เมื่อออกมาจากห้องทำงาน พนิตนันท์ก็แวะไปที่ห้องนอนของนายสาวเพื่อรายงานให้ทราบว่าหล่อนทำตามคำสั่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“คุณลินินคะ หนูเอากาแฟไปเสิร์ฟตามที่สั่งเรียบร้อยแล้วนะคะ”
“ดีจ้ะ ขอบใจมาก ต่อไปนี้สี่ทุ่มทุกวัน นันท์เอากาแฟไปเสิร์ฟคุณฤทธิแทนฉันทีนะจ๊ะ”
“เอ่อ...แต่...” เจ้าหล่อนอึกอักก่อนจะเอ่ยสิ่งที่เจ้านายหนุ่มสั่งไว้ “คุณผู้ชายสั่งไม่ให้หนูไปค่ะ”
ครั้นเห็นนายสาวนิ่งไม่พูดอะไร หล่อนก็ล่าถอยออกมา แล้วตรงกลับเข้าห้องของตนทันที
หญิงสาวเดินไปนั่งตรงขอบเตียงพลางก้มลงมองหน้าท้องของตนเองที่ยังแบนราบ จตนยลูบเบาๆ พลางนึก...
ถ้าหล่อนท้องขึ้นมาจริงๆ จะเป็นอย่างไร สำหรับเด็กสาวอายุสิบเก้าที่ชีวิตยังมีแค่เรื่องเรียนและเรื่องทำงานหาเงินเพื่อช่วยเหลือครอบครัว คำว่า ‘แม่’ จึงนับเป็นเรื่องไกลตัว ไม่ใช่แค่ไม่เคยมีแฟน แต่พนิตนันท์ยังไม่เคยมีเรื่องนี้อยู่ในหัวแม้แต่น้อย
หล่อนอาจจะมีใครบางคนซุกซ่อนไว้ในใจ เป็นคนที่แอบชอบแอบชื่นชมอยู่ลับๆ แต่มันก็เป็นแค่เพียงความรู้สึกที่เก็บไว้คนเดียว ไม่เคยคิดจะบอกใครหรือแม้แต่จะแสดงตัวให้อีกฝ่ายรู้
หญิงสาวยกมือขึ้นลูบใบหน้าตัวเองเมื่อจู่ๆ ก็รู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมาตรงผิวแก้ม ใครจะนึก...ว่าอยู่ดีๆ ‘เขา’ จะกลายมาเป็นผู้ชายคนแรกของหล่อน
แต่...มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ควรจะดีใจสักนิด เพราะหล่อนไม่เคยต้องการให้มันเป็นแบบนี้ ข้อเสนอเรื่องเงินอาจจะเย้ายวนใจก็จริง แต่เมื่อใดที่หล่อนตกปากรับคำไปแล้ว ก็เท่ากับผูกมัดตัวเองไว้กับข้อเสนอนั่นอย่างไม่มีโอกาสจะบิดพลิ้วได้อีก
บางทีหล่อนควรจะตัดสินใจไปจากที่นี่ ตั้งแต่ตอนนี้ ใครจะไปรู้ หล่อนอาจจะโชคดีไม่ท้องก็ได้
หญิงสาวสั่นหน้าไปมาก่อนจะเอนตัวลงนอนบนฟูก ไม่นานนักหล่อนก็หลับไปโดยไม่รู้ตัว
ขณะที่อีกสองชีวิตภายใต้หลังคาเดียวกันกลับยังนอนไม่หลับ
คนหนึ่งนอนตาแข็งอยู่บนที่นอนคิดเรื่องจะทำอย่างไรให้อีกฝ่ายยินยอมพร้อมใจทำตามที่ตนปรารถนา ส่วนอีกคนก็คิดหาทางจะหนีทีไล่ให้กับตนเองเพื่อจะได้ไม่ต้องจำใจทำในสิ่งที่ฝืนใจฝืนความรู้สึก
เหมือนใจจะสื่อถึงกันเพราะเมื่อลินินทนข่มตานอนต่อไม่ไหว จึงลุกจากเตียงเปิดประตูห้องหมายใจจะไปคุยกับผู้เป็นสามี ก็พบว่าเขายืนอยู่หน้าห้องนอนของหล่อนแล้ว
“คุณยังไม่นอนเหรอ?” เขาทัก
“ยังค่ะ ลินินว่าจะไปหาคุณพอดี”
“คุณมีเรื่องจะคุยกับผม...ใช่ไหม?” เขาหยั่งเชิง ครั้นเห็นหล่อนพยักหน้ารับ จึงเอ่ยต่อ “ผมก็มีเรื่องอยากคุยกับคุณ”
“ค่ะ ไปคุยกันที่ห้องทำงานดีกว่าค่ะ”
ฤทธิพยักหน้ารับพลางเบี่ยงกายให้ภรรยาเดินนำ ทั้งคู่ลงบันไดมาชั้นล่าง และเมื่อเข้าไปในห้องทำงานแล้วฤทธิก็ปิดประตู
“คุณมีเรื่องอะไรจะคุยกับลินินเหรอคะ” หล่อนเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อน
“ทำไมคุณถึงให้เด็กนั่นเอากาแฟไปเสิร์ฟให้ผม” ฤทธิถามตรงประเด็นด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด
“ลินินไม่ค่อยสบายค่ะ เลยให้นันท์ไปแทน”
“ไม่สบาย...” น้ำเสียงอ่อนลงอย่างชัดเจน เมื่อได้ยินภรรยาพูดเรื่องเจ็บป่วย อีกฝ่ายพยักหน้ารับ
“ค่ะ ตัวรุมๆ เหมือนจะมีไข้ค่ะ แต่ลินินกินพาราไปแล้ว เดี๋ยวก็คงดีขึ้น”
“แน่นะ ถ้าไม่หายคุณบอกผมนะ จะได้ไปหาหมอ”
“ค่ะ ถ้าไม่หายเดี๋ยวลินินบอกนะคะ แล้วคุณมีเรื่องพูดแค่นี้เหรอคะ”
“ก็...ไม่เชิง”
“ถ้างั้นก็พูดต่อเถอะค่ะ” ลินินบอกเมื่อเห็นท่าทางลังเลเหมือนเกรงใจของสามี
“มีทางไหนที่ผมพอจะเปลี่ยนใจคุณได้บ้างไหม?”
“เปลี่ยนใจ?” เรียวคิ้วอ่อนบางเลิกสูงขึ้นก่อนเอ่ยต่อ “เปลี่ยนใจเรื่องอะไรคะ”
“เรื่องเด็กนั่นน่ะสิ ถ้าเขาไม่ท้อง...ก็ปล่อยไปไม่ดีกว่าเหรอ ให้เงินเป็นค่าทำขวัญแค่นั้นก็น่าจะพอ หรือจะให้ส่งเสียค่าเล่าเรียนจนเรียนจบก็ได้ แต่คุณจะให้ผมทำให้เด็กนั่นท้อง...ให้ เอ่อ...นอนกับเขา ผม...ผมทำไม่ได้...”
“ทำไมละคะ?” ฤทธิถอนใจพรืดทันทีที่ได้ยินคำถามของภรรยา...ทำไมจู่ๆ เจ้าหล่อนถึงกลายเป็นคนเข้าใจอะไรยากไปเสียได้ก็ไม่รู้...
“ลินิน ผมมีคุณอยู่ทั้งคุณ ที่สำคัญ...ผมรักคุณมาก แล้วคุณจะผลักไสให้ผมไปมีอะไรกับผู้หญิงคนอื่นเนี่ยนะ?”
“ลินินไม่ได้ผลักไสเสียหน่อยนี่คะฤทธิ ก็แค่...เห็นว่านี่เป็นทางออกแก้ปัญหาเรื่องที่เราอยากมีลูกไงคะ ถ้าลินินสุขภาพดี แข็งแรงเหมือนคนอื่นเค้า ก็คงยังมีหวังว่าสักวัน เราจะมีลูกด้วยกัน แต่พอรู้ว่าเป็นมะเร็ง...” หล่อนเว้นจังหวะเพื่อกลืนก้อนแข็งๆ ที่แล่นขึ้นมาจุกอยู่ตรงลำคอก่อนเอ่ยต่อด้วยเสียงเบากว่าเดิม “ลินินไม่หวังอะไรเลยค่ะฤทธิ แค่ให้ตัวเองหายยังยากเลย”
รอยยิ้มบนริมฝีปากของผู้เป็นภรรยาสั่นระริก ดวงตาแสนเศร้าคลอคลองด้วยหยาดน้ำ ฤทธิดึงร่างผอมบางเข้ามากอดแนบอก จูบตรงขมับปลอบโยนก่อนจะเอ่ย
“ต้องหายสิ ห้ามคิดอย่างอื่นเลย คิดอย่างเดียวว่าต้องหาย”
“ลินินก็อยากหายค่ะ แต่ถึงหาย...ก็คงมีลูก...ไม่ได้” เสียงหล่อนขาดหายไปเมื่อเอ่ยคำสุดท้าย แต่แล้วเหมือนเจ้าตัวจะดึงตัวเองขึ้นมาจากหลุดมืดดำที่เพิ่งตกลงไปได้สำเร็จ รอยยิ้มบางๆ จึงปรากฏบนริมฝีปากอีกครั้ง “นะคะ...ฤทธิ นึกว่าเติมเต็มความฝันของลินิน ลินินอยากอุ้มลูกค่ะ ขอแค่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของคุณ แม่จะเป็นใคร...ลินินก็จะรักแกหมดใจ”
“เราใช้วิธีทำเด็กหลอดแก้ว ผสมเทียมหรือวิธีอะไรก็ได้ที่ไม่ใช้ให้ผมไปนอนกับเขา...ไม่ได้หรือลินิน? ผม...ผมไม่สะดวกใจเลยจริงๆ ที่จะมีอะไรกับคนอื่น เรื่องคืนนั้นมันเกิดขึ้นเพราะผมเมา และผมก็นึกว่าเด็กนั่นเป็นคุณ”
“นันท์ยังเด็ก เพิ่งอายุสิบเก้าเองค่ะ ไม่เห็นต้องใช้วิธีพวกนั้นเลย... อีกอย่าง...คุณก็ยังหนุ่มยังแน่น...ยังแข็งแรง ที่สำคัญ คุณเองก็ยังมีความต้องการ” ลินินสบตาสามีตรงๆ เมื่อเอ่ยมาถึงตรงนี้ “ในเมื่อลินินให้ความสุขคุณไม่ได้...คุณก็ควรมีโอกาสที่จะมีความสุขกับผู้หญิงคนอื่น ลินินเห็นนันท์มาตั้งแต่แตกเนื้อสาว...แกเป็นเด็กน่ารัก รักเรียนและก็เรียบร้อยกว่าเด็กสาวๆ ในวัยเดียวกันเยอะ ถ้าคุณจะมีอะไรกับใครสักคน...เป็นนันท์ก็น่าจะเหมาะที่สุดแล้วค่ะ จริงๆ ถ้าคุณจะรับแกไว้เป็นเมียอีกคน ลินินก็ไม่ขัดนะคะ”
“บ้าน่าคุณ! นี่มันปี พ.ศ. อะไรแล้ว”
“2565 แต่จะแปลกอะไรคะ”
“แปลกตรงที่คุณนั่นแหละเป็นคนอยากให้ผมมี ทั้งที่ผมไม่ต้องการ”
“ลินินอยากอุ้มลูก...แค่นั้นเองจริงๆ ค่ะ ถ้านันท์ท้อง ทุกอย่างก็โอเค แต่ถ้าไม่ท้อง คุณทำเพื่อลินินหน่อยไม่ได้หรือคะ? ถ้าคุณเกรงใจ...หรือกลัวลินินจะหึง สบายใจได้เลยค่ะ อีกอย่าง...อาทิตย์หน้าพอเริ่มกระบวนการรักษา ลินินว่าจะกลับไปอยู่บ้านค่ะ ช่วงให้คีโม...คุณแม่เป็นห่วงอยากให้อยู่ใกล้ๆ จะได้ดูแลลินินได้เต็มที่”
“หมายความว่า...คุณจะทิ้งผมไว้ที่นี่คนเดียว”
“คนเดียวที่ไหนคะ...มีคนอื่นอีกตั้งเยอะแยะ”
ฤทธิถอนใจเบาๆ รู้ตัวว่าคงยากจะเปลี่ยนใจภรรยา สุดท้ายเขาก็พยักหน้าก่อนเอ่ย
“เอาเถอะ นี่ก็ดึกแล้วคุณนอนเถอะ เดี๋ยวผมไปส่ง”
พูดพลางหมุนตัวอีกฝ่ายแล้วรุนหลังเบาๆ ให้เดินนำ ก่อนก้าวออกจากห้องเขาปิดสวิทช์ไฟและปิดประตูห้องทำงาน แล้วก็ประคองภรรยาพาเดินขึ้นห้องนอน เขาส่งภรรยาที่หน้าห้องนอน ไม่ลืมจุมพิตหน้าผากมนอย่างอ่อนโยนรักใคร่และรอกระทั่งประตูห้องนอนปิดสนิทจึงกลับเข้าห้องนอนตนเอง
ภาพการแสดงออกถึงความรักใคร่ห่วงใยของคนเป็นสามีที่มีต่อภรรยานั้นทำให้คนที่แอบมองหลังบานประตูรู้สึกแปลกๆ
พนิตนันท์ปิดประตูห้องนอนตนเองอย่างเบามือ มันแน่ชัดอยู่แล้วว่าเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างหล่อนกับผู้เป็นเจ้านายหนุ่มเป็นแค่ความผิดพลาดเท่านั้น ไม่ได้มีความรักใดๆ เจือปนแม้แต่น้อย
แม้เขาจะเคยเอื้อเอ็นดูและคอยช่วยเหลือมาโดยตลอด แต่ดูเหมือนว่าความรู้สึกเหล่านั้นจะอันตรธานไปหมดสิ้น นับแต่วินาทีที่เขาลืมตาขึ้นมาเจอหล่อนนอนเคียงข้างบนเตียงนอนเดียวกันเมื่อเช้าที่ผ่านมา
เงินหนึ่งล้านมันจะคุ้มจริงหรือกับสิ่งที่ต้องแลก หล่อนต้องคิดให้ถ้วนถี่ มันไม่ใช่แค่หนึ่งหรือสองปีหรอก แต่มันคือชีวิตทั้งชีวิตของหล่อนเชียวแหละ
แล้วถ้าเกิดมีลูกขึ้นมา มันจะไม่ใช่แค่ชีวิตหล่อนชีวิตเดียว แต่เกี่ยวเนื่องถึงชีวิตใหม่ที่จะเกิดมาอีกด้วย
กับคำถามสุดท้ายที่ผุดขึ้นมาในห้วงความคิด ถ้ามีลูกหล่อนจะยกให้คุณผู้หญิงได้จริงหรือ...หล่อนจะไม่เกิดความผูกพันกับเด็กที่เกิดมาเช่นนั้นหรือ...
“นันท์ ฉันฝากดูแลคุณฤทธิด้วยนะระหว่างที่ฉันกลับไปอยู่ที่บ้านแม่”พนิตนันท์อ้าปากค้างเมื่อได้ยินประโยคนั้นจากนายสาว ทุกอย่างดูปุบปับไปหมด เพิ่งเกิดเรื่องไปวันก่อน มาวันนี้นายสาวกลับบอกว่าจะไปอยู่บ้านแม่ แถมยังฝากฝังให้ดูแลสามีเสียอีกเด็กสาวยังไม่ตกปากรับคำในทันที แต่กลับอ้ำอึ้งราวมีอะไรอยากจะเอื้อนเอ่ย ลินินจับอาการนั้นได้จึงออกปากถามออกมา“มีอะไรหรือเปล่า?”“เอ่อ เมื่อคืน...หนูกลับไปคิดดูอีกที หนูขอไม่รับเงินที่คุณจะให้ได้ไหมคะ” ไม่น่ายากนี่ เพราะที่ตกลงกันก็ยังเป็นเพียงสัญญาปากเปล่า หล่อนเองก็ยังไม่ได้รับเงินมาเสียหน่อย “แล้วหนูก็อยากขอกลับไปอยู่บ้าน ส่วนเรื่องท้องไม่ท้อง ถ้ารอบเดือนไม่มาหนูจะรีบมาบอกคุณทันทีเลยค่ะ ถึงตอนนั้นถ้าหนูท้องแล้วคุณอยากให้หนูมาอยู่ที่นี่ หนูก็จะมาค่ะ”เมื่อได้ฟังลินินนิ่งงันไป เพราะไม่นึกว่าเด็กท่าทางหัวอ่อนอย่างพนิตนันท์จะเกิดเปลี่ยนใจขึ้นมาแบบนี้“นันท์อยู่ที่นี่ไปก่อนไม่ดีกว่าเหรอ...อย่างน้อย ก็รอจนรอบเดือนมาก็ได้นี่ หลังจากนี้ฉันคงเวียนเข้าเวียนออกโรงพยาบาล จะได้ไม่กังวลเรื่องนันท์ อยู่ที่นี่ฉันก็ยังฝาก
พนิตนันท์ร้องเตือนแล้วก็ยกมือขึ้นบังหน้าตามสัญชาตญาณ เสียงโครมดังสนั่นพร้อมแรงกระแทกจนกระเทือนเลือนลั่น ดีว่าทั้งพนิตนันท์และอาชว์คาดเข็มขัดนิรภัย จึงยังนั่งติดเบาะไม่ได้พุ่งทะยานทะลุกระจกออกไปตามแรงกระแทก ทว่าสายของเข็มขัดนิรภัยที่รั้งไว้ก็ทำให้เจ็บตัวไม่น้อย“โอ๊ย...” พนิตนันท์ร้องโอดโอยจากนั้นความวุ่นวายก็เกิดขึ้นเมื่อรถคันหน้าที่อาชว์ขับไปชนท้ายเข้า เดินมาตบประตูรถด้วยท่าทางโมโหฉุนเฉียว เสียงก่นด่าดังลั่น“ขับไงวะ...แม่ง ไม่เห็นหรือไงว่ากูหยุดแล้ว เสือกมาชนท้ายได้ แล้วนี่กูยิ่งรีบๆ จะไปทำงาน”อาชว์ไม่สนใจเจ้าของรถคู่กรณี แต่กลับหันมาหาหล่อน ละล่ำละลักถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง“นันท์เจ็บตรงไหนหรือเปล่า?”“ไม่ต้องห่วงเรา เราไม่เป็นไร” หล่อนบอกพลางชี้ให้ผู้เป็นเพื่อนสนใจคู่กรณี “อาชว์ลงไปคุยกับเขาก่อนดีกว่า รถมีประกันไหม? เดี๋ยวเราโทรเรียกให้”“มี เอกสารอยู่คอนโซลตรงหน้านันท์แหละ เราฝากด้วยนะ” พูดจบอาชว์ก็ปลดล็อกประตูแล้วก้าวลงไปทันทีพนิตนันท์ยังไม่ทันจะเปิดคอนโซลหาเอกสารประกัน ประตูรถข้างที่หล่อนนั่งก็เปิดออกพร้อม
พนิตนันท์กลับออกมาจากโรงพยาบาลด้วยแผลเย็บที่หน้าผาก แม้แผลจะไม่ใหญ่มาก แต่ก็ลึกพอสมควร นอกนั้นก็มีเพียงอาการฟกช้ำดำเขียวตามเนื้อตัว กับอาการปวดระบมฤทธิพาหญิงสาวไปที่คอนโดมิเนียมของเขาตามที่บอกแต่แรก ระหว่างนั้นก็โทรศัพท์ไปสั่งงานที่ออฟฟิศไว้เรียบร้อยพอถึงห้องฤทธิประคองสาวน้อยไปนั่งตรงโซฟาในห้องรับแขก ส่วนตัวเขาก็เดินไปทรุดนั่งบนเก้าอี้นวมตัวที่ตั้งตรงข้ามกัน ความเงียบโรยตัวลงมาปกคลุมบรรยากาศจนทำให้คนที่เพิ่งเจ็บตัวมาอึดอัด รู้สึกราวกับว่ากำลังจะถูกพิพากษาลงโทษอย่างไรอย่างนั้น จึงได้แต่นั่งนิ่งๆ หลุบตามองมือตนเองที่ประสานกันอยู่บนตักเสียงถอนหายใจที่ดังมาจากคนที่นั่งฝั่งตรงกันข้ามทำให้หล่อนเงยหน้าขึ้นมอง แล้วก็รู้ตัวว่าคิดผิดเมื่อพบว่าเขามองมาอยู่ก่อนแล้ว สายตานิ่งขรึมลึกล้ำราวน้ำก้นบึ้งทะเลสาบทำให้หล่อนหายใจไม่ทั่วท้องยิ่งกว่าเดิม"ฉันไม่ชอบที่เธอไปยุ่งกับไอ้หนุ่มนั่น”ฤทธิไม่แน่ใจในความรู้สึกตัวเองนัก...แต่ที่แน่ๆ ในฐานะผู้ชาย เขาอ่านสายตาเด็กหนุ่มคนนั้นออก“อาชว์...น่ะเหรอคะ” พนิตนันท์ถามแววตาบอกชัดว่าไม่เข้าใจ...อาชว์เป็นเพื่อน...
ฤทธิลุกขึ้นแล้วก้าวตรงมาหาสาวน้อย เขาก้มลงช้อนร่างหล่อนขึ้นแล้วอุ้มเดินไปที่ห้องนอน พนิตนันท์หน้าแดงจัดด้วยความขัดเขินความคิดหล่อนเตลิดไปไกลเมื่อจดจำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่ตื่นมาพบตัวเองนอนอยู่ในห้องนอนของเขา...มันเกิดอะไรขึ้นทว่าเมื่อวางร่างสาวน้อยลงบนเตียงเรียบร้อย ฤทธิก็เอ่ยขึ้น“นอนพักก่อน เดี๋ยวขอฉันทำงานสักหน่อย...มีอะไรก็ไปเรียกฉันได้ที่ห้องทำงาน...อยู่ข้างๆ ห้องนี้แหละ”“เอ่อ แต่...หนูไม่ง่วง แล้วก็ไม่ได้เจ็บตัวอะไรเท่าไร ขอหนูไปมหาลัยไม่ได้เหรอคะ”“ไม่ได้!” พูดจบเจ้าตัวก็ตัดบทการสนทนาด้วยการก้าวขาฉับๆ ออกจากห้องนอนไปทันทีฤทธิเปิดประตูห้องข้างๆ ที่ตกแต่งเป็นห้องทำงานเล็กๆ ซึ่งมีเครื่องอำนวยความสะดวกพร้อมทุกอย่าง เป็นออฟฟิศย่อมๆ ที่ใช้ work from home ได้อย่างสบายเขาเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ขึ้นมาเพื่อเช็กเมล์ว่าเลขานุการส่งไฟล์ร่างสัญญามาให้ตรวจหรือยัง เมื่อยังไม่พบจึงได้โทรศัพท์ไปตามงานอีกครั้งจากนั้นจึงโทรศัพท์หาภรรยา...เพื่อบอกให้อีกฝ่ายรู้ว่าเขาตกลงจะทำอะไร“ลินิน...ผมอยากคุยเรื่องเด็กนั่น”
มือเรียวที่ถือปากกาไว้นั้นออกจะสั่นน้อยๆ คล้ายเจ้าตัวมีความลังเล จึงจดจ้องอยู่ตรงช่องว่างที่จะต้องลงลายมือชื่ออยู่หลายนาที กระทั่งเสียงกระแอมดังขึ้นจากคนที่นั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงกันข้ามจึงสะดุ้งแล้วเงยหน้ามองพร้อมรอยยิ้มจืดเจื่อน“เซ็นไปเถอะ มีสัญญาเป็นหลักฐานมันก็ดีสำหรับตัวเธอเองนั่นแหละ ในนั้นฉันระบุไว้ครบถ้วนทุกอย่างรวมถึงเรื่องเงินที่ฉันบอกว่าจะให้เธอทุกเดือน เดือนละหนึ่งแสนบาท เริ่มตั้งแต่เดือนนี้ไปจนกว่าเด็กที่คลอดออกมาจะมีอายุครบแปดเดือน”“แล้ว...ถ้าหนูไม่ท้องละคะ”“สัญญาก็จะมีผลไปเรื่อยๆ จนกว่าจะท้องและเด็กอายุครบแปดเดือน อยากท้อง...หรือไม่อยากท้องล่ะ”“ม...ไม่รู้ค่ะ” สาวน้อยสะบัดหน้าจนผมยาวที่รวบไว้เป็นหางม้าแกว่งไปมา “แล้ว...ทำไมต้องรอให้ครบแปดเดือนคะ?”หล่อนถามด้วยความสงสัย ขณะที่คนตอบกลับนึกขันในความขี้สงสัยนั้น ความคิดผ่านเข้ามาวูบหนึ่ง...หล่อนอายุสิบเก้าเท่านั้นเอง ถึงจะไม่ใช่เด็กแล้ว...แต่ก็ยังไม่ใช่ผู้ใหญ่ถ้าจะตั้งข้อสงสัยมากหน่อย ก็นับว่าไม่แปลกในเมื่อเป็นการตัดสินใจในเรื่องเกินอายุไม่น้อย ฤทธิยิ้มอย่างใจเย็นเมื่ออธิบายให้หล
จุมพิตหวานซ่านเริ่มร้อนแรงขึ้นและดูท่าว่าจะหยุดไม่ได้ง่ายๆ ลมหายใจทั้งคู่เริ่มสะท้านไปกับความหวิวไหวที่ซ่านขึ้นมาระลอกแล้วระลอกเล่าความรู้สึกปั่นป่วนในช่องท้องที่มากขึ้นทุกทีทำให้พนิตนันท์สับสน ใจหล่อนร่ำร้องต้องการมากกว่านี้...แต่อีกใจก็อยากให้เขาหยุดหล่อนกลัว...กลัวตนเองยิ่งกว่าอื่นใดเมื่อตระหนักว่าตนเองชอบสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังทำและตอบสนองเขาราวกับหญิงช่ำชอง ทั้งที่คืนนั้นหล่อนจำอะไรแทบไม่ได้ด้วยซ้ำฤทธิผละริมฝีปากออกจากกลีบปากบวมเจ่อเพราะจูบของเขา“บอกเหตุผลดีๆ ฉันสักข้อสินันท์ ว่าทำไมฉันควรเปิดประตูนั้นแล้วเดินออกไป” เขากระซิบเสียงพร่าริมหูหญิงสาวก่อนจะซุกไซ้สูดดมขบติ่งหูเบาๆ ก่อนจะไล่เรื่อยลงมาตามลำคอระหง ร่างบอบบางหอบหายใจจนตัวโยน...หัวสมองอื้ออึงไปหมดพยายามจะคิดหาคำตอบให้เขา“คุณ...ต้อง...ไปทำงาน” ถ้อยประโยคนั้นขาดเป็นห้วง“ยัง...ยังไม่ดีพอ” เขากระซิบตอบ “ขอเหตุผลที่ดีกว่านี้ ไม่อย่างนั้นฉันรับรองได้ว่า อีกไม่เกินห้านาทีฉันอุ้มเธอขึ้นเตียงแน่”เขาไปแล้ว!หัวใจของพนิตนันท์สั่นจนแทบจะทะลุออกมานอกอกอยู่รอมร่อ หล
“ดีใจจังที่ป้านวลมา”ประโยครำพึงของสาวน้อยทำให้คนสูงวัยกว่ายิ้มออกมาด้วยความเอ็นดู ป้านวลรู้จักพนิตนันท์มาตั้งแต่เป็นเด็กหญิงตัวผอมบาง พอจะรู้จักนิสัยใจคอกันอยู่ว่าสาวน้อยคนนี้เป็นเด็กใฝ่ดีรักเรียนและรู้จักเจียมเนื้อเจียมตัวเทียบกับคนเป็นแม่แล้ว...บางครั้งนางก็อยากจะเชื่อว่าพรรณีไปขโมยลูกใครสักคนมาเลี้ยงด้วยซ้ำ ค่าที่ทั้งคู่ต่างกันราวฟ้ากับเหว“หนูนันท์เป็นไง เจ็บตรงไหนบ้าง เห็นคุณฤทธิบอกเกิดอุบัติเหตุ” พูดพลางสำรวจเนื้อตัวเด็กสาวไปด้วย เด่นชัดสุดน่าจะรอยแผลตรงหน้าผากชิดไรผม“หัวแตก แล้วก็ฟกช้ำ ปวดระบมเนื้อตัวค่ะ”“คิดว่าฟาดเคราะห์นะหนูนันท์”“ค่ะ เพื่อนนันท์ขับไม่เร็วด้วยค่ะ เลยไม่ได้เป็นอะไรมาก”“โชคดีไปค่ะ หิวหรือยังคะเดี๋ยวป้าอุ่นอาหารมาให้ เอามาให้เยอะแยะไว้เก็บใส่ตู้เย็นกินได้อีกหลายวัน ถ้าหมดก็โทรบอกป้า จะได้ทำมาเพิ่มให้ หรืออยากกินอะไรก็บอกป้า”“ขอบคุณค่ะป้า แต่หนูคงไม่รบกวนหรอกค่ะ หนูพอทำกับข้าวเป็นอยู่บ้าง” รอยยิ้มบนใบหน้าคนพูดหมองลงเมื่อเอ่ยประโยคถัดมา “หนูคิดถึงบ้านจังเลยค่ะป้า แต่...หนูไม่มีบ้านจะให้กลับ”“
เมื่อเปิดประตูคอนโดมิเนียมเข้าไป นอกเสียจากความมืดโดยรอบแล้ว สิ่งหนึ่งที่ปะทะฆานประสาทของชายหนุ่มคือกลิ่นหอมของสบู่และเครื่องประทินผิวที่เจือจางอยู่ในอากาศ นับเป็นความแปลกใหม่ ที่น่ารื่นรมย์ไม่น้อยทั่วท้องห้องเงียบเชียบ...สาวน้อยคงเข้านอนไปแล้วกระมัง เพราะนี่ก็ดึกมากแล้ว อีกไม่กี่นาทีก็จะเที่ยงคืน...ฤทธิไม่รู้เหมือนกันทำไมเขาถึงมาที่นี่...แทนที่จะกลับบ้าน ทั้งที่เหนื่อยจนตาแทบจะปิด แถมระยะทางระหว่างคอนโดมิเนียมกับโรงพยาบาลก็ไม่ใช่ใกล้ เทียบกันแล้วบ้านเขาอยู่ใกล้โรงพยาบาลมากกว่าด้วยซ้ำแต่เขามา...เพราะเป็นห่วงคนที่นอนหลับอยู่ในห้องนั่นแหละฤทธิหมุนลูกบิดประตูห้องนอนอย่างระมัดระวังกลัวจะปลุกคนที่กำลังหลับสบายอยู่บนเตียงนอนขนาดคิงไซส์กลางห้อง ชายหนุ่มเดินไปหยุดอยู่ตรงปลายเตียงมองเงาตะคุ่มของร่างบอบบางที่นอนขดตัวอยู่บนเตียงโดยที่ผ้าห่มไปกองอยู่ตรงปลายเท้าท่าทางเหมือนกำลังหนาว...เขาดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมให้จนมิดชิด จากนั้นก็เดินเลยไปเข้าห้องน้ำ...แม้จะง่วงแสนง่วง ก็ขออาบน้ำสักนิดเถอะเมื่อออกมาจากห้องน้ำในชุดนอนสบา
พนิตนันท์มองตามรถคันใหญ่ที่แล่นออกไปอยู่ชั่ววินาทีก่อนจะหมุนตัวแล้วก้าวเท้าเดินไปยังอาคารเรียนซึ่งอยู่ถัดไปหล่อนย้ายมาอยู่ที่คอนโดมิเนียมประมาณอาทิตย์เศษ ความจริงที่นี่อยู่ใกล้มหาวิทยาลัยของหล่อนไม่น้อย ทว่าทุกเช้าฤทธิขับรถมาส่งคืนไหนเขาค้างด้วยก็ง่ายหน่อย แต่คืนไหนเขาไม่ได้มาค้าง ก็จะแวะมารับตอนเช้าแล้วไปส่งที่มหาวิทยาลัย“นันท์...นันท์...รอด้วย” เสียงเรียกคุ้นหูดังขึ้นข้างหลังเมื่อหันไปพนิตนันท์จึงเห็นว่าเป็นวิจิตรา...เพื่อนสนิทของตนนั่นเอง จึงเอ่ยทัก“อ้าว...วิว มานานยังอะ”“ก็มาตะกี้พร้อมๆ แกอะแหละ”คำตอบของเพื่อนทำให้รอยยิ้มของพนิตนันท์เจื่อนไปนิด เพราะนั่นหมายความว่า...วิจิตราต้องเห็นว่ามีคนมาส่งหล่อน“แกไม่ได้มาพร้อมอาชว์เหรอวะ ตะกี้ฉันเห็นแกลงจากรถ แต่จำได้ว่าไม่ใช่รถอาชว์” นั่นไง...จริงอย่างที่คิดไหมล่ะ“อือ...พอดีนายจ้างเราเขาให้ติดรถมาเพราะมาทางเดียวกันน่ะ เราเลยไม่ได้มาพร้อมอาชว์แล้ว” หล่อนแก้ตัว“อ๋อ...มิน่า พักนี้อาชว์มันซึมไปเลย แกไม่ยอมนั่งรถมันนี่เอง” วิจิตราทำตาเล็กตาน้อยใส่จนต้องรีบปฏิเ
เสียงนาฬิกาปลุกจากโทรศัพท์มือถือที่พนิตนันท์ตั้งไว้ทำหน้าที่ของมันตามปกติ หญิงสาวปรือตาตื่นขึ้นมาอย่างยากลำบาก เอื้อมไปปัดหน้าปัดโทรศัพท์เพื่อปิดแอพนาฬิกาปลุกทว่าแทนที่จะตื่นหล่อนกลับฟุบหลับต่อ แต่กลับต้องแปลกใจเมื่อที่นอนนั้นช่างแข็งเหลือเกิน...มือบอบบางค่อยลูบไปบนที่นอนช้าๆ อย่างสำรวจตรวจตรา...“อืม...” เสียงครางในลำคอของใครบางคนทำให้หล่อนลืมตาตื่นในทันที นั่นแหละ...สติจึงกลับมาอย่างสมบูรณ์พร้อมกับภาพต่างๆ นานาที่เกิดขึ้นเมื่อคืนประดังประเดเข้ามาไม่ขาดสายคืนนั้นหล่อนยังพอพูดได้ว่า...จำอะไรไม่ได้มาก ทุกอย่างเหมือนฝัน คลับคล้ายคลับคลาเหมือนจะจำได้...แต่ก็จำไม่ได้ แต่จะบอกว่าจำไม่ได้...มันก็ไม่เชิงแต่เมื่อคืนนี้...ไม่ใช่แบบนั้น!ภาพทุกอย่างชัดเจนยิ่งกว่าภาพสามมิติ ที่สำคัญ...หล่อนยังยินยอมพร้อมใจ...และพึงพอใจกับเซ็กส์ที่เขามอบให้อย่างมากมันดี...ดีมากเสียจน...แค่หลับตานึกถึง...เนื้อตัวก็วูบวาบขึ้นมา“ถ้ายังไม่หยุดลูบ...รับรองว่าเธอไปเรียนสายแน่...สาวน้อย” เสียงแหบพร่าดังขึ้นพร้อมกับที่มือแข็งแรงจับข้อมือของหล่อนไว้ไม่ได้จับเ
ฤทธิครอบครองริมฝีปากหญิงสาวแล้วสอดลิ้นเข้าไปเกี่ยวกระหวัดเรียวลิ้นชุ่มชื้นขณะที่มือข้างหนึ่งไต่ลงต่ำผ่านหน้าท้องแล้วซุกกลางหว่างขาที่ยังคงชุ่มชื่น...ทั้งจากน้ำหวานที่หลั่งรินและจากน้ำลายของเขา เกร็งนิ้วสอดเข้ากลางกลีบอวบแล้วขยับเข้าออกด้วยจังหวะเนิบนาบเพื่อปูทางให้ความแข็งขึงกลางกายเขามันขยับขยายเต็มที่ และตอนนี้เขาก็ปวดหนึบจนทนแทบไม่ไหวเขาถอนนิ้วออก สาวน้อยแทบจะผวากายตามมา มือแข็งแรงจับต้นขาเจ้าหล่อนแล้วแบะกว้างเปิดทางให้สะโพกสอบเข้าแทรกกลาง ความแข็งแกร่งจดจ่ออยู่กลางกลีบชุ่มฉ่ำก่อนจะแทรกเข้าไปทีละนิดความแน่นหนึบที่โอบล้อมทุกทิศทางทำให้ฤทธิถึงกับกัดฟันเมื่อความเสียวซ่านที่มีจุดศูนย์กลางอยู่ตรงกึ่งกลางกายกำลังแผ่กระจายไปทั่วทั้งตัวไม่ต่างจากกระแสไฟที่ไหลไปตามสาย“อะ...” เสียงของสาวน้อยพร้อมทั้งมือที่ยกขึ้นแตะอกเขาทำให้ฤทธิหยุดชะงัก“เจ็บเหรอ?” เขาถาม...ถึงครั้งนี้จะเป็นครั้งที่สอง แต่เจ้าหล่อนก็อาจจะยังรู้สึกเจ็บอยู่บ้าง“ม...ไม่ค่ะ แค่...อึดอัด”“เดี๋ยวก็ชิน” เขาบอกพลางออกแรงเพิ่มขึ้นอีกนิดกระทั่งฝากฝังตัวตนเข้าไปจนสุด จึง
เมื่อเปิดประตูคอนโดมิเนียมเข้าไป นอกเสียจากความมืดโดยรอบแล้ว สิ่งหนึ่งที่ปะทะฆานประสาทของชายหนุ่มคือกลิ่นหอมของสบู่และเครื่องประทินผิวที่เจือจางอยู่ในอากาศ นับเป็นความแปลกใหม่ ที่น่ารื่นรมย์ไม่น้อยทั่วท้องห้องเงียบเชียบ...สาวน้อยคงเข้านอนไปแล้วกระมัง เพราะนี่ก็ดึกมากแล้ว อีกไม่กี่นาทีก็จะเที่ยงคืน...ฤทธิไม่รู้เหมือนกันทำไมเขาถึงมาที่นี่...แทนที่จะกลับบ้าน ทั้งที่เหนื่อยจนตาแทบจะปิด แถมระยะทางระหว่างคอนโดมิเนียมกับโรงพยาบาลก็ไม่ใช่ใกล้ เทียบกันแล้วบ้านเขาอยู่ใกล้โรงพยาบาลมากกว่าด้วยซ้ำแต่เขามา...เพราะเป็นห่วงคนที่นอนหลับอยู่ในห้องนั่นแหละฤทธิหมุนลูกบิดประตูห้องนอนอย่างระมัดระวังกลัวจะปลุกคนที่กำลังหลับสบายอยู่บนเตียงนอนขนาดคิงไซส์กลางห้อง ชายหนุ่มเดินไปหยุดอยู่ตรงปลายเตียงมองเงาตะคุ่มของร่างบอบบางที่นอนขดตัวอยู่บนเตียงโดยที่ผ้าห่มไปกองอยู่ตรงปลายเท้าท่าทางเหมือนกำลังหนาว...เขาดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมให้จนมิดชิด จากนั้นก็เดินเลยไปเข้าห้องน้ำ...แม้จะง่วงแสนง่วง ก็ขออาบน้ำสักนิดเถอะเมื่อออกมาจากห้องน้ำในชุดนอนสบา
“ดีใจจังที่ป้านวลมา”ประโยครำพึงของสาวน้อยทำให้คนสูงวัยกว่ายิ้มออกมาด้วยความเอ็นดู ป้านวลรู้จักพนิตนันท์มาตั้งแต่เป็นเด็กหญิงตัวผอมบาง พอจะรู้จักนิสัยใจคอกันอยู่ว่าสาวน้อยคนนี้เป็นเด็กใฝ่ดีรักเรียนและรู้จักเจียมเนื้อเจียมตัวเทียบกับคนเป็นแม่แล้ว...บางครั้งนางก็อยากจะเชื่อว่าพรรณีไปขโมยลูกใครสักคนมาเลี้ยงด้วยซ้ำ ค่าที่ทั้งคู่ต่างกันราวฟ้ากับเหว“หนูนันท์เป็นไง เจ็บตรงไหนบ้าง เห็นคุณฤทธิบอกเกิดอุบัติเหตุ” พูดพลางสำรวจเนื้อตัวเด็กสาวไปด้วย เด่นชัดสุดน่าจะรอยแผลตรงหน้าผากชิดไรผม“หัวแตก แล้วก็ฟกช้ำ ปวดระบมเนื้อตัวค่ะ”“คิดว่าฟาดเคราะห์นะหนูนันท์”“ค่ะ เพื่อนนันท์ขับไม่เร็วด้วยค่ะ เลยไม่ได้เป็นอะไรมาก”“โชคดีไปค่ะ หิวหรือยังคะเดี๋ยวป้าอุ่นอาหารมาให้ เอามาให้เยอะแยะไว้เก็บใส่ตู้เย็นกินได้อีกหลายวัน ถ้าหมดก็โทรบอกป้า จะได้ทำมาเพิ่มให้ หรืออยากกินอะไรก็บอกป้า”“ขอบคุณค่ะป้า แต่หนูคงไม่รบกวนหรอกค่ะ หนูพอทำกับข้าวเป็นอยู่บ้าง” รอยยิ้มบนใบหน้าคนพูดหมองลงเมื่อเอ่ยประโยคถัดมา “หนูคิดถึงบ้านจังเลยค่ะป้า แต่...หนูไม่มีบ้านจะให้กลับ”“
จุมพิตหวานซ่านเริ่มร้อนแรงขึ้นและดูท่าว่าจะหยุดไม่ได้ง่ายๆ ลมหายใจทั้งคู่เริ่มสะท้านไปกับความหวิวไหวที่ซ่านขึ้นมาระลอกแล้วระลอกเล่าความรู้สึกปั่นป่วนในช่องท้องที่มากขึ้นทุกทีทำให้พนิตนันท์สับสน ใจหล่อนร่ำร้องต้องการมากกว่านี้...แต่อีกใจก็อยากให้เขาหยุดหล่อนกลัว...กลัวตนเองยิ่งกว่าอื่นใดเมื่อตระหนักว่าตนเองชอบสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังทำและตอบสนองเขาราวกับหญิงช่ำชอง ทั้งที่คืนนั้นหล่อนจำอะไรแทบไม่ได้ด้วยซ้ำฤทธิผละริมฝีปากออกจากกลีบปากบวมเจ่อเพราะจูบของเขา“บอกเหตุผลดีๆ ฉันสักข้อสินันท์ ว่าทำไมฉันควรเปิดประตูนั้นแล้วเดินออกไป” เขากระซิบเสียงพร่าริมหูหญิงสาวก่อนจะซุกไซ้สูดดมขบติ่งหูเบาๆ ก่อนจะไล่เรื่อยลงมาตามลำคอระหง ร่างบอบบางหอบหายใจจนตัวโยน...หัวสมองอื้ออึงไปหมดพยายามจะคิดหาคำตอบให้เขา“คุณ...ต้อง...ไปทำงาน” ถ้อยประโยคนั้นขาดเป็นห้วง“ยัง...ยังไม่ดีพอ” เขากระซิบตอบ “ขอเหตุผลที่ดีกว่านี้ ไม่อย่างนั้นฉันรับรองได้ว่า อีกไม่เกินห้านาทีฉันอุ้มเธอขึ้นเตียงแน่”เขาไปแล้ว!หัวใจของพนิตนันท์สั่นจนแทบจะทะลุออกมานอกอกอยู่รอมร่อ หล
มือเรียวที่ถือปากกาไว้นั้นออกจะสั่นน้อยๆ คล้ายเจ้าตัวมีความลังเล จึงจดจ้องอยู่ตรงช่องว่างที่จะต้องลงลายมือชื่ออยู่หลายนาที กระทั่งเสียงกระแอมดังขึ้นจากคนที่นั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงกันข้ามจึงสะดุ้งแล้วเงยหน้ามองพร้อมรอยยิ้มจืดเจื่อน“เซ็นไปเถอะ มีสัญญาเป็นหลักฐานมันก็ดีสำหรับตัวเธอเองนั่นแหละ ในนั้นฉันระบุไว้ครบถ้วนทุกอย่างรวมถึงเรื่องเงินที่ฉันบอกว่าจะให้เธอทุกเดือน เดือนละหนึ่งแสนบาท เริ่มตั้งแต่เดือนนี้ไปจนกว่าเด็กที่คลอดออกมาจะมีอายุครบแปดเดือน”“แล้ว...ถ้าหนูไม่ท้องละคะ”“สัญญาก็จะมีผลไปเรื่อยๆ จนกว่าจะท้องและเด็กอายุครบแปดเดือน อยากท้อง...หรือไม่อยากท้องล่ะ”“ม...ไม่รู้ค่ะ” สาวน้อยสะบัดหน้าจนผมยาวที่รวบไว้เป็นหางม้าแกว่งไปมา “แล้ว...ทำไมต้องรอให้ครบแปดเดือนคะ?”หล่อนถามด้วยความสงสัย ขณะที่คนตอบกลับนึกขันในความขี้สงสัยนั้น ความคิดผ่านเข้ามาวูบหนึ่ง...หล่อนอายุสิบเก้าเท่านั้นเอง ถึงจะไม่ใช่เด็กแล้ว...แต่ก็ยังไม่ใช่ผู้ใหญ่ถ้าจะตั้งข้อสงสัยมากหน่อย ก็นับว่าไม่แปลกในเมื่อเป็นการตัดสินใจในเรื่องเกินอายุไม่น้อย ฤทธิยิ้มอย่างใจเย็นเมื่ออธิบายให้หล
ฤทธิลุกขึ้นแล้วก้าวตรงมาหาสาวน้อย เขาก้มลงช้อนร่างหล่อนขึ้นแล้วอุ้มเดินไปที่ห้องนอน พนิตนันท์หน้าแดงจัดด้วยความขัดเขินความคิดหล่อนเตลิดไปไกลเมื่อจดจำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่ตื่นมาพบตัวเองนอนอยู่ในห้องนอนของเขา...มันเกิดอะไรขึ้นทว่าเมื่อวางร่างสาวน้อยลงบนเตียงเรียบร้อย ฤทธิก็เอ่ยขึ้น“นอนพักก่อน เดี๋ยวขอฉันทำงานสักหน่อย...มีอะไรก็ไปเรียกฉันได้ที่ห้องทำงาน...อยู่ข้างๆ ห้องนี้แหละ”“เอ่อ แต่...หนูไม่ง่วง แล้วก็ไม่ได้เจ็บตัวอะไรเท่าไร ขอหนูไปมหาลัยไม่ได้เหรอคะ”“ไม่ได้!” พูดจบเจ้าตัวก็ตัดบทการสนทนาด้วยการก้าวขาฉับๆ ออกจากห้องนอนไปทันทีฤทธิเปิดประตูห้องข้างๆ ที่ตกแต่งเป็นห้องทำงานเล็กๆ ซึ่งมีเครื่องอำนวยความสะดวกพร้อมทุกอย่าง เป็นออฟฟิศย่อมๆ ที่ใช้ work from home ได้อย่างสบายเขาเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ขึ้นมาเพื่อเช็กเมล์ว่าเลขานุการส่งไฟล์ร่างสัญญามาให้ตรวจหรือยัง เมื่อยังไม่พบจึงได้โทรศัพท์ไปตามงานอีกครั้งจากนั้นจึงโทรศัพท์หาภรรยา...เพื่อบอกให้อีกฝ่ายรู้ว่าเขาตกลงจะทำอะไร“ลินิน...ผมอยากคุยเรื่องเด็กนั่น”
พนิตนันท์กลับออกมาจากโรงพยาบาลด้วยแผลเย็บที่หน้าผาก แม้แผลจะไม่ใหญ่มาก แต่ก็ลึกพอสมควร นอกนั้นก็มีเพียงอาการฟกช้ำดำเขียวตามเนื้อตัว กับอาการปวดระบมฤทธิพาหญิงสาวไปที่คอนโดมิเนียมของเขาตามที่บอกแต่แรก ระหว่างนั้นก็โทรศัพท์ไปสั่งงานที่ออฟฟิศไว้เรียบร้อยพอถึงห้องฤทธิประคองสาวน้อยไปนั่งตรงโซฟาในห้องรับแขก ส่วนตัวเขาก็เดินไปทรุดนั่งบนเก้าอี้นวมตัวที่ตั้งตรงข้ามกัน ความเงียบโรยตัวลงมาปกคลุมบรรยากาศจนทำให้คนที่เพิ่งเจ็บตัวมาอึดอัด รู้สึกราวกับว่ากำลังจะถูกพิพากษาลงโทษอย่างไรอย่างนั้น จึงได้แต่นั่งนิ่งๆ หลุบตามองมือตนเองที่ประสานกันอยู่บนตักเสียงถอนหายใจที่ดังมาจากคนที่นั่งฝั่งตรงกันข้ามทำให้หล่อนเงยหน้าขึ้นมอง แล้วก็รู้ตัวว่าคิดผิดเมื่อพบว่าเขามองมาอยู่ก่อนแล้ว สายตานิ่งขรึมลึกล้ำราวน้ำก้นบึ้งทะเลสาบทำให้หล่อนหายใจไม่ทั่วท้องยิ่งกว่าเดิม"ฉันไม่ชอบที่เธอไปยุ่งกับไอ้หนุ่มนั่น”ฤทธิไม่แน่ใจในความรู้สึกตัวเองนัก...แต่ที่แน่ๆ ในฐานะผู้ชาย เขาอ่านสายตาเด็กหนุ่มคนนั้นออก“อาชว์...น่ะเหรอคะ” พนิตนันท์ถามแววตาบอกชัดว่าไม่เข้าใจ...อาชว์เป็นเพื่อน...