กว่าจะรู้ตัวว่ารักก็เมื่อสาย สุดท้ายจึงได้รู้ว่า... สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าความตาย คือการอยู่อย่างเดียวดายใน "โลกที่ไม่มีเธอ" ****************************************** คำโปรย “สามีที่ดีงั้นเหรอ?” คนใจร้ายทวนคำด้วยสีหน้าเหยียดหยัน ดวงตาคมจัดที่เธอเคยหลงใหลมาตลอดกวาดมองตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าของคนที่กำลังเรียกร้องสิทธิ์ในฐานะภรรยาที่เขาไม่ต้องการอย่างเลือดเย็น จนคนถูกมองใจหาย รู้สึกหนาวยะเยือกในอก “ใช่ค่ะ เป็นสามีที่ดี พี่ทำเป็นไหม” คนถูกถามแค่นยิ้มเหี้ยม พลางใช้ลิ้นเดาะกระพุ้งแก้มตัวเองแบบกวนๆ “ก็คงทำเป็นมั้ง ถ้าเมียของฉันเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่เธอ” หญิงสาวหน้าเสีย ความขมขื่นแล่นขึ้นมาจุกที่คอหอย “เสียใจด้วยนะ ที่มันใช่ ไม่ว่าพี่จะคิดยังไง แต่ปูนก็เป็นเมียพี่...” “หึ ก็แค่เมียในนามไหม แต่เอาเถอะ ในเมื่อร่านอยากเป็นเมียฉันนัก ก็ทำหน้าที่ของเธอซะปูน ต่อไปนี้ฉันจะเอาเธอเป็นเมียให้หนำใจ เอา...จนเธอต้องร้องขอชีวิต!”
View Moreร้านอาหารที่ตั้งอยู่ในโรงพยาบาลหรูใจกลางเมืองแห่งหนึ่งมีผู้คนเข้ามาใช้บริการกันมากมายเพราะเป็นช่วงพักเที่ยง หญิงสาวร่างเพรียวระหงในชุดเดรสกระโปรงสีฟ้าดูอ่อนหวานเปิดประตูเข้ามาในนั้น เธอยืนเหลียวซ้ายแลขวาเหมือนกำลังหาใครสักคน จนกระทั่งได้ยินเสียงเรียก
“ปูน! ทางนี้...”
ปูน หรือ ปรียากร หันไปตามเสียงเรียกก็พบกับเพื่อนรักกำลังกวักมือหยอยๆ จึงเดินตรงเข้าไปหาทันที
“ขอโทษทีนะจิน รอเรานานหรือเปล่า รถติดมากวันนี้”
จิน หรือ จนิตา ส่ายหน้าไปมา
“ไม่นานหรอกแก เราทำงานที่นี่อยู่แล้วก็เลยมาไวเป็นธรรมดา”
“แล้ววันนี้งานไม่ยุ่งเหรอ เลยมีเวลาให้เราได้”
ปรียากรมองคุณหมอสาวด้วยรอยยิ้ม จนิตาทำงานเป็นแพทย์ด้านสูตินรีเวชมานานหลายปี แต่เธอก็เป็นเพื่อนสนิทกันตั้งแต่มัธยม รวมถึงสอบติดมหาวิทยาลัยเดียวกันแม้จะคนละคณะในขณะที่จนิตาเลือกคณะแพทย์ ปรียากรกลับเลือกเรียนบริหารเพื่อหวังจะช่วยงานธุรกิจของที่บ้าน จนกระทั่งต่างคนต่างแยกย้ายไปมีครอบครัวก็ไม่ค่อยได้เจอกันบ่อยนัก มีแต่ส่งข้อความหากันบ้างตามแต่จะสะดวก
“ยุ่งสิ ถ้าไม่ใช่แก ฉันคงไม่ออกมารับเอง แล้วนี่ผัวแกไปไหน ทำไมให้แกมาคนเดียวล่ะ”
ปรียากรถอนหายใจเฮือกใหญ่ เมื่อเอ่ยถึงผู้เป็นสามี
“เขาติดงานน่ะสิ แกก็รู้ว่าพี่ซีเป็นผู้บริหาร งานยุ่งจนแทบไม่มีเวลาไปไหน กลับก็ดึกทุกวัน”
“ยุ่งแค่ไหนก็ไม่ควรปล่อยให้เมียมาตรวจสุขภาพเตรียมความพร้อมก่อนมีลูกคนเดียวไหมยะ”
คนถูกเหน็บถอนหายใจอีกเฮือก รู้ดีแก่ใจว่าเพราะอะไรเขาคนนั้นถึงไม่มา หากไม่เห็นแก่ผู้ใหญ่ฝ่ายสามีที่คอยถามไถ่กันนักหนาว่าเมื่อไหร่จะมีหลานให้อุ้มเสียที เธอก็คงไม่ต้องลำบากใจเช่นนี้ ก็เด็กน่ะทำให้เกิดคนเดียวได้ที่ไหนถ้าอีกฝ่ายไม่ให้ความร่วมมือ
อ้อ! อาจจะได้ในกรณีที่เธอขอรับบริจาคสเปิร์มคนอื่นมา แต่จะต้องยุ่งยากทำเช่นนั้นไปทำไม ในเมื่อเธอมีสามีอยู่แล้วทั้งคน และเธอก็รักเขาสุดหัวใจขนาดนั้น แต่ทว่า...
“ปูน แกเป็นอะไรไป ทำไมนิ่งไปล่ะ”
“หืม เปล่านี่ ไม่เป็นไร แกกินอิ่มหรือยัง”
“อืม อิ่มแล้ว”
“งั้นเราไปกันเลยไหม”
“อ้าว แล้วแกไม่กินอะไรหน่อยเหรอ” คนถูกถามค้อนใส่
“กินอะไรล่ะ ก็แกบอกเองว่าให้ฉันงดข้าวงดน้ำก่อนตรวจแปดชั่วโมงไม่ใช่เหรอ ลืมแล้วหรือไงยะคุณหมอจิน”
“เออ...จริงด้วย ขอโทษๆ ฉันลืมจริงๆ ทำงานหนักจนเบลอแล้วเนี่ย งั้นรอแป๊บนะแก ขอไปจ่ายตังค์ก่อนนะ...เอ๊ะ!” ยังพูดไม่ทันจบ อีกฝ่ายก็อุทานออกมาเมื่อสายตาหันไปสะดุดเข้ากับใครบางคนที่กำลังลุกขึ้นพอดี
“นั่นมัน...สามีแกไม่ใช่เหรอปูน!” คำนั้นทำให้ปรียากรต้องรีบหันขวับไปมองตามทันใด แว่บแรกแอบดีใจที่เห็นเขา แต่ทว่าความดีใจนั้นอยู่ได้ไม่ถึงเสี้ยววินาทีเมื่อได้เห็นคนที่มาด้วย...
“แล้วนั่นเขามากับผู้หญิงที่ไหนน่ะ หน้าคุ้นๆ จัง”
ราวกับโดนฟ้าผ่ากลางหัว เมื่อเห็นใบหน้าของหญิงสาวที่เดินเคียงข้างสามีเธอด้วยรอยยิ้มประหนึ่งเป็นคู่รักหวานชื่น มีจังหวะหนึ่งที่ฝ่ายหญิงเหมือนจะสะดุด แต่ฝ่ายชายก็รีบเข้าประคองทันทีก่อนที่อีกฝ่ายจะล้ม ตั้งแต่แต่งงานกันมาเธอยังไม่เคยเห็นเขามีใบหน้าอ่อนโยนเช่นนั้นกับเมียแต่งอย่างเธอสักครั้ง แค่คิดหัวใจก็เจ็บแปลบขึ้นมา แน่นอนว่าเธอเองย่อมจำได้แม่นว่าคนที่เขากำลังประคับประคองดูแลราวกับไข่ในหินผู้นั้นเป็นใคร
“ก็ไหนแกว่าพี่ซีงานยุ่งไง...อ๊ะ! อ้าว! ยัยปูนรอฉันด้วยสิ” จนิตาเอะอะ เมื่อเห็นร่างเพรียวระหงของเพื่อนรักผลุนผลันเดินตามคนทั้งสองที่เพิ่งเดินออกไปจากร้าน จนทำให้คุณหมอสาวต้องรีบจ่ายเงินและวิ่งหน้าตั้งตามเพื่อนไปเพราะเกรงจะเกิดเรื่อง
ยามปกติปรียากรคือผู้หญิงอ่อนหวานใจดี แต่อย่าให้องค์ลงจนนางฟ้าต้องกลายร่างเป็นนางมารเชียว ซึ่งในกรณีตรงหน้านี่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
ปรียากรรู้สึกราวกับทุกย่างก้าวที่เธอกำลังเดินนั้นปูด้วยพรมหนามแหลมคมคอยทิ่มตำที่หัวใจ ยามที่ได้เห็นคนตรงหน้าทั้งสองสนทนากัน หัวเราะ หรือยิ้มให้กัน มันยิ่งบาดตาบาดใจทำให้เธอร้อนรุ่มในอกจนแทบหายใจไม่ออก เพราะสิ่งเหล่านั้นสามีสุดที่รักไม่เคยทำต่อเธอเลยตั้งแต่แต่งงานกันมา
“ยัยปูนรอฉันด้วยสิ”
จนิตารีบจ้ำอ้าวมาจนทันเพื่อนที่เดินตามสามีและผู้หญิงคนนั้นไปห่างๆ แต่ไม่คลาดสายตา โดยยังไม่ได้เข้าไปจิกหัวอีกฝ่ายตบด้วยความหึงหวง แต่มันก็ไม่แน่ ที่ยังไม่ได้ทำอาจจะเพียงเพราะอยากรู้ว่าทั้งสองมาทำอะไรที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งนี้
แล้วเพียงไม่นานคำตอบก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า ปรียากรเม้มริมฝีปากแน่น สะกดกลั้นอารมณ์ที่กำลังเดือดพล่านในหัวใจเมื่อมองเห็นป้ายชื่อแผนกที่คนทั้งสองเพิ่งเดินหายเข้าไปด้านใน
‘แผนกสูตินรีเวชกรรม’
จนิตาแอบหายใจไม่ทั่วท้อง หันไปมองหน้าเพื่อนรักที่ตอนนี้นิ่งจนน่ากลัว
“ปูน...ใจเย็นๆ ก่อนนะแก อาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิดก็ได้” คุณหมอสาวเอาน้ำเย็นเข้าลูบ แต่ในใจก็อดคิดไม่ได้ ชายหญิงจูงมือกันมาที่แผนกที่เธอทำงานอยู่มันจะมีสักกี่เรื่องกัน
“แกรอตรงนี้ก่อนนะอย่าเพิ่งเข้าไป เดี๋ยวฉันเข้าไปถามให้ก่อน จำไว้ว่าใจเย็นๆ ตั้งสติเข้าไว้ อย่าวู่วาม”
“อืม...” หญิงสาวนิ่งคิดตาม ก่อนพยักหน้ารับ ตาคู่งามที่ตอนนี้ร้อนผ่าวยังคงมองเข้าไปในศูนย์นั่นทั้งที่ไม่เห็นเงาของคนทั้งสองแล้ว ในหัวมีแต่คำถามเต็มไปหมด
เขามาทำอะไรที่นี่ แล้วทำไมถึงมากับผู้หญิงคนนั้น ที่ผ่านมาคนทั้งสองแอบคบกันลับหลังเธอหรือ ยิ่งคิดหัวใจก็ยิ่งยอกแสยง รุ่มร้อนไปหมดทั้งหัวใจ ต่อให้ไม่รักเธอก็ยังไม่รู้สึกเจ็บเท่านี้เลย
รอเพียงไม่นาน จนิตาก็เดินหน้าเครียดออกมาหาเพื่อนรัก
“พวกเขามาทำอะไรกันจิน บอกฉัน บอกมา...”
คนถูกคาดคั้นต้องสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนตัดสินใจเอ่ยออกมา
“ฝากครรภ์!”
ร่างเพรียวบางถึงกับเข่าอ่อนเกือบทรุดฮวบทันทีที่ได้ยินคำนั้น
“ท...ท้องงั้นเหรอ!”
เป็นความรู้สึกที่สุดแสนจะพิเศษเกินกว่าจะหาคำบรรยายใดๆ มาบอกได้ ในวินาทีที่ผิวกายอ่อนบางได้สัมผัสกับไออุ่นจากอกของพ่อเป็นครั้งแรกในชีวิต ฉัตรินรู้สึกตื้นตันจนน้ำตาซึมออกมาโดยไม่รู้ตัวนี่คือลูกของเขา ลูกที่เขาเกือบพลั้งทำลายด้วยทิฐิอย่างร้ายกาจ แต่มาวันนี้เขาสามารถเสียสละทุกสิ่งที่มีเพื่อให้คนในอ้อมอกนี้มีชีวิตที่ดีที่สุดเท่าที่พ่อคนหนึ่งจะให้ได้น่าเสียดายที่แม่ของเจ้าตัวน้อยยังไม่ฟื้น หาไม่เธอคงจะมีความสุขมากที่ได้เห็นลูกน้อยของเราในวันนี้หลังจากครบเวลาที่กำหนด ทารกน้อยก็ถูกอุ้มใส่รถเข็นสำหรับเด็ก เพื่อไปให้นมก่อนจะพาไปหาคุณแม่ที่ห้องพักฟื้นโดยปกติฉัตรินไม่ใช่คนรักเด็กหรืออินอะไรกับเด็กมาก่อน แต่ทว่าหลังจากที่มีลูก ชายหนุ่มกลับกลายเป็นคุณพ่อลูกอ่อนที่ใจบางเสมอเวลาที่ได้เจอหน้าเจ้าตุ๊กตาน้อยๆ ที่ชื่อน้องปูเป้“ไงคะลูกพ่อ ทักทายคุณแม่หน่อยสิลูก”เสียงสองก็มา เขาได้แต่ขำตัวเอง อย่าให้ใครที่บริษัทมาได้ยินเลยว่าท่านประธานทำเสียงแบบนี้ คงสิ้นความยำเกรงกันก็คราวนี้แต่ช่างประไร ใครสน ลูกเขาออกจะน
ท่ามกลางสายตาของครอบครัวทั้งสองฝ่ายรวมถึงเพื่อนสนิทของหญิงสาวอย่างจนิตา ที่คอยมองความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นของคนที่เคยใจร้ายกับเพื่อนเธอมาสารพัดอย่างสงสารแกมสมน้ำหน้า ที่กว่าเขาจะรู้ว่าตัวว่ารักก็เกือบต้องสูญเสียปรียากรและลูกสาวไปตลอดกาลเสียแล้วยังดีที่เบื้องบนยังให้โอกาสแก้ตัว แต่ก็นับเป็นบทเรียนและบททดสอบชีวิตคู่ที่หนักหนาสาหัสเอาการทีเดียวเย็นวันหนึ่งหลังจากที่เขากลับมาจากบริษัท และเข้าไปเยี่ยมลูกสาวที่ห้อง NICU หรือห้องผู้ป่วยทารกแรกเกิดระยะวิกฤตเหมือนเช่นทุกวัน พออัดคลิปเสร็จและได้ข่าวดีว่าลูกสาวตัวน้อยจะได้ออกจากตู้อบแล้วในอีกสองวันข้างหน้า ชายหนุ่มจึงเก็บข่าวดีนี้มาบอกแม่ของลูกที่ห้องพักฟื้นของเธอ“ปูนจ๋า...วันนี้พี่มีข่าวดีมาบอกด้วยนะ”เขาชินเสียแล้วกับการต้องพูดเองเออเองคนเดียวให้เธอฟัง ทั้งที่อีกฝ่ายไม่รับรู้เรื่องราวอะไร นอกจากนอนหลับ“น้องปูเป้ ลูกสาวของเราจะได้ออกจากตู้อบวันมะรืนนี้แล้วนะ ดีใจไหม” ทุกครั้งที่เอ่ยถึงชื่อของลูกรัก ชายหนุ่มต้องมีรอยยิ้มเสมอปูเป้ ที่แปลว่า ตุ๊กตา ในภาษาฝรั่งเศสที่เขาเป็นคน
ความรักเป็นเช่นนี้เอง...ให้ได้ทุกอย่างกระทั่งชีวิต ขอเพียงคนที่รักปลอดภัยทำไมนะ เขาถึงเพิ่งมาเข้าใจในวันที่เกือบสายเพียงคิดว่าต้องเสียเธอกับลูกไปต่อหน้าต่อตา แล้วเขาจะมีชีวิตอยู่ต่อยังไง ให้ตายแทนเสียยังดีกว่า ต้องอยู่ในโลกที่ไม่มีเธอกับลูก!เพียงคิด หัวใจก็ปวดหนึบ มันมึนมันชาไปหมด“ตั้งสติไว้ลูก ไม่ใช่เวลาร้องไห้ เขาไม่ใช่แค่ลูกเมียแก แต่ในนั้นก็ลูกสาวและหลานสาวของพ่อกับแม่เหมือนกัน หายใจลึกๆ เข้าไว้ อะไรจะเกิดเราต้องยอมรับให้ได้” คุณเกรียงไกรเตือนสติจนิตาหน้าเสียในฐานะหมอเธอยอมรู้ดีกว่าใคร แม้จะเคยผ่านความเป็นความตายมานักต่อนักบอกได้คำเดียว เคสนี้ยาก เอาแค่แม่หากผ่าตัดสำเร็จ โชคดีอาจฟื้น แต่โชคร้ายอาจกลายเป็นเจ้าหญิงนิทรา ไหนจะเด็กที่คลอดอีกล่ะ หกเดือนเศษตัวยังเล็กนัก หากโชคดีรอดก็อาจต้องอยู่ในตู้อบอีกนานเท่าไหร่ยังไม่รู้ แต่นั่นยังไม่สำคัญเท่ากับจะรอดในสภาพไหน สมบูรณ์ หรือไม่ต่างหากยากเกินไป ยากจริงๆทุกนาทีที่ผ่านไปช่างบีบหัวใจคนที่รอ นานหลายชั่วโมง ก่อนที่ประตูจะเปิดอีกครั้ง พร้อมกับตู้อบที่มีทารกร่างเล็กน
ปรียากรได้แต่เก็บความสงสัยไว้โดยไม่ถามต่อ ในเมื่อเธอกับ ฉัตรินจบกันไปนานแล้ว เธอก็ไม่อยากยุ่ง เขาจะมีใครใหม่ หรือคบใครต่อก็เป็นสิทธิ์ของเขา“อุ๊ย!” หญิงสาวเผลออุทาน เมื่อมีแรงเตะเบาๆ จากภายในท้อง ที่พักนี้มักจะมาบ่อย โดยเฉพาะเวลาที่คนเป็นแม่กำลังคิดมาก หรือไม่ก็คิดถึงพ่อของลูก“ตัวแสบของแม่ อย่าเตะแรงนักสิลูก แม่เจ็บนะ” ปรียากรบอกน้ำตาคลอ เธอชอบคุยกับลูกในท้องเสมอ สายใจความรักถูกถักทอในหัวใจเธอพร้อมกับสมานรอยแผลที่พ่อของลูกเคยทำให้เจ็บมาก่อนการดึงดันที่จะแต่งงานกับเขา อย่างน้อยเธอก็ไม่ได้สูญเปล่า แม้จะต้องหย่ากัน เขาก็ยังอุตส่าห์ให้ลูกน้อยกับเธอมาเป็นรางวัลในความทุ่มเทที่สูญเปล่านั่นวันนี้เธอหันกลับมารักและทุ่มเทให้กับเจ้าตัวน้อยในท้องแทน“คิดถึงพ่อเขาล่ะสิ ไม่เป็นไรนะคะ ถึงหนูไม่มีพ่อ แต่แม่จะดูแลหนูให้ดีที่สุดเลยนะ อยากพบหน้าหนูเร็วๆ จัง”หญิงสาวลูบท้องกลมของตัวเองอย่างมีความสุข ดวงตาคู่งามมองไปด้านหน้าที่สัญญาณไฟจราจรเพิ่งเปลี่ยนเป็นสีเขียว“เอาล่ะ กลับบ้านเรานะลูกนะ”เธอว่าพ
ชีวิตเขามันโดดเดี่ยวอ้างว้างแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่นะชายหนุ่มนอนก่ายหน้าผากมองเพดาน ปล่อยใจให้ล่องลอยไปไกล ทั้งๆ ที่เขาเป็นฝ่ายเรียกร้องที่จะหย่ากับเธอด้วยตัวเองมาตลอด แต่พอได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการแล้วแท้ๆ แต่กลับไม่มีความสุขกับสิ่งที่ได้มาสักนิดคิดถึง...คำนี้ผุดขึ้นมาในหัวทุกครั้ง พร้อมกับใบหน้าหวานของใครคนนั้นที่มักจะมาก่อกวนในใจในยามที่เผลอ ตอนแรกเขาใช้การทำงานให้หนักขึ้นเพื่อหวังให้ความคิดถึงที่มีหายไป แต่มันก็ไม่ค่อยได้ผล พอมีเวลาว่างเมื่อไหร่ หัวใจก็ลอยกลับไปหาคนที่ไม่สมควรคิดถึงทุกทีอยากรู้นัก เธอจะรู้สึกเหมือนกันกับเขาหรือเปล่านะความคิดของเขามีอันต้องหยุดชะงัก เมื่อได้ยินเสียงรถคุ้นหูแล่นผ่านไปทางบ้านใหญ่ของพ่อแม่ ร่างสูงจึงเด้งตัวผึ่งไปที่หน้าต่างห้องทันทีรถเก๋งสีขาวแล่นเข้ามาจอดเทียบ พร้อมกับที่พ่อแม่เขาลงจากรถ แต่แล้วหัวใจที่เคยเฉยชาก็กลับเต้นแรงขึ้นเมื่อเห็นร่างอวบอิ่มที่ตอนนี้สวมชุดคลุมท้องสีฟ้าสดใสเปิดประตูตามลงมา เพื่อช่วยลำเลียงสิ่งของที่ซื้อออกจากท้ายรถให้ฉัตรินสะดุดลมหายใจตัวเองทันใด เมื่อเห็นใบหน้าหวานส่งยิ้มให้พ่อแม
คุณโฉมฉายขมวดคิ้ว ก่อนหันไปสบตากันกับสามีอย่างแปลกใจเมื่อเห็นอดีตแคนดิเดตลูกสะใภ้ ที่วันนี้มาในชุดคลุมท้องแบบสวยทันสมัย“แล้วนี่คุณมาทำอะไรที่นี่คะ หรือมีใครเป็นอะไร เมื่อกี้รัญเห็นคุณปูนเพิ่งเดินออกไป หรือว่า...”“พวกเราพาหนูปูนมาฝากท้องน่ะจ้ะ”คุณโฉมฉายชิงตอบเสียเองด้วยความหมั่นไส้ หญิงสาวตรงหน้าไม่เคยเปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนตอนที่เคยคบกับลูกชายของเธอเลย ในสายตาอีกฝ่ายมักมองเห็นแต่ลูกชายของเธอคนเดียว โดยไม่สนใจคนรอบข้างกระทั่งผู้ใหญ่ที่ยืนหัวโด่ในฐานะพ่อแม่ของคนที่เธอหมายปอง สวยก็จริงอยู่ แต่จริตมารยาทในการเข้าหาผู้ใหญ่สอบตก เมื่อเทียบกับปรียากรแล้วยังห่างชั้น“อ้าว คุณพ่อคุณแม่ก็มาด้วยเหรอคะ ขอโทษนะคะ หนูไม่ทันเห็น” คนพูดยกมือไหว้แผล็บ ก่อนส่งยิ้มหวานปะเหลาะพ่อแม่ของชายหนุ่ม“จ้ะ แล้วนั่นหนูท้องได้กี่เดือนแล้วจ๊ะ”รัญชิสาหน้าถอดสีเมื่อได้ยินคำถามแสลงหู แต่ก็ฝืนยิ้มตอบกลับไป“รัญท้องได้สี่เดือนกว่าแล้วค่ะคุณแม่”“แล้วนี่ทำไมมาคนเดียวล่ะ พ่อของเด็กไม่มาด้วยหรือจ๊ะ&
ที่แผนกสูตินรีเวชกรรม ปรียากรพร้อมด้วยอดีตพ่อแม่สามีนั่งรอคิวเพื่อฟังผลตรวจและอัลตราซาวน์ ทั้งสามพูดคุยกันอย่างเพลิดเพลินและตื่นเต้นที่จะได้เห็นภาพแรกของลูกในท้องหญิงสาว โดยไม่ได้สนใจส่วนเกินที่เดินตามมานั่งที่ด้านหลังเงียบๆ“อ้าว แล้วแกไม่ไปทำงานทำการเหรอเจ้าซี” คุณเกรียงไกรหันไปถามลูกชายที่นั่งทำตัวเป็นอากาศ เพราะไม่มีใครคุยด้วย“เดี๋ยวเสร็จจากฝากครรภ์ค่อยไปครับพ่อ” ชายหนุ่มบอกราวกับจะมาฝากครรภ์เสียเอง“กลับไปเลยก็ได้มั้ง เดี๋ยวทางนี้พ่อกับแม่ดูเอง” คนเป็นแม่บอกอย่างไม่ไยดี แต่ฉัตรินกลับทำหูทวนลม ตาแอบมองอดีตเมียเก่าที่ทำตัวเฉยเมยไม่สนใจ แทบไม่มองหน้าเขาตั้งแต่ตอนนั่งรถมาด้วยกันก็อดขัดใจไม่ได้“คุณปรียากรค่ะ” เสียงพยาบาลหน้าห้องขานชื่อ ทำให้ทั้งคณะลุกพรึ่บขึ้นแทบพร้อมกัน“จะเข้าไปทั้งหมดนี่เลยเหรอคะ” ทุกคนพร้อมใจกันปรายตาไปมองส่วนเกินที่ทำหน้ามึนไม่รู้ไม่ชี้เป็นตาเดียว“ครับ ทั้งหมดนี่เลย” ฉัตรินตอบอย่างมั่นใจ ในเมื่อมาแล้วเขาก็อยากเห็นผลผลิตที่อาจเป็น
ปรียากรมองคนถามอย่างหยั่งเชิง“ถามทำไม อย่าบอกนะว่าเป็นห่วง” คิดว่าเขาคงโต้กลับทำนองว่าอย่าหลงตัวเองเหมือนทุกที แต่ก็เปล่า“ใช่ พี่เป็นห่วง”คำนั้นทำเอาหญิงสาวถึงกับอึ้ง ใจสั่นไหว“ห่วงลูกในท้อง”นั่นไง เธอว่าแล้ว“คุณเอาเวลาไปห่วงลูกในท้องพี่รัญเถอะ อย่ามาวุ่นวายกับลูกฉันเลย” เธอไม่ได้ประชด แต่พูดจากใจจริง เธอเหนื่อยกับเขาเต็มทีแล้วกระทั่งยอมแพ้และเดินออกจากชีวิตอีกฝ่าย“อย่าลืมสิคะว่าเราหย่ากันแล้ว”ชายหนุ่มนั่งนิ่งงัน เพราะบางสิ่งกำลังก่อกวนในหัวใจเขาอย่างหนักหน่วง“พี่รู้ แต่ถ้าเขาเป็นลูกพี่จริง”ปรียากรเม้มริมฝีปากแน่นเพื่อระงับโทสะ ไม่ให้เผลอข่วนหน้าคนพูดจนเป็นแผลเหวอะหรือชกเขาไปสักหมัด ข้อหาพูดจาไม่เข้าหูไม่ใช่ลูกเขาจะเป็นลูกใครได้ล่ะ ในเมื่อคืนนั้นเขาเล่นเคี่ยวกรำเธอจนระทวยไปกี่รอบต่อกี่รอบก็จำไม่ได้ จนไข้ขึ้นต้องนอนโรงพยาบาลตั้งหลายวัน ยังจะมาสงสัยว่าลูกใครไม่เลิกไอ้ผัวผีบ้านี่! ไม่สิ ต้องเรียกว่าผัวเก่า ถึงจะถูก“เอาล่ะ งั้นฉันขอถามหน่อย ถ้าเขาใช่ลูกคุณจริงแล้วจะยังไงต่อ คุณจะกลับมารับผิดชอบฉันกับลูกหรือไง หรือว่าจะมาแย่งลูกไปจากฉัน หรือว่า...จะให้เอาออก เพราะคุณไม่อยากมีล
“เวรของกรรม!” จนิตาถึงกับอุทานลั่น เมื่อได้ยินเรื่องราวจากปากเพื่อนรัก หลังจากที่เธอรีบแจ้นมาหาถึงที่คอนโดทันทีที่วางสายจากฉัตริน“ท้องเกือบสองเดือนเนี่ยนะ ทำไมแกไม่รีบบอกฉันให้ไวกว่านี้”“ฉันก็เพิ่งรู้ไหม ช่วงก่อนย้ายบ้านก็วุ่นวายจนไม่ทันสังเกต” ปรียากรโบกยาดมไปมา พลางลูบที่หน้าท้องเบาๆ กลัวลูกในท้องตกใจเสียงแปดหลอดของเพื่อนแม่“แล้วนี่จะเอายังไง พ่อของลูก เขารู้เรื่องแล้วด้วย พี่ซีไม่ยอมปล่อยแกไปง่ายๆ แน่” ดูจากที่โทรจิกเธอทุกชั่วโมงก็พอรู้ได้“หรือจะคืนดี”“ไม่!” หญิงสาวตอบทันควัน “แกห้ามบอกเขาเด็ดขาดว่าฉันอยู่ที่นี่ เดี๋ยวฉันจะเปลี่ยนเบอร์ใหม่ด้วย บอกแค่แกแล้วก็พ่อแม่ฉัน”“ฉันน่ะไม่บอกแน่ แต่พ่อแม่ผัวเก่าแกล่ะ จะมั่นใจได้ยังไง เขาพ่อแม่ลูกกัน ยังไงรู้ว่ามีหลานต้องรีบบอกแน่” ปรียากรทำหน้าหนักใจ“ไม่หรอกแก พี่ซีเขาไม่เชื่อว่าลูกในท้องเป็นลูกเขา”“เชี่ยไรวะ!” คุณหมอสาวถึงกับสบถหยาบคาย
Comments