พนิตนันท์มองตามรถคันใหญ่ที่แล่นออกไปอยู่ชั่ววินาทีก่อนจะหมุนตัวแล้วก้าวเท้าเดินไปยังอาคารเรียนซึ่งอยู่ถัดไป
หล่อนย้ายมาอยู่ที่คอนโดมิเนียมประมาณอาทิตย์เศษ ความจริงที่นี่อยู่ใกล้มหาวิทยาลัยของหล่อนไม่น้อย ทว่าทุกเช้าฤทธิขับรถมาส่ง
คืนไหนเขาค้างด้วยก็ง่ายหน่อย แต่คืนไหนเขาไม่ได้มาค้าง ก็จะแวะมารับตอนเช้าแล้วไปส่งที่มหาวิทยาลัย
“นันท์...นันท์...รอด้วย” เสียงเรียกคุ้นหูดังขึ้นข้างหลัง
เมื่อหันไปพนิตนันท์จึงเห็นว่าเป็นวิจิตรา...เพื่อนสนิทของตนนั่นเอง จึงเอ่ยทัก
“อ้าว...วิว มานานยังอะ”
“ก็มาตะกี้พร้อมๆ แกอะแหละ”
คำตอบของเพื่อนทำให้รอยยิ้มของพนิตนันท์เจื่อนไปนิด เพราะนั่นหมายความว่า...วิจิตราต้องเห็นว่ามีคนมาส่งหล่อน
“แกไม่ได้มาพร้อมอาชว์เหรอวะ ตะกี้ฉันเห็นแกลงจากรถ แต่จำได้ว่าไม่ใช่รถอาชว์” นั่นไง...จริงอย่างที่คิดไหมล่ะ
“อือ...พอดีนายจ้างเราเขาให้ติดรถมาเพราะมาทางเดียวกันน่ะ เราเลยไม่ได้มาพร้อมอาชว์แล้ว” หล่อนแก้ตัว
“อ๋อ...มิน่า พักนี้อาชว์มันซึมไปเลย แกไม่ยอมนั่งรถมันนี่เอง” วิจิตราทำตาเล็กตาน้อยใส่จนต้องรีบปฏิเสธเสียงแข็งออกไป
“เฮ้ย...เรากับอาชว์เป็นเพื่อนกัน!”
นอกจากจะไม่ได้นั่งรถอาชว์มามหาวิทยาลัยแล้ว หล่อนยังพยายามหลีกเลี่ยงการเจอหน้าฝ่ายนั้นด้วย
“แกน่ะเป็นเพื่อน แต่อาชว์มันไม่ได้อยากเป็นเพื่อนกับแกด้วยนี่นา อย่าบอกว่าไม่รู้”
พนิตนันท์ฟังเพื่อนแล้วก็ได้แต่ถอนใจ ก่อนจะตอบ
“ก็รู้...แต่เรายังไม่ได้คิดเรื่องนี้ แกก็รู้นอกเหนือจากเวลาเรียน เราทำงานพิเศษ จะเอาเวลาไหนมาคิดเรื่องแบบนี้”
“มันจะไปเสียเวลาสักเท่าไรกันเชียววะ อาชว์มันก็ดีนะแก หน้าตาดี เรียนเก่ง บ้านอาจจะไม่ได้รวยมาก แต่ก็เรียกว่ามีตังค์แหละ เป็นฉันนะ...ไม่ปล่อยให้หลุดมือหรอก”
ไม่ใช่ไม่รู้...ตอนแรกหล่อนก็มองๆ เขาไว้เหมือนกัน ไม่ใช่เพราะบ้านเขามีฐานะหรอก แต่เพราะดูท่าทางอาชว์น่าจะนิสัยดี ทั้งเขายังให้เกียรติหล่อนเสมอ ไม่เคยแสดงท่าทางเจ้าชู้หรือมือไม้ไวเลยสักครั้ง แต่...
หัวใจหญิงสาวเหมือนลูกโป่งที่มีรูรั่วจึงฟีบลงอย่างรวดเร็ว ตอนนี้...หล่อนไม่คู่ควรกับเขา
หรือกับผู้ชายคนไหนๆ อีกแล้ว
“ถ้าแกชอบก็จีบเลย เราสนับสนุน” หล่อนยุคนเป็นเพื่อน
“บ้า! มันไม่ได้ชอบฉัน!”
“ตอนนี้ไม่ได้ชอบ ไม่ได้แปลว่าจะชอบไม่ได้นี่ แกก็ลองดู ฉันเชียร์”
“โอ๊ย...ไม่ต้องเลยแก” วิจิตรายกมือขึ้นมาปัด “ไปๆ ไปกันได้แล้ว เดี๋ยวสาย”
ทั้งคู่เดินไปด้วยกันเพราะเรียนวิชาเดียวกัน
เมื่อไปถึงหน้าห้องเรียน อาชว์ยืนอยู่หน้าห้องเรียนเหมือนกำลังรีรออะไรอยู่ และเมื่อเห็นสองสาวเดินมาเขาก็ยิ้มกว้าง ดวงตาสดใสจ้องมองมาที่พนิตนันท์ไม่วางตา แน่นอนว่าไม่รอดพ้นสายตาวิจิตรา ฝ่ายนั้นจึงลอบกระทุ้งศอกใส่สีข้างหล่อนเบาๆ พลางเอ่ยโดยแทบไม่ขยับริมฝีปากว่า
“เห็นไหม...แค่เห็นหน้าแก มันก็ยิ้มหวานตาปรอยขนาดนี้ แล้วแกยังจะให้ฉันไปจีบมันอีกเหรอวะ”
พนิตนันท์มิได้ตอบเมื่อทั้งคู่เดินมาถึงตัวอาชว์พอดี
“นันท์...เรานึกว่าจะไม่มาแล้ว”
รู้ทั้งรู้ว่าคำถามนั้น ไม่ได้มีนัยแอบแฝงอะไร แต่ความคิดของหล่อนดันไพล่ไปคิดถึงความเร่าร้อนระหว่างตัวเองกับคุณฤทธิเมื่อคืนเสียได้ หน้าจึงร้อนเห่อขึ้นมาดื้อๆ จนคนที่ยืนรอเข้าห้องพร้อมกันทัก
“หน้าแดง...มีไข้หรือเปล่านันท์ ไปห้องพยาบาลไหม?”
หล่อนรีบส่ายหน้าปฏิเสธ
“เปล่าๆ เราไม่ได้เป็นอะไร สงสัยจะร้อนแหละ กว่าจะเดินขึ้นบันไดมาถึงชั้นสี่” ที่จริงอากาศไม่ได้ร้อนมาก และการเดินขึ้นบันไดก็ไม่ได้ทำให้หล่อนเหนื่อยอะไรนัก แต่มันก็เป็นข้ออ้างเดียวที่พอจะนึกออก
พอเลิกคลาสวิจิตราซึ่งมีเรียนต่อทันทีก็ขอตัวไปเข้าคลาสก่อน จึงเหลือเพียงพนิตนันท์และอาชว์ที่กว่าจะเรียนคลาสต่อไปก็มีเวลาว่างอยู่ราวชั่วโมงเศษ
อาชว์จึงได้โอกาสชวนหญิงสาวไปนั่งเล่นที่ร้านกาแฟใกล้มหาวิทยาลัย
“คลาสถัดไปนันท์กับเราเรียนด้วยกันใช่ไหม? ไปร้านพี่โป้กันไหม...เดี๋ยวเราเลี้ยงกาแฟ”
“เราว่าจะไปห้องสมุดน่ะ” หล่อนพยายามหาทางเลี่ยง
“ทำไมเรารู้สึกว่า...นันท์พยายามหลบหน้าเรา”
“คิดมากน่า...เราไม่ได้หลบหน้าสักหน่อย ก็แค่จังหวะเวลามันไม่ใช่” หล่อนพูดไป...ไม่ได้คิดว่าจะทำให้เขาตีความไปอีกอย่าง
“นันท์หมายถึง จังหวะเวลาของเรามันไม่ตรงกับนันท์เหรอ เราไม่ใช่คนที่นันท์อยากคบ...อย่างนี้ใช่ไหม?”
...จะตอบยังไง...ตอบว่าใช่ก็หักหาญน้ำใจกันเกินไป แต่ให้ตอบไม่ใช่...ก็ยิ่งไมได้ เพราะเท่ากับหล่อนเปิดทางให้เขา...
แต่หล่อนทำแบบนั้นไม่ได้!
พนิตนันท์เปิดทางให้ผู้ชายคนไหนไม่ได้ทั้งสิ้น!
“เราบอกแล้วว่าอาชว์คิดมาก เราไม่ได้จะหลบหน้า แค่ตอนเรียนหรือตอนอยู่ที่มหาลัย เรากับอาชว์คลาดกันเพราะจังหวะเวลาไม่ตรงกัน...ก็เท่านั้น”
“ก็นี่ไง...พอเจอกัน เราชวนนันท์ไปร้านพี่โป้ นันท์ก็ไม่ยอมไป”
“เรามีรายงานต้องทำ เลยอยากไปห้องสมุดหน่อย เดี๋ยวพอเลิกเรียนเราก็ต้องไปทำงานพิเศษ” พอพูดถึงงานพิเศษแล้ว...ใบหน้าของใครบางคนกลับลอยขึ้นมาในห้วงคำนึงจนต้องรีบปัดๆ ออกไป
“ถ้างั้นเราไปห้องสมุดเป็นเพื่อนนันท์ก็ได้ เราว่าง...ให้เราช่วยทำรายงานก็ได้”
พนิตนันท์มองหน้าอาชว์...เห็นแววดึงดันในสายตาเขาแล้ว หล่อนก็รู้ว่า ถึงปฏิเสธ...เขาก็คงไม่ฟังอยู่ดี สุดท้ายจึงพยักหน้า
“เอาสิ...ถ้าอาชว์ว่างก็ไปห้องสมุดด้วยกัน”
นั่นแหละ...เขาจึงยิ้มออกมาด้วยความสมใจ ก่อนจะเร่งฝีเท้าตามพนิตนันท์จนกระทั่งเดินทันกัน
พนิตนันท์ไม่ได้โกหกเมื่อบอกว่าจะไปห้องสมุดเพื่อค้นคว้าข้อมูลมาทำรายงาน หล่อนมีงานต้องทำส่งจริงๆ และใกล้จะถึงเดดไลน์ส่งงานแล้ว แต่ยังขาดข้อมูลเชิงทฤษฎีอยู่อีกมาก จึงตั้งใจว่าจะแวะห้องสมุดหลังคลาสแรก
หญิงสาวตั้งใจกับการเรียนมาก เพราะไม่แน่ใจว่าเทอมหน้าตนเองจะได้ลงเรียนหรือไม่
หล่อนอาจจะท้อง และถ้าเป็นอย่างนั้นก็คงต้องดร็อปเรื่องเรียนเอาไว้ก่อน จึงอยากจะทำคะแนนในเทอมนี้ให้ดีที่สุด
เผื่อบางที...เมื่อกลับมาเรียนอีกครั้ง หากหล่อนจะทำเรื่องเทียบโอนเพื่อย้ายมหาวิทยาลัย จะได้ไม่ยากนัก
พนิตนันท์ไม่แน่ใจว่าเมื่อกลับมาแล้ว จะยังอยากเรียนที่นี่อยู่อีกไหม ไม่ใช่เพราะไม่ชอบมหาวิทยาลัยนี้ หรือเพราะที่นี่ไม่ดี แต่...หล่อนไม่อยากตอบคำถามใครต่อใครมากกว่า
หล่อนควรตอบว่าอย่างไร...ถ้าหยุดเรียนหายไปตั้งปี!
บทนำความอบอุ่นที่อิงแอบแนบชิดทำให้ร่างสูงใหญ่เบียดกายเข้าหาโดยอัตโนมัติทั้งที่ยังไม่ได้สติ ทุกสิ่งเกิดขึ้นตามสัญชาตญาณ ความรุ่มร้อนในกายทำให้เขาไม่สบายตัวเอาเสียเลย ความเครียดเคร่งคล้ายจะรวมตัวตรงจุดกึ่งกลางกาย...จนปวดหนึบไปหมดยิ่งเมื่อลูบไล้ฝ่ามือไปบนผิวเรียบตึงทว่านุ่มเนียนจนอยากสำรวจให้ทั่ว มันก็ยิ่งทำให้เขาร้อนรุ่มจนแทบทนไม่ไหว มือใหญ่หยาบเริ่มต้นสำรวจ...ความอบอุ่น เต็มไม้เต็มมือ และเรียบลื่นทำให้เขามั่นใจว่าที่สัมผัสอยู่นั้น คือ เนื้อหนังมังสาของผู้หญิง“ลิ...นิน...ที่รัก” เขาพึมพำชื่อที่ติดตรึงในใจออกมาเสียงครางดังขึ้นเบาๆ ละม้ายขานรับเขาพยายามปรือตามองฝ่าความมืด ท่ามกลางความสลัวราง แสงจันทร์ที่ทอผ่านหน้าต่างสาดจับร่างขาวโพลนเห็นเส้นสายส่วนโค้งส่วนเว้าอันน่ามอง...ก่อนที่สายตาจะหยุดอยู่ที่ก้อนเนื้อกลมสองก้อนที่สะท้อนขึ้นลงตามจังหวะหายใจอย่างสม่ำเสมอฝ่ามือใหญ่กอบกุมไว้ข้างหนึ่งฟอนเฟ้นความนุ่มหยุ่นเต็มมือก่อนสลับไปที่อีกข้างความง่วงงุนยังหลงเหลือ ทว่าร่างกายเขากลับตื่นเต็มที่ หัวใจเต้นโครมครามด้วยความตื่นเต้น ประหวัดถึงครั้งล่าสุดที่ได้เชยชมเรือนร่างนี้...นานเท่าไรแล้ว?“ลิ
ดวงตาคมกวาดมองชุดนักศึกษาที่เปียกปอนไปครึ่งตัวก่อนถามอีกรอบด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูก็รู้ว่ากำลังสะกดอารมณ์เต็มที่ “ไปเรียนใช่ไหม...ที่ไหน?” พนิตนันท์เอ่ยชื่อมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งออกมาด้วยน้ำเสียงที่เบายิ่งกว่าเดิมเมื่อจับคลื่นบางอย่างได้จากคำถามเมื่อครู่ คนบนรถเอ่ยสวนทันควันโดยไม่ต้องคิดว่า “ขึ้นมา...เดี๋ยวไปส่ง” “เอ่อ...” “จะรอให้เปียกทั้งตัวหรือไง” เจอน้ำเสียงดุของอีกฝ่ายเข้า พนิตนันท์ก็ตาลีตาเหลือกเปิดประตูรถฝั่งข้างคนขับแล้วขึ้นไปนั่ง แต่แล้วก็กังวลเมื่อตระหนักว่าเบาะรถนั้นเป็นเบาะหนังแท้สีครีมสะอาดสะอ้าน “เอ่อ...ตัวหนูเปียก กลัวเบาะจะ...เปียก...” “เปียกก็เปียก เดี๋ยวก็แห้ง แต่เราน่ะตัวเปียกขนาดนี้ จะไปเรียนยังไง ให้วกรถกลับไปไหม เปลี่ยนชุดใหม่แล้วเดี๋ยวฉันไปส่ง” “ไม่ค่ะ!” น้ำเสียงที่ปฏิเสธนั้นแข็งจนคนฟังจับสังเกตได้ คิ้วเข้มหนาขมวดเข้าหากันด้วยความสงสัย กวาดตามองดวงหน้าของเด็กสาวเร็วๆ คราบน้ำตาที่ค้างอยู่บนดวงหน้าจึงมิได้รอดสาย
ฤทธิกดรหัสหกตัวตรงแป้นบริเวณลูกบิดก่อนจะเปิดประตูห้องเดินนำเข้าไป “ห้องน้ำอยู่ทางนั้น” เขาชี้ไปทางห้องน้ำในห้องนอนใหญ่ “เข้าไปอาบน้ำสระผมก่อนเถอะ เดี๋ยวฉันจะไปหาชุดมาให้ ส่วนชุดที่เปียก...เดี๋ยวเอาเข้าเครื่องซักแล้วก็ปั่นแห้ง สักสองชั่วโมงก็น่าจะเสร็จ” ฤทธิพาเดินไปที่ห้องนอนแล้วเปิดประตูห้องน้ำให้เด็กสาว ก่อนที่ตัวเขาจะเดินกลับไปที่ตู้เสื้อผ้า เปิดลิ้นชักหาเสื้อผ้าที่จะให้เด็กสาวใส่ชั่วคราว ได้ชุดนอนผ้าฝ้ายสีขาวลายทางฟ้ามาหนึ่งชุด เป็นเสื้อแขนยาวกับกางเกงขายาว ชายหนุ่มเดินไปที่ห้องน้ำ เคาะประตูบอกคนข้างใน แล้วยืนรอครู่หนึ่งทว่าข้างในกลับเงียบ...ไม่ขานและไม่มาเปิดประตู อารามเป็นห่วงฤทธิจึงบิดลูกบิด พบว่าไม่ได้ล็อก เขาจึงเปิดเข้าไป แต่แล้วก็ต้องชะงักยืนตัวแข็งอยู่กับที่เมื่อมองเข้าไปเห็นร่างที่ยืนอยู่หน้าอ่างล้างหน้า ทว่าหันหลังให้กับประตูห้องน้ำ ร่างอ้อนแอ้นนั้นกำลังเปลื้องเสื้อผ้าเปียกโชกออกจากตัว เสื้อนักศึกษาถอดวางข้างอ่างล้างหน้าแล้ว เจ้าตัวกำลังรูดซิปกระโปรงแล้วปล่อยให้เลื่อนหลุดจากร่างลงไปกองอยู่บนพื
พนิตนันท์วางถ้วยโกโก้แล้วหันหลังเดินกลับเข้าห้องนอน ท่าทางตื่นๆ ของหญิงสาวทำให้อีกฝ่ายรู้ว่าเจ้าหล่อนเองก็ประหม่าไม่น้อยกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อเจ้าหล่อนเดินกลับมาพร้อมเสื้อผ้าที่จะซัก ฤทธิเดินนำไปที่ห้องซักรีดซึ่งเป็นห้องเล็กๆ ด้านหลังครัว ในห้องมีเครื่องซักผ้าแบบฝาหน้าและเครื่องอบผ้าอยู่พร้อมสรรพ ทั้งยังมีระเบียงขนาดไม่ใหญ่มากไว้สำหรับตากผ้าเขาหยุดหน้าเครื่องซักผ้า รอจนหญิงสาวเดินมายืนใกล้ๆ จึงสอนวิธีใช้งานทั้งเครื่องซักผ้าและเครื่องอบผ้า“จำได้ไหม?” เขาถามหลังจากสอนเสร็จ“ค่ะ คิดว่า...จำได้ค่ะ” น้ำเสียงคนตอบมีแววลังเล“แสดงว่าจำไม่ได้” เขาแปลความหมายคำพูดอีกฝ่าย ตามความเข้าใจของตนเอง สาวน้อยยิ้มแหยพลางพยักหน้าน้อยๆ“ก็...งงนิดหน่อยค่ะ”“ไม่เป็นไร ไม่เข้าใจตรงไหนก็ถามแล้วกัน”ตอนแรกฤทธิคิดว่าจะทิ้งสาวน้อยไว้ที่นี่เพียงลำพัง ส่วนเขาก็จะขอตัวไปทำงาน เพราะประตูระบบอัตโนมัตินั้นจะล็อกทันทีที่ประตูปิด เขาจึงไม่ต้องกังวลเรื่องกุญแจ ทั้งคอนโดมิเนียมก็อยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยของเจ้าหล่อนแต่เห็นทีเขาคงต้องอยู่ต่ออีกหน่อย อย่างน้อยก็รอจนซักผ้าเสร็จและเอาเข้าเครื่องอบนั่นแหละฤทธิยื่นมือไป
“เห็นคุณบอกว่าอยากได้ผู้ช่วยใช่ไหม?” ฤทธิเอ่ยถามผู้เป็นภรรยาระหว่างรับประทานอาหารเย็นกันเพียงลำพัง แม่ของเขาไปปฏิบัติธรรมกับเพื่อนที่วัดแห่งหนึ่งแถวนครราชสีมา จึงไม่ได้อยู่ร่วมโต๊ะรับประทานอาหารเย็นเช่นเคยนับแต่พ่อไม่อยู่ แม่ก็เข้าวัดปฏิบัติธรรมมากขึ้น“ค่ะ” ฝ่ายนั้นตอบก่อนเงยหน้าจากจานข้าวที่เจ้าตัวทำท่าเขี่ยข้าวในจานเล่นมากกว่าจะกิน“คุณจำเด็กคนนั้นได้ไหม? ที่แม่เขาเคยมาทำงานที่นี่อยู่พักหนึ่ง แล้วก็ลาออกไป บ้านอยู่ในชุมชนซอยเดียวกับเรานี่แหละ” ผู้เป็นภรรยาทำท่านึกอยู่ครู่ก่อนจะร้องออกมาเมื่อระลึกได้ว่าเขากำลังพูดถึงใคร“อ๋อ...คุณหมายถึงพรรณีใช่ไหม ลูกสาวเขาชื่อ...” เจ้าตัวเอานิ้วเคาะข้างปากอย่างใช้ความคิด “นันท์ ชื่อจริงชื่ออะไรไม่รู้ ลินินจำได้แต่ชื่อเล่น ทำไมเหรอคะ? คุณเจอแกเหรอคะ?”“ใช่ เมื่อเช้าตอนฝนตก ก็เลยรับขึ้นรถไปส่ง” ฤทธิตอบเพียงนั้น มิได้เอื้อนเอ่ยว่าไปส่งที่ใดหรืออย่างไร “มีโอกาสได้คุย เห็นว่ากำลังหางานพิเศษทำ ผมเลยนึกถึงคุณขึ้นมา ถ้าคุณสนใจผมจะได้ให้มาลองคุยกับคุณดู ท่าทางแกเป็นเด็กใช้ได้ คุณน่าจะชอบ”“ถ้าคุณชอบ ลินินก็ชอบค่ะ” เจ้าตัวพูดพร้อมยิ้มกว้าง
นัดกันไว้ว่าเย็นนี้ฝ่ายนั้นจะเข้ามาพบและให้คำตอบ ทว่าคำถามของสามีเมื่อครู่...จุดประกายความคิดให้หล่อน“อุ้มบุญ?” ฤทธิทวนประโยคนั้นด้วยน้ำเสียงแปรกแปร่ง“ค่ะ มีวิธีนี้วิธีเดียว...เราถึงจะมีลูกได้ค่ะ ถ้าจะพูดให้ถูกละก็ ต้องใช้ไข่และมดลูกของผู้หญิงคนอื่นแทนค่ะ เราถึงจะมีลูกได้”“ใช้ไข่กับมดลูกคนอื่น? อย่างนั้นไม่เรียกว่าลูกของเรา ของคุณกับผมหรอกนะลินิน”“ค่ะ ใช่! ไม่ใช่ลูกของเรา แต่ยังไงก็เป็นลูกของคุณไงคะ ลูกคุณ...ก็เหมือนลูกลินินแหละ ลินินจะเป็นแม่ของแกเอง”“หมายความว่า...คุณจะให้ผมไปมีลูกกับคนอื่น แล้วคุณจะเป็นแม่ให้แก แล้วแม่แกจริงๆ ล่ะ?”“เราจ้างเขามาอุ้มบุญให้ เขาก็ได้เงินไปสิคะฤทธิ เงินไม่ใช่น้อยๆ นะคะ ใครมั่งไม่อยากได้”“แต่...คนเป็นแม่จะยอมทิ้งลูกเพื่อเงินเหรอคุณ”โถ...ฤทธิขา ขนาดยอมขายลูกเพื่อเงินยังมีเลย นับประสาอะไรกับทิ้งลูกละคะ...ลินินเก็บประโยคนั้นไว้ในใจ มิได้เอ่ยออกมา“ก็แม่ที่อายุน้อยๆ ยังไม่พร้อมมีลูก แต่มีเหตุต้องใช้เงินไงละคะ หาได้ไม่ยากหรอกค่ะ อย่าง...เด็กนักศึกษาที่ฐานะทางบ้านยากจน พ่อแม่เป็นหนี้ อะไร
เมื่อเสร็จธุระกับพรรณี ลินินแวะที่แพนทรีเพื่อเตรียมกาแฟร้อนหอมกรุ่นไปให้สามี เป็นสิ่งที่หล่อนปฏิบัติเป็นประจำจนกลายเป็นกิจวัตรประจำวัน ลินินถือถ้วยกาแฟเดินไปหยุดหน้าประตูห้องทำงาน หล่อนเงื้อมือจะเคาะประตูห้องแต่กลับค้างไว้อย่างนั้นพลางครุ่นคิด...ป่านนี้แล้วคนในห้องจะยังขุ่นเคืองอยู่หรือเปล่าก็ไม่รู้ ...หายแล้วล่ะ...อีกเสียงดังขึ้นในใจ ฤทธิไม่เคยโกรธนาน ยิ่งกับหล่อน...แค่เข้าหาพูดคุยเอาอกเอาใจ เขาก็พร้อมจะลืมเรื่องที่ทะเลาะทุ่มเถียงกันแทบตายเมื่อครู่จนหมดสิ้น ลินินรู้แหละ...ว่าเป็นเพราะหล่อนป่วย ความเจ็บป่วยเหมือนจะทำให้มีอภิสิทธิ์อยู่หน่อยๆ เพราะทุกคนก็พร้อมจะให้อภัย พร้อมจะยกโทษ พร้อมจะดีด้วยและเข้าใจอยู่เสมอ หล่อนถึงกล้าพูดเรื่องนั้นกับฤทธิ เขาอาจจะโกรธ แต่หล่อนรู้...เม
พนิตนันท์เดินตามไปอย่างว่าง่าย สองตาแลไปรอบๆ ด้วยความตื่นตาตื่นใจ หล่อนเคยมาที่นี่แล้วก็จริงแต่ก็นานมากแล้วตั้งแต่ยังเป็นเด็กตัวเล็กผอมบาง สาวรุ่นวัยใกล้เคียงกันพาหล่อนมายังห้องๆ หนึ่งในตัวตึกหลังใหญ่โต พอเสียงเคาะประตูดังขึ้นคนในห้องก็เอ่ยอนุญาตให้เข้าไป หญิงสาววัยต้นสามสิบที่นั่งอยู่ตรงโซฟาตัวยาวเงยหน้าขึ้นมองและส่งยิ้มกว้างมาให้ทันทีที่เห็นหน้าหล่อน “มาแล้วเหรอจ๊ะ? ฤทธิบอกว่านันท์กำลังหางานพิเศษทำใช่ไหม? ฉันเองก็กำลังมองหาผู้ช่วยอยู่พอดี นันท์มาทำงานกับฉันไหมล่ะ...” เจ้าของบ้านฝ่ายหญิงเอ่ยอย่างไม่อ้อมค้อมพลางชี้ชวนให้พนิตนันท์มาใกล้ๆ พนิตนันท์เดินไปหยุดยืนใกล้โซฟาที่อีกฝ่ายนั่งอยู่แล้วก็ทรุดลงนั
พนิตนันท์มองตามรถคันใหญ่ที่แล่นออกไปอยู่ชั่ววินาทีก่อนจะหมุนตัวแล้วก้าวเท้าเดินไปยังอาคารเรียนซึ่งอยู่ถัดไปหล่อนย้ายมาอยู่ที่คอนโดมิเนียมประมาณอาทิตย์เศษ ความจริงที่นี่อยู่ใกล้มหาวิทยาลัยของหล่อนไม่น้อย ทว่าทุกเช้าฤทธิขับรถมาส่งคืนไหนเขาค้างด้วยก็ง่ายหน่อย แต่คืนไหนเขาไม่ได้มาค้าง ก็จะแวะมารับตอนเช้าแล้วไปส่งที่มหาวิทยาลัย“นันท์...นันท์...รอด้วย” เสียงเรียกคุ้นหูดังขึ้นข้างหลังเมื่อหันไปพนิตนันท์จึงเห็นว่าเป็นวิจิตรา...เพื่อนสนิทของตนนั่นเอง จึงเอ่ยทัก“อ้าว...วิว มานานยังอะ”“ก็มาตะกี้พร้อมๆ แกอะแหละ”คำตอบของเพื่อนทำให้รอยยิ้มของพนิตนันท์เจื่อนไปนิด เพราะนั่นหมายความว่า...วิจิตราต้องเห็นว่ามีคนมาส่งหล่อน“แกไม่ได้มาพร้อมอาชว์เหรอวะ ตะกี้ฉันเห็นแกลงจากรถ แต่จำได้ว่าไม่ใช่รถอาชว์” นั่นไง...จริงอย่างที่คิดไหมล่ะ“อือ...พอดีนายจ้างเราเขาให้ติดรถมาเพราะมาทางเดียวกันน่ะ เราเลยไม่ได้มาพร้อมอาชว์แล้ว” หล่อนแก้ตัว“อ๋อ...มิน่า พักนี้อาชว์มันซึมไปเลย แกไม่ยอมนั่งรถมันนี่เอง” วิจิตราทำตาเล็กตาน้อยใส่จนต้องรีบปฏิเ
เสียงนาฬิกาปลุกจากโทรศัพท์มือถือที่พนิตนันท์ตั้งไว้ทำหน้าที่ของมันตามปกติ หญิงสาวปรือตาตื่นขึ้นมาอย่างยากลำบาก เอื้อมไปปัดหน้าปัดโทรศัพท์เพื่อปิดแอพนาฬิกาปลุกทว่าแทนที่จะตื่นหล่อนกลับฟุบหลับต่อ แต่กลับต้องแปลกใจเมื่อที่นอนนั้นช่างแข็งเหลือเกิน...มือบอบบางค่อยลูบไปบนที่นอนช้าๆ อย่างสำรวจตรวจตรา...“อืม...” เสียงครางในลำคอของใครบางคนทำให้หล่อนลืมตาตื่นในทันที นั่นแหละ...สติจึงกลับมาอย่างสมบูรณ์พร้อมกับภาพต่างๆ นานาที่เกิดขึ้นเมื่อคืนประดังประเดเข้ามาไม่ขาดสายคืนนั้นหล่อนยังพอพูดได้ว่า...จำอะไรไม่ได้มาก ทุกอย่างเหมือนฝัน คลับคล้ายคลับคลาเหมือนจะจำได้...แต่ก็จำไม่ได้ แต่จะบอกว่าจำไม่ได้...มันก็ไม่เชิงแต่เมื่อคืนนี้...ไม่ใช่แบบนั้น!ภาพทุกอย่างชัดเจนยิ่งกว่าภาพสามมิติ ที่สำคัญ...หล่อนยังยินยอมพร้อมใจ...และพึงพอใจกับเซ็กส์ที่เขามอบให้อย่างมากมันดี...ดีมากเสียจน...แค่หลับตานึกถึง...เนื้อตัวก็วูบวาบขึ้นมา“ถ้ายังไม่หยุดลูบ...รับรองว่าเธอไปเรียนสายแน่...สาวน้อย” เสียงแหบพร่าดังขึ้นพร้อมกับที่มือแข็งแรงจับข้อมือของหล่อนไว้ไม่ได้จับเ
ฤทธิครอบครองริมฝีปากหญิงสาวแล้วสอดลิ้นเข้าไปเกี่ยวกระหวัดเรียวลิ้นชุ่มชื้นขณะที่มือข้างหนึ่งไต่ลงต่ำผ่านหน้าท้องแล้วซุกกลางหว่างขาที่ยังคงชุ่มชื่น...ทั้งจากน้ำหวานที่หลั่งรินและจากน้ำลายของเขา เกร็งนิ้วสอดเข้ากลางกลีบอวบแล้วขยับเข้าออกด้วยจังหวะเนิบนาบเพื่อปูทางให้ความแข็งขึงกลางกายเขามันขยับขยายเต็มที่ และตอนนี้เขาก็ปวดหนึบจนทนแทบไม่ไหวเขาถอนนิ้วออก สาวน้อยแทบจะผวากายตามมา มือแข็งแรงจับต้นขาเจ้าหล่อนแล้วแบะกว้างเปิดทางให้สะโพกสอบเข้าแทรกกลาง ความแข็งแกร่งจดจ่ออยู่กลางกลีบชุ่มฉ่ำก่อนจะแทรกเข้าไปทีละนิดความแน่นหนึบที่โอบล้อมทุกทิศทางทำให้ฤทธิถึงกับกัดฟันเมื่อความเสียวซ่านที่มีจุดศูนย์กลางอยู่ตรงกึ่งกลางกายกำลังแผ่กระจายไปทั่วทั้งตัวไม่ต่างจากกระแสไฟที่ไหลไปตามสาย“อะ...” เสียงของสาวน้อยพร้อมทั้งมือที่ยกขึ้นแตะอกเขาทำให้ฤทธิหยุดชะงัก“เจ็บเหรอ?” เขาถาม...ถึงครั้งนี้จะเป็นครั้งที่สอง แต่เจ้าหล่อนก็อาจจะยังรู้สึกเจ็บอยู่บ้าง“ม...ไม่ค่ะ แค่...อึดอัด”“เดี๋ยวก็ชิน” เขาบอกพลางออกแรงเพิ่มขึ้นอีกนิดกระทั่งฝากฝังตัวตนเข้าไปจนสุด จึง
เมื่อเปิดประตูคอนโดมิเนียมเข้าไป นอกเสียจากความมืดโดยรอบแล้ว สิ่งหนึ่งที่ปะทะฆานประสาทของชายหนุ่มคือกลิ่นหอมของสบู่และเครื่องประทินผิวที่เจือจางอยู่ในอากาศ นับเป็นความแปลกใหม่ ที่น่ารื่นรมย์ไม่น้อยทั่วท้องห้องเงียบเชียบ...สาวน้อยคงเข้านอนไปแล้วกระมัง เพราะนี่ก็ดึกมากแล้ว อีกไม่กี่นาทีก็จะเที่ยงคืน...ฤทธิไม่รู้เหมือนกันทำไมเขาถึงมาที่นี่...แทนที่จะกลับบ้าน ทั้งที่เหนื่อยจนตาแทบจะปิด แถมระยะทางระหว่างคอนโดมิเนียมกับโรงพยาบาลก็ไม่ใช่ใกล้ เทียบกันแล้วบ้านเขาอยู่ใกล้โรงพยาบาลมากกว่าด้วยซ้ำแต่เขามา...เพราะเป็นห่วงคนที่นอนหลับอยู่ในห้องนั่นแหละฤทธิหมุนลูกบิดประตูห้องนอนอย่างระมัดระวังกลัวจะปลุกคนที่กำลังหลับสบายอยู่บนเตียงนอนขนาดคิงไซส์กลางห้อง ชายหนุ่มเดินไปหยุดอยู่ตรงปลายเตียงมองเงาตะคุ่มของร่างบอบบางที่นอนขดตัวอยู่บนเตียงโดยที่ผ้าห่มไปกองอยู่ตรงปลายเท้าท่าทางเหมือนกำลังหนาว...เขาดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมให้จนมิดชิด จากนั้นก็เดินเลยไปเข้าห้องน้ำ...แม้จะง่วงแสนง่วง ก็ขออาบน้ำสักนิดเถอะเมื่อออกมาจากห้องน้ำในชุดนอนสบา
“ดีใจจังที่ป้านวลมา”ประโยครำพึงของสาวน้อยทำให้คนสูงวัยกว่ายิ้มออกมาด้วยความเอ็นดู ป้านวลรู้จักพนิตนันท์มาตั้งแต่เป็นเด็กหญิงตัวผอมบาง พอจะรู้จักนิสัยใจคอกันอยู่ว่าสาวน้อยคนนี้เป็นเด็กใฝ่ดีรักเรียนและรู้จักเจียมเนื้อเจียมตัวเทียบกับคนเป็นแม่แล้ว...บางครั้งนางก็อยากจะเชื่อว่าพรรณีไปขโมยลูกใครสักคนมาเลี้ยงด้วยซ้ำ ค่าที่ทั้งคู่ต่างกันราวฟ้ากับเหว“หนูนันท์เป็นไง เจ็บตรงไหนบ้าง เห็นคุณฤทธิบอกเกิดอุบัติเหตุ” พูดพลางสำรวจเนื้อตัวเด็กสาวไปด้วย เด่นชัดสุดน่าจะรอยแผลตรงหน้าผากชิดไรผม“หัวแตก แล้วก็ฟกช้ำ ปวดระบมเนื้อตัวค่ะ”“คิดว่าฟาดเคราะห์นะหนูนันท์”“ค่ะ เพื่อนนันท์ขับไม่เร็วด้วยค่ะ เลยไม่ได้เป็นอะไรมาก”“โชคดีไปค่ะ หิวหรือยังคะเดี๋ยวป้าอุ่นอาหารมาให้ เอามาให้เยอะแยะไว้เก็บใส่ตู้เย็นกินได้อีกหลายวัน ถ้าหมดก็โทรบอกป้า จะได้ทำมาเพิ่มให้ หรืออยากกินอะไรก็บอกป้า”“ขอบคุณค่ะป้า แต่หนูคงไม่รบกวนหรอกค่ะ หนูพอทำกับข้าวเป็นอยู่บ้าง” รอยยิ้มบนใบหน้าคนพูดหมองลงเมื่อเอ่ยประโยคถัดมา “หนูคิดถึงบ้านจังเลยค่ะป้า แต่...หนูไม่มีบ้านจะให้กลับ”“
จุมพิตหวานซ่านเริ่มร้อนแรงขึ้นและดูท่าว่าจะหยุดไม่ได้ง่ายๆ ลมหายใจทั้งคู่เริ่มสะท้านไปกับความหวิวไหวที่ซ่านขึ้นมาระลอกแล้วระลอกเล่าความรู้สึกปั่นป่วนในช่องท้องที่มากขึ้นทุกทีทำให้พนิตนันท์สับสน ใจหล่อนร่ำร้องต้องการมากกว่านี้...แต่อีกใจก็อยากให้เขาหยุดหล่อนกลัว...กลัวตนเองยิ่งกว่าอื่นใดเมื่อตระหนักว่าตนเองชอบสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังทำและตอบสนองเขาราวกับหญิงช่ำชอง ทั้งที่คืนนั้นหล่อนจำอะไรแทบไม่ได้ด้วยซ้ำฤทธิผละริมฝีปากออกจากกลีบปากบวมเจ่อเพราะจูบของเขา“บอกเหตุผลดีๆ ฉันสักข้อสินันท์ ว่าทำไมฉันควรเปิดประตูนั้นแล้วเดินออกไป” เขากระซิบเสียงพร่าริมหูหญิงสาวก่อนจะซุกไซ้สูดดมขบติ่งหูเบาๆ ก่อนจะไล่เรื่อยลงมาตามลำคอระหง ร่างบอบบางหอบหายใจจนตัวโยน...หัวสมองอื้ออึงไปหมดพยายามจะคิดหาคำตอบให้เขา“คุณ...ต้อง...ไปทำงาน” ถ้อยประโยคนั้นขาดเป็นห้วง“ยัง...ยังไม่ดีพอ” เขากระซิบตอบ “ขอเหตุผลที่ดีกว่านี้ ไม่อย่างนั้นฉันรับรองได้ว่า อีกไม่เกินห้านาทีฉันอุ้มเธอขึ้นเตียงแน่”เขาไปแล้ว!หัวใจของพนิตนันท์สั่นจนแทบจะทะลุออกมานอกอกอยู่รอมร่อ หล
มือเรียวที่ถือปากกาไว้นั้นออกจะสั่นน้อยๆ คล้ายเจ้าตัวมีความลังเล จึงจดจ้องอยู่ตรงช่องว่างที่จะต้องลงลายมือชื่ออยู่หลายนาที กระทั่งเสียงกระแอมดังขึ้นจากคนที่นั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงกันข้ามจึงสะดุ้งแล้วเงยหน้ามองพร้อมรอยยิ้มจืดเจื่อน“เซ็นไปเถอะ มีสัญญาเป็นหลักฐานมันก็ดีสำหรับตัวเธอเองนั่นแหละ ในนั้นฉันระบุไว้ครบถ้วนทุกอย่างรวมถึงเรื่องเงินที่ฉันบอกว่าจะให้เธอทุกเดือน เดือนละหนึ่งแสนบาท เริ่มตั้งแต่เดือนนี้ไปจนกว่าเด็กที่คลอดออกมาจะมีอายุครบแปดเดือน”“แล้ว...ถ้าหนูไม่ท้องละคะ”“สัญญาก็จะมีผลไปเรื่อยๆ จนกว่าจะท้องและเด็กอายุครบแปดเดือน อยากท้อง...หรือไม่อยากท้องล่ะ”“ม...ไม่รู้ค่ะ” สาวน้อยสะบัดหน้าจนผมยาวที่รวบไว้เป็นหางม้าแกว่งไปมา “แล้ว...ทำไมต้องรอให้ครบแปดเดือนคะ?”หล่อนถามด้วยความสงสัย ขณะที่คนตอบกลับนึกขันในความขี้สงสัยนั้น ความคิดผ่านเข้ามาวูบหนึ่ง...หล่อนอายุสิบเก้าเท่านั้นเอง ถึงจะไม่ใช่เด็กแล้ว...แต่ก็ยังไม่ใช่ผู้ใหญ่ถ้าจะตั้งข้อสงสัยมากหน่อย ก็นับว่าไม่แปลกในเมื่อเป็นการตัดสินใจในเรื่องเกินอายุไม่น้อย ฤทธิยิ้มอย่างใจเย็นเมื่ออธิบายให้หล
ฤทธิลุกขึ้นแล้วก้าวตรงมาหาสาวน้อย เขาก้มลงช้อนร่างหล่อนขึ้นแล้วอุ้มเดินไปที่ห้องนอน พนิตนันท์หน้าแดงจัดด้วยความขัดเขินความคิดหล่อนเตลิดไปไกลเมื่อจดจำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่ตื่นมาพบตัวเองนอนอยู่ในห้องนอนของเขา...มันเกิดอะไรขึ้นทว่าเมื่อวางร่างสาวน้อยลงบนเตียงเรียบร้อย ฤทธิก็เอ่ยขึ้น“นอนพักก่อน เดี๋ยวขอฉันทำงานสักหน่อย...มีอะไรก็ไปเรียกฉันได้ที่ห้องทำงาน...อยู่ข้างๆ ห้องนี้แหละ”“เอ่อ แต่...หนูไม่ง่วง แล้วก็ไม่ได้เจ็บตัวอะไรเท่าไร ขอหนูไปมหาลัยไม่ได้เหรอคะ”“ไม่ได้!” พูดจบเจ้าตัวก็ตัดบทการสนทนาด้วยการก้าวขาฉับๆ ออกจากห้องนอนไปทันทีฤทธิเปิดประตูห้องข้างๆ ที่ตกแต่งเป็นห้องทำงานเล็กๆ ซึ่งมีเครื่องอำนวยความสะดวกพร้อมทุกอย่าง เป็นออฟฟิศย่อมๆ ที่ใช้ work from home ได้อย่างสบายเขาเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ขึ้นมาเพื่อเช็กเมล์ว่าเลขานุการส่งไฟล์ร่างสัญญามาให้ตรวจหรือยัง เมื่อยังไม่พบจึงได้โทรศัพท์ไปตามงานอีกครั้งจากนั้นจึงโทรศัพท์หาภรรยา...เพื่อบอกให้อีกฝ่ายรู้ว่าเขาตกลงจะทำอะไร“ลินิน...ผมอยากคุยเรื่องเด็กนั่น”
พนิตนันท์กลับออกมาจากโรงพยาบาลด้วยแผลเย็บที่หน้าผาก แม้แผลจะไม่ใหญ่มาก แต่ก็ลึกพอสมควร นอกนั้นก็มีเพียงอาการฟกช้ำดำเขียวตามเนื้อตัว กับอาการปวดระบมฤทธิพาหญิงสาวไปที่คอนโดมิเนียมของเขาตามที่บอกแต่แรก ระหว่างนั้นก็โทรศัพท์ไปสั่งงานที่ออฟฟิศไว้เรียบร้อยพอถึงห้องฤทธิประคองสาวน้อยไปนั่งตรงโซฟาในห้องรับแขก ส่วนตัวเขาก็เดินไปทรุดนั่งบนเก้าอี้นวมตัวที่ตั้งตรงข้ามกัน ความเงียบโรยตัวลงมาปกคลุมบรรยากาศจนทำให้คนที่เพิ่งเจ็บตัวมาอึดอัด รู้สึกราวกับว่ากำลังจะถูกพิพากษาลงโทษอย่างไรอย่างนั้น จึงได้แต่นั่งนิ่งๆ หลุบตามองมือตนเองที่ประสานกันอยู่บนตักเสียงถอนหายใจที่ดังมาจากคนที่นั่งฝั่งตรงกันข้ามทำให้หล่อนเงยหน้าขึ้นมอง แล้วก็รู้ตัวว่าคิดผิดเมื่อพบว่าเขามองมาอยู่ก่อนแล้ว สายตานิ่งขรึมลึกล้ำราวน้ำก้นบึ้งทะเลสาบทำให้หล่อนหายใจไม่ทั่วท้องยิ่งกว่าเดิม"ฉันไม่ชอบที่เธอไปยุ่งกับไอ้หนุ่มนั่น”ฤทธิไม่แน่ใจในความรู้สึกตัวเองนัก...แต่ที่แน่ๆ ในฐานะผู้ชาย เขาอ่านสายตาเด็กหนุ่มคนนั้นออก“อาชว์...น่ะเหรอคะ” พนิตนันท์ถามแววตาบอกชัดว่าไม่เข้าใจ...อาชว์เป็นเพื่อน...