เย็นนั้นเมื่อฤทธิกลับมาถึงบ้าน เขาเดินหาภรรยาไปทั่ว ทั้งที่ห้องอเนกประสงค์ที่หล่อนมักใช้เวลาคลุกอยู่ในนั้นทำงานฝีมือจุกจิก ไม่ก็อ่านหนังสือ ทั้งที่เรือนกระจกสำหรับปลูกแค็คตัส แต่ก็หาไม่เจอ
กระทั่งเขาได้ยินเสียงหล่อนลอยมาจากชั้นบน เดินตามขึ้นไปจึงเจอว่าหล่อนกำลังกำกับคนรับใช้ให้ทำความสะอาดห้องพระอยู่นั่นเอง
ก้าวแรกที่คนตัวโตสูงใหญ่ย่างเข้าไป สายตาก็ปะทะเข้ากับร่างเล็กบอบบางที่กำลังสาละวนเช็ดตู้โต๊ะอยู่ ฤทธิชะงัก ยืนนิ่งก่อนที่ความกรุ่นโกรธแล่นวูบขึ้นหน้าเมื่อภาพอันลางเลือนบางภาพผ่านเข้ามาในความนึกคิด
ภาพที่ไม่ควรหลงเหลืออยู่ในหัวเขาแม้แต่น้อย
“ผมบอกแล้วไงว่าไม่อยากเห็นหน้าเด็กคนนี้อีก” เสียงเข้มจัดของเขาทำให้คนที่กำลังเช็ดโต๊ะสะดุ้งสุดตัว เงยหน้าจากผ้าในมือขึ้นมอง แวบหนึ่งนั้นเขาเห็นแววตาน้อยเนื้อต่ำใจฉายผ่านดวงตาโตคู่นั้น แต่ก็แค่แวบเดียว หลังจากนั้นเจ้าหล่อนก็ก้มหน้างุดซ่อนแววตาไว้
“ใจเย็นก่อนสิคะฤทธิ” ลินินเอาน้ำเย็นเข้าลูบ หล่อนลุกขึ้นเดินไปหาสามีพลางเกาะแขนเขาพาเดินออกจากห้องเพื่อคุยกันตามลำพัง
ทั้งคู่เดินไปที่ห้องทำงานของฤทธิที่อยู่ชั้นล่าง เมื่อปิดประตูห้องเรียบร้อย ชายหนุ่มก็ย้ำคำพูดเดิมของตน
“ผมไม่อยากเห็นเด็กคนนั้น”
“จะให้ลินินไล่เขาออกหลังเกิดเรื่อง มันก็ไม่ถูกนี่คะ อีกอย่างนะคะฤทธิ เผื่อแกเกิดท้องขึ้นมาละคะ...จะทำยังไง?”
“ท้อง...พูดอะไรของคุณ มันไม่ได้ท้องกันง่ายขนาดนั้นหรอกมั้ง” เขากับเด็กนั่นนอนด้วยกันแค่คืนเดียวเนี่ยนะ!
“แต่คุณไม่ได้ป้องกันนะคะฤทธิ”
คำพูดของภรรยาทำให้เขาอึ้งไป...ที่หล่อนพูดก็ถูก
ใช่! เขาไม่ได้ป้องกัน...เพราะเขานึกว่าเป็นภรรยาตัวเอง ฤทธิไม่ใช่ผู้ชายมักง่ายที่ชอบนอนกับผู้หญิงไม่เลือกหน้า
โดยเฉพาะเมื่อเขาแต่งงานมีครอบครัวแล้ว ที่สำคัญเขารักลินินมาก
“ถ้าท้อง ก็ให้เงินสักก้อนไปเอาออก ผมว่าเด็กนั่นก็ยังไม่อยากเพิ่มภาระให้ตัวเองหรอก อายุเท่าไรเอง”
“ไม่ได้นะคะ!” เสียงเข้มเอาจริงเอาจังของภรรยาทำให้ฤทธิหันมามองหล่อนอย่างพินิจ “ลินินไม่ยอมให้แกไปทำแท้งหรอก ถ้าแกท้อง...ลินินจะรับเด็กคนนั้นเป็นลูก เราจะได้มีลูกกันไงคะฤทธิ จำเรื่องอุ้มบุญที่ลินินพูดให้คุณฟังวันก่อนได้ไหมคะ?”
“ลินิน! ผมอยากมีลูกกับคุณ ไม่ใช่เด็กคนนั้น! แล้วคุณคิดยังไงจะเอาไปลูกเขามาเป็นลูกตัวเอง”
“แต่ยังไงแกก็เป็นลูกคุณนะคะ ใจคอคุณจะฆ่าแกงแกได้ลงคอเหรอคะ?”
“ผมไม่ได้จะฆ่าแกงใคร แค่พูดเฉยๆ อีกอย่างนะคุณ มันก็เป็นแค่การคาดเดาของคุณ จริงๆ อาจจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็ได้ ผมว่าคุณอย่าเพิ่งคิดมากเลย”
“ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้น นันท์ไม่ท้อง คุณก็ต้องทำให้ท้องค่ะ ไหนๆ ก็มีครั้งแรกแล้ว ครั้งต่อไปคงไม่ยากแล้วล่ะค่ะ”
ฤทธิหันขวับจ้องหน้าภรรยาด้วยสีหน้าคาดไม่ถึง จำได้ว่าวันก่อนหล่อนก็เคยคุยเรื่องนี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว ตอนนั้นเขาคิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไรในเมื่อเขาไม่เคยออกนอกลู่นอกทางกับใคร แต่แล้วมันก็เกิดเรื่องขึ้นจนได้
“ลินิน!” เขาเอ่ยชื่อหล่อน แววตาปรากฏร่องรอยเสียใจชัดเจน ทว่ามาถึงจุดที่ผู้เป็นภรรยามิได้สนใจความรู้สึกเขามากไปกว่าความต้องการของตนเอง
“ฤทธิคะ ลินินเป็นมะเร็งรังไข่ ถึงรักษาหายก็คงมีลูกให้คุณไม่ได้แน่ๆ ลินินถึงขอให้คุณมีลูกกับนันท์ คุณช่วยทำให้ฝันของลินินเป็นจริงได้ไหมคะ? ลินินอยากมีลูก...แม่เด็กจะเป็นใครไม่สำคัญ เพราะลินินจะเลี้ยงแกให้เหมือนลูกตัวเอง...ลูกของเรา ของคุณ...กับลินินไงคะ”
คำขอของภรรยาดังซ้ำไปซ้ำมาในความคิดของฤทธิ เขารับปากหล่อนในที่สุด...
ถ้าจับผลัดจับผลูเด็กนั่นท้องขึ้นมาจริงๆ ก็ถือว่าเขาโชคดีไป แต่ถ้าไม่ท้อง...งานเข้าอย่างจังแน่
เพราะลินินอยากให้เขาทำให้เด็กนั่นท้อง!
ทำให้ท้อง...นอนกับเด็กนั่นน่ะเหรอ...บ้าฉิบ!
คืนนั้นเพราะคิดว่าเป็นเมียหรอก แถมดื่มเหล้าไปพอกรึ่มๆ ถึงไม่เมาแต่สติก็ไม่ครบถ้วน ถึงได้เกิดเรื่อง!
ถ้าสติยังครบถ้วนสมบูรณ์ เขาก็ไม่มีวันนอนกับผู้หญิงคนอื่นในบ้านที่มีภรรยาอยู่แน่นอน ถึงเขาไม่ใช่สามีที่ดีนัก แต่ก็ไม่ได้เลวขนาดจะทำแบบนั้น
จริงอยู่ที่เขากับลินินแยกห้องนอนกันมาเป็นปี นับตั้งแต่หล่อนแท้งลูกและป่วยออดแอดนั่นแหละ แต่ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับหล่อนยังเหมือนเดิม
เขารักลินิน และหล่อนก็รักเขาเช่นกัน
ฉะนั้นเขาคงต้องภาวนาให้เด็กนั่นท้องขึ้นมาจริงๆ จะได้ไม่ต้องทำตามที่ภรรยาขอ
ก๊อก...ก๊อก...ก๊อก
เสียงเคาะประตูดังขัดจังหวะความคิด ฤทธิซึ่งนั่งอยู่ตรงเก้าอี้หลังโต๊ะทำงานตัวใหญ่เงยหน้าและมองไปที่ประตู ดวงตาคมดุเหลือบมองนาฬิกาตรงข้างฝา
สี่ทุ่ม!
ปกติเวลานี้ลินินจะเอากาแฟดำมาเสิร์ฟ ทว่าหล่อนมักจะส่งเสียงเรียกแทนที่จะเคาะแบบนี้ คนที่อยู่หลังประตูจึงไม่น่าใช่ภรรยาของเขา
และเมื่อบานประตูเปิดออกพร้อมกับร่างบอบบางเดินตัวลีบเข้ามา ฤทธิก็ถอนหายใจออกมาอย่างไม่พอใจ ชะรอยเสียงคงดังจนคนที่เดินเข้ามาได้ยินกระมัง ถ้วยกาแฟในมือเจ้าหล่อนจึงสั่นน้อยๆ คนถือก็ดูกล้าๆ กลัวๆ ยืนชะงักและมีทีท่าลังเลจนเขาต้องออกปาก
“เข้ามาสิ ยืนตรงนั้นแล้วฉันจะได้กินกาแฟเมื่อไร”
น้ำเสียงดุทำให้ร่างเล็กสะดุ้งสุดตัวจนถ้วยกาแฟกระทบกับจานรองเกิดเสียงดัง หล่อนขยับเท้าเดินมาที่โต๊ะด้วยท่าทางหวาดหวั่น ยิ่งกลัวมือก็ยิ่งสั่น ถ้วยที่ถือมายิ่งกระทบกันหนักขึ้น
เมื่อเดินมาถึงโต๊ะทำงานเจ้าหล่อนก็วางถ้วยกาแฟลงบนโต๊ะ แต่วางเสียห่างจนฤทธิเอื้อมไม่ถึง เขาจึงตำหนิ
“วางตรงนั้นแล้วฉันจะเอื้อมถึงได้ยังไง?”
หญิงสาวร่างเล็กจึงขยับถ้วยกาแฟมาใกล้มือเขากว่าเดิม จังหวะนั้นเองที่ฤทธิฉวยโอกาสพินิจเจ้าหล่อนอย่างเต็มตาเป็นครั้งแรก
พนิตนันท์เป็นหญิงสาวรูปร่างบอบบาง หล่อนสูงประมาณหนึ่งร้อยหกสิบห้าเซนติเมตร ผิวขาวเหมือนคนมีเชื้อสายจีนทั่วไป ส่วนหน้าตานั้น...นับว่าเจ้าหล่อนหน้าตาสวยน่ารักทีเดียว ปากแก้มคิ้วคางรับกันอย่างพอเหมาะพอเจาะ ทว่าที่โดดเด่นที่สุดคือ...ดวงตากลมโตใต้แพขนตาหนาคู่นั้นที่เหมือนดวงดาวสุกสกาวบนท้องฟ้ายามไร้เมฆ
“โอ๊ย!” ฤทธิร้องลั่นสะบัดมือไปมาเมื่อจู่ๆ ถ้วยกาแฟที่เด็กสาวเลื่อนมาให้กลับสะดุดคว่ำ ทำให้กาแฟร้อนในถ้วยหกกระฉอกเต็มโต๊ะ
“ขอ...ขอโทษค่ะ หนู...หนูไม่ตั้งใจ” เสียงเล็กละล่ำละลักบอก ขณะพยายามจะใช้ผ้าที่ถือติดมือมาด้วยเช็ดคราบกาแฟ
ทว่ายิ่งเช็ดก็ยิ่งเลอะ เพราะน้ำกาแฟที่เปียกนองเต็มโต๊ะกลับไหลลงหน้าขาผู้เป็นนายแทน
พนิตนันท์เห็นแบบนั้นก็พยายามจะเช็ดให้โดยที่ไม่รู้ตัวว่า มือพลาดไปโดนอะไรบางอย่างที่สงบนิ่งอยู่ในกางเกงนอนเนื้อแพรของอีกฝ่าย
ฤทธิคว้ามือหญิงสาว จับไว้แน่นเพื่อหยุดการเคลื่อนไหวของเจ้าหล่อน
“พอๆ ไม่ต้องเช็ดแล้ว” เขาห้ามเสียงดุ ใจเต้นโครมครามอย่างห้ามไม่อยู่ กลิ่นกายสาวหอมกรุ่นอวลอยู่ใกล้ๆ ปลุกภาพความทรงจำบางส่วนเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา “พอ!”
เสียงเข้มดุเอ่ยออกมาเกือบเป็นตวาด ฤทธิไม่แน่ใจนักว่าเขากำลังบอกหล่อน หรือที่จริงเขากำลังบอกตนเอง
หล่อนชะงัก ดวงตาที่สบสายตาของเขามีแววตื่นตระหนก พยายามดึงมือตนเองให้หลุดจากมือใหญ่ที่แข็งแกร่งราวกับคีมเหล็ก กระนั้นดวงตากลมโตกลับสบตาเขานิ่ง
ถึงจะไม่ประสีประสานัก แต่พนิตนันท์ก็โตพอที่จะอ่านแววปรารถนาที่ฉายผ่านดวงตาของอีกฝ่ายออก ทั้งสิ่งที่มือหล่อนพลาดไปโดนนั่นก็อีก ทุกอย่างชวนให้นึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืน
แม้ว่าหล่อนรู้สึกเหมือนกึ่งหลับกึ่งตื่นราวกับอยู่ในความฝัน ทว่าความรู้สึกบางอย่าง...ยังตามมารบกวนทุกครั้งยามพลั้งเผลอเหม่อลอยลำพัง ทำเอาใจสั่นไหวจนต้องตั้งสติดีๆ
หล่อนหยุดเช็ดแล้ว ทว่ามือแข็งแรงยังไม่ปล่อยข้อมือเล็กๆ ให้เป็นอิสระ เขาออกแรงดึงนิดเดียว หล่อนก็ถลาลงนั่งคุกเข่าบนพื้นข้างหน้าเขาทันที
“จำได้ไหม...เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นบ้าง?”
คำถามห้าวดุไม่เท่าสายตาเยียบเย็นที่จับจ้องมองนิ่ง
พนิตนันท์สั่นหน้าน้อยๆ ปดออกไปทว่าหน้ากลับแดงก่ำ
“จำไม่ได้ค่ะ”
“จำไม่ได้...หรือว่าอายที่จะยอมรับ”
“จำไม่ได้จริงๆ ค่ะ”
“ดี ลืมๆ มันไปเสีย แล้วก็มาช่วยกันภาวนาให้เธอท้อง เราจะได้ไม่ต้องรื้อฟื้นความทรงจำนั่นขึ้นมาอีก พอเธอคลอดลูก เรื่องระหว่างเราก็ถือว่าจบ...เข้าใจนะ ฉันรักเมียของฉันมาก เพราะเขาขอร้อง...ฉันถึงได้ยอม”
“หนู...หนูก็ไม่ได้อยากให้มันเกิดขึ้นหรอกค่ะ หนูไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงไปอยู่ในห้องคุณได้”
“เธอจะบอกว่ามีคนอุ้มเธอไปไว้ในห้องนอนฉันหรือไง”
ฤทธิเหยียดสายตามองหญิงสาวตรงหน้า เขาดูหล่อนผิดไปจริงๆ ที่คิดว่าเจ้าหล่อนเป็นเด็กเรียบร้อยและรู้จักเจียมเนื้อเจียมตัว
ทว่านับตั้งแต่เมื่อคืน เขาไม่มีวันเชื่อคำพูดหล่อนอีกต่อไปแล้ว ยิ่งเมื่อได้เห็นสายตาที่มองเขาตอนนี้
มันบอกทุกอย่างจนหมดสิ้น บอกให้เขารู้...ว่าหล่อนคิดอะไร
เขาอ่านมันออกอย่างที่ผู้ชายวัยสามสิบห้าซึ่งผ่านโลกมาพอสมควรจะอ่านความคิดของเด็กสาววัยอ่อนกว่าตนได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
เด็กนั่นชอบเขา!
ถ้าเขาเห็นและรู้ก่อนหน้านี้ ฤทธิรับรองว่าเขาไม่มีวันให้ภรรยารับหล่อนเข้ามาทำงานในบ้านแน่นอน
“เจ็บ...ปล่อยหนูเถอะค่ะ”
เสียงเล็กเอ่ยเบาๆ ฤทธิจึงรู้สึกตัวว่ากำลังบีบข้อมืออีกฝ่ายอยู่ เมื่อเขาปล่อยมือ เจ้าหล่อนรีบใช้มืออีกข้างกุมข้อมือตนเองแล้วลูบเบาๆ เขาทันเห็นว่ามันขึ้นรอยแดงชัดเจน
“ไปได้แล้ว พรุ่งนี้ถ้าเมียฉันไม่ว่างเอากาแฟมาให้เอง เธอก็ไม่ต้องมา”
“ค่ะ” รับคำแล้วหล่อนก็รีบลนลานออกไปทันที
ฤทธิมองตามพลางคิดว่าเขาคงต้องคุยกับลินิน เขายอมทำตามที่หล่อนต้องการ แต่ทุกอย่างย่อมมีขอบเขต
เมื่อออกมาจากห้องทำงาน พนิตนันท์ก็แวะไปที่ห้องนอนของนายสาวเพื่อรายงานให้ทราบว่าหล่อนทำตามคำสั่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว“คุณลินินคะ หนูเอากาแฟไปเสิร์ฟตามที่สั่งเรียบร้อยแล้วนะคะ”“ดีจ้ะ ขอบใจมาก ต่อไปนี้สี่ทุ่มทุกวัน นันท์เอากาแฟไปเสิร์ฟคุณฤทธิแทนฉันทีนะจ๊ะ”“เอ่อ...แต่...” เจ้าหล่อนอึกอักก่อนจะเอ่ยสิ่งที่เจ้านายหนุ่มสั่งไว้ “คุณผู้ชายสั่งไม่ให้หนูไปค่ะ”ครั้นเห็นนายสาวนิ่งไม่พูดอะไร หล่อนก็ล่าถอยออกมา แล้วตรงกลับเข้าห้องของตนทันทีหญิงสาวเดินไปนั่งตรงขอบเตียงพลางก้มลงมองหน้าท้องของตนเองที่ยังแบนราบ จตนยลูบเบาๆ พลางนึก...ถ้าหล่อนท้องขึ้นมาจริงๆ จะเป็นอย่างไร สำหรับเด็กสาวอายุสิบเก้าที่ชีวิตยังมีแค่เรื่องเรียนและเรื่องทำงานหาเงินเพื่อช่วยเหลือครอบครัว คำว่า ‘แม่’ จึงนับเป็นเรื่องไกลตัว ไม่ใช่แค่ไม่เคยมีแฟน แต่พนิตนันท์ยังไม่เคยมีเรื่องนี้อยู่ในหัวแม้แต่น้อยหล่อนอาจจะมีใครบางคนซุกซ่อนไว้ในใจ เป็นคนที่แอบชอบแอบชื่นชมอยู่ลับๆ แต่มันก็เป็นแค่เพียงความรู้สึกที่เก็บไว้คนเดียว ไม่เคยคิดจะบอกใครหรือแม้แต่จะแสดงตัวให้อีกฝ่ายรู้หญิงสาวยกมื
“นันท์ ฉันฝากดูแลคุณฤทธิด้วยนะระหว่างที่ฉันกลับไปอยู่ที่บ้านแม่”พนิตนันท์อ้าปากค้างเมื่อได้ยินประโยคนั้นจากนายสาว ทุกอย่างดูปุบปับไปหมด เพิ่งเกิดเรื่องไปวันก่อน มาวันนี้นายสาวกลับบอกว่าจะไปอยู่บ้านแม่ แถมยังฝากฝังให้ดูแลสามีเสียอีกเด็กสาวยังไม่ตกปากรับคำในทันที แต่กลับอ้ำอึ้งราวมีอะไรอยากจะเอื้อนเอ่ย ลินินจับอาการนั้นได้จึงออกปากถามออกมา“มีอะไรหรือเปล่า?”“เอ่อ เมื่อคืน...หนูกลับไปคิดดูอีกที หนูขอไม่รับเงินที่คุณจะให้ได้ไหมคะ” ไม่น่ายากนี่ เพราะที่ตกลงกันก็ยังเป็นเพียงสัญญาปากเปล่า หล่อนเองก็ยังไม่ได้รับเงินมาเสียหน่อย “แล้วหนูก็อยากขอกลับไปอยู่บ้าน ส่วนเรื่องท้องไม่ท้อง ถ้ารอบเดือนไม่มาหนูจะรีบมาบอกคุณทันทีเลยค่ะ ถึงตอนนั้นถ้าหนูท้องแล้วคุณอยากให้หนูมาอยู่ที่นี่ หนูก็จะมาค่ะ”เมื่อได้ฟังลินินนิ่งงันไป เพราะไม่นึกว่าเด็กท่าทางหัวอ่อนอย่างพนิตนันท์จะเกิดเปลี่ยนใจขึ้นมาแบบนี้“นันท์อยู่ที่นี่ไปก่อนไม่ดีกว่าเหรอ...อย่างน้อย ก็รอจนรอบเดือนมาก็ได้นี่ หลังจากนี้ฉันคงเวียนเข้าเวียนออกโรงพยาบาล จะได้ไม่กังวลเรื่องนันท์ อยู่ที่นี่ฉันก็ยังฝาก
พนิตนันท์ร้องเตือนแล้วก็ยกมือขึ้นบังหน้าตามสัญชาตญาณ เสียงโครมดังสนั่นพร้อมแรงกระแทกจนกระเทือนเลือนลั่น ดีว่าทั้งพนิตนันท์และอาชว์คาดเข็มขัดนิรภัย จึงยังนั่งติดเบาะไม่ได้พุ่งทะยานทะลุกระจกออกไปตามแรงกระแทก ทว่าสายของเข็มขัดนิรภัยที่รั้งไว้ก็ทำให้เจ็บตัวไม่น้อย“โอ๊ย...” พนิตนันท์ร้องโอดโอยจากนั้นความวุ่นวายก็เกิดขึ้นเมื่อรถคันหน้าที่อาชว์ขับไปชนท้ายเข้า เดินมาตบประตูรถด้วยท่าทางโมโหฉุนเฉียว เสียงก่นด่าดังลั่น“ขับไงวะ...แม่ง ไม่เห็นหรือไงว่ากูหยุดแล้ว เสือกมาชนท้ายได้ แล้วนี่กูยิ่งรีบๆ จะไปทำงาน”อาชว์ไม่สนใจเจ้าของรถคู่กรณี แต่กลับหันมาหาหล่อน ละล่ำละลักถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง“นันท์เจ็บตรงไหนหรือเปล่า?”“ไม่ต้องห่วงเรา เราไม่เป็นไร” หล่อนบอกพลางชี้ให้ผู้เป็นเพื่อนสนใจคู่กรณี “อาชว์ลงไปคุยกับเขาก่อนดีกว่า รถมีประกันไหม? เดี๋ยวเราโทรเรียกให้”“มี เอกสารอยู่คอนโซลตรงหน้านันท์แหละ เราฝากด้วยนะ” พูดจบอาชว์ก็ปลดล็อกประตูแล้วก้าวลงไปทันทีพนิตนันท์ยังไม่ทันจะเปิดคอนโซลหาเอกสารประกัน ประตูรถข้างที่หล่อนนั่งก็เปิดออกพร้อม
พนิตนันท์กลับออกมาจากโรงพยาบาลด้วยแผลเย็บที่หน้าผาก แม้แผลจะไม่ใหญ่มาก แต่ก็ลึกพอสมควร นอกนั้นก็มีเพียงอาการฟกช้ำดำเขียวตามเนื้อตัว กับอาการปวดระบมฤทธิพาหญิงสาวไปที่คอนโดมิเนียมของเขาตามที่บอกแต่แรก ระหว่างนั้นก็โทรศัพท์ไปสั่งงานที่ออฟฟิศไว้เรียบร้อยพอถึงห้องฤทธิประคองสาวน้อยไปนั่งตรงโซฟาในห้องรับแขก ส่วนตัวเขาก็เดินไปทรุดนั่งบนเก้าอี้นวมตัวที่ตั้งตรงข้ามกัน ความเงียบโรยตัวลงมาปกคลุมบรรยากาศจนทำให้คนที่เพิ่งเจ็บตัวมาอึดอัด รู้สึกราวกับว่ากำลังจะถูกพิพากษาลงโทษอย่างไรอย่างนั้น จึงได้แต่นั่งนิ่งๆ หลุบตามองมือตนเองที่ประสานกันอยู่บนตักเสียงถอนหายใจที่ดังมาจากคนที่นั่งฝั่งตรงกันข้ามทำให้หล่อนเงยหน้าขึ้นมอง แล้วก็รู้ตัวว่าคิดผิดเมื่อพบว่าเขามองมาอยู่ก่อนแล้ว สายตานิ่งขรึมลึกล้ำราวน้ำก้นบึ้งทะเลสาบทำให้หล่อนหายใจไม่ทั่วท้องยิ่งกว่าเดิม"ฉันไม่ชอบที่เธอไปยุ่งกับไอ้หนุ่มนั่น”ฤทธิไม่แน่ใจในความรู้สึกตัวเองนัก...แต่ที่แน่ๆ ในฐานะผู้ชาย เขาอ่านสายตาเด็กหนุ่มคนนั้นออก“อาชว์...น่ะเหรอคะ” พนิตนันท์ถามแววตาบอกชัดว่าไม่เข้าใจ...อาชว์เป็นเพื่อน...
ฤทธิลุกขึ้นแล้วก้าวตรงมาหาสาวน้อย เขาก้มลงช้อนร่างหล่อนขึ้นแล้วอุ้มเดินไปที่ห้องนอน พนิตนันท์หน้าแดงจัดด้วยความขัดเขินความคิดหล่อนเตลิดไปไกลเมื่อจดจำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่ตื่นมาพบตัวเองนอนอยู่ในห้องนอนของเขา...มันเกิดอะไรขึ้นทว่าเมื่อวางร่างสาวน้อยลงบนเตียงเรียบร้อย ฤทธิก็เอ่ยขึ้น“นอนพักก่อน เดี๋ยวขอฉันทำงานสักหน่อย...มีอะไรก็ไปเรียกฉันได้ที่ห้องทำงาน...อยู่ข้างๆ ห้องนี้แหละ”“เอ่อ แต่...หนูไม่ง่วง แล้วก็ไม่ได้เจ็บตัวอะไรเท่าไร ขอหนูไปมหาลัยไม่ได้เหรอคะ”“ไม่ได้!” พูดจบเจ้าตัวก็ตัดบทการสนทนาด้วยการก้าวขาฉับๆ ออกจากห้องนอนไปทันทีฤทธิเปิดประตูห้องข้างๆ ที่ตกแต่งเป็นห้องทำงานเล็กๆ ซึ่งมีเครื่องอำนวยความสะดวกพร้อมทุกอย่าง เป็นออฟฟิศย่อมๆ ที่ใช้ work from home ได้อย่างสบายเขาเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ขึ้นมาเพื่อเช็กเมล์ว่าเลขานุการส่งไฟล์ร่างสัญญามาให้ตรวจหรือยัง เมื่อยังไม่พบจึงได้โทรศัพท์ไปตามงานอีกครั้งจากนั้นจึงโทรศัพท์หาภรรยา...เพื่อบอกให้อีกฝ่ายรู้ว่าเขาตกลงจะทำอะไร“ลินิน...ผมอยากคุยเรื่องเด็กนั่น”
มือเรียวที่ถือปากกาไว้นั้นออกจะสั่นน้อยๆ คล้ายเจ้าตัวมีความลังเล จึงจดจ้องอยู่ตรงช่องว่างที่จะต้องลงลายมือชื่ออยู่หลายนาที กระทั่งเสียงกระแอมดังขึ้นจากคนที่นั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงกันข้ามจึงสะดุ้งแล้วเงยหน้ามองพร้อมรอยยิ้มจืดเจื่อน“เซ็นไปเถอะ มีสัญญาเป็นหลักฐานมันก็ดีสำหรับตัวเธอเองนั่นแหละ ในนั้นฉันระบุไว้ครบถ้วนทุกอย่างรวมถึงเรื่องเงินที่ฉันบอกว่าจะให้เธอทุกเดือน เดือนละหนึ่งแสนบาท เริ่มตั้งแต่เดือนนี้ไปจนกว่าเด็กที่คลอดออกมาจะมีอายุครบแปดเดือน”“แล้ว...ถ้าหนูไม่ท้องละคะ”“สัญญาก็จะมีผลไปเรื่อยๆ จนกว่าจะท้องและเด็กอายุครบแปดเดือน อยากท้อง...หรือไม่อยากท้องล่ะ”“ม...ไม่รู้ค่ะ” สาวน้อยสะบัดหน้าจนผมยาวที่รวบไว้เป็นหางม้าแกว่งไปมา “แล้ว...ทำไมต้องรอให้ครบแปดเดือนคะ?”หล่อนถามด้วยความสงสัย ขณะที่คนตอบกลับนึกขันในความขี้สงสัยนั้น ความคิดผ่านเข้ามาวูบหนึ่ง...หล่อนอายุสิบเก้าเท่านั้นเอง ถึงจะไม่ใช่เด็กแล้ว...แต่ก็ยังไม่ใช่ผู้ใหญ่ถ้าจะตั้งข้อสงสัยมากหน่อย ก็นับว่าไม่แปลกในเมื่อเป็นการตัดสินใจในเรื่องเกินอายุไม่น้อย ฤทธิยิ้มอย่างใจเย็นเมื่ออธิบายให้หล
จุมพิตหวานซ่านเริ่มร้อนแรงขึ้นและดูท่าว่าจะหยุดไม่ได้ง่ายๆ ลมหายใจทั้งคู่เริ่มสะท้านไปกับความหวิวไหวที่ซ่านขึ้นมาระลอกแล้วระลอกเล่าความรู้สึกปั่นป่วนในช่องท้องที่มากขึ้นทุกทีทำให้พนิตนันท์สับสน ใจหล่อนร่ำร้องต้องการมากกว่านี้...แต่อีกใจก็อยากให้เขาหยุดหล่อนกลัว...กลัวตนเองยิ่งกว่าอื่นใดเมื่อตระหนักว่าตนเองชอบสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังทำและตอบสนองเขาราวกับหญิงช่ำชอง ทั้งที่คืนนั้นหล่อนจำอะไรแทบไม่ได้ด้วยซ้ำฤทธิผละริมฝีปากออกจากกลีบปากบวมเจ่อเพราะจูบของเขา“บอกเหตุผลดีๆ ฉันสักข้อสินันท์ ว่าทำไมฉันควรเปิดประตูนั้นแล้วเดินออกไป” เขากระซิบเสียงพร่าริมหูหญิงสาวก่อนจะซุกไซ้สูดดมขบติ่งหูเบาๆ ก่อนจะไล่เรื่อยลงมาตามลำคอระหง ร่างบอบบางหอบหายใจจนตัวโยน...หัวสมองอื้ออึงไปหมดพยายามจะคิดหาคำตอบให้เขา“คุณ...ต้อง...ไปทำงาน” ถ้อยประโยคนั้นขาดเป็นห้วง“ยัง...ยังไม่ดีพอ” เขากระซิบตอบ “ขอเหตุผลที่ดีกว่านี้ ไม่อย่างนั้นฉันรับรองได้ว่า อีกไม่เกินห้านาทีฉันอุ้มเธอขึ้นเตียงแน่”เขาไปแล้ว!หัวใจของพนิตนันท์สั่นจนแทบจะทะลุออกมานอกอกอยู่รอมร่อ หล
“ดีใจจังที่ป้านวลมา”ประโยครำพึงของสาวน้อยทำให้คนสูงวัยกว่ายิ้มออกมาด้วยความเอ็นดู ป้านวลรู้จักพนิตนันท์มาตั้งแต่เป็นเด็กหญิงตัวผอมบาง พอจะรู้จักนิสัยใจคอกันอยู่ว่าสาวน้อยคนนี้เป็นเด็กใฝ่ดีรักเรียนและรู้จักเจียมเนื้อเจียมตัวเทียบกับคนเป็นแม่แล้ว...บางครั้งนางก็อยากจะเชื่อว่าพรรณีไปขโมยลูกใครสักคนมาเลี้ยงด้วยซ้ำ ค่าที่ทั้งคู่ต่างกันราวฟ้ากับเหว“หนูนันท์เป็นไง เจ็บตรงไหนบ้าง เห็นคุณฤทธิบอกเกิดอุบัติเหตุ” พูดพลางสำรวจเนื้อตัวเด็กสาวไปด้วย เด่นชัดสุดน่าจะรอยแผลตรงหน้าผากชิดไรผม“หัวแตก แล้วก็ฟกช้ำ ปวดระบมเนื้อตัวค่ะ”“คิดว่าฟาดเคราะห์นะหนูนันท์”“ค่ะ เพื่อนนันท์ขับไม่เร็วด้วยค่ะ เลยไม่ได้เป็นอะไรมาก”“โชคดีไปค่ะ หิวหรือยังคะเดี๋ยวป้าอุ่นอาหารมาให้ เอามาให้เยอะแยะไว้เก็บใส่ตู้เย็นกินได้อีกหลายวัน ถ้าหมดก็โทรบอกป้า จะได้ทำมาเพิ่มให้ หรืออยากกินอะไรก็บอกป้า”“ขอบคุณค่ะป้า แต่หนูคงไม่รบกวนหรอกค่ะ หนูพอทำกับข้าวเป็นอยู่บ้าง” รอยยิ้มบนใบหน้าคนพูดหมองลงเมื่อเอ่ยประโยคถัดมา “หนูคิดถึงบ้านจังเลยค่ะป้า แต่...หนูไม่มีบ้านจะให้กลับ”“
พนิตนันท์มองตามรถคันใหญ่ที่แล่นออกไปอยู่ชั่ววินาทีก่อนจะหมุนตัวแล้วก้าวเท้าเดินไปยังอาคารเรียนซึ่งอยู่ถัดไปหล่อนย้ายมาอยู่ที่คอนโดมิเนียมประมาณอาทิตย์เศษ ความจริงที่นี่อยู่ใกล้มหาวิทยาลัยของหล่อนไม่น้อย ทว่าทุกเช้าฤทธิขับรถมาส่งคืนไหนเขาค้างด้วยก็ง่ายหน่อย แต่คืนไหนเขาไม่ได้มาค้าง ก็จะแวะมารับตอนเช้าแล้วไปส่งที่มหาวิทยาลัย“นันท์...นันท์...รอด้วย” เสียงเรียกคุ้นหูดังขึ้นข้างหลังเมื่อหันไปพนิตนันท์จึงเห็นว่าเป็นวิจิตรา...เพื่อนสนิทของตนนั่นเอง จึงเอ่ยทัก“อ้าว...วิว มานานยังอะ”“ก็มาตะกี้พร้อมๆ แกอะแหละ”คำตอบของเพื่อนทำให้รอยยิ้มของพนิตนันท์เจื่อนไปนิด เพราะนั่นหมายความว่า...วิจิตราต้องเห็นว่ามีคนมาส่งหล่อน“แกไม่ได้มาพร้อมอาชว์เหรอวะ ตะกี้ฉันเห็นแกลงจากรถ แต่จำได้ว่าไม่ใช่รถอาชว์” นั่นไง...จริงอย่างที่คิดไหมล่ะ“อือ...พอดีนายจ้างเราเขาให้ติดรถมาเพราะมาทางเดียวกันน่ะ เราเลยไม่ได้มาพร้อมอาชว์แล้ว” หล่อนแก้ตัว“อ๋อ...มิน่า พักนี้อาชว์มันซึมไปเลย แกไม่ยอมนั่งรถมันนี่เอง” วิจิตราทำตาเล็กตาน้อยใส่จนต้องรีบปฏิเ
เสียงนาฬิกาปลุกจากโทรศัพท์มือถือที่พนิตนันท์ตั้งไว้ทำหน้าที่ของมันตามปกติ หญิงสาวปรือตาตื่นขึ้นมาอย่างยากลำบาก เอื้อมไปปัดหน้าปัดโทรศัพท์เพื่อปิดแอพนาฬิกาปลุกทว่าแทนที่จะตื่นหล่อนกลับฟุบหลับต่อ แต่กลับต้องแปลกใจเมื่อที่นอนนั้นช่างแข็งเหลือเกิน...มือบอบบางค่อยลูบไปบนที่นอนช้าๆ อย่างสำรวจตรวจตรา...“อืม...” เสียงครางในลำคอของใครบางคนทำให้หล่อนลืมตาตื่นในทันที นั่นแหละ...สติจึงกลับมาอย่างสมบูรณ์พร้อมกับภาพต่างๆ นานาที่เกิดขึ้นเมื่อคืนประดังประเดเข้ามาไม่ขาดสายคืนนั้นหล่อนยังพอพูดได้ว่า...จำอะไรไม่ได้มาก ทุกอย่างเหมือนฝัน คลับคล้ายคลับคลาเหมือนจะจำได้...แต่ก็จำไม่ได้ แต่จะบอกว่าจำไม่ได้...มันก็ไม่เชิงแต่เมื่อคืนนี้...ไม่ใช่แบบนั้น!ภาพทุกอย่างชัดเจนยิ่งกว่าภาพสามมิติ ที่สำคัญ...หล่อนยังยินยอมพร้อมใจ...และพึงพอใจกับเซ็กส์ที่เขามอบให้อย่างมากมันดี...ดีมากเสียจน...แค่หลับตานึกถึง...เนื้อตัวก็วูบวาบขึ้นมา“ถ้ายังไม่หยุดลูบ...รับรองว่าเธอไปเรียนสายแน่...สาวน้อย” เสียงแหบพร่าดังขึ้นพร้อมกับที่มือแข็งแรงจับข้อมือของหล่อนไว้ไม่ได้จับเ
ฤทธิครอบครองริมฝีปากหญิงสาวแล้วสอดลิ้นเข้าไปเกี่ยวกระหวัดเรียวลิ้นชุ่มชื้นขณะที่มือข้างหนึ่งไต่ลงต่ำผ่านหน้าท้องแล้วซุกกลางหว่างขาที่ยังคงชุ่มชื่น...ทั้งจากน้ำหวานที่หลั่งรินและจากน้ำลายของเขา เกร็งนิ้วสอดเข้ากลางกลีบอวบแล้วขยับเข้าออกด้วยจังหวะเนิบนาบเพื่อปูทางให้ความแข็งขึงกลางกายเขามันขยับขยายเต็มที่ และตอนนี้เขาก็ปวดหนึบจนทนแทบไม่ไหวเขาถอนนิ้วออก สาวน้อยแทบจะผวากายตามมา มือแข็งแรงจับต้นขาเจ้าหล่อนแล้วแบะกว้างเปิดทางให้สะโพกสอบเข้าแทรกกลาง ความแข็งแกร่งจดจ่ออยู่กลางกลีบชุ่มฉ่ำก่อนจะแทรกเข้าไปทีละนิดความแน่นหนึบที่โอบล้อมทุกทิศทางทำให้ฤทธิถึงกับกัดฟันเมื่อความเสียวซ่านที่มีจุดศูนย์กลางอยู่ตรงกึ่งกลางกายกำลังแผ่กระจายไปทั่วทั้งตัวไม่ต่างจากกระแสไฟที่ไหลไปตามสาย“อะ...” เสียงของสาวน้อยพร้อมทั้งมือที่ยกขึ้นแตะอกเขาทำให้ฤทธิหยุดชะงัก“เจ็บเหรอ?” เขาถาม...ถึงครั้งนี้จะเป็นครั้งที่สอง แต่เจ้าหล่อนก็อาจจะยังรู้สึกเจ็บอยู่บ้าง“ม...ไม่ค่ะ แค่...อึดอัด”“เดี๋ยวก็ชิน” เขาบอกพลางออกแรงเพิ่มขึ้นอีกนิดกระทั่งฝากฝังตัวตนเข้าไปจนสุด จึง
เมื่อเปิดประตูคอนโดมิเนียมเข้าไป นอกเสียจากความมืดโดยรอบแล้ว สิ่งหนึ่งที่ปะทะฆานประสาทของชายหนุ่มคือกลิ่นหอมของสบู่และเครื่องประทินผิวที่เจือจางอยู่ในอากาศ นับเป็นความแปลกใหม่ ที่น่ารื่นรมย์ไม่น้อยทั่วท้องห้องเงียบเชียบ...สาวน้อยคงเข้านอนไปแล้วกระมัง เพราะนี่ก็ดึกมากแล้ว อีกไม่กี่นาทีก็จะเที่ยงคืน...ฤทธิไม่รู้เหมือนกันทำไมเขาถึงมาที่นี่...แทนที่จะกลับบ้าน ทั้งที่เหนื่อยจนตาแทบจะปิด แถมระยะทางระหว่างคอนโดมิเนียมกับโรงพยาบาลก็ไม่ใช่ใกล้ เทียบกันแล้วบ้านเขาอยู่ใกล้โรงพยาบาลมากกว่าด้วยซ้ำแต่เขามา...เพราะเป็นห่วงคนที่นอนหลับอยู่ในห้องนั่นแหละฤทธิหมุนลูกบิดประตูห้องนอนอย่างระมัดระวังกลัวจะปลุกคนที่กำลังหลับสบายอยู่บนเตียงนอนขนาดคิงไซส์กลางห้อง ชายหนุ่มเดินไปหยุดอยู่ตรงปลายเตียงมองเงาตะคุ่มของร่างบอบบางที่นอนขดตัวอยู่บนเตียงโดยที่ผ้าห่มไปกองอยู่ตรงปลายเท้าท่าทางเหมือนกำลังหนาว...เขาดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมให้จนมิดชิด จากนั้นก็เดินเลยไปเข้าห้องน้ำ...แม้จะง่วงแสนง่วง ก็ขออาบน้ำสักนิดเถอะเมื่อออกมาจากห้องน้ำในชุดนอนสบา
“ดีใจจังที่ป้านวลมา”ประโยครำพึงของสาวน้อยทำให้คนสูงวัยกว่ายิ้มออกมาด้วยความเอ็นดู ป้านวลรู้จักพนิตนันท์มาตั้งแต่เป็นเด็กหญิงตัวผอมบาง พอจะรู้จักนิสัยใจคอกันอยู่ว่าสาวน้อยคนนี้เป็นเด็กใฝ่ดีรักเรียนและรู้จักเจียมเนื้อเจียมตัวเทียบกับคนเป็นแม่แล้ว...บางครั้งนางก็อยากจะเชื่อว่าพรรณีไปขโมยลูกใครสักคนมาเลี้ยงด้วยซ้ำ ค่าที่ทั้งคู่ต่างกันราวฟ้ากับเหว“หนูนันท์เป็นไง เจ็บตรงไหนบ้าง เห็นคุณฤทธิบอกเกิดอุบัติเหตุ” พูดพลางสำรวจเนื้อตัวเด็กสาวไปด้วย เด่นชัดสุดน่าจะรอยแผลตรงหน้าผากชิดไรผม“หัวแตก แล้วก็ฟกช้ำ ปวดระบมเนื้อตัวค่ะ”“คิดว่าฟาดเคราะห์นะหนูนันท์”“ค่ะ เพื่อนนันท์ขับไม่เร็วด้วยค่ะ เลยไม่ได้เป็นอะไรมาก”“โชคดีไปค่ะ หิวหรือยังคะเดี๋ยวป้าอุ่นอาหารมาให้ เอามาให้เยอะแยะไว้เก็บใส่ตู้เย็นกินได้อีกหลายวัน ถ้าหมดก็โทรบอกป้า จะได้ทำมาเพิ่มให้ หรืออยากกินอะไรก็บอกป้า”“ขอบคุณค่ะป้า แต่หนูคงไม่รบกวนหรอกค่ะ หนูพอทำกับข้าวเป็นอยู่บ้าง” รอยยิ้มบนใบหน้าคนพูดหมองลงเมื่อเอ่ยประโยคถัดมา “หนูคิดถึงบ้านจังเลยค่ะป้า แต่...หนูไม่มีบ้านจะให้กลับ”“
จุมพิตหวานซ่านเริ่มร้อนแรงขึ้นและดูท่าว่าจะหยุดไม่ได้ง่ายๆ ลมหายใจทั้งคู่เริ่มสะท้านไปกับความหวิวไหวที่ซ่านขึ้นมาระลอกแล้วระลอกเล่าความรู้สึกปั่นป่วนในช่องท้องที่มากขึ้นทุกทีทำให้พนิตนันท์สับสน ใจหล่อนร่ำร้องต้องการมากกว่านี้...แต่อีกใจก็อยากให้เขาหยุดหล่อนกลัว...กลัวตนเองยิ่งกว่าอื่นใดเมื่อตระหนักว่าตนเองชอบสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังทำและตอบสนองเขาราวกับหญิงช่ำชอง ทั้งที่คืนนั้นหล่อนจำอะไรแทบไม่ได้ด้วยซ้ำฤทธิผละริมฝีปากออกจากกลีบปากบวมเจ่อเพราะจูบของเขา“บอกเหตุผลดีๆ ฉันสักข้อสินันท์ ว่าทำไมฉันควรเปิดประตูนั้นแล้วเดินออกไป” เขากระซิบเสียงพร่าริมหูหญิงสาวก่อนจะซุกไซ้สูดดมขบติ่งหูเบาๆ ก่อนจะไล่เรื่อยลงมาตามลำคอระหง ร่างบอบบางหอบหายใจจนตัวโยน...หัวสมองอื้ออึงไปหมดพยายามจะคิดหาคำตอบให้เขา“คุณ...ต้อง...ไปทำงาน” ถ้อยประโยคนั้นขาดเป็นห้วง“ยัง...ยังไม่ดีพอ” เขากระซิบตอบ “ขอเหตุผลที่ดีกว่านี้ ไม่อย่างนั้นฉันรับรองได้ว่า อีกไม่เกินห้านาทีฉันอุ้มเธอขึ้นเตียงแน่”เขาไปแล้ว!หัวใจของพนิตนันท์สั่นจนแทบจะทะลุออกมานอกอกอยู่รอมร่อ หล
มือเรียวที่ถือปากกาไว้นั้นออกจะสั่นน้อยๆ คล้ายเจ้าตัวมีความลังเล จึงจดจ้องอยู่ตรงช่องว่างที่จะต้องลงลายมือชื่ออยู่หลายนาที กระทั่งเสียงกระแอมดังขึ้นจากคนที่นั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงกันข้ามจึงสะดุ้งแล้วเงยหน้ามองพร้อมรอยยิ้มจืดเจื่อน“เซ็นไปเถอะ มีสัญญาเป็นหลักฐานมันก็ดีสำหรับตัวเธอเองนั่นแหละ ในนั้นฉันระบุไว้ครบถ้วนทุกอย่างรวมถึงเรื่องเงินที่ฉันบอกว่าจะให้เธอทุกเดือน เดือนละหนึ่งแสนบาท เริ่มตั้งแต่เดือนนี้ไปจนกว่าเด็กที่คลอดออกมาจะมีอายุครบแปดเดือน”“แล้ว...ถ้าหนูไม่ท้องละคะ”“สัญญาก็จะมีผลไปเรื่อยๆ จนกว่าจะท้องและเด็กอายุครบแปดเดือน อยากท้อง...หรือไม่อยากท้องล่ะ”“ม...ไม่รู้ค่ะ” สาวน้อยสะบัดหน้าจนผมยาวที่รวบไว้เป็นหางม้าแกว่งไปมา “แล้ว...ทำไมต้องรอให้ครบแปดเดือนคะ?”หล่อนถามด้วยความสงสัย ขณะที่คนตอบกลับนึกขันในความขี้สงสัยนั้น ความคิดผ่านเข้ามาวูบหนึ่ง...หล่อนอายุสิบเก้าเท่านั้นเอง ถึงจะไม่ใช่เด็กแล้ว...แต่ก็ยังไม่ใช่ผู้ใหญ่ถ้าจะตั้งข้อสงสัยมากหน่อย ก็นับว่าไม่แปลกในเมื่อเป็นการตัดสินใจในเรื่องเกินอายุไม่น้อย ฤทธิยิ้มอย่างใจเย็นเมื่ออธิบายให้หล
ฤทธิลุกขึ้นแล้วก้าวตรงมาหาสาวน้อย เขาก้มลงช้อนร่างหล่อนขึ้นแล้วอุ้มเดินไปที่ห้องนอน พนิตนันท์หน้าแดงจัดด้วยความขัดเขินความคิดหล่อนเตลิดไปไกลเมื่อจดจำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่ตื่นมาพบตัวเองนอนอยู่ในห้องนอนของเขา...มันเกิดอะไรขึ้นทว่าเมื่อวางร่างสาวน้อยลงบนเตียงเรียบร้อย ฤทธิก็เอ่ยขึ้น“นอนพักก่อน เดี๋ยวขอฉันทำงานสักหน่อย...มีอะไรก็ไปเรียกฉันได้ที่ห้องทำงาน...อยู่ข้างๆ ห้องนี้แหละ”“เอ่อ แต่...หนูไม่ง่วง แล้วก็ไม่ได้เจ็บตัวอะไรเท่าไร ขอหนูไปมหาลัยไม่ได้เหรอคะ”“ไม่ได้!” พูดจบเจ้าตัวก็ตัดบทการสนทนาด้วยการก้าวขาฉับๆ ออกจากห้องนอนไปทันทีฤทธิเปิดประตูห้องข้างๆ ที่ตกแต่งเป็นห้องทำงานเล็กๆ ซึ่งมีเครื่องอำนวยความสะดวกพร้อมทุกอย่าง เป็นออฟฟิศย่อมๆ ที่ใช้ work from home ได้อย่างสบายเขาเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ขึ้นมาเพื่อเช็กเมล์ว่าเลขานุการส่งไฟล์ร่างสัญญามาให้ตรวจหรือยัง เมื่อยังไม่พบจึงได้โทรศัพท์ไปตามงานอีกครั้งจากนั้นจึงโทรศัพท์หาภรรยา...เพื่อบอกให้อีกฝ่ายรู้ว่าเขาตกลงจะทำอะไร“ลินิน...ผมอยากคุยเรื่องเด็กนั่น”
พนิตนันท์กลับออกมาจากโรงพยาบาลด้วยแผลเย็บที่หน้าผาก แม้แผลจะไม่ใหญ่มาก แต่ก็ลึกพอสมควร นอกนั้นก็มีเพียงอาการฟกช้ำดำเขียวตามเนื้อตัว กับอาการปวดระบมฤทธิพาหญิงสาวไปที่คอนโดมิเนียมของเขาตามที่บอกแต่แรก ระหว่างนั้นก็โทรศัพท์ไปสั่งงานที่ออฟฟิศไว้เรียบร้อยพอถึงห้องฤทธิประคองสาวน้อยไปนั่งตรงโซฟาในห้องรับแขก ส่วนตัวเขาก็เดินไปทรุดนั่งบนเก้าอี้นวมตัวที่ตั้งตรงข้ามกัน ความเงียบโรยตัวลงมาปกคลุมบรรยากาศจนทำให้คนที่เพิ่งเจ็บตัวมาอึดอัด รู้สึกราวกับว่ากำลังจะถูกพิพากษาลงโทษอย่างไรอย่างนั้น จึงได้แต่นั่งนิ่งๆ หลุบตามองมือตนเองที่ประสานกันอยู่บนตักเสียงถอนหายใจที่ดังมาจากคนที่นั่งฝั่งตรงกันข้ามทำให้หล่อนเงยหน้าขึ้นมอง แล้วก็รู้ตัวว่าคิดผิดเมื่อพบว่าเขามองมาอยู่ก่อนแล้ว สายตานิ่งขรึมลึกล้ำราวน้ำก้นบึ้งทะเลสาบทำให้หล่อนหายใจไม่ทั่วท้องยิ่งกว่าเดิม"ฉันไม่ชอบที่เธอไปยุ่งกับไอ้หนุ่มนั่น”ฤทธิไม่แน่ใจในความรู้สึกตัวเองนัก...แต่ที่แน่ๆ ในฐานะผู้ชาย เขาอ่านสายตาเด็กหนุ่มคนนั้นออก“อาชว์...น่ะเหรอคะ” พนิตนันท์ถามแววตาบอกชัดว่าไม่เข้าใจ...อาชว์เป็นเพื่อน...