงมาที่ริมฝีปากสีกลีบกุหลาบแล้วก็มิอาจถอนสายตาไปไหน...น่าจูบ...จู่ๆ ความคิดนั้นก็ผ่านเข้ามาในความคิด และเมื่อใจรับรู้ ร่างกายก
ฤทธินอนกระสับกระส่ายอยู่บนเตียง เขาง่วงนอนจนจะหลับอยู่รอมร่อ แต่ทุกครั้งที่หลับตาก็เห็นแต่ภาพสาวน้อยคนนั้นหลับตาพริ้มรับจูบหวานซ่านในอ้อมกอดของตนหากจินตนาการกลับไปไกลกว่านั้น...เมื่อระลึกถึงสัมผัสจากปลายมือยามได้โลมลูบไปบนเนื้อตัวเจ้าหล่อน ใจกลับเต้นระทึกจนแทบโลดออกมานอกอก กลางกายปวดหนึบจนเผลอเปล่งเสียงแหบพร่าออกมา...เป็นบ้าอะไรวะเนี่ย หยุดคิดแล้วหลับสักที!...แต่ยิ่งห้ามตัวเอง ใจก็ยิ่งเตลิด ภาพในมโนความคิดนั้นไปไกลแสนไกลจนเจ้าตัวได้แต่นอนดิ้นกระสับกระส่ายบนเตียงกระทั่งเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นตอนห้าทุ่มเศษ มือคว้าสะเปะสะปะกระทั่งเจอโทรศัพท์มือถือ ปรือตาหนักอึ้งขึ้นมองชื่อของภรรยาที่ปรากฏบนหน้าจอ เมื่อรับเสียงปลายสายฟังดูสดใสไม่น้อย“ฤทธิคะ ลินินจะโทรมาบอกว่าคืนนี้ลินินจะกลับดึกหน่อยนะคะ หรือไม่ก็อาจจะค้างบ้านคุณพ่อคุณแม่ค่ะ”“อืม” เขาตอบได้แค่นั้น รู้สึกว่าสติสัมปชัญญะตนเองกำลังจะดับในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้านี้แล้ว“ค่ะ ถ้างั้นแค่นี้นะคะ ฝันดีค่ะ”โชคดีที่ปลายสายไม่ต่อความยาว ทันทีที่ฝ่ายนั้นวางสาย เขาก็พ่นลมหายใจ
เย็นนั้นเมื่อฤทธิกลับมาถึงบ้าน เขาเดินหาภรรยาไปทั่ว ทั้งที่ห้องอเนกประสงค์ที่หล่อนมักใช้เวลาคลุกอยู่ในนั้นทำงานฝีมือจุกจิก ไม่ก็อ่านหนังสือ ทั้งที่เรือนกระจกสำหรับปลูกแค็คตัส แต่ก็หาไม่เจอกระทั่งเขาได้ยินเสียงหล่อนลอยมาจากชั้นบน เดินตามขึ้นไปจึงเจอว่าหล่อนกำลังกำกับคนรับใช้ให้ทำความสะอาดห้องพระอยู่นั่นเองก้าวแรกที่คนตัวโตสูงใหญ่ย่างเข้าไป สายตาก็ปะทะเข้ากับร่างเล็กบอบบางที่กำลังสาละวนเช็ดตู้โต๊ะอยู่ ฤทธิชะงัก ยืนนิ่งก่อนที่ความกรุ่นโกรธแล่นวูบขึ้นหน้าเมื่อภาพอันลางเลือนบางภาพผ่านเข้ามาในความนึกคิดภาพที่ไม่ควรหลงเหลืออยู่ในหัวเขาแม้แต่น้อย“ผมบอกแล้วไงว่าไม่อยากเห็นหน้าเด็กคนนี้อีก” เสียงเข้มจัดของเขาทำให้คนที่กำลังเช็ดโต๊ะสะดุ้งสุดตัว เงยหน้าจากผ้าในมือขึ้นมอง แวบหนึ่งนั้นเขาเห็นแววตาน้อยเนื้อต่ำใจฉายผ่านดวงตาโตคู่นั้น แต่ก็แค่แวบเดียว หลังจากนั้นเจ้าหล่อนก็ก้มหน้างุดซ่อนแววตาไว้“ใจเย็นก่อนสิคะฤทธิ” ลินินเอาน้ำเย็นเข้าลูบ หล่อนลุกขึ้นเดินไปหาสามีพลางเกาะแขนเขาพาเดินออกจากห้องเพื่อคุยกันตามลำพังทั้งคู่เดินไปที่ห้องทำงานของฤทธิที่อย
เมื่อออกมาจากห้องทำงาน พนิตนันท์ก็แวะไปที่ห้องนอนของนายสาวเพื่อรายงานให้ทราบว่าหล่อนทำตามคำสั่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว“คุณลินินคะ หนูเอากาแฟไปเสิร์ฟตามที่สั่งเรียบร้อยแล้วนะคะ”“ดีจ้ะ ขอบใจมาก ต่อไปนี้สี่ทุ่มทุกวัน นันท์เอากาแฟไปเสิร์ฟคุณฤทธิแทนฉันทีนะจ๊ะ”“เอ่อ...แต่...” เจ้าหล่อนอึกอักก่อนจะเอ่ยสิ่งที่เจ้านายหนุ่มสั่งไว้ “คุณผู้ชายสั่งไม่ให้หนูไปค่ะ”ครั้นเห็นนายสาวนิ่งไม่พูดอะไร หล่อนก็ล่าถอยออกมา แล้วตรงกลับเข้าห้องของตนทันทีหญิงสาวเดินไปนั่งตรงขอบเตียงพลางก้มลงมองหน้าท้องของตนเองที่ยังแบนราบ จตนยลูบเบาๆ พลางนึก...ถ้าหล่อนท้องขึ้นมาจริงๆ จะเป็นอย่างไร สำหรับเด็กสาวอายุสิบเก้าที่ชีวิตยังมีแค่เรื่องเรียนและเรื่องทำงานหาเงินเพื่อช่วยเหลือครอบครัว คำว่า ‘แม่’ จึงนับเป็นเรื่องไกลตัว ไม่ใช่แค่ไม่เคยมีแฟน แต่พนิตนันท์ยังไม่เคยมีเรื่องนี้อยู่ในหัวแม้แต่น้อยหล่อนอาจจะมีใครบางคนซุกซ่อนไว้ในใจ เป็นคนที่แอบชอบแอบชื่นชมอยู่ลับๆ แต่มันก็เป็นแค่เพียงความรู้สึกที่เก็บไว้คนเดียว ไม่เคยคิดจะบอกใครหรือแม้แต่จะแสดงตัวให้อีกฝ่ายรู้หญิงสาวยกมื
“นันท์ ฉันฝากดูแลคุณฤทธิด้วยนะระหว่างที่ฉันกลับไปอยู่ที่บ้านแม่”พนิตนันท์อ้าปากค้างเมื่อได้ยินประโยคนั้นจากนายสาว ทุกอย่างดูปุบปับไปหมด เพิ่งเกิดเรื่องไปวันก่อน มาวันนี้นายสาวกลับบอกว่าจะไปอยู่บ้านแม่ แถมยังฝากฝังให้ดูแลสามีเสียอีกเด็กสาวยังไม่ตกปากรับคำในทันที แต่กลับอ้ำอึ้งราวมีอะไรอยากจะเอื้อนเอ่ย ลินินจับอาการนั้นได้จึงออกปากถามออกมา“มีอะไรหรือเปล่า?”“เอ่อ เมื่อคืน...หนูกลับไปคิดดูอีกที หนูขอไม่รับเงินที่คุณจะให้ได้ไหมคะ” ไม่น่ายากนี่ เพราะที่ตกลงกันก็ยังเป็นเพียงสัญญาปากเปล่า หล่อนเองก็ยังไม่ได้รับเงินมาเสียหน่อย “แล้วหนูก็อยากขอกลับไปอยู่บ้าน ส่วนเรื่องท้องไม่ท้อง ถ้ารอบเดือนไม่มาหนูจะรีบมาบอกคุณทันทีเลยค่ะ ถึงตอนนั้นถ้าหนูท้องแล้วคุณอยากให้หนูมาอยู่ที่นี่ หนูก็จะมาค่ะ”เมื่อได้ฟังลินินนิ่งงันไป เพราะไม่นึกว่าเด็กท่าทางหัวอ่อนอย่างพนิตนันท์จะเกิดเปลี่ยนใจขึ้นมาแบบนี้“นันท์อยู่ที่นี่ไปก่อนไม่ดีกว่าเหรอ...อย่างน้อย ก็รอจนรอบเดือนมาก็ได้นี่ หลังจากนี้ฉันคงเวียนเข้าเวียนออกโรงพยาบาล จะได้ไม่กังวลเรื่องนันท์ อยู่ที่นี่ฉันก็ยังฝาก
พนิตนันท์มองตามรถคันใหญ่ที่แล่นออกไปอยู่ชั่ววินาทีก่อนจะหมุนตัวแล้วก้าวเท้าเดินไปยังอาคารเรียนซึ่งอยู่ถัดไปหล่อนย้ายมาอยู่ที่คอนโดมิเนียมประมาณอาทิตย์เศษ ความจริงที่นี่อยู่ใกล้มหาวิทยาลัยของหล่อนไม่น้อย ทว่าทุกเช้าฤทธิขับรถมาส่งคืนไหนเขาค้างด้วยก็ง่ายหน่อย แต่คืนไหนเขาไม่ได้มาค้าง ก็จะแวะมารับตอนเช้าแล้วไปส่งที่มหาวิทยาลัย“นันท์...นันท์...รอด้วย” เสียงเรียกคุ้นหูดังขึ้นข้างหลังเมื่อหันไปพนิตนันท์จึงเห็นว่าเป็นวิจิตรา...เพื่อนสนิทของตนนั่นเอง จึงเอ่ยทัก“อ้าว...วิว มานานยังอะ”“ก็มาตะกี้พร้อมๆ แกอะแหละ”คำตอบของเพื่อนทำให้รอยยิ้มของพนิตนันท์เจื่อนไปนิด เพราะนั่นหมายความว่า...วิจิตราต้องเห็นว่ามีคนมาส่งหล่อน“แกไม่ได้มาพร้อมอาชว์เหรอวะ ตะกี้ฉันเห็นแกลงจากรถ แต่จำได้ว่าไม่ใช่รถอาชว์” นั่นไง...จริงอย่างที่คิดไหมล่ะ“อือ...พอดีนายจ้างเราเขาให้ติดรถมาเพราะมาทางเดียวกันน่ะ เราเลยไม่ได้มาพร้อมอาชว์แล้ว” หล่อนแก้ตัว“อ๋อ...มิน่า พักนี้อาชว์มันซึมไปเลย แกไม่ยอมนั่งรถมันนี่เอง” วิจิตราทำตาเล็กตาน้อยใส่จนต้องรีบปฏิเ
เสียงนาฬิกาปลุกจากโทรศัพท์มือถือที่พนิตนันท์ตั้งไว้ทำหน้าที่ของมันตามปกติ หญิงสาวปรือตาตื่นขึ้นมาอย่างยากลำบาก เอื้อมไปปัดหน้าปัดโทรศัพท์เพื่อปิดแอพนาฬิกาปลุกทว่าแทนที่จะตื่นหล่อนกลับฟุบหลับต่อ แต่กลับต้องแปลกใจเมื่อที่นอนนั้นช่างแข็งเหลือเกิน...มือบอบบางค่อยลูบไปบนที่นอนช้าๆ อย่างสำรวจตรวจตรา...“อืม...” เสียงครางในลำคอของใครบางคนทำให้หล่อนลืมตาตื่นในทันที นั่นแหละ...สติจึงกลับมาอย่างสมบูรณ์พร้อมกับภาพต่างๆ นานาที่เกิดขึ้นเมื่อคืนประดังประเดเข้ามาไม่ขาดสายคืนนั้นหล่อนยังพอพูดได้ว่า...จำอะไรไม่ได้มาก ทุกอย่างเหมือนฝัน คลับคล้ายคลับคลาเหมือนจะจำได้...แต่ก็จำไม่ได้ แต่จะบอกว่าจำไม่ได้...มันก็ไม่เชิงแต่เมื่อคืนนี้...ไม่ใช่แบบนั้น!ภาพทุกอย่างชัดเจนยิ่งกว่าภาพสามมิติ ที่สำคัญ...หล่อนยังยินยอมพร้อมใจ...และพึงพอใจกับเซ็กส์ที่เขามอบให้อย่างมากมันดี...ดีมากเสียจน...แค่หลับตานึกถึง...เนื้อตัวก็วูบวาบขึ้นมา“ถ้ายังไม่หยุดลูบ...รับรองว่าเธอไปเรียนสายแน่...สาวน้อย” เสียงแหบพร่าดังขึ้นพร้อมกับที่มือแข็งแรงจับข้อมือของหล่อนไว้ไม่ได้จับเ
ฤทธิครอบครองริมฝีปากหญิงสาวแล้วสอดลิ้นเข้าไปเกี่ยวกระหวัดเรียวลิ้นชุ่มชื้นขณะที่มือข้างหนึ่งไต่ลงต่ำผ่านหน้าท้องแล้วซุกกลางหว่างขาที่ยังคงชุ่มชื่น...ทั้งจากน้ำหวานที่หลั่งรินและจากน้ำลายของเขา เกร็งนิ้วสอดเข้ากลางกลีบอวบแล้วขยับเข้าออกด้วยจังหวะเนิบนาบเพื่อปูทางให้ความแข็งขึงกลางกายเขามันขยับขยายเต็มที่ และตอนนี้เขาก็ปวดหนึบจนทนแทบไม่ไหวเขาถอนนิ้วออก สาวน้อยแทบจะผวากายตามมา มือแข็งแรงจับต้นขาเจ้าหล่อนแล้วแบะกว้างเปิดทางให้สะโพกสอบเข้าแทรกกลาง ความแข็งแกร่งจดจ่ออยู่กลางกลีบชุ่มฉ่ำก่อนจะแทรกเข้าไปทีละนิดความแน่นหนึบที่โอบล้อมทุกทิศทางทำให้ฤทธิถึงกับกัดฟันเมื่อความเสียวซ่านที่มีจุดศูนย์กลางอยู่ตรงกึ่งกลางกายกำลังแผ่กระจายไปทั่วทั้งตัวไม่ต่างจากกระแสไฟที่ไหลไปตามสาย“อะ...” เสียงของสาวน้อยพร้อมทั้งมือที่ยกขึ้นแตะอกเขาทำให้ฤทธิหยุดชะงัก“เจ็บเหรอ?” เขาถาม...ถึงครั้งนี้จะเป็นครั้งที่สอง แต่เจ้าหล่อนก็อาจจะยังรู้สึกเจ็บอยู่บ้าง“ม...ไม่ค่ะ แค่...อึดอัด”“เดี๋ยวก็ชิน” เขาบอกพลางออกแรงเพิ่มขึ้นอีกนิดกระทั่งฝากฝังตัวตนเข้าไปจนสุด จึง
เมื่อเปิดประตูคอนโดมิเนียมเข้าไป นอกเสียจากความมืดโดยรอบแล้ว สิ่งหนึ่งที่ปะทะฆานประสาทของชายหนุ่มคือกลิ่นหอมของสบู่และเครื่องประทินผิวที่เจือจางอยู่ในอากาศ นับเป็นความแปลกใหม่ ที่น่ารื่นรมย์ไม่น้อยทั่วท้องห้องเงียบเชียบ...สาวน้อยคงเข้านอนไปแล้วกระมัง เพราะนี่ก็ดึกมากแล้ว อีกไม่กี่นาทีก็จะเที่ยงคืน...ฤทธิไม่รู้เหมือนกันทำไมเขาถึงมาที่นี่...แทนที่จะกลับบ้าน ทั้งที่เหนื่อยจนตาแทบจะปิด แถมระยะทางระหว่างคอนโดมิเนียมกับโรงพยาบาลก็ไม่ใช่ใกล้ เทียบกันแล้วบ้านเขาอยู่ใกล้โรงพยาบาลมากกว่าด้วยซ้ำแต่เขามา...เพราะเป็นห่วงคนที่นอนหลับอยู่ในห้องนั่นแหละฤทธิหมุนลูกบิดประตูห้องนอนอย่างระมัดระวังกลัวจะปลุกคนที่กำลังหลับสบายอยู่บนเตียงนอนขนาดคิงไซส์กลางห้อง ชายหนุ่มเดินไปหยุดอยู่ตรงปลายเตียงมองเงาตะคุ่มของร่างบอบบางที่นอนขดตัวอยู่บนเตียงโดยที่ผ้าห่มไปกองอยู่ตรงปลายเท้าท่าทางเหมือนกำลังหนาว...เขาดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมให้จนมิดชิด จากนั้นก็เดินเลยไปเข้าห้องน้ำ...แม้จะง่วงแสนง่วง ก็ขออาบน้ำสักนิดเถอะเมื่อออกมาจากห้องน้ำในชุดนอนสบา
“ดีใจจังที่ป้านวลมา”ประโยครำพึงของสาวน้อยทำให้คนสูงวัยกว่ายิ้มออกมาด้วยความเอ็นดู ป้านวลรู้จักพนิตนันท์มาตั้งแต่เป็นเด็กหญิงตัวผอมบาง พอจะรู้จักนิสัยใจคอกันอยู่ว่าสาวน้อยคนนี้เป็นเด็กใฝ่ดีรักเรียนและรู้จักเจียมเนื้อเจียมตัวเทียบกับคนเป็นแม่แล้ว...บางครั้งนางก็อยากจะเชื่อว่าพรรณีไปขโมยลูกใครสักคนมาเลี้ยงด้วยซ้ำ ค่าที่ทั้งคู่ต่างกันราวฟ้ากับเหว“หนูนันท์เป็นไง เจ็บตรงไหนบ้าง เห็นคุณฤทธิบอกเกิดอุบัติเหตุ” พูดพลางสำรวจเนื้อตัวเด็กสาวไปด้วย เด่นชัดสุดน่าจะรอยแผลตรงหน้าผากชิดไรผม“หัวแตก แล้วก็ฟกช้ำ ปวดระบมเนื้อตัวค่ะ”“คิดว่าฟาดเคราะห์นะหนูนันท์”“ค่ะ เพื่อนนันท์ขับไม่เร็วด้วยค่ะ เลยไม่ได้เป็นอะไรมาก”“โชคดีไปค่ะ หิวหรือยังคะเดี๋ยวป้าอุ่นอาหารมาให้ เอามาให้เยอะแยะไว้เก็บใส่ตู้เย็นกินได้อีกหลายวัน ถ้าหมดก็โทรบอกป้า จะได้ทำมาเพิ่มให้ หรืออยากกินอะไรก็บอกป้า”“ขอบคุณค่ะป้า แต่หนูคงไม่รบกวนหรอกค่ะ หนูพอทำกับข้าวเป็นอยู่บ้าง” รอยยิ้มบนใบหน้าคนพูดหมองลงเมื่อเอ่ยประโยคถัดมา “หนูคิดถึงบ้านจังเลยค่ะป้า แต่...หนูไม่มีบ้านจะให้กลับ”“
จุมพิตหวานซ่านเริ่มร้อนแรงขึ้นและดูท่าว่าจะหยุดไม่ได้ง่ายๆ ลมหายใจทั้งคู่เริ่มสะท้านไปกับความหวิวไหวที่ซ่านขึ้นมาระลอกแล้วระลอกเล่าความรู้สึกปั่นป่วนในช่องท้องที่มากขึ้นทุกทีทำให้พนิตนันท์สับสน ใจหล่อนร่ำร้องต้องการมากกว่านี้...แต่อีกใจก็อยากให้เขาหยุดหล่อนกลัว...กลัวตนเองยิ่งกว่าอื่นใดเมื่อตระหนักว่าตนเองชอบสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังทำและตอบสนองเขาราวกับหญิงช่ำชอง ทั้งที่คืนนั้นหล่อนจำอะไรแทบไม่ได้ด้วยซ้ำฤทธิผละริมฝีปากออกจากกลีบปากบวมเจ่อเพราะจูบของเขา“บอกเหตุผลดีๆ ฉันสักข้อสินันท์ ว่าทำไมฉันควรเปิดประตูนั้นแล้วเดินออกไป” เขากระซิบเสียงพร่าริมหูหญิงสาวก่อนจะซุกไซ้สูดดมขบติ่งหูเบาๆ ก่อนจะไล่เรื่อยลงมาตามลำคอระหง ร่างบอบบางหอบหายใจจนตัวโยน...หัวสมองอื้ออึงไปหมดพยายามจะคิดหาคำตอบให้เขา“คุณ...ต้อง...ไปทำงาน” ถ้อยประโยคนั้นขาดเป็นห้วง“ยัง...ยังไม่ดีพอ” เขากระซิบตอบ “ขอเหตุผลที่ดีกว่านี้ ไม่อย่างนั้นฉันรับรองได้ว่า อีกไม่เกินห้านาทีฉันอุ้มเธอขึ้นเตียงแน่”เขาไปแล้ว!หัวใจของพนิตนันท์สั่นจนแทบจะทะลุออกมานอกอกอยู่รอมร่อ หล
มือเรียวที่ถือปากกาไว้นั้นออกจะสั่นน้อยๆ คล้ายเจ้าตัวมีความลังเล จึงจดจ้องอยู่ตรงช่องว่างที่จะต้องลงลายมือชื่ออยู่หลายนาที กระทั่งเสียงกระแอมดังขึ้นจากคนที่นั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงกันข้ามจึงสะดุ้งแล้วเงยหน้ามองพร้อมรอยยิ้มจืดเจื่อน“เซ็นไปเถอะ มีสัญญาเป็นหลักฐานมันก็ดีสำหรับตัวเธอเองนั่นแหละ ในนั้นฉันระบุไว้ครบถ้วนทุกอย่างรวมถึงเรื่องเงินที่ฉันบอกว่าจะให้เธอทุกเดือน เดือนละหนึ่งแสนบาท เริ่มตั้งแต่เดือนนี้ไปจนกว่าเด็กที่คลอดออกมาจะมีอายุครบแปดเดือน”“แล้ว...ถ้าหนูไม่ท้องละคะ”“สัญญาก็จะมีผลไปเรื่อยๆ จนกว่าจะท้องและเด็กอายุครบแปดเดือน อยากท้อง...หรือไม่อยากท้องล่ะ”“ม...ไม่รู้ค่ะ” สาวน้อยสะบัดหน้าจนผมยาวที่รวบไว้เป็นหางม้าแกว่งไปมา “แล้ว...ทำไมต้องรอให้ครบแปดเดือนคะ?”หล่อนถามด้วยความสงสัย ขณะที่คนตอบกลับนึกขันในความขี้สงสัยนั้น ความคิดผ่านเข้ามาวูบหนึ่ง...หล่อนอายุสิบเก้าเท่านั้นเอง ถึงจะไม่ใช่เด็กแล้ว...แต่ก็ยังไม่ใช่ผู้ใหญ่ถ้าจะตั้งข้อสงสัยมากหน่อย ก็นับว่าไม่แปลกในเมื่อเป็นการตัดสินใจในเรื่องเกินอายุไม่น้อย ฤทธิยิ้มอย่างใจเย็นเมื่ออธิบายให้หล
ฤทธิลุกขึ้นแล้วก้าวตรงมาหาสาวน้อย เขาก้มลงช้อนร่างหล่อนขึ้นแล้วอุ้มเดินไปที่ห้องนอน พนิตนันท์หน้าแดงจัดด้วยความขัดเขินความคิดหล่อนเตลิดไปไกลเมื่อจดจำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่ตื่นมาพบตัวเองนอนอยู่ในห้องนอนของเขา...มันเกิดอะไรขึ้นทว่าเมื่อวางร่างสาวน้อยลงบนเตียงเรียบร้อย ฤทธิก็เอ่ยขึ้น“นอนพักก่อน เดี๋ยวขอฉันทำงานสักหน่อย...มีอะไรก็ไปเรียกฉันได้ที่ห้องทำงาน...อยู่ข้างๆ ห้องนี้แหละ”“เอ่อ แต่...หนูไม่ง่วง แล้วก็ไม่ได้เจ็บตัวอะไรเท่าไร ขอหนูไปมหาลัยไม่ได้เหรอคะ”“ไม่ได้!” พูดจบเจ้าตัวก็ตัดบทการสนทนาด้วยการก้าวขาฉับๆ ออกจากห้องนอนไปทันทีฤทธิเปิดประตูห้องข้างๆ ที่ตกแต่งเป็นห้องทำงานเล็กๆ ซึ่งมีเครื่องอำนวยความสะดวกพร้อมทุกอย่าง เป็นออฟฟิศย่อมๆ ที่ใช้ work from home ได้อย่างสบายเขาเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ขึ้นมาเพื่อเช็กเมล์ว่าเลขานุการส่งไฟล์ร่างสัญญามาให้ตรวจหรือยัง เมื่อยังไม่พบจึงได้โทรศัพท์ไปตามงานอีกครั้งจากนั้นจึงโทรศัพท์หาภรรยา...เพื่อบอกให้อีกฝ่ายรู้ว่าเขาตกลงจะทำอะไร“ลินิน...ผมอยากคุยเรื่องเด็กนั่น”
พนิตนันท์กลับออกมาจากโรงพยาบาลด้วยแผลเย็บที่หน้าผาก แม้แผลจะไม่ใหญ่มาก แต่ก็ลึกพอสมควร นอกนั้นก็มีเพียงอาการฟกช้ำดำเขียวตามเนื้อตัว กับอาการปวดระบมฤทธิพาหญิงสาวไปที่คอนโดมิเนียมของเขาตามที่บอกแต่แรก ระหว่างนั้นก็โทรศัพท์ไปสั่งงานที่ออฟฟิศไว้เรียบร้อยพอถึงห้องฤทธิประคองสาวน้อยไปนั่งตรงโซฟาในห้องรับแขก ส่วนตัวเขาก็เดินไปทรุดนั่งบนเก้าอี้นวมตัวที่ตั้งตรงข้ามกัน ความเงียบโรยตัวลงมาปกคลุมบรรยากาศจนทำให้คนที่เพิ่งเจ็บตัวมาอึดอัด รู้สึกราวกับว่ากำลังจะถูกพิพากษาลงโทษอย่างไรอย่างนั้น จึงได้แต่นั่งนิ่งๆ หลุบตามองมือตนเองที่ประสานกันอยู่บนตักเสียงถอนหายใจที่ดังมาจากคนที่นั่งฝั่งตรงกันข้ามทำให้หล่อนเงยหน้าขึ้นมอง แล้วก็รู้ตัวว่าคิดผิดเมื่อพบว่าเขามองมาอยู่ก่อนแล้ว สายตานิ่งขรึมลึกล้ำราวน้ำก้นบึ้งทะเลสาบทำให้หล่อนหายใจไม่ทั่วท้องยิ่งกว่าเดิม"ฉันไม่ชอบที่เธอไปยุ่งกับไอ้หนุ่มนั่น”ฤทธิไม่แน่ใจในความรู้สึกตัวเองนัก...แต่ที่แน่ๆ ในฐานะผู้ชาย เขาอ่านสายตาเด็กหนุ่มคนนั้นออก“อาชว์...น่ะเหรอคะ” พนิตนันท์ถามแววตาบอกชัดว่าไม่เข้าใจ...อาชว์เป็นเพื่อน...