ผ่านไปเกือบสองอาทิตย์แล้วที่พนิตนันท์เข้ามาอยู่ที่บ้านหลังใหญ่ตรงท้ายซอยในฐานะผู้ช่วยของลินิน
ทุกอย่างเป็นไปด้วยดีนับตั้งแต่หล่อนบอกกล่าวให้ผู้เป็นแม่รับรู้ว่าจะมาทำงานที่นี่ และต้องมานอนค้างกลับบ้านได้เฉพาะวันเสาร์อาทิตย์
แรกนั้นพนิตนันท์คิดว่าแม่คงคัดค้าน เพราะวันที่ทะเลาะกันนั้นทีท่าของแม่คือยืนกรานให้หล่อนลาออกจากมหาวิทยาลัยแล้วหางานทำเต็มตัว แต่กลับผิดคาดนอกจากไม่คัดค้านแล้ว แม่ยังเห็นดีเห็นงามเสียอีก
พนิตนันท์จึงค่อยโล่งใจไปเปลาะ เพราะหล่อนทำงานแถมยังได้เรียนหนังสือเหมือนเดิม ซึ่งนับเป็นสิ่งที่น่าพึงพอใจที่สุด
งานและหน้าที่ของหล่อนในฐานะผู้ช่วยนั้นก็มิได้มีอะไรหนักหนา นอกเหนือจากจัดการเรื่องธุรกรรมต่างๆ หล่อนยังได้รับมอบหมายให้ทำบัญชีค่าใช้จ่ายประจำบ้านเพิ่มอีกอย่าง และก็คอยอยู่เป็นเพื่อนดูแลเจ้านายสาวที่ป่วยออดแอด ต้องเทียวเข้าออกโรงพยาบาลเป็นนิจ
เย็นนี้เมื่อกลับมาถึงพนิตนันท์ก็ได้รับการบอกเล่าจากป้านวลซึ่งเป็นแม่บ้านเก่าแก่
“นันท์ วันนี้คุณลินินไม่อยู่ ไปกินข้าวบ้านคุณพ่อคุณแม่ เธอฝากฝังให้ดูแลคุณฤทธิแทนเธอที ท่าทางคงจะกลับดึกนั่นแหละ”
“ค่ะป้านวล แล้วหนูต้องทำอะไรบ้างคะ?” ก็คอยดูแลตอนเธอรับประทานมื้อเย็น และก็ชงกาแฟไปเสิร์ฟให้ตอนที่เธอเข้าห้องทำงาน แค่นั้นแหละ”
“ได้ค่ะ เดี๋ยวหนูจะดูแลไม่ให้ขาดตกบกพร่องเลย” สาวน้อยรับคำพร้อมส่งยิ้มหวานสดใสให้แม่บ้านเก่าแก่
นับแต่มาอยู่ที่นี่พนิตนันท์พบหน้าเจ้าบ้านฝ่ายชายเพียงไม่กี่ครั้ง ฤทธิเดินทางไปภูเก็ตแทบทุกอาทิตย์ หล่อนรู้จากเจ้านายสาวว่าเขาต้องไปดูงานโรงแรมที่กำลังจะเปิดในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
ทว่าวันนี้ฤทธิอยู่บ้าน พนิตนันท์พบเขาแล้วเมื่อเช้าตอนที่จะออกไปเรียนหนังสือ เขาแสดงน้ำใจด้วยการเอ่ยปากจะไปส่งหล่อนที่มหาวิทยาลัย แต่พนิตนันท์ปฏิเสธไปเพราะมีนัดกับเพื่อน
อาชว์เป็นเพื่อนที่เรียนคณะเดียวกัน หล่อนเพิ่งจะรู้ไม่นานมานี้ว่าบ้านของเขาอยู่ซอยถัดไปนี่เอง อาชว์จึงอาสาจะมารับไปมหาวิทยาลัยพร้อมกันตอนเช้า ส่วนตอนเย็นหล่อนไม่อยากเป็นภาระของเพื่อนเพราะบางวันก็เลิกเรียนไม่พร้อมกัน พนิตนันท์จึงจะกลับเอง
เมื่อถึงเวลารับประทานอาหารเย็นเด็กสาวก็เข้ามาช่วยป้านวลตระเตรียมสำรับมื้อเย็นด้วยการลำเลียงกับข้าวจากครัวใหญ่มาวางบนโต๊ะ
วันนี้คุณท่าน...แม่ของคุณฤทธิไม่อยู่ ทั้งโต๊ะจึงเหลือเจ้าบ้านฝ่ายชายเพียงคนเดียว เมื่อฤทธิเดินเข้ามาในห้องรับประทานอาหารแล้วเห็นสำรับมากมายบนโต๊ะ เขาก็ส่ายหน้า
“กับข้าวเยอะแยะเลยป้านวล ผมกินคนเดียวเอง ลินินกับคุณแม่ก็ไม่อยู่”
ป้านวลยิ้มเจื่อน...แต่เดิมนั้นคุณลินินไม่ได้มีแผนจะไปรับประทานอาหารที่บ้านคุณพ่อคุณแม่ นางจึงตระเตรียมสำรับกับข้าวไว้หลายอย่าง
"อิฉันเพิ่งทราบว่าคุณลินินเธอจะอยู่รับประทานข้าวบ้านคุณพ่อคุณแม่ค่ะ”
“เอาเถอะ...ไม่เป็นไร ผมเข้าใจ ลินินคงคิดอะไรปุบปับนั่นแหละ” คนพูดเอ่ยถึงภรรยาพลางยกยิ้มตรงมุมปาก “ป้านวลกับนันท์กินข้าวหรือยัง? ถ้ายังมานั่งเป็นเพื่อนกันสิ”
“อิชั้นรับประทานเรียบร้อยแล้วค่ะ แต่หนูนันท์น่าจะยัง”
หญิงสาวที่ถูกเอ่ยชื่อสะดุ้งเบาๆ หล่อนหันมองป้านวลทีมองเจ้าของบ้านฝ่ายชายทีด้วยท่าทางเลิ่กลั่ก
“นันท์มากินข้าวเป็นเพื่อนฉันหน่อยละกัน กับข้าวเยอะแยะ กินคนเดียวไม่หมดหรอก”
“เอ่อ...” หล่อนอึกอักคิดหาคำพูด ทว่าน้ำเสียงดุๆ ที่เอ่ยประโยคถัดมาทำให้หล่อนยิ้มเจื่อน รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเต่าที่กำลังกลัวจนต้องหดหัวเข้ากระดอง
“ผู้ใหญ่เรียก ยังจะช้าอีก”
“ไปสิ ไปนั่งตรงนั้น” ป้านวลดึงข้อศอกแล้วบุ้ยใบ้ไปตรงที่นั่งทางฝั่งซ้ายมือของผู้เป็นเจ้านาย
“ค...ค่ะ...”
พนิตนันท์ขยับเก้าอี้ออกอย่างเบามือ แล้วทำตัวเล็กลีบที่สุดก่อนจะทรุดลงนั่งบนเก้าอี้ ขนาดว่าสายตาคมปลาบของคนตรงหัวโต๊ะไม่ได้ชำเลืองมาแม้แต่น้อย แต่หล่อนกลับรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง
หัวใจหล่อนเต้นด้วยจังหวะแปลกๆ กระชั้นรัวราวกับมีใครมาตีกลองอยู่ใกล้ๆ
ป้านวลตักข้าวใส่ให้ในจานของชายหนุ่มเจ้าของบ้านก่อน แล้วจึงตักใส่จานหล่อนตามมา
“นันท์ตักเองก็ได้ค่ะ” หล่อนบอกฝ่ายนั้นเบาๆ
“ไม่เป็นไร แต่เดี๋ยวป้าจะไปจัดการในครัว ฝากหนูดูแลตักกับข้าวให้คุณฤทธิด้วยนะ”
“ค่ะ” พอหล่อนรับปากเรียบร้อย ป้านวลก็หันไปยิ้มให้ผู้เป็นเจ้านายก่อนจะหมุนตัวเดินออกไป “คุณจะทานอะไรคะ เดี๋ยวหนูตักให้”
ฤทธิยกมือโบก
“ทำอย่างกับฉันเป็นง่อย เธอกินไปเถอะ ไม่ต้องห่วง ฉันอยากกินอะไรเดี๋ยวฉันตักของฉันเอง” พูดจบเจ้าตัวก็ตักกับข้าวในจานตรงหน้าใส่จานตัวเอง ต่อด้วยจานของหล่อน
พนิตนันท์ตาโตรีบยกมือไหว้ปะลกๆ
“ขอบคุณค่ะ”
“กินเยอะๆ ไหนจะต้องเรียนหนังสือแล้วมาช่วยงานลินินอีก ขืนผอมลงเดี๋ยวแม่เธอจะว่าที่นี่เลี้ยงไม่ดี”
พนิตนันท์ยิ้มแหย...แม่ไม่มาสนใจหรอก ตั้งแต่หล่อนมาอยู่ที่นี่ แม่ไม่เคยถามไถ่สุขทุกข์อะไรอีกเลย ขนาดว่าเสาร์อาทิตย์หล่อนกลับไปค้างที่บ้าน ยังรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นส่วนเกินอย่างบอกไม่ถูก
แค่อาทิตย์แรกห้องนอนก็ถูกน้องชายยึดเสียแล้ว
อาทิตย์ถัดมาหล่อนต้องไปนอนห้องเดียวกับแม่ แต่ก็อึดอัดกับสายตาของผัวใหม่แม่ที่ชอบแอบมอง อาทิตย์นี้พนิตนันท์คิดว่าจะไม่กลับไปค้างที่บ้าน คงแค่แวะไปหาแม่แล้วก็กลับ
“เมื่อเช้าเธอบอกจะไปกับเพื่อน เพื่อนอยู่แถวนี้เหรอ” จู่ๆ คนตรงหัวโต๊ะก็ถามขึ้นมา น้ำเสียงเหมือนผู้ใหญ่ที่กำลังซักไซ้ไล่ความเด็กในปกครอง “ค่ะ นันท์เพิ่งทราบว่าเขาอยู่ซอยถัดไปนี่เอง” คนฟังพยักหน้ารับรู้ “ผู้หญิงหรือผู้ชาย?” “ผู้ชายค่ะ” หญิงสาวตอบเสียงเบาหวิวทีเดียวเมื่อจับกระแสเสียงเข้มในคำถามนั้นได้ “ทำอะไรก็ระวังเนื้อระวังตัวไว้ เธอน่ะเป็นผู้หญิง ไปไหนกับผู้ชายสองต่อสองมันไม่ดี” วูบหนึ่ง...พนิตนันท์นึกถึงวันก่อนนั้นที่เขารับหล่อนขึ้นรถไปส่งที่มหาวิทยาลัยแต่กลับแวะที่คอนโดมิเนียมให้หล่อนซักชุดนักศึกษาและรอจนแห้ง ถึงแม้ว่าเขาจะออกไปก่อนทิ้งให้หล่อนรอเพียงลำพังก็ตาม แต่มันก็เข้าค่ายเดียวกันไม่ใช่เหรอ? หากหล่อนเลือกที่จะนั่งนิ่งๆ ก้มหน้าก้มตากินข้าวในจานไปเงียบๆ “วันก่อนนั้นเป็นข้อยกเว้น ฉันโตแล้ว และเธอก็เหมือนเด็กในปกครอง แม่ก็เคยมาทำงานที่นี่ ตอนนี้ตัวเธอเองก็มาทำงานที่นี่เหมือนกัน” น้ำเสียงเรียบเรื่อยนั้นจี้ใจอย่างจัง “ค่ะ” พนิต
ฤทธิถอดเสื้อผ้าใส่ตะกร้าผ้าซักใต้เคาน์เตอร์อ่างล่างหน้าในห้องน้ำภายในห้องนอนส่วนตัว แล้วยืนมองเงาสะท้อนของตนเองในกระจกเขาภูมิใจกับเรือนร่างกำยำล่ำสันที่แลกมาด้วยการมีวินัยในการดูแลตัวเองทั้งเรื่องอาหารการกินและการออกกำลังกายซึ่งเขาปฏิบัติมาเป็นเวลายาวนานหลายปีเขาไล่สายตาจากกล้ามหน้าอกผ่านกล้ามท้องที่เห็นซิกส์แพ็กชัดเจน มาหยุดที่ชั้นในผ้าคอตตอนสีขาวสะอาดตานั่นไง...ตัวปัญหา!วันนี้เขาเป็นอะไรถึงได้เกิด ‘อารมณ์’ ขึ้นมาแบบนี้ ปกติเขาก็หักห้ามตัวเองได้ ด้วยการเอาใจไปไว้ที่งาน ใครต่อใครก็บอกว่าเขาเป็นคนบ้างานมีเพียงเขา...และลินิน ผู้เป็นภรรยา ที่รู้เหตุผลของการบ้างานนี้ดีเขาบ้างานทำแต่งานเพื่อที่จะทำให้ตัวเองยุ่งตลอดเวลา พอยุ่งก็ไม่มีเวลามาคิดเรื่องอื่น โดยเฉพาะ...เรื่องเซ็กส์ระหว่างเขากับภรรยาฤทธิก็เหมือนผู้ชายทั่วไปที่ยังมีความต้องการทางกาย แต่เมื่อภรรยาป่วยกระเสาะกระแส เทียวเข้าออกโรงพยาบาลเพราะสุขภาพทรุดโทรม เขาก็ไม่อยากฝืนใจหล่อนสุดท้ายจึงแยกห้องนอนกันเพื่อตัดปัญหาความรักที่มีต่อภรรยาทำให้ฤทธิปฏิเสธการมีสัมพันธ์ทั้งในแบบถาวรหรือชั่วคราวกับผู้หญิงอื่น ทั้งที่ลินินเคยเสนอทางเลือกใ
ฤทธิค่อยๆ พลิกร่างโปร่งบางของสาวน้อยให้ลงไปนั่งกึ่งนอนอยู่บนพื้นตรงจุดที่มั่นใจว่าปลอดเศษกระเบื้อง เจ้าหล่อนยังหลับตาแน่นเช่นเดิม และค่อยๆ ชันตัวขึ้นนั่งกอดเข่าไว้หลวมๆ ชายหนุ่มใช้สายตาสำรวจเร็วๆ จึงเห็นว่าเท้าซ้ายของหล่อนมีเลือดไหล“นั่งอยู่ตรงนั้นห้ามขยับ เธอเหยียบกระเบื้องเท้าเป็นแผล ให้ฉันดูก่อนว่ามีเศษกระเบื้องติดอยู่หรือเปล่า”ปากสั่ง ส่วนตัวก็ก้าวยาวๆ ข้ามไปหยิบผ้าเช็ดตัวขึ้นมาพันกายท่อนล่างเอาไว้ เรียบร้อยแล้วก็เดินกลับมา เขาคุกเข่าลงขางหนึ่งแล้วช้อนร่างสาวน้อยขึ้นมาไว้ในวงแขนอีกครั้ง“ว้าย!” เจ้าหล่อนร้องเมื่อรู้สึกตัวว่าตนเองลอยขึ้นจากพื้น ดวงตาที่ปิดสนิทเบิกโพลงด้วยความตกใจ สองแขนยกขึ้นโอบรอบคอของเขาโดยอัตโนมัติใบหน้าของทั้งคู่อยู่ห่างกันไม่กี่คืบ ดวงตาสองคู่สานสบกันนิ่ง แวบหนึ่งฤทธิคล้ายเห็นแววตาบางอย่างฉายผ่านดวงตาคู่สวยของสาวน้อย ก่อนที่จะแปรเป็นแววตระหนกฤทธิเลื่อนสายตาจากดวงตาคู่นั้นลงมาที่ริมฝีปากสีกลีบกุหลาบแล้วก็มิอาจถอนสายตาไปไหน...น่าจูบ...จู่ๆ ความคิดนั้นก็ผ่านเข้ามาในความคิด และเมื่อใจรับรู้ ร่างกายก
ฤทธินอนกระสับกระส่ายอยู่บนเตียง เขาง่วงนอนจนจะหลับอยู่รอมร่อ แต่ทุกครั้งที่หลับตาก็เห็นแต่ภาพสาวน้อยคนนั้นหลับตาพริ้มรับจูบหวานซ่านในอ้อมกอดของตนหากจินตนาการกลับไปไกลกว่านั้น...เมื่อระลึกถึงสัมผัสจากปลายมือยามได้โลมลูบไปบนเนื้อตัวเจ้าหล่อน ใจกลับเต้นระทึกจนแทบโลดออกมานอกอก กลางกายปวดหนึบจนเผลอเปล่งเสียงแหบพร่าออกมา...เป็นบ้าอะไรวะเนี่ย หยุดคิดแล้วหลับสักที!...แต่ยิ่งห้ามตัวเอง ใจก็ยิ่งเตลิด ภาพในมโนความคิดนั้นไปไกลแสนไกลจนเจ้าตัวได้แต่นอนดิ้นกระสับกระส่ายบนเตียงกระทั่งเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นตอนห้าทุ่มเศษ มือคว้าสะเปะสะปะกระทั่งเจอโทรศัพท์มือถือ ปรือตาหนักอึ้งขึ้นมองชื่อของภรรยาที่ปรากฏบนหน้าจอ เมื่อรับเสียงปลายสายฟังดูสดใสไม่น้อย“ฤทธิคะ ลินินจะโทรมาบอกว่าคืนนี้ลินินจะกลับดึกหน่อยนะคะ หรือไม่ก็อาจจะค้างบ้านคุณพ่อคุณแม่ค่ะ”“อืม” เขาตอบได้แค่นั้น รู้สึกว่าสติสัมปชัญญะตนเองกำลังจะดับในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้านี้แล้ว“ค่ะ ถ้างั้นแค่นี้นะคะ ฝันดีค่ะ”โชคดีที่ปลายสายไม่ต่อความยาว ทันทีที่ฝ่ายนั้นวางสาย เขาก็พ่นลมหายใจ
เย็นนั้นเมื่อฤทธิกลับมาถึงบ้าน เขาเดินหาภรรยาไปทั่ว ทั้งที่ห้องอเนกประสงค์ที่หล่อนมักใช้เวลาคลุกอยู่ในนั้นทำงานฝีมือจุกจิก ไม่ก็อ่านหนังสือ ทั้งที่เรือนกระจกสำหรับปลูกแค็คตัส แต่ก็หาไม่เจอกระทั่งเขาได้ยินเสียงหล่อนลอยมาจากชั้นบน เดินตามขึ้นไปจึงเจอว่าหล่อนกำลังกำกับคนรับใช้ให้ทำความสะอาดห้องพระอยู่นั่นเองก้าวแรกที่คนตัวโตสูงใหญ่ย่างเข้าไป สายตาก็ปะทะเข้ากับร่างเล็กบอบบางที่กำลังสาละวนเช็ดตู้โต๊ะอยู่ ฤทธิชะงัก ยืนนิ่งก่อนที่ความกรุ่นโกรธแล่นวูบขึ้นหน้าเมื่อภาพอันลางเลือนบางภาพผ่านเข้ามาในความนึกคิดภาพที่ไม่ควรหลงเหลืออยู่ในหัวเขาแม้แต่น้อย“ผมบอกแล้วไงว่าไม่อยากเห็นหน้าเด็กคนนี้อีก” เสียงเข้มจัดของเขาทำให้คนที่กำลังเช็ดโต๊ะสะดุ้งสุดตัว เงยหน้าจากผ้าในมือขึ้นมอง แวบหนึ่งนั้นเขาเห็นแววตาน้อยเนื้อต่ำใจฉายผ่านดวงตาโตคู่นั้น แต่ก็แค่แวบเดียว หลังจากนั้นเจ้าหล่อนก็ก้มหน้างุดซ่อนแววตาไว้“ใจเย็นก่อนสิคะฤทธิ” ลินินเอาน้ำเย็นเข้าลูบ หล่อนลุกขึ้นเดินไปหาสามีพลางเกาะแขนเขาพาเดินออกจากห้องเพื่อคุยกันตามลำพังทั้งคู่เดินไปที่ห้องทำงานของฤทธิที่อย
เมื่อออกมาจากห้องทำงาน พนิตนันท์ก็แวะไปที่ห้องนอนของนายสาวเพื่อรายงานให้ทราบว่าหล่อนทำตามคำสั่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว“คุณลินินคะ หนูเอากาแฟไปเสิร์ฟตามที่สั่งเรียบร้อยแล้วนะคะ”“ดีจ้ะ ขอบใจมาก ต่อไปนี้สี่ทุ่มทุกวัน นันท์เอากาแฟไปเสิร์ฟคุณฤทธิแทนฉันทีนะจ๊ะ”“เอ่อ...แต่...” เจ้าหล่อนอึกอักก่อนจะเอ่ยสิ่งที่เจ้านายหนุ่มสั่งไว้ “คุณผู้ชายสั่งไม่ให้หนูไปค่ะ”ครั้นเห็นนายสาวนิ่งไม่พูดอะไร หล่อนก็ล่าถอยออกมา แล้วตรงกลับเข้าห้องของตนทันทีหญิงสาวเดินไปนั่งตรงขอบเตียงพลางก้มลงมองหน้าท้องของตนเองที่ยังแบนราบ จตนยลูบเบาๆ พลางนึก...ถ้าหล่อนท้องขึ้นมาจริงๆ จะเป็นอย่างไร สำหรับเด็กสาวอายุสิบเก้าที่ชีวิตยังมีแค่เรื่องเรียนและเรื่องทำงานหาเงินเพื่อช่วยเหลือครอบครัว คำว่า ‘แม่’ จึงนับเป็นเรื่องไกลตัว ไม่ใช่แค่ไม่เคยมีแฟน แต่พนิตนันท์ยังไม่เคยมีเรื่องนี้อยู่ในหัวแม้แต่น้อยหล่อนอาจจะมีใครบางคนซุกซ่อนไว้ในใจ เป็นคนที่แอบชอบแอบชื่นชมอยู่ลับๆ แต่มันก็เป็นแค่เพียงความรู้สึกที่เก็บไว้คนเดียว ไม่เคยคิดจะบอกใครหรือแม้แต่จะแสดงตัวให้อีกฝ่ายรู้หญิงสาวยกมื
“นันท์ ฉันฝากดูแลคุณฤทธิด้วยนะระหว่างที่ฉันกลับไปอยู่ที่บ้านแม่”พนิตนันท์อ้าปากค้างเมื่อได้ยินประโยคนั้นจากนายสาว ทุกอย่างดูปุบปับไปหมด เพิ่งเกิดเรื่องไปวันก่อน มาวันนี้นายสาวกลับบอกว่าจะไปอยู่บ้านแม่ แถมยังฝากฝังให้ดูแลสามีเสียอีกเด็กสาวยังไม่ตกปากรับคำในทันที แต่กลับอ้ำอึ้งราวมีอะไรอยากจะเอื้อนเอ่ย ลินินจับอาการนั้นได้จึงออกปากถามออกมา“มีอะไรหรือเปล่า?”“เอ่อ เมื่อคืน...หนูกลับไปคิดดูอีกที หนูขอไม่รับเงินที่คุณจะให้ได้ไหมคะ” ไม่น่ายากนี่ เพราะที่ตกลงกันก็ยังเป็นเพียงสัญญาปากเปล่า หล่อนเองก็ยังไม่ได้รับเงินมาเสียหน่อย “แล้วหนูก็อยากขอกลับไปอยู่บ้าน ส่วนเรื่องท้องไม่ท้อง ถ้ารอบเดือนไม่มาหนูจะรีบมาบอกคุณทันทีเลยค่ะ ถึงตอนนั้นถ้าหนูท้องแล้วคุณอยากให้หนูมาอยู่ที่นี่ หนูก็จะมาค่ะ”เมื่อได้ฟังลินินนิ่งงันไป เพราะไม่นึกว่าเด็กท่าทางหัวอ่อนอย่างพนิตนันท์จะเกิดเปลี่ยนใจขึ้นมาแบบนี้“นันท์อยู่ที่นี่ไปก่อนไม่ดีกว่าเหรอ...อย่างน้อย ก็รอจนรอบเดือนมาก็ได้นี่ หลังจากนี้ฉันคงเวียนเข้าเวียนออกโรงพยาบาล จะได้ไม่กังวลเรื่องนันท์ อยู่ที่นี่ฉันก็ยังฝาก
พนิตนันท์ร้องเตือนแล้วก็ยกมือขึ้นบังหน้าตามสัญชาตญาณ เสียงโครมดังสนั่นพร้อมแรงกระแทกจนกระเทือนเลือนลั่น ดีว่าทั้งพนิตนันท์และอาชว์คาดเข็มขัดนิรภัย จึงยังนั่งติดเบาะไม่ได้พุ่งทะยานทะลุกระจกออกไปตามแรงกระแทก ทว่าสายของเข็มขัดนิรภัยที่รั้งไว้ก็ทำให้เจ็บตัวไม่น้อย“โอ๊ย...” พนิตนันท์ร้องโอดโอยจากนั้นความวุ่นวายก็เกิดขึ้นเมื่อรถคันหน้าที่อาชว์ขับไปชนท้ายเข้า เดินมาตบประตูรถด้วยท่าทางโมโหฉุนเฉียว เสียงก่นด่าดังลั่น“ขับไงวะ...แม่ง ไม่เห็นหรือไงว่ากูหยุดแล้ว เสือกมาชนท้ายได้ แล้วนี่กูยิ่งรีบๆ จะไปทำงาน”อาชว์ไม่สนใจเจ้าของรถคู่กรณี แต่กลับหันมาหาหล่อน ละล่ำละลักถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง“นันท์เจ็บตรงไหนหรือเปล่า?”“ไม่ต้องห่วงเรา เราไม่เป็นไร” หล่อนบอกพลางชี้ให้ผู้เป็นเพื่อนสนใจคู่กรณี “อาชว์ลงไปคุยกับเขาก่อนดีกว่า รถมีประกันไหม? เดี๋ยวเราโทรเรียกให้”“มี เอกสารอยู่คอนโซลตรงหน้านันท์แหละ เราฝากด้วยนะ” พูดจบอาชว์ก็ปลดล็อกประตูแล้วก้าวลงไปทันทีพนิตนันท์ยังไม่ทันจะเปิดคอนโซลหาเอกสารประกัน ประตูรถข้างที่หล่อนนั่งก็เปิดออกพร้อม
พนิตนันท์มองตามรถคันใหญ่ที่แล่นออกไปอยู่ชั่ววินาทีก่อนจะหมุนตัวแล้วก้าวเท้าเดินไปยังอาคารเรียนซึ่งอยู่ถัดไปหล่อนย้ายมาอยู่ที่คอนโดมิเนียมประมาณอาทิตย์เศษ ความจริงที่นี่อยู่ใกล้มหาวิทยาลัยของหล่อนไม่น้อย ทว่าทุกเช้าฤทธิขับรถมาส่งคืนไหนเขาค้างด้วยก็ง่ายหน่อย แต่คืนไหนเขาไม่ได้มาค้าง ก็จะแวะมารับตอนเช้าแล้วไปส่งที่มหาวิทยาลัย“นันท์...นันท์...รอด้วย” เสียงเรียกคุ้นหูดังขึ้นข้างหลังเมื่อหันไปพนิตนันท์จึงเห็นว่าเป็นวิจิตรา...เพื่อนสนิทของตนนั่นเอง จึงเอ่ยทัก“อ้าว...วิว มานานยังอะ”“ก็มาตะกี้พร้อมๆ แกอะแหละ”คำตอบของเพื่อนทำให้รอยยิ้มของพนิตนันท์เจื่อนไปนิด เพราะนั่นหมายความว่า...วิจิตราต้องเห็นว่ามีคนมาส่งหล่อน“แกไม่ได้มาพร้อมอาชว์เหรอวะ ตะกี้ฉันเห็นแกลงจากรถ แต่จำได้ว่าไม่ใช่รถอาชว์” นั่นไง...จริงอย่างที่คิดไหมล่ะ“อือ...พอดีนายจ้างเราเขาให้ติดรถมาเพราะมาทางเดียวกันน่ะ เราเลยไม่ได้มาพร้อมอาชว์แล้ว” หล่อนแก้ตัว“อ๋อ...มิน่า พักนี้อาชว์มันซึมไปเลย แกไม่ยอมนั่งรถมันนี่เอง” วิจิตราทำตาเล็กตาน้อยใส่จนต้องรีบปฏิเ
เสียงนาฬิกาปลุกจากโทรศัพท์มือถือที่พนิตนันท์ตั้งไว้ทำหน้าที่ของมันตามปกติ หญิงสาวปรือตาตื่นขึ้นมาอย่างยากลำบาก เอื้อมไปปัดหน้าปัดโทรศัพท์เพื่อปิดแอพนาฬิกาปลุกทว่าแทนที่จะตื่นหล่อนกลับฟุบหลับต่อ แต่กลับต้องแปลกใจเมื่อที่นอนนั้นช่างแข็งเหลือเกิน...มือบอบบางค่อยลูบไปบนที่นอนช้าๆ อย่างสำรวจตรวจตรา...“อืม...” เสียงครางในลำคอของใครบางคนทำให้หล่อนลืมตาตื่นในทันที นั่นแหละ...สติจึงกลับมาอย่างสมบูรณ์พร้อมกับภาพต่างๆ นานาที่เกิดขึ้นเมื่อคืนประดังประเดเข้ามาไม่ขาดสายคืนนั้นหล่อนยังพอพูดได้ว่า...จำอะไรไม่ได้มาก ทุกอย่างเหมือนฝัน คลับคล้ายคลับคลาเหมือนจะจำได้...แต่ก็จำไม่ได้ แต่จะบอกว่าจำไม่ได้...มันก็ไม่เชิงแต่เมื่อคืนนี้...ไม่ใช่แบบนั้น!ภาพทุกอย่างชัดเจนยิ่งกว่าภาพสามมิติ ที่สำคัญ...หล่อนยังยินยอมพร้อมใจ...และพึงพอใจกับเซ็กส์ที่เขามอบให้อย่างมากมันดี...ดีมากเสียจน...แค่หลับตานึกถึง...เนื้อตัวก็วูบวาบขึ้นมา“ถ้ายังไม่หยุดลูบ...รับรองว่าเธอไปเรียนสายแน่...สาวน้อย” เสียงแหบพร่าดังขึ้นพร้อมกับที่มือแข็งแรงจับข้อมือของหล่อนไว้ไม่ได้จับเ
ฤทธิครอบครองริมฝีปากหญิงสาวแล้วสอดลิ้นเข้าไปเกี่ยวกระหวัดเรียวลิ้นชุ่มชื้นขณะที่มือข้างหนึ่งไต่ลงต่ำผ่านหน้าท้องแล้วซุกกลางหว่างขาที่ยังคงชุ่มชื่น...ทั้งจากน้ำหวานที่หลั่งรินและจากน้ำลายของเขา เกร็งนิ้วสอดเข้ากลางกลีบอวบแล้วขยับเข้าออกด้วยจังหวะเนิบนาบเพื่อปูทางให้ความแข็งขึงกลางกายเขามันขยับขยายเต็มที่ และตอนนี้เขาก็ปวดหนึบจนทนแทบไม่ไหวเขาถอนนิ้วออก สาวน้อยแทบจะผวากายตามมา มือแข็งแรงจับต้นขาเจ้าหล่อนแล้วแบะกว้างเปิดทางให้สะโพกสอบเข้าแทรกกลาง ความแข็งแกร่งจดจ่ออยู่กลางกลีบชุ่มฉ่ำก่อนจะแทรกเข้าไปทีละนิดความแน่นหนึบที่โอบล้อมทุกทิศทางทำให้ฤทธิถึงกับกัดฟันเมื่อความเสียวซ่านที่มีจุดศูนย์กลางอยู่ตรงกึ่งกลางกายกำลังแผ่กระจายไปทั่วทั้งตัวไม่ต่างจากกระแสไฟที่ไหลไปตามสาย“อะ...” เสียงของสาวน้อยพร้อมทั้งมือที่ยกขึ้นแตะอกเขาทำให้ฤทธิหยุดชะงัก“เจ็บเหรอ?” เขาถาม...ถึงครั้งนี้จะเป็นครั้งที่สอง แต่เจ้าหล่อนก็อาจจะยังรู้สึกเจ็บอยู่บ้าง“ม...ไม่ค่ะ แค่...อึดอัด”“เดี๋ยวก็ชิน” เขาบอกพลางออกแรงเพิ่มขึ้นอีกนิดกระทั่งฝากฝังตัวตนเข้าไปจนสุด จึง
เมื่อเปิดประตูคอนโดมิเนียมเข้าไป นอกเสียจากความมืดโดยรอบแล้ว สิ่งหนึ่งที่ปะทะฆานประสาทของชายหนุ่มคือกลิ่นหอมของสบู่และเครื่องประทินผิวที่เจือจางอยู่ในอากาศ นับเป็นความแปลกใหม่ ที่น่ารื่นรมย์ไม่น้อยทั่วท้องห้องเงียบเชียบ...สาวน้อยคงเข้านอนไปแล้วกระมัง เพราะนี่ก็ดึกมากแล้ว อีกไม่กี่นาทีก็จะเที่ยงคืน...ฤทธิไม่รู้เหมือนกันทำไมเขาถึงมาที่นี่...แทนที่จะกลับบ้าน ทั้งที่เหนื่อยจนตาแทบจะปิด แถมระยะทางระหว่างคอนโดมิเนียมกับโรงพยาบาลก็ไม่ใช่ใกล้ เทียบกันแล้วบ้านเขาอยู่ใกล้โรงพยาบาลมากกว่าด้วยซ้ำแต่เขามา...เพราะเป็นห่วงคนที่นอนหลับอยู่ในห้องนั่นแหละฤทธิหมุนลูกบิดประตูห้องนอนอย่างระมัดระวังกลัวจะปลุกคนที่กำลังหลับสบายอยู่บนเตียงนอนขนาดคิงไซส์กลางห้อง ชายหนุ่มเดินไปหยุดอยู่ตรงปลายเตียงมองเงาตะคุ่มของร่างบอบบางที่นอนขดตัวอยู่บนเตียงโดยที่ผ้าห่มไปกองอยู่ตรงปลายเท้าท่าทางเหมือนกำลังหนาว...เขาดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมให้จนมิดชิด จากนั้นก็เดินเลยไปเข้าห้องน้ำ...แม้จะง่วงแสนง่วง ก็ขออาบน้ำสักนิดเถอะเมื่อออกมาจากห้องน้ำในชุดนอนสบา
“ดีใจจังที่ป้านวลมา”ประโยครำพึงของสาวน้อยทำให้คนสูงวัยกว่ายิ้มออกมาด้วยความเอ็นดู ป้านวลรู้จักพนิตนันท์มาตั้งแต่เป็นเด็กหญิงตัวผอมบาง พอจะรู้จักนิสัยใจคอกันอยู่ว่าสาวน้อยคนนี้เป็นเด็กใฝ่ดีรักเรียนและรู้จักเจียมเนื้อเจียมตัวเทียบกับคนเป็นแม่แล้ว...บางครั้งนางก็อยากจะเชื่อว่าพรรณีไปขโมยลูกใครสักคนมาเลี้ยงด้วยซ้ำ ค่าที่ทั้งคู่ต่างกันราวฟ้ากับเหว“หนูนันท์เป็นไง เจ็บตรงไหนบ้าง เห็นคุณฤทธิบอกเกิดอุบัติเหตุ” พูดพลางสำรวจเนื้อตัวเด็กสาวไปด้วย เด่นชัดสุดน่าจะรอยแผลตรงหน้าผากชิดไรผม“หัวแตก แล้วก็ฟกช้ำ ปวดระบมเนื้อตัวค่ะ”“คิดว่าฟาดเคราะห์นะหนูนันท์”“ค่ะ เพื่อนนันท์ขับไม่เร็วด้วยค่ะ เลยไม่ได้เป็นอะไรมาก”“โชคดีไปค่ะ หิวหรือยังคะเดี๋ยวป้าอุ่นอาหารมาให้ เอามาให้เยอะแยะไว้เก็บใส่ตู้เย็นกินได้อีกหลายวัน ถ้าหมดก็โทรบอกป้า จะได้ทำมาเพิ่มให้ หรืออยากกินอะไรก็บอกป้า”“ขอบคุณค่ะป้า แต่หนูคงไม่รบกวนหรอกค่ะ หนูพอทำกับข้าวเป็นอยู่บ้าง” รอยยิ้มบนใบหน้าคนพูดหมองลงเมื่อเอ่ยประโยคถัดมา “หนูคิดถึงบ้านจังเลยค่ะป้า แต่...หนูไม่มีบ้านจะให้กลับ”“
จุมพิตหวานซ่านเริ่มร้อนแรงขึ้นและดูท่าว่าจะหยุดไม่ได้ง่ายๆ ลมหายใจทั้งคู่เริ่มสะท้านไปกับความหวิวไหวที่ซ่านขึ้นมาระลอกแล้วระลอกเล่าความรู้สึกปั่นป่วนในช่องท้องที่มากขึ้นทุกทีทำให้พนิตนันท์สับสน ใจหล่อนร่ำร้องต้องการมากกว่านี้...แต่อีกใจก็อยากให้เขาหยุดหล่อนกลัว...กลัวตนเองยิ่งกว่าอื่นใดเมื่อตระหนักว่าตนเองชอบสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังทำและตอบสนองเขาราวกับหญิงช่ำชอง ทั้งที่คืนนั้นหล่อนจำอะไรแทบไม่ได้ด้วยซ้ำฤทธิผละริมฝีปากออกจากกลีบปากบวมเจ่อเพราะจูบของเขา“บอกเหตุผลดีๆ ฉันสักข้อสินันท์ ว่าทำไมฉันควรเปิดประตูนั้นแล้วเดินออกไป” เขากระซิบเสียงพร่าริมหูหญิงสาวก่อนจะซุกไซ้สูดดมขบติ่งหูเบาๆ ก่อนจะไล่เรื่อยลงมาตามลำคอระหง ร่างบอบบางหอบหายใจจนตัวโยน...หัวสมองอื้ออึงไปหมดพยายามจะคิดหาคำตอบให้เขา“คุณ...ต้อง...ไปทำงาน” ถ้อยประโยคนั้นขาดเป็นห้วง“ยัง...ยังไม่ดีพอ” เขากระซิบตอบ “ขอเหตุผลที่ดีกว่านี้ ไม่อย่างนั้นฉันรับรองได้ว่า อีกไม่เกินห้านาทีฉันอุ้มเธอขึ้นเตียงแน่”เขาไปแล้ว!หัวใจของพนิตนันท์สั่นจนแทบจะทะลุออกมานอกอกอยู่รอมร่อ หล
มือเรียวที่ถือปากกาไว้นั้นออกจะสั่นน้อยๆ คล้ายเจ้าตัวมีความลังเล จึงจดจ้องอยู่ตรงช่องว่างที่จะต้องลงลายมือชื่ออยู่หลายนาที กระทั่งเสียงกระแอมดังขึ้นจากคนที่นั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงกันข้ามจึงสะดุ้งแล้วเงยหน้ามองพร้อมรอยยิ้มจืดเจื่อน“เซ็นไปเถอะ มีสัญญาเป็นหลักฐานมันก็ดีสำหรับตัวเธอเองนั่นแหละ ในนั้นฉันระบุไว้ครบถ้วนทุกอย่างรวมถึงเรื่องเงินที่ฉันบอกว่าจะให้เธอทุกเดือน เดือนละหนึ่งแสนบาท เริ่มตั้งแต่เดือนนี้ไปจนกว่าเด็กที่คลอดออกมาจะมีอายุครบแปดเดือน”“แล้ว...ถ้าหนูไม่ท้องละคะ”“สัญญาก็จะมีผลไปเรื่อยๆ จนกว่าจะท้องและเด็กอายุครบแปดเดือน อยากท้อง...หรือไม่อยากท้องล่ะ”“ม...ไม่รู้ค่ะ” สาวน้อยสะบัดหน้าจนผมยาวที่รวบไว้เป็นหางม้าแกว่งไปมา “แล้ว...ทำไมต้องรอให้ครบแปดเดือนคะ?”หล่อนถามด้วยความสงสัย ขณะที่คนตอบกลับนึกขันในความขี้สงสัยนั้น ความคิดผ่านเข้ามาวูบหนึ่ง...หล่อนอายุสิบเก้าเท่านั้นเอง ถึงจะไม่ใช่เด็กแล้ว...แต่ก็ยังไม่ใช่ผู้ใหญ่ถ้าจะตั้งข้อสงสัยมากหน่อย ก็นับว่าไม่แปลกในเมื่อเป็นการตัดสินใจในเรื่องเกินอายุไม่น้อย ฤทธิยิ้มอย่างใจเย็นเมื่ออธิบายให้หล
ฤทธิลุกขึ้นแล้วก้าวตรงมาหาสาวน้อย เขาก้มลงช้อนร่างหล่อนขึ้นแล้วอุ้มเดินไปที่ห้องนอน พนิตนันท์หน้าแดงจัดด้วยความขัดเขินความคิดหล่อนเตลิดไปไกลเมื่อจดจำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่ตื่นมาพบตัวเองนอนอยู่ในห้องนอนของเขา...มันเกิดอะไรขึ้นทว่าเมื่อวางร่างสาวน้อยลงบนเตียงเรียบร้อย ฤทธิก็เอ่ยขึ้น“นอนพักก่อน เดี๋ยวขอฉันทำงานสักหน่อย...มีอะไรก็ไปเรียกฉันได้ที่ห้องทำงาน...อยู่ข้างๆ ห้องนี้แหละ”“เอ่อ แต่...หนูไม่ง่วง แล้วก็ไม่ได้เจ็บตัวอะไรเท่าไร ขอหนูไปมหาลัยไม่ได้เหรอคะ”“ไม่ได้!” พูดจบเจ้าตัวก็ตัดบทการสนทนาด้วยการก้าวขาฉับๆ ออกจากห้องนอนไปทันทีฤทธิเปิดประตูห้องข้างๆ ที่ตกแต่งเป็นห้องทำงานเล็กๆ ซึ่งมีเครื่องอำนวยความสะดวกพร้อมทุกอย่าง เป็นออฟฟิศย่อมๆ ที่ใช้ work from home ได้อย่างสบายเขาเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ขึ้นมาเพื่อเช็กเมล์ว่าเลขานุการส่งไฟล์ร่างสัญญามาให้ตรวจหรือยัง เมื่อยังไม่พบจึงได้โทรศัพท์ไปตามงานอีกครั้งจากนั้นจึงโทรศัพท์หาภรรยา...เพื่อบอกให้อีกฝ่ายรู้ว่าเขาตกลงจะทำอะไร“ลินิน...ผมอยากคุยเรื่องเด็กนั่น”
พนิตนันท์กลับออกมาจากโรงพยาบาลด้วยแผลเย็บที่หน้าผาก แม้แผลจะไม่ใหญ่มาก แต่ก็ลึกพอสมควร นอกนั้นก็มีเพียงอาการฟกช้ำดำเขียวตามเนื้อตัว กับอาการปวดระบมฤทธิพาหญิงสาวไปที่คอนโดมิเนียมของเขาตามที่บอกแต่แรก ระหว่างนั้นก็โทรศัพท์ไปสั่งงานที่ออฟฟิศไว้เรียบร้อยพอถึงห้องฤทธิประคองสาวน้อยไปนั่งตรงโซฟาในห้องรับแขก ส่วนตัวเขาก็เดินไปทรุดนั่งบนเก้าอี้นวมตัวที่ตั้งตรงข้ามกัน ความเงียบโรยตัวลงมาปกคลุมบรรยากาศจนทำให้คนที่เพิ่งเจ็บตัวมาอึดอัด รู้สึกราวกับว่ากำลังจะถูกพิพากษาลงโทษอย่างไรอย่างนั้น จึงได้แต่นั่งนิ่งๆ หลุบตามองมือตนเองที่ประสานกันอยู่บนตักเสียงถอนหายใจที่ดังมาจากคนที่นั่งฝั่งตรงกันข้ามทำให้หล่อนเงยหน้าขึ้นมอง แล้วก็รู้ตัวว่าคิดผิดเมื่อพบว่าเขามองมาอยู่ก่อนแล้ว สายตานิ่งขรึมลึกล้ำราวน้ำก้นบึ้งทะเลสาบทำให้หล่อนหายใจไม่ทั่วท้องยิ่งกว่าเดิม"ฉันไม่ชอบที่เธอไปยุ่งกับไอ้หนุ่มนั่น”ฤทธิไม่แน่ใจในความรู้สึกตัวเองนัก...แต่ที่แน่ๆ ในฐานะผู้ชาย เขาอ่านสายตาเด็กหนุ่มคนนั้นออก“อาชว์...น่ะเหรอคะ” พนิตนันท์ถามแววตาบอกชัดว่าไม่เข้าใจ...อาชว์เป็นเพื่อน...