นัดกันไว้ว่าเย็นนี้ฝ่ายนั้นจะเข้ามาพบและให้คำตอบ ทว่าคำถามของสามีเมื่อครู่...จุดประกายความคิดให้หล่อน
“อุ้มบุญ?” ฤทธิทวนประโยคนั้นด้วยน้ำเสียงแปรกแปร่ง
“ค่ะ มีวิธีนี้วิธีเดียว...เราถึงจะมีลูกได้ค่ะ ถ้าจะพูดให้ถูกละก็ ต้องใช้ไข่และมดลูกของผู้หญิงคนอื่นแทนค่ะ เราถึงจะมีลูกได้”
“ใช้ไข่กับมดลูกคนอื่น? อย่างนั้นไม่เรียกว่าลูกของเรา ของคุณกับผมหรอกนะลินิน”
“ค่ะ ใช่! ไม่ใช่ลูกของเรา แต่ยังไงก็เป็นลูกของคุณไงคะ ลูกคุณ...ก็เหมือนลูกลินินแหละ ลินินจะเป็นแม่ของแกเอง”
“หมายความว่า...คุณจะให้ผมไปมีลูกกับคนอื่น แล้วคุณจะเป็นแม่ให้แก แล้วแม่แกจริงๆ ล่ะ?”
“เราจ้างเขามาอุ้มบุญให้ เขาก็ได้เงินไปสิคะฤทธิ เงินไม่ใช่น้อยๆ นะคะ ใครมั่งไม่อยากได้”
“แต่...คนเป็นแม่จะยอมทิ้งลูกเพื่อเงินเหรอคุณ”
โถ...ฤทธิขา ขนาดยอมขายลูกเพื่อเงินยังมีเลย นับประสาอะไรกับทิ้งลูกละคะ...ลินินเก็บประโยคนั้นไว้ในใจ มิได้เอ่ยออกมา
“ก็แม่ที่อายุน้อยๆ ยังไม่พร้อมมีลูก แต่มีเหตุต้องใช้เงินไงละคะ หาได้ไม่ยากหรอกค่ะ อย่าง...เด็กนักศึกษาที่ฐานะทางบ้านยากจน พ่อแม่เป็นหนี้ อะไรทำนองนี้ค่ะ” เมื่อจบประโยคลินินจับสังเกตสีหน้าของสามี แม้สีหน้าอีกฝ่ายจะยังเรียบเฉย ทว่าแววตาของเขาคล้ายกำลังตรึกตรองอะไรบางอย่าง
จู่ๆ ฤทธิก็โบกไม้โบกมือพลางเอ่ยตัดบท
“เอาเถอะ...ไว้ค่อยว่ากัน ที่สำคัญคือ...คุณต้องดูแลตัวเองให้ดีกว่านี้ นัดคราวหน้าผมจะไปกับคุณด้วย...เมื่อไรนะ?”
“ศุกร์นี้ค่ะ”
“โอเค ผมจะเคลียร์งานทั้งหมดแล้วพาคุณไปหาหมอ”
“ขอบคุณค่ะฤทธิ” หล่อนเอื้อมมือไปวางทับมือของเขาอีกชั้น บีบเบาๆ “แต่ฤทธิคะ ลินินต้องบอกอีกเรื่องค่ะ”
หล่อนเอ่ย สีหน้าสีตามีแววจริงจัง ฤทธิยกมุมปากเป็นรอยยิ้มอ่อนโยนพลางเอ่ยถามด้วยเสียงทุ้มนุ่มนวล
“คุณจะบอกอะไรผม”
“คุณต้องนอนกับเธอนะคะ” สิ้นประโยคผู้เป็นสามีชักมือกลับ หน้าตาท่าทางบอกว่าตกใจและ...โกรธ จ้องมองหล่อนเหมือนไม่เชื่อสายตา
“คุณบ้าไปแล้ว!” เขาเอ่ยออกมาในที่สุด “ผมไม่เอา จะให้ผมไปนอนกับคนอื่นเนี่ยนะ ผสมเทียมเอาก็ได้นะคุณ อีกอย่างผู้หญิงที่ไหนเขาจะยอม”
“ก็ในเมื่อคุณยังแข็งแรง จะไปผสมเทียมทำไมละคะ ไหนๆ เราก็จ่ายเงินก้อนโตจ้างเขาแล้ว ทำไมจะต้องไปจ่ายเงินทำผสมเทียมอีก ลินินรู้นะคะว่าหลายปีมานี้ตัวเองบกพร่องในหน้าที่ โดยเฉพาะ...เรื่องนั้น ในเมื่อลินินให้ความสุขคุณไม่ได้ ก็ควรจะใจกว้าง...กับคุณ”
“ใจกว้าง...มีเมียที่ไหนเขาใจกว้างให้ผัวไปนอนกับผู้หญิงคนอื่นบ้างคุณ!” น้ำเสียงของฤทธิเริ่มดังขึ้น ท่าทางเขาจะโกรธจริงๆ “ไม่เอา! ผมไม่คุยกับคุณแล้ว! ไม่ต้องมงไม่ต้องมีหรอกลูกน่ะ! ผมไม่อยากมี!”
พูดจบเขาก็ผลุนผลันลุกจากโต๊ะรับประทานอาหารและเดินออกจากห้องไป เสียงฝีเท้าลงส้นหนักๆ ดังเป็นจังหวะกระทั่งไปหยุดที่ห้องทำงาน จากนั้นจึงมีเสียงประตูเปิดและปิดดังโครม
ลินินถอนใจเบาๆ ก่อนจะรวบช้อนส้อมในมือ ปกติหล่อนก็ไม่ค่อยจะอยากอาหารอยู่แล้ว พอสามีโกรธปึงปังเดินออกไป...หล่อนก็ไม่รู้จะนั่งกินต่อไปทำไม
ป้านวลก้าวเข้ามาในห้องรับประทานอาหารอย่างเงียบเชียบ แต่ก็ไม่พ้นจากการรับรู้ของลินิน หล่อนเงยหน้าขึ้นแล้วเอ่ยถาม
“มาแล้วเหรอ?”
“ค่ะ ป้าให้รออยู่ที่ห้องสมุดค่ะ”
“ขอบคุณนะคะป้า” พูดจบลินินก็ลุกจากโต๊ะอาหาร
ห้องสมุดอยู่คนละฝั่งกับห้องทำงานของฤทธิ ลินินจึงไม่ต้องกังวลว่าผู้เป็นสามีจะรู้เห็นเรื่องนัดหมายนี้ เพราะลองว่าเขาเข้าห้องทำงานเมื่อไร กว่าจะออกมาก็ดึกดื่น เขาคงทำงานเอาเป็นเอาตายจนกว่าจะขจัดความขุ่นมัวออกจากใจได้สำเร็จนั่นแหละ
คนที่รออยู่ในห้องสมุดรีบยกมือไหว้ทันทีที่ลินินเดินผ่านประตูเข้ามา ปากที่เคลือบสีแดงเจื้อยแจ้วโดยไม่รอให้เจ้าของบ้านเดินมาถึงตัว
“อิชั้นบอกมันแล้วค่ะ ให้มันลาออกจากมหาวิทยาลัย แต่มันไม่ยอม แต่คุณไม่ต้องห่วง อิชั้นจะหาทางคุยกับมันอีกที”
ลินินลงนั่งตรงเก้าอี้หน้าโต๊ะเขียนหนังสือ ผู้ที่รออยู่จึงเดินมาทรุดลงนั่งคุกเข่ากับพื้นท่าทางเจียมเนื้อเจียมตัว
“แม่พรรณนั่งบนเก้าอี้นี่เถอะ” ลินินพยักพเยิดไปที่เก้าอี้อีกตัวตรงกันข้ามที่หล่อนนั่ง “แม่พรรณไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เดี๋ยวที่เหลือฉันมีวิธีจะทำให้นันท์มาทำงานที่นี่ แล้วเดี๋ยวฉันจะคุยกับแกเรื่องนั้นเอง” แววตาสงสัยอยากรู้ที่ฉายออกจากดวงตาของหญิงวัยห้าสิบเศษทำให้ลินินยิ้มออกมาแล้วเอ่ยต่อ “ฉันจะจ่ายเงินให้แม่พรรณก่อนครึ่งหนึ่งดีไหม แล้วที่เหลืออีกครึ่งก็เป็นไปตามข้อตกลงที่เราคุยกันไว้ แม่พรรณโอเคไหม?”
ดวงตาสงสัยเมื่อครู่เบิกกว้างทันทีที่ได้ยินคำว่า ‘เงิน’ เจ้าตัวยิ้มจนตาหยีเมื่อเอ่ยตอบ
“อิชั้นขอบคุณมากนะคะ ถ้าไม่ได้คุณมาช่วย ก็ไม่รู้จะทำยังไง มันมืดไปหมดแล้วจริงๆ ค่ะ”
“เอาเถอะน่า...ก็ถือว่าเราต่างคนต่างได้ประโยชน์ เดี๋ยวฉันจะเขียนเช็คให้แม่พรรณเอาไปขึ้นที่ธนาคาร ส่วนเรื่องนันท์แม่พรรณไม่ต้องทำอะไรแล้ว ฉันจะจัดการเอง แม่พรรณแค่เห็นดีเห็นงามกับสิ่งที่เขามาบอกก็พอ”
“ค่ะ อิชั้นจะไม่พูดไม่ด่าอะไรมันแล้วค่ะ”
เมื่อเสร็จธุระกับพรรณี ลินินแวะที่แพนทรีเพื่อเตรียมกาแฟร้อนหอมกรุ่นไปให้สามี เป็นสิ่งที่หล่อนปฏิบัติเป็นประจำจนกลายเป็นกิจวัตรประจำวัน ลินินถือถ้วยกาแฟเดินไปหยุดหน้าประตูห้องทำงาน หล่อนเงื้อมือจะเคาะประตูห้องแต่กลับค้างไว้อย่างนั้นพลางครุ่นคิด...ป่านนี้แล้วคนในห้องจะยังขุ่นเคืองอยู่หรือเปล่าก็ไม่รู้ ...หายแล้วล่ะ...อีกเสียงดังขึ้นในใจ ฤทธิไม่เคยโกรธนาน ยิ่งกับหล่อน...แค่เข้าหาพูดคุยเอาอกเอาใจ เขาก็พร้อมจะลืมเรื่องที่ทะเลาะทุ่มเถียงกันแทบตายเมื่อครู่จนหมดสิ้น ลินินรู้แหละ...ว่าเป็นเพราะหล่อนป่วย ความเจ็บป่วยเหมือนจะทำให้มีอภิสิทธิ์อยู่หน่อยๆ เพราะทุกคนก็พร้อมจะให้อภัย พร้อมจะยกโทษ พร้อมจะดีด้วยและเข้าใจอยู่เสมอ หล่อนถึงกล้าพูดเรื่องนั้นกับฤทธิ เขาอาจจะโกรธ แต่หล่อนรู้...เม
พนิตนันท์เดินตามไปอย่างว่าง่าย สองตาแลไปรอบๆ ด้วยความตื่นตาตื่นใจ หล่อนเคยมาที่นี่แล้วก็จริงแต่ก็นานมากแล้วตั้งแต่ยังเป็นเด็กตัวเล็กผอมบาง สาวรุ่นวัยใกล้เคียงกันพาหล่อนมายังห้องๆ หนึ่งในตัวตึกหลังใหญ่โต พอเสียงเคาะประตูดังขึ้นคนในห้องก็เอ่ยอนุญาตให้เข้าไป หญิงสาววัยต้นสามสิบที่นั่งอยู่ตรงโซฟาตัวยาวเงยหน้าขึ้นมองและส่งยิ้มกว้างมาให้ทันทีที่เห็นหน้าหล่อน “มาแล้วเหรอจ๊ะ? ฤทธิบอกว่านันท์กำลังหางานพิเศษทำใช่ไหม? ฉันเองก็กำลังมองหาผู้ช่วยอยู่พอดี นันท์มาทำงานกับฉันไหมล่ะ...” เจ้าของบ้านฝ่ายหญิงเอ่ยอย่างไม่อ้อมค้อมพลางชี้ชวนให้พนิตนันท์มาใกล้ๆ พนิตนันท์เดินไปหยุดยืนใกล้โซฟาที่อีกฝ่ายนั่งอยู่แล้วก็ทรุดลงนั
ผ่านไปเกือบสองอาทิตย์แล้วที่พนิตนันท์เข้ามาอยู่ที่บ้านหลังใหญ่ตรงท้ายซอยในฐานะผู้ช่วยของลินินทุกอย่างเป็นไปด้วยดีนับตั้งแต่หล่อนบอกกล่าวให้ผู้เป็นแม่รับรู้ว่าจะมาทำงานที่นี่ และต้องมานอนค้างกลับบ้านได้เฉพาะวันเสาร์อาทิตย์ แรกนั้นพนิตนันท์คิดว่าแม่คงคัดค้าน เพราะวันที่ทะเลาะกันนั้นทีท่าของแม่คือยืนกรานให้หล่อนลาออกจากมหาวิทยาลัยแล้วหางานทำเต็มตัว แต่กลับผิดคาดนอกจากไม่คัดค้านแล้ว แม่ยังเห็นดีเห็นงามเสียอีก พนิตนันท์จึงค่อยโล่งใจไปเปลาะ เพราะหล่อนทำงานแถมยังได้เรียนหนังสือเหมือนเดิม ซึ่งนับเป็นสิ่งที่น่าพึงพอใจที่สุด งานและหน้าที่ของหล่อนในฐานะผู้ช่วยนั้นก็มิได้มีอะไรหนักหนา นอกเหนือจากจัดการเรื่องธุรกรรมต่างๆ หล่อนยังได้รับมอบหมายให้ทำบัญชีค่าใช้จ่ายประจำบ้านเพิ่มอีกอย่าง และก็คอยอยู่เป็
“เมื่อเช้าเธอบอกจะไปกับเพื่อน เพื่อนอยู่แถวนี้เหรอ” จู่ๆ คนตรงหัวโต๊ะก็ถามขึ้นมา น้ำเสียงเหมือนผู้ใหญ่ที่กำลังซักไซ้ไล่ความเด็กในปกครอง “ค่ะ นันท์เพิ่งทราบว่าเขาอยู่ซอยถัดไปนี่เอง” คนฟังพยักหน้ารับรู้ “ผู้หญิงหรือผู้ชาย?” “ผู้ชายค่ะ” หญิงสาวตอบเสียงเบาหวิวทีเดียวเมื่อจับกระแสเสียงเข้มในคำถามนั้นได้ “ทำอะไรก็ระวังเนื้อระวังตัวไว้ เธอน่ะเป็นผู้หญิง ไปไหนกับผู้ชายสองต่อสองมันไม่ดี” วูบหนึ่ง...พนิตนันท์นึกถึงวันก่อนนั้นที่เขารับหล่อนขึ้นรถไปส่งที่มหาวิทยาลัยแต่กลับแวะที่คอนโดมิเนียมให้หล่อนซักชุดนักศึกษาและรอจนแห้ง ถึงแม้ว่าเขาจะออกไปก่อนทิ้งให้หล่อนรอเพียงลำพังก็ตาม แต่มันก็เข้าค่ายเดียวกันไม่ใช่เหรอ? หากหล่อนเลือกที่จะนั่งนิ่งๆ ก้มหน้าก้มตากินข้าวในจานไปเงียบๆ “วันก่อนนั้นเป็นข้อยกเว้น ฉันโตแล้ว และเธอก็เหมือนเด็กในปกครอง แม่ก็เคยมาทำงานที่นี่ ตอนนี้ตัวเธอเองก็มาทำงานที่นี่เหมือนกัน” น้ำเสียงเรียบเรื่อยนั้นจี้ใจอย่างจัง “ค่ะ” พนิต
ฤทธิถอดเสื้อผ้าใส่ตะกร้าผ้าซักใต้เคาน์เตอร์อ่างล่างหน้าในห้องน้ำภายในห้องนอนส่วนตัว แล้วยืนมองเงาสะท้อนของตนเองในกระจกเขาภูมิใจกับเรือนร่างกำยำล่ำสันที่แลกมาด้วยการมีวินัยในการดูแลตัวเองทั้งเรื่องอาหารการกินและการออกกำลังกายซึ่งเขาปฏิบัติมาเป็นเวลายาวนานหลายปีเขาไล่สายตาจากกล้ามหน้าอกผ่านกล้ามท้องที่เห็นซิกส์แพ็กชัดเจน มาหยุดที่ชั้นในผ้าคอตตอนสีขาวสะอาดตานั่นไง...ตัวปัญหา!วันนี้เขาเป็นอะไรถึงได้เกิด ‘อารมณ์’ ขึ้นมาแบบนี้ ปกติเขาก็หักห้ามตัวเองได้ ด้วยการเอาใจไปไว้ที่งาน ใครต่อใครก็บอกว่าเขาเป็นคนบ้างานมีเพียงเขา...และลินิน ผู้เป็นภรรยา ที่รู้เหตุผลของการบ้างานนี้ดีเขาบ้างานทำแต่งานเพื่อที่จะทำให้ตัวเองยุ่งตลอดเวลา พอยุ่งก็ไม่มีเวลามาคิดเรื่องอื่น โดยเฉพาะ...เรื่องเซ็กส์ระหว่างเขากับภรรยาฤทธิก็เหมือนผู้ชายทั่วไปที่ยังมีความต้องการทางกาย แต่เมื่อภรรยาป่วยกระเสาะกระแส เทียวเข้าออกโรงพยาบาลเพราะสุขภาพทรุดโทรม เขาก็ไม่อยากฝืนใจหล่อนสุดท้ายจึงแยกห้องนอนกันเพื่อตัดปัญหาความรักที่มีต่อภรรยาทำให้ฤทธิปฏิเสธการมีสัมพันธ์ทั้งในแบบถาวรหรือชั่วคราวกับผู้หญิงอื่น ทั้งที่ลินินเคยเสนอทางเลือกใ
ฤทธิค่อยๆ พลิกร่างโปร่งบางของสาวน้อยให้ลงไปนั่งกึ่งนอนอยู่บนพื้นตรงจุดที่มั่นใจว่าปลอดเศษกระเบื้อง เจ้าหล่อนยังหลับตาแน่นเช่นเดิม และค่อยๆ ชันตัวขึ้นนั่งกอดเข่าไว้หลวมๆ ชายหนุ่มใช้สายตาสำรวจเร็วๆ จึงเห็นว่าเท้าซ้ายของหล่อนมีเลือดไหล“นั่งอยู่ตรงนั้นห้ามขยับ เธอเหยียบกระเบื้องเท้าเป็นแผล ให้ฉันดูก่อนว่ามีเศษกระเบื้องติดอยู่หรือเปล่า”ปากสั่ง ส่วนตัวก็ก้าวยาวๆ ข้ามไปหยิบผ้าเช็ดตัวขึ้นมาพันกายท่อนล่างเอาไว้ เรียบร้อยแล้วก็เดินกลับมา เขาคุกเข่าลงขางหนึ่งแล้วช้อนร่างสาวน้อยขึ้นมาไว้ในวงแขนอีกครั้ง“ว้าย!” เจ้าหล่อนร้องเมื่อรู้สึกตัวว่าตนเองลอยขึ้นจากพื้น ดวงตาที่ปิดสนิทเบิกโพลงด้วยความตกใจ สองแขนยกขึ้นโอบรอบคอของเขาโดยอัตโนมัติใบหน้าของทั้งคู่อยู่ห่างกันไม่กี่คืบ ดวงตาสองคู่สานสบกันนิ่ง แวบหนึ่งฤทธิคล้ายเห็นแววตาบางอย่างฉายผ่านดวงตาคู่สวยของสาวน้อย ก่อนที่จะแปรเป็นแววตระหนกฤทธิเลื่อนสายตาจากดวงตาคู่นั้นลงมาที่ริมฝีปากสีกลีบกุหลาบแล้วก็มิอาจถอนสายตาไปไหน...น่าจูบ...จู่ๆ ความคิดนั้นก็ผ่านเข้ามาในความคิด และเมื่อใจรับรู้ ร่างกายก
ฤทธินอนกระสับกระส่ายอยู่บนเตียง เขาง่วงนอนจนจะหลับอยู่รอมร่อ แต่ทุกครั้งที่หลับตาก็เห็นแต่ภาพสาวน้อยคนนั้นหลับตาพริ้มรับจูบหวานซ่านในอ้อมกอดของตนหากจินตนาการกลับไปไกลกว่านั้น...เมื่อระลึกถึงสัมผัสจากปลายมือยามได้โลมลูบไปบนเนื้อตัวเจ้าหล่อน ใจกลับเต้นระทึกจนแทบโลดออกมานอกอก กลางกายปวดหนึบจนเผลอเปล่งเสียงแหบพร่าออกมา...เป็นบ้าอะไรวะเนี่ย หยุดคิดแล้วหลับสักที!...แต่ยิ่งห้ามตัวเอง ใจก็ยิ่งเตลิด ภาพในมโนความคิดนั้นไปไกลแสนไกลจนเจ้าตัวได้แต่นอนดิ้นกระสับกระส่ายบนเตียงกระทั่งเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นตอนห้าทุ่มเศษ มือคว้าสะเปะสะปะกระทั่งเจอโทรศัพท์มือถือ ปรือตาหนักอึ้งขึ้นมองชื่อของภรรยาที่ปรากฏบนหน้าจอ เมื่อรับเสียงปลายสายฟังดูสดใสไม่น้อย“ฤทธิคะ ลินินจะโทรมาบอกว่าคืนนี้ลินินจะกลับดึกหน่อยนะคะ หรือไม่ก็อาจจะค้างบ้านคุณพ่อคุณแม่ค่ะ”“อืม” เขาตอบได้แค่นั้น รู้สึกว่าสติสัมปชัญญะตนเองกำลังจะดับในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้านี้แล้ว“ค่ะ ถ้างั้นแค่นี้นะคะ ฝันดีค่ะ”โชคดีที่ปลายสายไม่ต่อความยาว ทันทีที่ฝ่ายนั้นวางสาย เขาก็พ่นลมหายใจ
เย็นนั้นเมื่อฤทธิกลับมาถึงบ้าน เขาเดินหาภรรยาไปทั่ว ทั้งที่ห้องอเนกประสงค์ที่หล่อนมักใช้เวลาคลุกอยู่ในนั้นทำงานฝีมือจุกจิก ไม่ก็อ่านหนังสือ ทั้งที่เรือนกระจกสำหรับปลูกแค็คตัส แต่ก็หาไม่เจอกระทั่งเขาได้ยินเสียงหล่อนลอยมาจากชั้นบน เดินตามขึ้นไปจึงเจอว่าหล่อนกำลังกำกับคนรับใช้ให้ทำความสะอาดห้องพระอยู่นั่นเองก้าวแรกที่คนตัวโตสูงใหญ่ย่างเข้าไป สายตาก็ปะทะเข้ากับร่างเล็กบอบบางที่กำลังสาละวนเช็ดตู้โต๊ะอยู่ ฤทธิชะงัก ยืนนิ่งก่อนที่ความกรุ่นโกรธแล่นวูบขึ้นหน้าเมื่อภาพอันลางเลือนบางภาพผ่านเข้ามาในความนึกคิดภาพที่ไม่ควรหลงเหลืออยู่ในหัวเขาแม้แต่น้อย“ผมบอกแล้วไงว่าไม่อยากเห็นหน้าเด็กคนนี้อีก” เสียงเข้มจัดของเขาทำให้คนที่กำลังเช็ดโต๊ะสะดุ้งสุดตัว เงยหน้าจากผ้าในมือขึ้นมอง แวบหนึ่งนั้นเขาเห็นแววตาน้อยเนื้อต่ำใจฉายผ่านดวงตาโตคู่นั้น แต่ก็แค่แวบเดียว หลังจากนั้นเจ้าหล่อนก็ก้มหน้างุดซ่อนแววตาไว้“ใจเย็นก่อนสิคะฤทธิ” ลินินเอาน้ำเย็นเข้าลูบ หล่อนลุกขึ้นเดินไปหาสามีพลางเกาะแขนเขาพาเดินออกจากห้องเพื่อคุยกันตามลำพังทั้งคู่เดินไปที่ห้องทำงานของฤทธิที่อย
พนิตนันท์มองตามรถคันใหญ่ที่แล่นออกไปอยู่ชั่ววินาทีก่อนจะหมุนตัวแล้วก้าวเท้าเดินไปยังอาคารเรียนซึ่งอยู่ถัดไปหล่อนย้ายมาอยู่ที่คอนโดมิเนียมประมาณอาทิตย์เศษ ความจริงที่นี่อยู่ใกล้มหาวิทยาลัยของหล่อนไม่น้อย ทว่าทุกเช้าฤทธิขับรถมาส่งคืนไหนเขาค้างด้วยก็ง่ายหน่อย แต่คืนไหนเขาไม่ได้มาค้าง ก็จะแวะมารับตอนเช้าแล้วไปส่งที่มหาวิทยาลัย“นันท์...นันท์...รอด้วย” เสียงเรียกคุ้นหูดังขึ้นข้างหลังเมื่อหันไปพนิตนันท์จึงเห็นว่าเป็นวิจิตรา...เพื่อนสนิทของตนนั่นเอง จึงเอ่ยทัก“อ้าว...วิว มานานยังอะ”“ก็มาตะกี้พร้อมๆ แกอะแหละ”คำตอบของเพื่อนทำให้รอยยิ้มของพนิตนันท์เจื่อนไปนิด เพราะนั่นหมายความว่า...วิจิตราต้องเห็นว่ามีคนมาส่งหล่อน“แกไม่ได้มาพร้อมอาชว์เหรอวะ ตะกี้ฉันเห็นแกลงจากรถ แต่จำได้ว่าไม่ใช่รถอาชว์” นั่นไง...จริงอย่างที่คิดไหมล่ะ“อือ...พอดีนายจ้างเราเขาให้ติดรถมาเพราะมาทางเดียวกันน่ะ เราเลยไม่ได้มาพร้อมอาชว์แล้ว” หล่อนแก้ตัว“อ๋อ...มิน่า พักนี้อาชว์มันซึมไปเลย แกไม่ยอมนั่งรถมันนี่เอง” วิจิตราทำตาเล็กตาน้อยใส่จนต้องรีบปฏิเ
เสียงนาฬิกาปลุกจากโทรศัพท์มือถือที่พนิตนันท์ตั้งไว้ทำหน้าที่ของมันตามปกติ หญิงสาวปรือตาตื่นขึ้นมาอย่างยากลำบาก เอื้อมไปปัดหน้าปัดโทรศัพท์เพื่อปิดแอพนาฬิกาปลุกทว่าแทนที่จะตื่นหล่อนกลับฟุบหลับต่อ แต่กลับต้องแปลกใจเมื่อที่นอนนั้นช่างแข็งเหลือเกิน...มือบอบบางค่อยลูบไปบนที่นอนช้าๆ อย่างสำรวจตรวจตรา...“อืม...” เสียงครางในลำคอของใครบางคนทำให้หล่อนลืมตาตื่นในทันที นั่นแหละ...สติจึงกลับมาอย่างสมบูรณ์พร้อมกับภาพต่างๆ นานาที่เกิดขึ้นเมื่อคืนประดังประเดเข้ามาไม่ขาดสายคืนนั้นหล่อนยังพอพูดได้ว่า...จำอะไรไม่ได้มาก ทุกอย่างเหมือนฝัน คลับคล้ายคลับคลาเหมือนจะจำได้...แต่ก็จำไม่ได้ แต่จะบอกว่าจำไม่ได้...มันก็ไม่เชิงแต่เมื่อคืนนี้...ไม่ใช่แบบนั้น!ภาพทุกอย่างชัดเจนยิ่งกว่าภาพสามมิติ ที่สำคัญ...หล่อนยังยินยอมพร้อมใจ...และพึงพอใจกับเซ็กส์ที่เขามอบให้อย่างมากมันดี...ดีมากเสียจน...แค่หลับตานึกถึง...เนื้อตัวก็วูบวาบขึ้นมา“ถ้ายังไม่หยุดลูบ...รับรองว่าเธอไปเรียนสายแน่...สาวน้อย” เสียงแหบพร่าดังขึ้นพร้อมกับที่มือแข็งแรงจับข้อมือของหล่อนไว้ไม่ได้จับเ
ฤทธิครอบครองริมฝีปากหญิงสาวแล้วสอดลิ้นเข้าไปเกี่ยวกระหวัดเรียวลิ้นชุ่มชื้นขณะที่มือข้างหนึ่งไต่ลงต่ำผ่านหน้าท้องแล้วซุกกลางหว่างขาที่ยังคงชุ่มชื่น...ทั้งจากน้ำหวานที่หลั่งรินและจากน้ำลายของเขา เกร็งนิ้วสอดเข้ากลางกลีบอวบแล้วขยับเข้าออกด้วยจังหวะเนิบนาบเพื่อปูทางให้ความแข็งขึงกลางกายเขามันขยับขยายเต็มที่ และตอนนี้เขาก็ปวดหนึบจนทนแทบไม่ไหวเขาถอนนิ้วออก สาวน้อยแทบจะผวากายตามมา มือแข็งแรงจับต้นขาเจ้าหล่อนแล้วแบะกว้างเปิดทางให้สะโพกสอบเข้าแทรกกลาง ความแข็งแกร่งจดจ่ออยู่กลางกลีบชุ่มฉ่ำก่อนจะแทรกเข้าไปทีละนิดความแน่นหนึบที่โอบล้อมทุกทิศทางทำให้ฤทธิถึงกับกัดฟันเมื่อความเสียวซ่านที่มีจุดศูนย์กลางอยู่ตรงกึ่งกลางกายกำลังแผ่กระจายไปทั่วทั้งตัวไม่ต่างจากกระแสไฟที่ไหลไปตามสาย“อะ...” เสียงของสาวน้อยพร้อมทั้งมือที่ยกขึ้นแตะอกเขาทำให้ฤทธิหยุดชะงัก“เจ็บเหรอ?” เขาถาม...ถึงครั้งนี้จะเป็นครั้งที่สอง แต่เจ้าหล่อนก็อาจจะยังรู้สึกเจ็บอยู่บ้าง“ม...ไม่ค่ะ แค่...อึดอัด”“เดี๋ยวก็ชิน” เขาบอกพลางออกแรงเพิ่มขึ้นอีกนิดกระทั่งฝากฝังตัวตนเข้าไปจนสุด จึง
เมื่อเปิดประตูคอนโดมิเนียมเข้าไป นอกเสียจากความมืดโดยรอบแล้ว สิ่งหนึ่งที่ปะทะฆานประสาทของชายหนุ่มคือกลิ่นหอมของสบู่และเครื่องประทินผิวที่เจือจางอยู่ในอากาศ นับเป็นความแปลกใหม่ ที่น่ารื่นรมย์ไม่น้อยทั่วท้องห้องเงียบเชียบ...สาวน้อยคงเข้านอนไปแล้วกระมัง เพราะนี่ก็ดึกมากแล้ว อีกไม่กี่นาทีก็จะเที่ยงคืน...ฤทธิไม่รู้เหมือนกันทำไมเขาถึงมาที่นี่...แทนที่จะกลับบ้าน ทั้งที่เหนื่อยจนตาแทบจะปิด แถมระยะทางระหว่างคอนโดมิเนียมกับโรงพยาบาลก็ไม่ใช่ใกล้ เทียบกันแล้วบ้านเขาอยู่ใกล้โรงพยาบาลมากกว่าด้วยซ้ำแต่เขามา...เพราะเป็นห่วงคนที่นอนหลับอยู่ในห้องนั่นแหละฤทธิหมุนลูกบิดประตูห้องนอนอย่างระมัดระวังกลัวจะปลุกคนที่กำลังหลับสบายอยู่บนเตียงนอนขนาดคิงไซส์กลางห้อง ชายหนุ่มเดินไปหยุดอยู่ตรงปลายเตียงมองเงาตะคุ่มของร่างบอบบางที่นอนขดตัวอยู่บนเตียงโดยที่ผ้าห่มไปกองอยู่ตรงปลายเท้าท่าทางเหมือนกำลังหนาว...เขาดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมให้จนมิดชิด จากนั้นก็เดินเลยไปเข้าห้องน้ำ...แม้จะง่วงแสนง่วง ก็ขออาบน้ำสักนิดเถอะเมื่อออกมาจากห้องน้ำในชุดนอนสบา
“ดีใจจังที่ป้านวลมา”ประโยครำพึงของสาวน้อยทำให้คนสูงวัยกว่ายิ้มออกมาด้วยความเอ็นดู ป้านวลรู้จักพนิตนันท์มาตั้งแต่เป็นเด็กหญิงตัวผอมบาง พอจะรู้จักนิสัยใจคอกันอยู่ว่าสาวน้อยคนนี้เป็นเด็กใฝ่ดีรักเรียนและรู้จักเจียมเนื้อเจียมตัวเทียบกับคนเป็นแม่แล้ว...บางครั้งนางก็อยากจะเชื่อว่าพรรณีไปขโมยลูกใครสักคนมาเลี้ยงด้วยซ้ำ ค่าที่ทั้งคู่ต่างกันราวฟ้ากับเหว“หนูนันท์เป็นไง เจ็บตรงไหนบ้าง เห็นคุณฤทธิบอกเกิดอุบัติเหตุ” พูดพลางสำรวจเนื้อตัวเด็กสาวไปด้วย เด่นชัดสุดน่าจะรอยแผลตรงหน้าผากชิดไรผม“หัวแตก แล้วก็ฟกช้ำ ปวดระบมเนื้อตัวค่ะ”“คิดว่าฟาดเคราะห์นะหนูนันท์”“ค่ะ เพื่อนนันท์ขับไม่เร็วด้วยค่ะ เลยไม่ได้เป็นอะไรมาก”“โชคดีไปค่ะ หิวหรือยังคะเดี๋ยวป้าอุ่นอาหารมาให้ เอามาให้เยอะแยะไว้เก็บใส่ตู้เย็นกินได้อีกหลายวัน ถ้าหมดก็โทรบอกป้า จะได้ทำมาเพิ่มให้ หรืออยากกินอะไรก็บอกป้า”“ขอบคุณค่ะป้า แต่หนูคงไม่รบกวนหรอกค่ะ หนูพอทำกับข้าวเป็นอยู่บ้าง” รอยยิ้มบนใบหน้าคนพูดหมองลงเมื่อเอ่ยประโยคถัดมา “หนูคิดถึงบ้านจังเลยค่ะป้า แต่...หนูไม่มีบ้านจะให้กลับ”“
จุมพิตหวานซ่านเริ่มร้อนแรงขึ้นและดูท่าว่าจะหยุดไม่ได้ง่ายๆ ลมหายใจทั้งคู่เริ่มสะท้านไปกับความหวิวไหวที่ซ่านขึ้นมาระลอกแล้วระลอกเล่าความรู้สึกปั่นป่วนในช่องท้องที่มากขึ้นทุกทีทำให้พนิตนันท์สับสน ใจหล่อนร่ำร้องต้องการมากกว่านี้...แต่อีกใจก็อยากให้เขาหยุดหล่อนกลัว...กลัวตนเองยิ่งกว่าอื่นใดเมื่อตระหนักว่าตนเองชอบสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังทำและตอบสนองเขาราวกับหญิงช่ำชอง ทั้งที่คืนนั้นหล่อนจำอะไรแทบไม่ได้ด้วยซ้ำฤทธิผละริมฝีปากออกจากกลีบปากบวมเจ่อเพราะจูบของเขา“บอกเหตุผลดีๆ ฉันสักข้อสินันท์ ว่าทำไมฉันควรเปิดประตูนั้นแล้วเดินออกไป” เขากระซิบเสียงพร่าริมหูหญิงสาวก่อนจะซุกไซ้สูดดมขบติ่งหูเบาๆ ก่อนจะไล่เรื่อยลงมาตามลำคอระหง ร่างบอบบางหอบหายใจจนตัวโยน...หัวสมองอื้ออึงไปหมดพยายามจะคิดหาคำตอบให้เขา“คุณ...ต้อง...ไปทำงาน” ถ้อยประโยคนั้นขาดเป็นห้วง“ยัง...ยังไม่ดีพอ” เขากระซิบตอบ “ขอเหตุผลที่ดีกว่านี้ ไม่อย่างนั้นฉันรับรองได้ว่า อีกไม่เกินห้านาทีฉันอุ้มเธอขึ้นเตียงแน่”เขาไปแล้ว!หัวใจของพนิตนันท์สั่นจนแทบจะทะลุออกมานอกอกอยู่รอมร่อ หล
มือเรียวที่ถือปากกาไว้นั้นออกจะสั่นน้อยๆ คล้ายเจ้าตัวมีความลังเล จึงจดจ้องอยู่ตรงช่องว่างที่จะต้องลงลายมือชื่ออยู่หลายนาที กระทั่งเสียงกระแอมดังขึ้นจากคนที่นั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงกันข้ามจึงสะดุ้งแล้วเงยหน้ามองพร้อมรอยยิ้มจืดเจื่อน“เซ็นไปเถอะ มีสัญญาเป็นหลักฐานมันก็ดีสำหรับตัวเธอเองนั่นแหละ ในนั้นฉันระบุไว้ครบถ้วนทุกอย่างรวมถึงเรื่องเงินที่ฉันบอกว่าจะให้เธอทุกเดือน เดือนละหนึ่งแสนบาท เริ่มตั้งแต่เดือนนี้ไปจนกว่าเด็กที่คลอดออกมาจะมีอายุครบแปดเดือน”“แล้ว...ถ้าหนูไม่ท้องละคะ”“สัญญาก็จะมีผลไปเรื่อยๆ จนกว่าจะท้องและเด็กอายุครบแปดเดือน อยากท้อง...หรือไม่อยากท้องล่ะ”“ม...ไม่รู้ค่ะ” สาวน้อยสะบัดหน้าจนผมยาวที่รวบไว้เป็นหางม้าแกว่งไปมา “แล้ว...ทำไมต้องรอให้ครบแปดเดือนคะ?”หล่อนถามด้วยความสงสัย ขณะที่คนตอบกลับนึกขันในความขี้สงสัยนั้น ความคิดผ่านเข้ามาวูบหนึ่ง...หล่อนอายุสิบเก้าเท่านั้นเอง ถึงจะไม่ใช่เด็กแล้ว...แต่ก็ยังไม่ใช่ผู้ใหญ่ถ้าจะตั้งข้อสงสัยมากหน่อย ก็นับว่าไม่แปลกในเมื่อเป็นการตัดสินใจในเรื่องเกินอายุไม่น้อย ฤทธิยิ้มอย่างใจเย็นเมื่ออธิบายให้หล
ฤทธิลุกขึ้นแล้วก้าวตรงมาหาสาวน้อย เขาก้มลงช้อนร่างหล่อนขึ้นแล้วอุ้มเดินไปที่ห้องนอน พนิตนันท์หน้าแดงจัดด้วยความขัดเขินความคิดหล่อนเตลิดไปไกลเมื่อจดจำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่ตื่นมาพบตัวเองนอนอยู่ในห้องนอนของเขา...มันเกิดอะไรขึ้นทว่าเมื่อวางร่างสาวน้อยลงบนเตียงเรียบร้อย ฤทธิก็เอ่ยขึ้น“นอนพักก่อน เดี๋ยวขอฉันทำงานสักหน่อย...มีอะไรก็ไปเรียกฉันได้ที่ห้องทำงาน...อยู่ข้างๆ ห้องนี้แหละ”“เอ่อ แต่...หนูไม่ง่วง แล้วก็ไม่ได้เจ็บตัวอะไรเท่าไร ขอหนูไปมหาลัยไม่ได้เหรอคะ”“ไม่ได้!” พูดจบเจ้าตัวก็ตัดบทการสนทนาด้วยการก้าวขาฉับๆ ออกจากห้องนอนไปทันทีฤทธิเปิดประตูห้องข้างๆ ที่ตกแต่งเป็นห้องทำงานเล็กๆ ซึ่งมีเครื่องอำนวยความสะดวกพร้อมทุกอย่าง เป็นออฟฟิศย่อมๆ ที่ใช้ work from home ได้อย่างสบายเขาเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ขึ้นมาเพื่อเช็กเมล์ว่าเลขานุการส่งไฟล์ร่างสัญญามาให้ตรวจหรือยัง เมื่อยังไม่พบจึงได้โทรศัพท์ไปตามงานอีกครั้งจากนั้นจึงโทรศัพท์หาภรรยา...เพื่อบอกให้อีกฝ่ายรู้ว่าเขาตกลงจะทำอะไร“ลินิน...ผมอยากคุยเรื่องเด็กนั่น”
พนิตนันท์กลับออกมาจากโรงพยาบาลด้วยแผลเย็บที่หน้าผาก แม้แผลจะไม่ใหญ่มาก แต่ก็ลึกพอสมควร นอกนั้นก็มีเพียงอาการฟกช้ำดำเขียวตามเนื้อตัว กับอาการปวดระบมฤทธิพาหญิงสาวไปที่คอนโดมิเนียมของเขาตามที่บอกแต่แรก ระหว่างนั้นก็โทรศัพท์ไปสั่งงานที่ออฟฟิศไว้เรียบร้อยพอถึงห้องฤทธิประคองสาวน้อยไปนั่งตรงโซฟาในห้องรับแขก ส่วนตัวเขาก็เดินไปทรุดนั่งบนเก้าอี้นวมตัวที่ตั้งตรงข้ามกัน ความเงียบโรยตัวลงมาปกคลุมบรรยากาศจนทำให้คนที่เพิ่งเจ็บตัวมาอึดอัด รู้สึกราวกับว่ากำลังจะถูกพิพากษาลงโทษอย่างไรอย่างนั้น จึงได้แต่นั่งนิ่งๆ หลุบตามองมือตนเองที่ประสานกันอยู่บนตักเสียงถอนหายใจที่ดังมาจากคนที่นั่งฝั่งตรงกันข้ามทำให้หล่อนเงยหน้าขึ้นมอง แล้วก็รู้ตัวว่าคิดผิดเมื่อพบว่าเขามองมาอยู่ก่อนแล้ว สายตานิ่งขรึมลึกล้ำราวน้ำก้นบึ้งทะเลสาบทำให้หล่อนหายใจไม่ทั่วท้องยิ่งกว่าเดิม"ฉันไม่ชอบที่เธอไปยุ่งกับไอ้หนุ่มนั่น”ฤทธิไม่แน่ใจในความรู้สึกตัวเองนัก...แต่ที่แน่ๆ ในฐานะผู้ชาย เขาอ่านสายตาเด็กหนุ่มคนนั้นออก“อาชว์...น่ะเหรอคะ” พนิตนันท์ถามแววตาบอกชัดว่าไม่เข้าใจ...อาชว์เป็นเพื่อน...