นัดกันไว้ว่าเย็นนี้ฝ่ายนั้นจะเข้ามาพบและให้คำตอบ ทว่าคำถามของสามีเมื่อครู่...จุดประกายความคิดให้หล่อน
“อุ้มบุญ?” ฤทธิทวนประโยคนั้นด้วยน้ำเสียงแปรกแปร่ง
“ค่ะ มีวิธีนี้วิธีเดียว...เราถึงจะมีลูกได้ค่ะ ถ้าจะพูดให้ถูกละก็ ต้องใช้ไข่และมดลูกของผู้หญิงคนอื่นแทนค่ะ เราถึงจะมีลูกได้”
“ใช้ไข่กับมดลูกคนอื่น? อย่างนั้นไม่เรียกว่าลูกของเรา ของคุณกับผมหรอกนะลินิน”
“ค่ะ ใช่! ไม่ใช่ลูกของเรา แต่ยังไงก็เป็นลูกของคุณไงคะ ลูกคุณ...ก็เหมือนลูกลินินแหละ ลินินจะเป็นแม่ของแกเอง”
“หมายความว่า...คุณจะให้ผมไปมีลูกกับคนอื่น แล้วคุณจะเป็นแม่ให้แก แล้วแม่แกจริงๆ ล่ะ?”
“เราจ้างเขามาอุ้มบุญให้ เขาก็ได้เงินไปสิคะฤทธิ เงินไม่ใช่น้อยๆ นะคะ ใครมั่งไม่อยากได้”
“แต่...คนเป็นแม่จะยอมทิ้งลูกเพื่อเงินเหรอคุณ”
โถ...ฤทธิขา ขนาดยอมขายลูกเพื่อเงินยังมีเลย นับประสาอะไรกับทิ้งลูกละคะ...ลินินเก็บประโยคนั้นไว้ในใจ มิได้เอ่ยออกมา
“ก็แม่ที่อายุน้อยๆ ยังไม่พร้อมมีลูก แต่มีเหตุต้องใช้เงินไงละคะ หาได้ไม่ยากหรอกค่ะ อย่าง...เด็กนักศึกษาที่ฐานะทางบ้านยากจน พ่อแม่เป็นหนี้ อะไรทำนองนี้ค่ะ” เมื่อจบประโยคลินินจับสังเกตสีหน้าของสามี แม้สีหน้าอีกฝ่ายจะยังเรียบเฉย ทว่าแววตาของเขาคล้ายกำลังตรึกตรองอะไรบางอย่าง
จู่ๆ ฤทธิก็โบกไม้โบกมือพลางเอ่ยตัดบท
“เอาเถอะ...ไว้ค่อยว่ากัน ที่สำคัญคือ...คุณต้องดูแลตัวเองให้ดีกว่านี้ นัดคราวหน้าผมจะไปกับคุณด้วย...เมื่อไรนะ?”
“ศุกร์นี้ค่ะ”
“โอเค ผมจะเคลียร์งานทั้งหมดแล้วพาคุณไปหาหมอ”
“ขอบคุณค่ะฤทธิ” หล่อนเอื้อมมือไปวางทับมือของเขาอีกชั้น บีบเบาๆ “แต่ฤทธิคะ ลินินต้องบอกอีกเรื่องค่ะ”
หล่อนเอ่ย สีหน้าสีตามีแววจริงจัง ฤทธิยกมุมปากเป็นรอยยิ้มอ่อนโยนพลางเอ่ยถามด้วยเสียงทุ้มนุ่มนวล
“คุณจะบอกอะไรผม”
“คุณต้องนอนกับเธอนะคะ” สิ้นประโยคผู้เป็นสามีชักมือกลับ หน้าตาท่าทางบอกว่าตกใจและ...โกรธ จ้องมองหล่อนเหมือนไม่เชื่อสายตา
“คุณบ้าไปแล้ว!” เขาเอ่ยออกมาในที่สุด “ผมไม่เอา จะให้ผมไปนอนกับคนอื่นเนี่ยนะ ผสมเทียมเอาก็ได้นะคุณ อีกอย่างผู้หญิงที่ไหนเขาจะยอม”
“ก็ในเมื่อคุณยังแข็งแรง จะไปผสมเทียมทำไมละคะ ไหนๆ เราก็จ่ายเงินก้อนโตจ้างเขาแล้ว ทำไมจะต้องไปจ่ายเงินทำผสมเทียมอีก ลินินรู้นะคะว่าหลายปีมานี้ตัวเองบกพร่องในหน้าที่ โดยเฉพาะ...เรื่องนั้น ในเมื่อลินินให้ความสุขคุณไม่ได้ ก็ควรจะใจกว้าง...กับคุณ”
“ใจกว้าง...มีเมียที่ไหนเขาใจกว้างให้ผัวไปนอนกับผู้หญิงคนอื่นบ้างคุณ!” น้ำเสียงของฤทธิเริ่มดังขึ้น ท่าทางเขาจะโกรธจริงๆ “ไม่เอา! ผมไม่คุยกับคุณแล้ว! ไม่ต้องมงไม่ต้องมีหรอกลูกน่ะ! ผมไม่อยากมี!”
พูดจบเขาก็ผลุนผลันลุกจากโต๊ะรับประทานอาหารและเดินออกจากห้องไป เสียงฝีเท้าลงส้นหนักๆ ดังเป็นจังหวะกระทั่งไปหยุดที่ห้องทำงาน จากนั้นจึงมีเสียงประตูเปิดและปิดดังโครม
ลินินถอนใจเบาๆ ก่อนจะรวบช้อนส้อมในมือ ปกติหล่อนก็ไม่ค่อยจะอยากอาหารอยู่แล้ว พอสามีโกรธปึงปังเดินออกไป...หล่อนก็ไม่รู้จะนั่งกินต่อไปทำไม
ป้านวลก้าวเข้ามาในห้องรับประทานอาหารอย่างเงียบเชียบ แต่ก็ไม่พ้นจากการรับรู้ของลินิน หล่อนเงยหน้าขึ้นแล้วเอ่ยถาม
“มาแล้วเหรอ?”
“ค่ะ ป้าให้รออยู่ที่ห้องสมุดค่ะ”
“ขอบคุณนะคะป้า” พูดจบลินินก็ลุกจากโต๊ะอาหาร
ห้องสมุดอยู่คนละฝั่งกับห้องทำงานของฤทธิ ลินินจึงไม่ต้องกังวลว่าผู้เป็นสามีจะรู้เห็นเรื่องนัดหมายนี้ เพราะลองว่าเขาเข้าห้องทำงานเมื่อไร กว่าจะออกมาก็ดึกดื่น เขาคงทำงานเอาเป็นเอาตายจนกว่าจะขจัดความขุ่นมัวออกจากใจได้สำเร็จนั่นแหละ
คนที่รออยู่ในห้องสมุดรีบยกมือไหว้ทันทีที่ลินินเดินผ่านประตูเข้ามา ปากที่เคลือบสีแดงเจื้อยแจ้วโดยไม่รอให้เจ้าของบ้านเดินมาถึงตัว
“อิชั้นบอกมันแล้วค่ะ ให้มันลาออกจากมหาวิทยาลัย แต่มันไม่ยอม แต่คุณไม่ต้องห่วง อิชั้นจะหาทางคุยกับมันอีกที”
ลินินลงนั่งตรงเก้าอี้หน้าโต๊ะเขียนหนังสือ ผู้ที่รออยู่จึงเดินมาทรุดลงนั่งคุกเข่ากับพื้นท่าทางเจียมเนื้อเจียมตัว
“แม่พรรณนั่งบนเก้าอี้นี่เถอะ” ลินินพยักพเยิดไปที่เก้าอี้อีกตัวตรงกันข้ามที่หล่อนนั่ง “แม่พรรณไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เดี๋ยวที่เหลือฉันมีวิธีจะทำให้นันท์มาทำงานที่นี่ แล้วเดี๋ยวฉันจะคุยกับแกเรื่องนั้นเอง” แววตาสงสัยอยากรู้ที่ฉายออกจากดวงตาของหญิงวัยห้าสิบเศษทำให้ลินินยิ้มออกมาแล้วเอ่ยต่อ “ฉันจะจ่ายเงินให้แม่พรรณก่อนครึ่งหนึ่งดีไหม แล้วที่เหลืออีกครึ่งก็เป็นไปตามข้อตกลงที่เราคุยกันไว้ แม่พรรณโอเคไหม?”
ดวงตาสงสัยเมื่อครู่เบิกกว้างทันทีที่ได้ยินคำว่า ‘เงิน’ เจ้าตัวยิ้มจนตาหยีเมื่อเอ่ยตอบ
“อิชั้นขอบคุณมากนะคะ ถ้าไม่ได้คุณมาช่วย ก็ไม่รู้จะทำยังไง มันมืดไปหมดแล้วจริงๆ ค่ะ”
“เอาเถอะน่า...ก็ถือว่าเราต่างคนต่างได้ประโยชน์ เดี๋ยวฉันจะเขียนเช็คให้แม่พรรณเอาไปขึ้นที่ธนาคาร ส่วนเรื่องนันท์แม่พรรณไม่ต้องทำอะไรแล้ว ฉันจะจัดการเอง แม่พรรณแค่เห็นดีเห็นงามกับสิ่งที่เขามาบอกก็พอ”
“ค่ะ อิชั้นจะไม่พูดไม่ด่าอะไรมันแล้วค่ะ”
เมื่อเสร็จธุระกับพรรณี ลินินแวะที่แพนทรีเพื่อเตรียมกาแฟร้อนหอมกรุ่นไปให้สามี เป็นสิ่งที่หล่อนปฏิบัติเป็นประจำจนกลายเป็นกิจวัตรประจำวัน ลินินถือถ้วยกาแฟเดินไปหยุดหน้าประตูห้องทำงาน หล่อนเงื้อมือจะเคาะประตูห้องแต่กลับค้างไว้อย่างนั้นพลางครุ่นคิด...ป่านนี้แล้วคนในห้องจะยังขุ่นเคืองอยู่หรือเปล่าก็ไม่รู้ ...หายแล้วล่ะ...อีกเสียงดังขึ้นในใจ ฤทธิไม่เคยโกรธนาน ยิ่งกับหล่อน...แค่เข้าหาพูดคุยเอาอกเอาใจ เขาก็พร้อมจะลืมเรื่องที่ทะเลาะทุ่มเถียงกันแทบตายเมื่อครู่จนหมดสิ้น ลินินรู้แหละ...ว่าเป็นเพราะหล่อนป่วย ความเจ็บป่วยเหมือนจะทำให้มีอภิสิทธิ์อยู่หน่อยๆ เพราะทุกคนก็พร้อมจะให้อภัย พร้อมจะยกโทษ พร้อมจะดีด้วยและเข้าใจอยู่เสมอ หล่อนถึงกล้าพูดเรื่องนั้นกับฤทธิ เขาอาจจะโกรธ แต่หล่อนรู้...เม
พนิตนันท์เดินตามไปอย่างว่าง่าย สองตาแลไปรอบๆ ด้วยความตื่นตาตื่นใจ หล่อนเคยมาที่นี่แล้วก็จริงแต่ก็นานมากแล้วตั้งแต่ยังเป็นเด็กตัวเล็กผอมบาง สาวรุ่นวัยใกล้เคียงกันพาหล่อนมายังห้องๆ หนึ่งในตัวตึกหลังใหญ่โต พอเสียงเคาะประตูดังขึ้นคนในห้องก็เอ่ยอนุญาตให้เข้าไป หญิงสาววัยต้นสามสิบที่นั่งอยู่ตรงโซฟาตัวยาวเงยหน้าขึ้นมองและส่งยิ้มกว้างมาให้ทันทีที่เห็นหน้าหล่อน “มาแล้วเหรอจ๊ะ? ฤทธิบอกว่านันท์กำลังหางานพิเศษทำใช่ไหม? ฉันเองก็กำลังมองหาผู้ช่วยอยู่พอดี นันท์มาทำงานกับฉันไหมล่ะ...” เจ้าของบ้านฝ่ายหญิงเอ่ยอย่างไม่อ้อมค้อมพลางชี้ชวนให้พนิตนันท์มาใกล้ๆ พนิตนันท์เดินไปหยุดยืนใกล้โซฟาที่อีกฝ่ายนั่งอยู่แล้วก็ทรุดลงนั
ผ่านไปเกือบสองอาทิตย์แล้วที่พนิตนันท์เข้ามาอยู่ที่บ้านหลังใหญ่ตรงท้ายซอยในฐานะผู้ช่วยของลินินทุกอย่างเป็นไปด้วยดีนับตั้งแต่หล่อนบอกกล่าวให้ผู้เป็นแม่รับรู้ว่าจะมาทำงานที่นี่ และต้องมานอนค้างกลับบ้านได้เฉพาะวันเสาร์อาทิตย์ แรกนั้นพนิตนันท์คิดว่าแม่คงคัดค้าน เพราะวันที่ทะเลาะกันนั้นทีท่าของแม่คือยืนกรานให้หล่อนลาออกจากมหาวิทยาลัยแล้วหางานทำเต็มตัว แต่กลับผิดคาดนอกจากไม่คัดค้านแล้ว แม่ยังเห็นดีเห็นงามเสียอีก พนิตนันท์จึงค่อยโล่งใจไปเปลาะ เพราะหล่อนทำงานแถมยังได้เรียนหนังสือเหมือนเดิม ซึ่งนับเป็นสิ่งที่น่าพึงพอใจที่สุด งานและหน้าที่ของหล่อนในฐานะผู้ช่วยนั้นก็มิได้มีอะไรหนักหนา นอกเหนือจากจัดการเรื่องธุรกรรมต่างๆ หล่อนยังได้รับมอบหมายให้ทำบัญชีค่าใช้จ่ายประจำบ้านเพิ่มอีกอย่าง และก็คอยอยู่เป็
บทนำความอบอุ่นที่อิงแอบแนบชิดทำให้ร่างสูงใหญ่เบียดกายเข้าหาโดยอัตโนมัติทั้งที่ยังไม่ได้สติ ทุกสิ่งเกิดขึ้นตามสัญชาตญาณ ความรุ่มร้อนในกายทำให้เขาไม่สบายตัวเอาเสียเลย ความเครียดเคร่งคล้ายจะรวมตัวตรงจุดกึ่งกลางกาย...จนปวดหนึบไปหมดยิ่งเมื่อลูบไล้ฝ่ามือไปบนผิวเรียบตึงทว่านุ่มเนียนจนอยากสำรวจให้ทั่ว มันก็ยิ่งทำให้เขาร้อนรุ่มจนแทบทนไม่ไหว มือใหญ่หยาบเริ่มต้นสำรวจ...ความอบอุ่น เต็มไม้เต็มมือ และเรียบลื่นทำให้เขามั่นใจว่าที่สัมผัสอยู่นั้น คือ เนื้อหนังมังสาของผู้หญิง“ลิ...นิน...ที่รัก” เขาพึมพำชื่อที่ติดตรึงในใจออกมาเสียงครางดังขึ้นเบาๆ ละม้ายขานรับเขาพยายามปรือตามองฝ่าความมืด ท่ามกลางความสลัวราง แสงจันทร์ที่ทอผ่านหน้าต่างสาดจับร่างขาวโพลนเห็นเส้นสายส่วนโค้งส่วนเว้าอันน่ามอง...ก่อนที่สายตาจะหยุดอยู่ที่ก้อนเนื้อกลมสองก้อนที่สะท้อนขึ้นลงตามจังหวะหายใจอย่างสม่ำเสมอฝ่ามือใหญ่กอบกุมไว้ข้างหนึ่งฟอนเฟ้นความนุ่มหยุ่นเต็มมือก่อนสลับไปที่อีกข้างความง่วงงุนยังหลงเหลือ ทว่าร่างกายเขากลับตื่นเต็มที่ หัวใจเต้นโครมครามด้วยความตื่นเต้น ประหวัดถึงครั้งล่าสุดที่ได้เชยชมเรือนร่างนี้...นานเท่าไรแล้ว?“ลิ
ดวงตาคมกวาดมองชุดนักศึกษาที่เปียกปอนไปครึ่งตัวก่อนถามอีกรอบด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูก็รู้ว่ากำลังสะกดอารมณ์เต็มที่ “ไปเรียนใช่ไหม...ที่ไหน?” พนิตนันท์เอ่ยชื่อมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งออกมาด้วยน้ำเสียงที่เบายิ่งกว่าเดิมเมื่อจับคลื่นบางอย่างได้จากคำถามเมื่อครู่ คนบนรถเอ่ยสวนทันควันโดยไม่ต้องคิดว่า “ขึ้นมา...เดี๋ยวไปส่ง” “เอ่อ...” “จะรอให้เปียกทั้งตัวหรือไง” เจอน้ำเสียงดุของอีกฝ่ายเข้า พนิตนันท์ก็ตาลีตาเหลือกเปิดประตูรถฝั่งข้างคนขับแล้วขึ้นไปนั่ง แต่แล้วก็กังวลเมื่อตระหนักว่าเบาะรถนั้นเป็นเบาะหนังแท้สีครีมสะอาดสะอ้าน “เอ่อ...ตัวหนูเปียก กลัวเบาะจะ...เปียก...” “เปียกก็เปียก เดี๋ยวก็แห้ง แต่เราน่ะตัวเปียกขนาดนี้ จะไปเรียนยังไง ให้วกรถกลับไปไหม เปลี่ยนชุดใหม่แล้วเดี๋ยวฉันไปส่ง” “ไม่ค่ะ!” น้ำเสียงที่ปฏิเสธนั้นแข็งจนคนฟังจับสังเกตได้ คิ้วเข้มหนาขมวดเข้าหากันด้วยความสงสัย กวาดตามองดวงหน้าของเด็กสาวเร็วๆ คราบน้ำตาที่ค้างอยู่บนดวงหน้าจึงมิได้รอดสาย
ฤทธิกดรหัสหกตัวตรงแป้นบริเวณลูกบิดก่อนจะเปิดประตูห้องเดินนำเข้าไป “ห้องน้ำอยู่ทางนั้น” เขาชี้ไปทางห้องน้ำในห้องนอนใหญ่ “เข้าไปอาบน้ำสระผมก่อนเถอะ เดี๋ยวฉันจะไปหาชุดมาให้ ส่วนชุดที่เปียก...เดี๋ยวเอาเข้าเครื่องซักแล้วก็ปั่นแห้ง สักสองชั่วโมงก็น่าจะเสร็จ” ฤทธิพาเดินไปที่ห้องนอนแล้วเปิดประตูห้องน้ำให้เด็กสาว ก่อนที่ตัวเขาจะเดินกลับไปที่ตู้เสื้อผ้า เปิดลิ้นชักหาเสื้อผ้าที่จะให้เด็กสาวใส่ชั่วคราว ได้ชุดนอนผ้าฝ้ายสีขาวลายทางฟ้ามาหนึ่งชุด เป็นเสื้อแขนยาวกับกางเกงขายาว ชายหนุ่มเดินไปที่ห้องน้ำ เคาะประตูบอกคนข้างใน แล้วยืนรอครู่หนึ่งทว่าข้างในกลับเงียบ...ไม่ขานและไม่มาเปิดประตู อารามเป็นห่วงฤทธิจึงบิดลูกบิด พบว่าไม่ได้ล็อก เขาจึงเปิดเข้าไป แต่แล้วก็ต้องชะงักยืนตัวแข็งอยู่กับที่เมื่อมองเข้าไปเห็นร่างที่ยืนอยู่หน้าอ่างล้างหน้า ทว่าหันหลังให้กับประตูห้องน้ำ ร่างอ้อนแอ้นนั้นกำลังเปลื้องเสื้อผ้าเปียกโชกออกจากตัว เสื้อนักศึกษาถอดวางข้างอ่างล้างหน้าแล้ว เจ้าตัวกำลังรูดซิปกระโปรงแล้วปล่อยให้เลื่อนหลุดจากร่างลงไปกองอยู่บนพื
พนิตนันท์วางถ้วยโกโก้แล้วหันหลังเดินกลับเข้าห้องนอน ท่าทางตื่นๆ ของหญิงสาวทำให้อีกฝ่ายรู้ว่าเจ้าหล่อนเองก็ประหม่าไม่น้อยกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อเจ้าหล่อนเดินกลับมาพร้อมเสื้อผ้าที่จะซัก ฤทธิเดินนำไปที่ห้องซักรีดซึ่งเป็นห้องเล็กๆ ด้านหลังครัว ในห้องมีเครื่องซักผ้าแบบฝาหน้าและเครื่องอบผ้าอยู่พร้อมสรรพ ทั้งยังมีระเบียงขนาดไม่ใหญ่มากไว้สำหรับตากผ้าเขาหยุดหน้าเครื่องซักผ้า รอจนหญิงสาวเดินมายืนใกล้ๆ จึงสอนวิธีใช้งานทั้งเครื่องซักผ้าและเครื่องอบผ้า“จำได้ไหม?” เขาถามหลังจากสอนเสร็จ“ค่ะ คิดว่า...จำได้ค่ะ” น้ำเสียงคนตอบมีแววลังเล“แสดงว่าจำไม่ได้” เขาแปลความหมายคำพูดอีกฝ่าย ตามความเข้าใจของตนเอง สาวน้อยยิ้มแหยพลางพยักหน้าน้อยๆ“ก็...งงนิดหน่อยค่ะ”“ไม่เป็นไร ไม่เข้าใจตรงไหนก็ถามแล้วกัน”ตอนแรกฤทธิคิดว่าจะทิ้งสาวน้อยไว้ที่นี่เพียงลำพัง ส่วนเขาก็จะขอตัวไปทำงาน เพราะประตูระบบอัตโนมัตินั้นจะล็อกทันทีที่ประตูปิด เขาจึงไม่ต้องกังวลเรื่องกุญแจ ทั้งคอนโดมิเนียมก็อยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยของเจ้าหล่อนแต่เห็นทีเขาคงต้องอยู่ต่ออีกหน่อย อย่างน้อยก็รอจนซักผ้าเสร็จและเอาเข้าเครื่องอบนั่นแหละฤทธิยื่นมือไป
“เห็นคุณบอกว่าอยากได้ผู้ช่วยใช่ไหม?” ฤทธิเอ่ยถามผู้เป็นภรรยาระหว่างรับประทานอาหารเย็นกันเพียงลำพัง แม่ของเขาไปปฏิบัติธรรมกับเพื่อนที่วัดแห่งหนึ่งแถวนครราชสีมา จึงไม่ได้อยู่ร่วมโต๊ะรับประทานอาหารเย็นเช่นเคยนับแต่พ่อไม่อยู่ แม่ก็เข้าวัดปฏิบัติธรรมมากขึ้น“ค่ะ” ฝ่ายนั้นตอบก่อนเงยหน้าจากจานข้าวที่เจ้าตัวทำท่าเขี่ยข้าวในจานเล่นมากกว่าจะกิน“คุณจำเด็กคนนั้นได้ไหม? ที่แม่เขาเคยมาทำงานที่นี่อยู่พักหนึ่ง แล้วก็ลาออกไป บ้านอยู่ในชุมชนซอยเดียวกับเรานี่แหละ” ผู้เป็นภรรยาทำท่านึกอยู่ครู่ก่อนจะร้องออกมาเมื่อระลึกได้ว่าเขากำลังพูดถึงใคร“อ๋อ...คุณหมายถึงพรรณีใช่ไหม ลูกสาวเขาชื่อ...” เจ้าตัวเอานิ้วเคาะข้างปากอย่างใช้ความคิด “นันท์ ชื่อจริงชื่ออะไรไม่รู้ ลินินจำได้แต่ชื่อเล่น ทำไมเหรอคะ? คุณเจอแกเหรอคะ?”“ใช่ เมื่อเช้าตอนฝนตก ก็เลยรับขึ้นรถไปส่ง” ฤทธิตอบเพียงนั้น มิได้เอื้อนเอ่ยว่าไปส่งที่ใดหรืออย่างไร “มีโอกาสได้คุย เห็นว่ากำลังหางานพิเศษทำ ผมเลยนึกถึงคุณขึ้นมา ถ้าคุณสนใจผมจะได้ให้มาลองคุยกับคุณดู ท่าทางแกเป็นเด็กใช้ได้ คุณน่าจะชอบ”“ถ้าคุณชอบ ลินินก็ชอบค่ะ” เจ้าตัวพูดพร้อมยิ้มกว้าง
ผ่านไปเกือบสองอาทิตย์แล้วที่พนิตนันท์เข้ามาอยู่ที่บ้านหลังใหญ่ตรงท้ายซอยในฐานะผู้ช่วยของลินินทุกอย่างเป็นไปด้วยดีนับตั้งแต่หล่อนบอกกล่าวให้ผู้เป็นแม่รับรู้ว่าจะมาทำงานที่นี่ และต้องมานอนค้างกลับบ้านได้เฉพาะวันเสาร์อาทิตย์ แรกนั้นพนิตนันท์คิดว่าแม่คงคัดค้าน เพราะวันที่ทะเลาะกันนั้นทีท่าของแม่คือยืนกรานให้หล่อนลาออกจากมหาวิทยาลัยแล้วหางานทำเต็มตัว แต่กลับผิดคาดนอกจากไม่คัดค้านแล้ว แม่ยังเห็นดีเห็นงามเสียอีก พนิตนันท์จึงค่อยโล่งใจไปเปลาะ เพราะหล่อนทำงานแถมยังได้เรียนหนังสือเหมือนเดิม ซึ่งนับเป็นสิ่งที่น่าพึงพอใจที่สุด งานและหน้าที่ของหล่อนในฐานะผู้ช่วยนั้นก็มิได้มีอะไรหนักหนา นอกเหนือจากจัดการเรื่องธุรกรรมต่างๆ หล่อนยังได้รับมอบหมายให้ทำบัญชีค่าใช้จ่ายประจำบ้านเพิ่มอีกอย่าง และก็คอยอยู่เป็
พนิตนันท์เดินตามไปอย่างว่าง่าย สองตาแลไปรอบๆ ด้วยความตื่นตาตื่นใจ หล่อนเคยมาที่นี่แล้วก็จริงแต่ก็นานมากแล้วตั้งแต่ยังเป็นเด็กตัวเล็กผอมบาง สาวรุ่นวัยใกล้เคียงกันพาหล่อนมายังห้องๆ หนึ่งในตัวตึกหลังใหญ่โต พอเสียงเคาะประตูดังขึ้นคนในห้องก็เอ่ยอนุญาตให้เข้าไป หญิงสาววัยต้นสามสิบที่นั่งอยู่ตรงโซฟาตัวยาวเงยหน้าขึ้นมองและส่งยิ้มกว้างมาให้ทันทีที่เห็นหน้าหล่อน “มาแล้วเหรอจ๊ะ? ฤทธิบอกว่านันท์กำลังหางานพิเศษทำใช่ไหม? ฉันเองก็กำลังมองหาผู้ช่วยอยู่พอดี นันท์มาทำงานกับฉันไหมล่ะ...” เจ้าของบ้านฝ่ายหญิงเอ่ยอย่างไม่อ้อมค้อมพลางชี้ชวนให้พนิตนันท์มาใกล้ๆ พนิตนันท์เดินไปหยุดยืนใกล้โซฟาที่อีกฝ่ายนั่งอยู่แล้วก็ทรุดลงนั
เมื่อเสร็จธุระกับพรรณี ลินินแวะที่แพนทรีเพื่อเตรียมกาแฟร้อนหอมกรุ่นไปให้สามี เป็นสิ่งที่หล่อนปฏิบัติเป็นประจำจนกลายเป็นกิจวัตรประจำวัน ลินินถือถ้วยกาแฟเดินไปหยุดหน้าประตูห้องทำงาน หล่อนเงื้อมือจะเคาะประตูห้องแต่กลับค้างไว้อย่างนั้นพลางครุ่นคิด...ป่านนี้แล้วคนในห้องจะยังขุ่นเคืองอยู่หรือเปล่าก็ไม่รู้ ...หายแล้วล่ะ...อีกเสียงดังขึ้นในใจ ฤทธิไม่เคยโกรธนาน ยิ่งกับหล่อน...แค่เข้าหาพูดคุยเอาอกเอาใจ เขาก็พร้อมจะลืมเรื่องที่ทะเลาะทุ่มเถียงกันแทบตายเมื่อครู่จนหมดสิ้น ลินินรู้แหละ...ว่าเป็นเพราะหล่อนป่วย ความเจ็บป่วยเหมือนจะทำให้มีอภิสิทธิ์อยู่หน่อยๆ เพราะทุกคนก็พร้อมจะให้อภัย พร้อมจะยกโทษ พร้อมจะดีด้วยและเข้าใจอยู่เสมอ หล่อนถึงกล้าพูดเรื่องนั้นกับฤทธิ เขาอาจจะโกรธ แต่หล่อนรู้...เม
นัดกันไว้ว่าเย็นนี้ฝ่ายนั้นจะเข้ามาพบและให้คำตอบ ทว่าคำถามของสามีเมื่อครู่...จุดประกายความคิดให้หล่อน“อุ้มบุญ?” ฤทธิทวนประโยคนั้นด้วยน้ำเสียงแปรกแปร่ง“ค่ะ มีวิธีนี้วิธีเดียว...เราถึงจะมีลูกได้ค่ะ ถ้าจะพูดให้ถูกละก็ ต้องใช้ไข่และมดลูกของผู้หญิงคนอื่นแทนค่ะ เราถึงจะมีลูกได้”“ใช้ไข่กับมดลูกคนอื่น? อย่างนั้นไม่เรียกว่าลูกของเรา ของคุณกับผมหรอกนะลินิน”“ค่ะ ใช่! ไม่ใช่ลูกของเรา แต่ยังไงก็เป็นลูกของคุณไงคะ ลูกคุณ...ก็เหมือนลูกลินินแหละ ลินินจะเป็นแม่ของแกเอง”“หมายความว่า...คุณจะให้ผมไปมีลูกกับคนอื่น แล้วคุณจะเป็นแม่ให้แก แล้วแม่แกจริงๆ ล่ะ?”“เราจ้างเขามาอุ้มบุญให้ เขาก็ได้เงินไปสิคะฤทธิ เงินไม่ใช่น้อยๆ นะคะ ใครมั่งไม่อยากได้”“แต่...คนเป็นแม่จะยอมทิ้งลูกเพื่อเงินเหรอคุณ”โถ...ฤทธิขา ขนาดยอมขายลูกเพื่อเงินยังมีเลย นับประสาอะไรกับทิ้งลูกละคะ...ลินินเก็บประโยคนั้นไว้ในใจ มิได้เอ่ยออกมา“ก็แม่ที่อายุน้อยๆ ยังไม่พร้อมมีลูก แต่มีเหตุต้องใช้เงินไงละคะ หาได้ไม่ยากหรอกค่ะ อย่าง...เด็กนักศึกษาที่ฐานะทางบ้านยากจน พ่อแม่เป็นหนี้ อะไร
“เห็นคุณบอกว่าอยากได้ผู้ช่วยใช่ไหม?” ฤทธิเอ่ยถามผู้เป็นภรรยาระหว่างรับประทานอาหารเย็นกันเพียงลำพัง แม่ของเขาไปปฏิบัติธรรมกับเพื่อนที่วัดแห่งหนึ่งแถวนครราชสีมา จึงไม่ได้อยู่ร่วมโต๊ะรับประทานอาหารเย็นเช่นเคยนับแต่พ่อไม่อยู่ แม่ก็เข้าวัดปฏิบัติธรรมมากขึ้น“ค่ะ” ฝ่ายนั้นตอบก่อนเงยหน้าจากจานข้าวที่เจ้าตัวทำท่าเขี่ยข้าวในจานเล่นมากกว่าจะกิน“คุณจำเด็กคนนั้นได้ไหม? ที่แม่เขาเคยมาทำงานที่นี่อยู่พักหนึ่ง แล้วก็ลาออกไป บ้านอยู่ในชุมชนซอยเดียวกับเรานี่แหละ” ผู้เป็นภรรยาทำท่านึกอยู่ครู่ก่อนจะร้องออกมาเมื่อระลึกได้ว่าเขากำลังพูดถึงใคร“อ๋อ...คุณหมายถึงพรรณีใช่ไหม ลูกสาวเขาชื่อ...” เจ้าตัวเอานิ้วเคาะข้างปากอย่างใช้ความคิด “นันท์ ชื่อจริงชื่ออะไรไม่รู้ ลินินจำได้แต่ชื่อเล่น ทำไมเหรอคะ? คุณเจอแกเหรอคะ?”“ใช่ เมื่อเช้าตอนฝนตก ก็เลยรับขึ้นรถไปส่ง” ฤทธิตอบเพียงนั้น มิได้เอื้อนเอ่ยว่าไปส่งที่ใดหรืออย่างไร “มีโอกาสได้คุย เห็นว่ากำลังหางานพิเศษทำ ผมเลยนึกถึงคุณขึ้นมา ถ้าคุณสนใจผมจะได้ให้มาลองคุยกับคุณดู ท่าทางแกเป็นเด็กใช้ได้ คุณน่าจะชอบ”“ถ้าคุณชอบ ลินินก็ชอบค่ะ” เจ้าตัวพูดพร้อมยิ้มกว้าง
พนิตนันท์วางถ้วยโกโก้แล้วหันหลังเดินกลับเข้าห้องนอน ท่าทางตื่นๆ ของหญิงสาวทำให้อีกฝ่ายรู้ว่าเจ้าหล่อนเองก็ประหม่าไม่น้อยกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อเจ้าหล่อนเดินกลับมาพร้อมเสื้อผ้าที่จะซัก ฤทธิเดินนำไปที่ห้องซักรีดซึ่งเป็นห้องเล็กๆ ด้านหลังครัว ในห้องมีเครื่องซักผ้าแบบฝาหน้าและเครื่องอบผ้าอยู่พร้อมสรรพ ทั้งยังมีระเบียงขนาดไม่ใหญ่มากไว้สำหรับตากผ้าเขาหยุดหน้าเครื่องซักผ้า รอจนหญิงสาวเดินมายืนใกล้ๆ จึงสอนวิธีใช้งานทั้งเครื่องซักผ้าและเครื่องอบผ้า“จำได้ไหม?” เขาถามหลังจากสอนเสร็จ“ค่ะ คิดว่า...จำได้ค่ะ” น้ำเสียงคนตอบมีแววลังเล“แสดงว่าจำไม่ได้” เขาแปลความหมายคำพูดอีกฝ่าย ตามความเข้าใจของตนเอง สาวน้อยยิ้มแหยพลางพยักหน้าน้อยๆ“ก็...งงนิดหน่อยค่ะ”“ไม่เป็นไร ไม่เข้าใจตรงไหนก็ถามแล้วกัน”ตอนแรกฤทธิคิดว่าจะทิ้งสาวน้อยไว้ที่นี่เพียงลำพัง ส่วนเขาก็จะขอตัวไปทำงาน เพราะประตูระบบอัตโนมัตินั้นจะล็อกทันทีที่ประตูปิด เขาจึงไม่ต้องกังวลเรื่องกุญแจ ทั้งคอนโดมิเนียมก็อยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยของเจ้าหล่อนแต่เห็นทีเขาคงต้องอยู่ต่ออีกหน่อย อย่างน้อยก็รอจนซักผ้าเสร็จและเอาเข้าเครื่องอบนั่นแหละฤทธิยื่นมือไป
ฤทธิกดรหัสหกตัวตรงแป้นบริเวณลูกบิดก่อนจะเปิดประตูห้องเดินนำเข้าไป “ห้องน้ำอยู่ทางนั้น” เขาชี้ไปทางห้องน้ำในห้องนอนใหญ่ “เข้าไปอาบน้ำสระผมก่อนเถอะ เดี๋ยวฉันจะไปหาชุดมาให้ ส่วนชุดที่เปียก...เดี๋ยวเอาเข้าเครื่องซักแล้วก็ปั่นแห้ง สักสองชั่วโมงก็น่าจะเสร็จ” ฤทธิพาเดินไปที่ห้องนอนแล้วเปิดประตูห้องน้ำให้เด็กสาว ก่อนที่ตัวเขาจะเดินกลับไปที่ตู้เสื้อผ้า เปิดลิ้นชักหาเสื้อผ้าที่จะให้เด็กสาวใส่ชั่วคราว ได้ชุดนอนผ้าฝ้ายสีขาวลายทางฟ้ามาหนึ่งชุด เป็นเสื้อแขนยาวกับกางเกงขายาว ชายหนุ่มเดินไปที่ห้องน้ำ เคาะประตูบอกคนข้างใน แล้วยืนรอครู่หนึ่งทว่าข้างในกลับเงียบ...ไม่ขานและไม่มาเปิดประตู อารามเป็นห่วงฤทธิจึงบิดลูกบิด พบว่าไม่ได้ล็อก เขาจึงเปิดเข้าไป แต่แล้วก็ต้องชะงักยืนตัวแข็งอยู่กับที่เมื่อมองเข้าไปเห็นร่างที่ยืนอยู่หน้าอ่างล้างหน้า ทว่าหันหลังให้กับประตูห้องน้ำ ร่างอ้อนแอ้นนั้นกำลังเปลื้องเสื้อผ้าเปียกโชกออกจากตัว เสื้อนักศึกษาถอดวางข้างอ่างล้างหน้าแล้ว เจ้าตัวกำลังรูดซิปกระโปรงแล้วปล่อยให้เลื่อนหลุดจากร่างลงไปกองอยู่บนพื
ดวงตาคมกวาดมองชุดนักศึกษาที่เปียกปอนไปครึ่งตัวก่อนถามอีกรอบด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูก็รู้ว่ากำลังสะกดอารมณ์เต็มที่ “ไปเรียนใช่ไหม...ที่ไหน?” พนิตนันท์เอ่ยชื่อมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งออกมาด้วยน้ำเสียงที่เบายิ่งกว่าเดิมเมื่อจับคลื่นบางอย่างได้จากคำถามเมื่อครู่ คนบนรถเอ่ยสวนทันควันโดยไม่ต้องคิดว่า “ขึ้นมา...เดี๋ยวไปส่ง” “เอ่อ...” “จะรอให้เปียกทั้งตัวหรือไง” เจอน้ำเสียงดุของอีกฝ่ายเข้า พนิตนันท์ก็ตาลีตาเหลือกเปิดประตูรถฝั่งข้างคนขับแล้วขึ้นไปนั่ง แต่แล้วก็กังวลเมื่อตระหนักว่าเบาะรถนั้นเป็นเบาะหนังแท้สีครีมสะอาดสะอ้าน “เอ่อ...ตัวหนูเปียก กลัวเบาะจะ...เปียก...” “เปียกก็เปียก เดี๋ยวก็แห้ง แต่เราน่ะตัวเปียกขนาดนี้ จะไปเรียนยังไง ให้วกรถกลับไปไหม เปลี่ยนชุดใหม่แล้วเดี๋ยวฉันไปส่ง” “ไม่ค่ะ!” น้ำเสียงที่ปฏิเสธนั้นแข็งจนคนฟังจับสังเกตได้ คิ้วเข้มหนาขมวดเข้าหากันด้วยความสงสัย กวาดตามองดวงหน้าของเด็กสาวเร็วๆ คราบน้ำตาที่ค้างอยู่บนดวงหน้าจึงมิได้รอดสาย
บทนำความอบอุ่นที่อิงแอบแนบชิดทำให้ร่างสูงใหญ่เบียดกายเข้าหาโดยอัตโนมัติทั้งที่ยังไม่ได้สติ ทุกสิ่งเกิดขึ้นตามสัญชาตญาณ ความรุ่มร้อนในกายทำให้เขาไม่สบายตัวเอาเสียเลย ความเครียดเคร่งคล้ายจะรวมตัวตรงจุดกึ่งกลางกาย...จนปวดหนึบไปหมดยิ่งเมื่อลูบไล้ฝ่ามือไปบนผิวเรียบตึงทว่านุ่มเนียนจนอยากสำรวจให้ทั่ว มันก็ยิ่งทำให้เขาร้อนรุ่มจนแทบทนไม่ไหว มือใหญ่หยาบเริ่มต้นสำรวจ...ความอบอุ่น เต็มไม้เต็มมือ และเรียบลื่นทำให้เขามั่นใจว่าที่สัมผัสอยู่นั้น คือ เนื้อหนังมังสาของผู้หญิง“ลิ...นิน...ที่รัก” เขาพึมพำชื่อที่ติดตรึงในใจออกมาเสียงครางดังขึ้นเบาๆ ละม้ายขานรับเขาพยายามปรือตามองฝ่าความมืด ท่ามกลางความสลัวราง แสงจันทร์ที่ทอผ่านหน้าต่างสาดจับร่างขาวโพลนเห็นเส้นสายส่วนโค้งส่วนเว้าอันน่ามอง...ก่อนที่สายตาจะหยุดอยู่ที่ก้อนเนื้อกลมสองก้อนที่สะท้อนขึ้นลงตามจังหวะหายใจอย่างสม่ำเสมอฝ่ามือใหญ่กอบกุมไว้ข้างหนึ่งฟอนเฟ้นความนุ่มหยุ่นเต็มมือก่อนสลับไปที่อีกข้างความง่วงงุนยังหลงเหลือ ทว่าร่างกายเขากลับตื่นเต็มที่ หัวใจเต้นโครมครามด้วยความตื่นเต้น ประหวัดถึงครั้งล่าสุดที่ได้เชยชมเรือนร่างนี้...นานเท่าไรแล้ว?“ลิ