หรูซื่ออยู่ในชุดกระโปรงสีสันสดใสปักลวดลายเป็นเรื่องราวการเลี้ยงสัตว์ของคนในเผ่า แต่รองเท้านั้นเป็นรองเท้าหนังกวางสูงถึงหน้าแข้งเหมาะสำหรับการขี่ม้า บนศีรษะประดับเครื่องประดับผมที่ทำจากลูกปัดหลากสีและขนนก และเพราะนางผิวขาวดุจหิมะต่างจากสตรีในทุ่งหญ้า ยามนี้นางจึงงดงามราวเทพธิดาสะกดสายตาบุรุษที่เผลอมองมา “ท่านพี่” หรูซื่อเห็นเขาตะลึงงันไปก็เรียกเบาๆ ทำให้ชายหนุ่มได้สติแล้วกระแอมไอออกมาแก้เก้อ “ผิวนางเหมาะกับเสื้อผ้าสีแดงมากจริง ๆ” ลี่หย่าอดเย้าไม่ได้ “นี่ๆ เจ้าเคยกินชานมแพะหรือไม่ ลองชิมดูก่อนสิ” ลี่หย่าดึงมือหรูซื่อให้นั่งลงข้างกายนาง แล้วจัดแจงรินชานมแพะส่งให้ “ไม่เหม็นหรอก ลองชิมดู” หรูซื่อรับมาจิบที่ละนิด รสชาติแปลกไม่คุ้นลิ้น แต่พอได้ชิมก็ติดใจ “อร่อย แปลกดี ข้าเพิ่งเคยกินเป็นครั้งแรก” “นมแพะทำได้หลายอย่าง ถ้าเจ้าได้แพะไปก็เลี้ยงมันดี ๆ จะได้เอาน้ำนมมันมากิน” “ต้องได้อยู่แล้ว” หรูซื่อพูดด้วยความมั่นใจแล้วหลิวตามองสามีของตน นางฝากความหวังที่จะได้ลูกแพะกลับไปจวนแม่ทัพ ซุนหลวนคุนอ่อนใจกับภรรยาตัวน้อ
เสียงของลี่หย่าเรียกสติของหรูซื่อ นางพยักหน้ารับ ครู่ต่อมาเสียงแตรเขาสัตว์ดังขึ้นตามด้วยเสียงโฮ่ร้องของคนในเผ่า ม้ากว่าสิบตัวในลานประลองวิ่งห้อทะยานไปด้านหน้าเผื่อไปให้ถึงจุดที่สามารถยิงธนูได้ ทว่าก็มีม้าตัวอื่นเข้ามาเบียดกระแทก หรูซื่อหลุดเสียงร้องตกใจแล้วหันไปทางหวงอี้ “ไม่ใช่แค่การยิงธนูให้เข้าเป้าหรอกหรือ? เหตุใดเหมือนต่อสู้บนหลังม้าเช่นนี้” “เผ่าเปียนเจียงมีการแข่งขันไม่เหมือนผู้ใด นี่ไม่ใช่แค่การยิงธนู แต่ทุกคนต้องต่อสู้บนหลังม้า ถ้าตกจากม้าก่อนก็ถือว่าแพ้เช่นกัน” หรูซื่อถึงกับหน้าซีด นางคิดว่าแข่งยิงธนูก็คือประลองความแม่นยำเท่านั้น ไม่คิดว่าจะเป็นการต่อสู้กันเช่นนี้ ในลานประลองผู้อื่นล้วนเป็นคนในเผ่าเดียวกัน มีเพียงซุนหลวนคุนที่เป็นคนนอก แน่นอนว่าทุกคนบังคับม้าสกัดมิให้เขาสามารถตั้งหลักยิงธนูได้ ปาปังอาศัยจังหวะที่แม่ทัพหนุ่มไม่อาจหลบหลีกผู้อื่นได้ ยกคันธนูขึ้นเล็งยิงทันทีแม้ใช้หางตามองก็ยังรับรู้ทุกอย่าง ซุนหลวนคุนบังคับม้วนตัวหลบผู้อื่นที่พุงเข้ามา ยิงธนูไปสกัดมิให้ธนูของปาปังเข้าเป้าได้สำเร็จ ปาปังตวัดสายตามองอ
“ถ้าวันหนึ่งเราไม่มีภาระใดแล้ว เราเดินทางท่องเที่ยวด้วยกันดีไหม ค่ำไหนก็นอนนั้น ข้าตัวเล็กกินไม่จุ คงไม่ลำบากท่านพี่กระมัง”“ถ้าเจ้าไม่กลัวลำบาก ข้าก็ไม่มีอะไรให้กลัว ขอเพียงมีเจ้าอยู่เคียงข้าง ข้าก็พอใจแล้ว” “ข้าก็เช่นกัน ท่านห้ามลืมคำพูดตนเองนะ”“ข้าสัญญา”‘ไม่ว่าจะผ่านความเจ็บปวดมากี่ครั้งกี่ครา ข้าจะไม่มีวันลืมเจ้าเด็ดขาด’ ซุนหลวนคุนบังคับม้าพากลับมาที่ลานประลองเพื่อส่งม้าคืน ทว่าเมื่อกลับมาถึง ทั้งสองต้องประหลาดใจเมื่อเห็นลานประลองกลายเป็นลานเลี้ยงฉลองเรียบร้อยแล้ว ทั้งที่ทั้งสองตั้งใจมาลากลับ หรือว่าจะมีผู้อื่นมาอีก ปาปังเห็นสีหน้างุนงงของทั้งสองก็หัวเราะออกมาแล้วเดินตรงมาตบไหล่แม่ทัพหนุ่ม “วันนี้กลับไม่ทันแล้ว ประเดี๋ยวก็พลบค่ำเดินทางค่ำมืดมันอันตราย พวกท่านค้างคืนที่นี่สักคืนเถิด พวกเราจัดเตรียมกระโจมที่พักไว้ให้แล้ว ท่านพ่อของข้าก็อยากเลี้ยงอาหารเย็นแม่ทัพและฮูหยิน รวมทั้งผู้ติดตามของท่านด้วย” หรูซื่อเงยหน้ามองสามีแล้วพยักหน้าให้ด้วยรอยยิ้ม เห็นทีว่าจะเดินทางกลับไม่ได้แล้วจริงๆ ซุนหลวนคุนได้แต่กล่าวขอบคุณน้ำใจที่เปียนเจียงมอบให้ ปาปัง
“ข้าจะดื่ม” “เจ้าดื่มมากไปแล้ว” “เหล้านี้หวานดี ข้าชอบ เราขอซื้อเอากลับไปด้วยได้ไหม” “ได้ๆ ฮูหยินอยากได้ลูกแพะข้าก็ประลองมาให้ ฮูหยินอยากได้สุราผลไม้ของเปียนเจียง ข้าก็จะนำกลับไปให้” หรูซื่อหัวเราะคิกคักแล้วยื่นหน้าไปกระซิบ “สามีของข้าดีที่สุดเลย” กลิ่นลมหายใจเจือสุราผลไม้หอมหวาน ชวนให้คนมึนเมาเสียเหลือเกิน ซุนหลวนคุนได้แต่อ่อนใจที่ทำตัวเหลวไหลตามใจนางขนาดนี้ แต่คงมีเวลานี้เท่านั้นที่ได้ใช้ชีวิตเช่นสามีภรรยาทั่วไป ได้ใกล้ชิดเอาใจใส่ตามใจ นางหลังจากที่เขาห่างเหินกับนางไปเกือบห้าปี การตีดาบเสร็จสิ้นลง หนึ่งในบุรุษที่ตีดาบถือดาบสั้นเล่มนั้นตรงมาหานางแล้วยื่นให้ หรูซื่อทำหน้าไม่ถูกหันไปทางซุนหลวนคุน เขาเอียงหน้าแล้วกระซิบบอกนาง “พวกเขาต้องการมอบให้เจ้าเป็นของที่ระลึก” “ให้ข้า?” นางแปลกใจและดีใจไปพร้อมกัน นางยื่นมือมามีดสั้นน้ำหนักพอดีมือ “ข้าชอบมาก ขอบคุณทุกท่านมาก” หรูซื่อไม่รู้จะเอ่ยถ้อยคำใดได้อีก นางรับมือถือไว้อย่างทะนุถนอม ซุนหลวนคุนยื่นมือมารับมีดสั้นแล้วเก็บไว้
หรูซื่องอแงราวเด็กน้อย พลันในหัวของนางปรากฏภาพเลือนลางเป็นตัวนางที่ถูกอบรมสั่งสอน จากหญิงผู้หญิงใบหน้าละม้ายคล้ายบุรุษตรงหน้าอยู่หลายส่วน ‘สตรีต้องใช้ชีวิตเพื่อบุรุษ แม้ออกเรือนแล้วก็ตกเป็นของสามี สามีเป็นผู้วางกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ในครอบครัว ส่วนหน้าที่ของภรรยาก็คือต้องปรนนิบัติสามีและญาติพี่น้องของสามีด้วย พร้อมดูแลงานบ้านงานครัวไม่ให้ขาดตกบกพร่อง หรูซื่อ...เจ้าเกิดในตระกูลใหญ่ งานบ้านงานเรือนมีบ่าวรับใช้ทำให้ก็จริง แต่บางเรื่องก็ควรทำเป็นบ้าง และที่สำคัญ เจ้าแต่งงานมาหลายปีแต่ไร้บุตร อนาคตอาจต้องรับอนุเข้าเรือน เจ้าจะเป็นสตรีใจแคบไม่ได้ เข้าใจหรือไม่’“ไม่...ข้าไม่เข้าใจ” นางทุบแผ่นอกของเขา แต่รู้สึกเหมือนมือไม้หนักยกแทบไม่ขึ้นจึงได้แต่ขยุ้มสาบเสื้อของเขาไว้ “เจ้าพูดถึงเรื่องใด” เขาโน้นหน้าลงเอ่ยถาม ปล่อยให้ทางทุบเขาให้พอใจ อย่างไรเขาก็ไม่ได้รู้สึกเจ็บ มีแต่มือน้อย ๆ ของนางจะเจ็บเสียเอง“ทำไม...ทำไมต้องให้ข้าใจกว้าง” นางช้อนตาขึ้นมอง “ทำไมข้าต้องยินยอมรับอนุ ข้า...ข้าไม่อยากให้สตรีอื่นมาแตะต้องสามีของข้า ทั้งที่...ทั้งที่ข้าเฝ้ารอมาหลายปี แต่ทำไมต้องให้ข้า...ข้ายินดีรับอนุเข้าเรือ
“ตรงนี้ของข้า...มัน...แฉะและร้อนมาก” นางพูดพลางบดสะโพกกับแก่นกายที่มันวาวด้วยคราบน้ำลายของนาง ได้ยินคำพูดที่ไม่คิดว่านางจะกล้าพูด กลับทำให้หัวใจของชายหนุ่มเต้นรัวและรอคอย เขามองนางที่ค่อยๆ ยกยกสะโพกขึ้นเพื่อให้แท่งหยกของเขาเข้าในร่องรัก หรูซื่อแหงนหน้าครางกระเส่า มังกรตัวเขื่องมุดเข้าถ้ำไปสุดทางแล้ว นางยกมือลูบไล้ทรวงอกตนเองเบาๆ ก่อนค่อยๆ ขยับสะโพกขย่มโยกมีแต่สวรรค์ที่รู้ว่าเขาทรมานเพียงใด เป็นความทรมานอันแสนหวาม อาจเพราะฤทธิ์สุราและความปรารถนาในส่วนลึกของจิตใจ นางเป็นฝ่ายควบขี่เขาราวกับเขาเป็นม้าป่าที่นางต้องปราบพยศ เหงื่อไหลซึมทั่วร่าง ลมหายใจผ่าวร้อน นางได้แต่ส่งเสียงครวญครางเร่งเร้าพาตนเองไปถึงแดนสวรรค์ ร่องรักของนางบีบรัดทำเอาบุรุษที่อยู่ด้านล่างถึงกับคำรามออกมา เขารับรู้ว่านางไปถึงจุดสุขสมแล้วจึงยันตัวเองขึ้นนั่ง กอดเอวนางแล้วเป็นฝ่ายเด้งสะโพกสวนขึ้น ทำให้ร่างนางกระเด็นกระดอนตามแรงกระแทก นางสะบัดศีรษะไปมา บดเบียดทรวงอกกับแผ่นอกของเขาบรรเทาความเสียวซ่านที่ได้รับ “ข้าชอบ” นางสารภาพอย่างสิ้นอาย “แรงกว่าน
“แบ่งปันสามี?” ลี่หย่าขมวดคิ้ว “เจ้าหมายถึงแม่ทัพซุนนะหรือ?” คราวนี้หรูซื่อขมวดคิ้วบ้าง ท่าทางของนางทำให้ลี่หย่าเบ้ปากแล้วปรายตามองแม่ทัพซุนด้วยหางตา “ข้าจะไปชอบบุรุษหน้าตายผู้นี้ทำไม คนที่ข้าชอบคือเจ้าต่างหาก! ข้าชอบเจ้าตั้งแต่แรกเห็น เคยได้ยินว่าหญิงสาวจากเมืองหลวงงดงามนัก เมื่อได้เห็นกับตาจึงรู้ว่าเป็นคำพูดที่ไม่เกินจริงเลย ข้าชอบเจ้าอย่างจริงใจ หากเจ้ามีใจตรงกันกับข้า ข้ายินดียกสินสอดทองหมั้นสู่ขอเจ้าตามประเพณี!” “ลี่หย่า!” ปาปังถอนหายใจหนักหน่วงแล้วเดินมาดึงมือของลี่หย่าออกจากมือของหรูซื่อที่ยังมึนงงกับสิ่งที่ได้ยิน หรูซื่อหันไปมองสามีเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่กลับเห็นอีกฝ่ายกลั้นหัวเราะอยู่ “ท่านพี่รู้มาตลอดเลยหรือ?” หรูซื่อถามแล้วก็โคลงศีรษะไปมา “ลี่หย่าไม่ได้ชอบท่านพี่ แต่ชอบข้า” “ถูกต้อง” ซุนหลวนคุนพยักหน้ารับ “ข้าจึงไม่ต้องการให้นางอยู่ใกล้เจ้า เกรงนางจะทำให้เจ้าเปลี่ยนใจไปจากข้า” “แต่ข้าเป็นสตรีเหมือนนาง...” หรูซื่อส่ายหน้าไปมา “เจ้าไม่รู้อะไรจริงๆ” ซุนหลวนถอนหายใจให้กับความ
“เจ้าเป็นใคร หรือถือสิทธิ์เป็นคนสกุลจาง อยากเรียกพบภรรยาใครก็ได้อย่างนั้นหรือ? ที่นี่มิใช่เมืองหลวง อย่าได้คิดว่าผู้อื่นจะต้องเกรงอกเกรงใจเจ้า ” เขาแสยะยิ้ม “มีเรื่องใดฝากข้าผู้เป็นสามีบอกนางก็ไม่ต่างกันนัก”“ข้าต้องการพบหลิวหรูซื่อ!” จางหยินเซ่อพูดชัดถ้อยคำ ไม่มีความเกรงกลัวซุนหลวนคุนเลยสักนิด แม่ทัพหนุ่มตีสีหน้าเคร่งขรึมไม่เอ่ยถ้อยคำใดอีก เขาหมุนตัวเดินออกมาเงียบๆ ทิ้งให้จางหยินเซ่ออยู่กับบ่าวรับใช้ ซุนหลวนคุนก้าวเท้าหนักๆ เดินออกมาจากเรือนหลังนั้นโดยไม่ได้เอ่ยสิ่งใดกับผู้ติดตาม จนกระทั่งมาถึงม้าที่ผูกไว้รออยู่ก่อนแล้ว เขายื่นมือไปรับบังเหียนจากทหารที่เฝ้าอยู่ นิ่งไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยขึ้นกับผู้ติดตามที่ยืนรอรับคำสั่ง“ถอนกำลัง ไม่ต้องคุมตัว แต่ติดตามอยู่ห่างๆ อย่าให้คุณชายจางมีอันตรายใด”ทหารนายนั้นนิ่งอึ้งไปเล็กน้อยแต่เก็บอาการอยู่ ก้มหน้ารับคำสั่งแม้จะมีคำถามอยู่ในใจก็ตาม แต่เมื่อเป็นภารกิจ เขาไม่มีสิทธิ์เอ่ยถามใดๆ ทั้งสิ้น ซุนหลวนคุนขึ้นหลังม้าแล้วบังคับม้ากลับไปที่จวน ระหว่างทางเขามองทิวทัศน์รอบข้าง ชาวบ้านที่จำเขาได้ผงกศีรษะให้ บ้างคนส่งเสียงทักทาย เขาอยู่ที่นี่มาสี่ห้าป
“เข้ามาคุยด้านในเถิด” เขาปล่อยมือจากไหล่ของนางแล้วเชื้อเชิญให้เข้าไปด้านใน ทว่าสายตาของนางถูกตำรามากมายดึงดูดไว้จนหลงลืมว่ามี ‘สามี’ อยู่ใกล้ๆ “ข้าไม่คิดว่าท่านแม่ทัพจะชอบสะสมหนังสือมากขนาดนี้” ‘ท่านแม่ทัพ’ ภรรยาหมาดๆ สนใจแต่หนังสือมากมายเหล่านั้น จึงไม่ได้เห็นแววตาไม่พอใจของสามีหมาดๆ อย่างเขา ซุนหลวนคุน ลอบถอนหายใจ นางเพิ่งย่างเท้าเข้าบ้านมาเป็นคนสกุลซุน คงไม่คุ้นชินกับการเรียกขานนัก “อีกห้าวันข้าต้องออกเดินทางแล้ว” “เดินทาง? ท่านแม่ทัพจะไปไหนรึ” หลิวหรูซื่อหันมามองหน้า ‘สามี’ นางทำหน้างุนงงไม่เข้าใจว่าทำไมเขาต้องขบกรามเน้นเช่นนั้น“ได้ ข้าจะเตรียมตัว” “เจ้าไม่ต้องไป” น้ำเสียงของเขากระด้างขึ้นเล็กน้อย บอกตนเองว่าต้องให้ ‘เวลา’ นางมากกว่านี้ เขาจะโมโหนางไม่ได้เด็ดขาด “เหตุใดไม่ให้ข้าไป” นางเอียงคอถาม ท่าทางไร้เดียงสา “เจ้าอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนมารดาข้าเถิด” เขากดน้ำเสียงไม่ให้หงุดหงิดจนเกินไป “นับจากนี้เจ้าเป็นนายหญิงของจวน ต้องรับภาระดูแลเรื่องน้อยใหญ่ในบ้านร่วมกับมารดาข้าแล
“แต่งงาน! น้องเล็กอายุแค่สิบเอ็ดจะให้แต่งงานแล้วหรือ?” “อีกสองเดือนน้องเล็กคนนี้ก็สิบสองแล้วเจ้าค่ะ” เสียงหวานใสดังขึ้นก่อนที่เจ้าของร่างเล็กเดินเร็วๆ ยื่นมือมาหยิบขนมดอกกุ้ยฮวาที่วางบนโต๊ะเข้าปากกัดกินอย่างเอร็ดอร่อย “ซื่อเอ๋อร์ เจ้าแอบฟังพ่อกับพี่ๆ คุยกันอีกแล้วนะ”ราชครูหลิวถอนหายใจเบาๆ แต่กลับยิ้มเอ็นดูลูกสาวคนเดียวของสกุลหลิวไม่ได้ แม้นางเป็นหญิงแต่เฉลียวฉลาดแต่เด็ก หากไม่นับเรื่องวรยุทธแล้ว นางก็ไม่ด้อยกว่าบุรุษเลย “ซื่อเอ๋อร์ไม่ได้แอบฟังเสียหน่อย แต่เสียงพี่ๆกับท่านพ่อดังไปนอกห้องเอง” เด็กหญิงตัวน้อยไม่ทุกข์ร้อนกับเรื่องที่ได้ยิน “แล้วเจ้าคิดเห็นว่าอย่างไร” บิดาเอ่ยถามพลางรินน้ำให้ลูกสาวอย่างเอาใจ “คนแซ่ซุนอยากแต่งข้าเป็นภรรยา ก็แต่งสิ ไม่เห็นต้องกังวลเลย” นางรับน้ำมาดื่มเล็กน้อยแล้วกินขนมต่อ มุมปากเลอะคราบขนมทำให้พี่ใหญ่หยิบผ้าเช็ดหน้าเช็ดให้นาง “คนแซ่ซุนไม่มีอะไรเหมาะสมกับเจ้าเลยสักนิด” พี่ชายคนรองเอ่ยอย่างหงุดหงิด “แค่ทหารปลายแถวที่ถีบตนเองขึ้นมาจากดินโคลน” “ข้าเชื่อว่าคนแซ่ซุน
ความรู้สึกเจ็บปวดนี่มันคืออะไรกัน เป็นอีกเช้าที่ซุนหลวนคุนลืมตาตื่นแล้วพบว่า ดวงตาของตนมีน้ำตาเอ่อคลอ น่าอายเหลือเกิน เขาอายุสิบแปดแล้ว แต่ยังนอนละเมอร้องไห้อยู่อีก ที่สำคัญ เขาไม่เคยจำได้เลยว่าฝันถึงเรื่องใด ทุกครั้งที่ลืมตาตื่นจะเหลือเพียงความเจ็บปวดบีบรัดหัวใจ ชายหนุ่มยันกายขึ้นนั่งบนเตียง เขาตื่นแต่เช้ามืดเพราะต้องฝึกเพลงยุทธ เขาเป็นทหารมาหลายปีไต่เต้าด้วยความสามารถ มือสองข้างเปื้อนเลือดคล้ายตัวเขามีกลิ่นอายของความตายโอบกอดอยู่ เขาถอนหายใจ จะทำอย่างไรได้ เขาเลือกเส้นทางนี้เอง แต่ก่อนนั้นครอบครัวของเขาเป็นเพียงชาวนายากจน เขาเป็นพี่ชายคนโตที่หนีออกจากบ้านเพื่อไปเป็นทหาร เขาฝึกหนักกว่าผู้อื่น ทำในสิ่งที่หลายคนไม่คิดว่าเขากล้าทำ เมื่อฐานะของตนเองมั่นคงจึงได้เชิญบิดามารดารวมทั้งน้อง ๆ มาอยู่ด้วยกัน แต่บิดาอ่อนแอเจ็บป่วยเรื้อรังมานาน ย้ายมาอยู่กับเขาได้ไม่ปีเศษก็ตายจาก เขาไม่ได้สนใจลาภยศใด เขาเพียงหวังให้ครอบครัวของเขาหลุดพ้นความยากจน ไม่ต้องอดมื้อกินมื้อหรือไม่มีเสื้อผ้าอบอุ่นใส่ในยามหนาวเหน็บ แต่กระนั้น เมื่อมาถึงจุดนี้
“แต่ท่านก็ยังส่งข้าไป ท่านเขียนหนังสือหย่าข้า” นางยื่นมือไปโอบกอดร่างแกร่งที่ยามนี้เต็มไปด้วยผ้าพันแผล แม้เลือดจะหยุดแล้วแต่บนผ้าพันแผลยังมีรอยเลือดให้เห็นอยู่ “เพราะข้ารักเจ้า” เขากอดนาง กดปลายจมูกกับเรือนผมอ่อนนุ่ม สูดดมกลิ่นอายที่คุ้นเคย “ข้าก็รักท่าน” นางเอ่ยที่ออกมา “แม้ข้าจะจำอะไรไม่ได้เลย แต่ข้ารู้ว่าท่านไม่ใช่คนที่จะทำร้ายข้า ท่านพยายามปิดบังบางอย่างเพื่อปกป้องข้า ข้ารู้ว่าที่ผ่านมาท่านเตรียมแผนการสำหรับครั้งนี้ไว้หมดแล้ว ท่านไม่ได้ไปเอ้อหยีร์ในนามของแม่ทัพพิทักษ์ประจิม ท่านไม่ต้องให้ผู้อื่นติดร่างแหไปด้วย ท่านเตรียมตัวไปตาย แต่ท่านลืมไปว่า ข้าคือหลิวหรูซื่อ คนที่ทำอาหารไม่เป็น แต่คัดลอกตำราพิชัยยุทธส่งให้ท่าน คนที่ตระเตรียมเสื้อผ้าให้ท่าน และเป็นสตรีใจแคบที่ไม่ยอมให้ท่านรับอนุ ซ้ำยังเอาแต่ใจตัวเอง แต่ข้าสามารถรับมือกับเรื่องนี้ได้ โดยที่ท่านไม่ต้องรับผิดใด ๆ และยังสามารถกลับเมืองหลวงไปฉลองปีใหม่กับครอบครัวได้” “เจ้ามีแผนใด” แน่นอนว่าเขาไม่คิดว่าตัวเองจะรอดชีวิตกลับมา จึงทุ่มเทสุดเรี่ยวแรงเพื่อให้ครั้งนี้ทำสำเร็จ “
ม้าพุ่งทะยานฝ่าสายลมอันหนาวเหน็บพ้นเขตเอ้อหยีร์ ม้าของแม่ทัพหนุ่มรั้งท้าย แม้มีหยาดเลือดไหลเปื้อนใบหน้า ทำให้เขาต้องยกมือขึ้นเช็ดมันทิ้งราวกับปาดเหงื่อ แต่หัวใจเขาพุ่งกลับไปที่ถึงค่ายทหารก่อนแล้วด้วยการเตรียมการของหรูซื่อ นางสั่งการผ่านรองแม่ทัพ เมื่อทหารห้าสิบนายกลับมาถึงค่ายทหารให้ทำเป็นไม่รับรู้เรื่องใด การะจายคนทั้งห้าสิบพักตามกระโจมต่าง ๆ แม้จะตื่นเต้นยินดี แต่ต้องเก็บอาการไว้แต่กระนั้น หรูซื่อที่ห่อตัวเองด้วยเสื้อคลุมของสามียืนรอเขากลับมาที่หน้ากระโจมหลักเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและกังวล สายตาของนางนับคนที่กลับมา แม้พวกเขาจะบาดเจ็บแต่ยังรักษาชีวิตมาได้ นางหวงฝูเห็นบุตรชายกลับมาปลอดภัยก็กลั้นน้ำตาไม่อยู่ นางรีบเข้าไปดูอาการบุตรชายทันที ม้าสองตัวควบขนาบคู่กันมา ดวงตาของหญิงสาวเพ่งมอง มือข้างหนึ่งยกขึ้นกุมหัวใจไม่ให้เต้นเร็วเกินไปนัก แต่ก็บังคับได้ยากเย็น เมื่อเห็นร่างสูงใหญ่ที่เฝ้ารอเข้ามาใกล้น้ำตาที่กลั้นไว้ก็เอ่อคลอ ทว่าสองเท้ากลับเหมือนถูกตอกตรึงไม่สามารถขยับได้ ได้แต่ยืนมองเขาลงจากหลังม้าแล้วเดินตรงมาทางนาง “หรูซื่อ...” มีคำถามมากหมาย
‘อ่า...นี่คงเพราะซุนหลวนคุนบอกจางหยินเซ่อว่าความจำเสื่อมสินิ คนแซ่จางเลยแต่งเรื่องว่านางมอบผ้าเช็ดหน้าให้ และสามีของนางก็อยากได้บ้าง อันที่จริงนั้นเป็นผ้าปักฝีมือนางก็จริง แต่ที่มอบให้เพราะเขาสัญญาว่าจะพานางไปพบซุนหลวนคุนต่างหาก’หรูซื่อหยิบเสื้อคลุมตัวนั้นออกมาแล้วคลุมร่างของตน วูบหนึ่งนางรู้สึกเหมือนตกอยู่ในวงแขนของเขา กลิ่นอายที่คุ้นเคยดั่งวงแขนโอบกอดนางแนบแน่น ภาพความทรงจำต่าง ๆ หลั่งไหลเข้ามาดุจสายฝนสาดซัดจนกายหนาวสั่น แม้ภาพเหตุการณ์เหล่านั้นไม่ปะติปะต่อกันนัก แต่สิ่งนี้ยืนยันได้ว่า นางไม่เคยคิดปันใจไปจากเขา แม้เขาจะละเลยไม่ใส่ใจนางเท่าที่ควร นางต้องได้ยินเขาสารภาพความจริงจากปากของเขาเอง. เมื่อเข้าสู่ฤดูหนาว กลางคืนคืบคลานเข้ามาอย่างรวดเร็ว อากาศในหุบเขาเย็นเยียบ กระนั้นทหารกลับมีเหงื่อไหลโทรมกาย แต่พวกเขาก็ไม่อาจหยุดได้ ต้องรีบถอยกลับไปถึงเขตแดนของตน “หวงอี้ เจ้านำทหารที่เหลือล่วงหน้าไปก่อน” “ไม่ได้นะขอรับ ท่านแม่ทัพนำหน้าไปก่อน พวกข้าจะอยู่รั้งท้ายเอง” “พวกเจ้านั้นแหละเป็นตัวถ่วงข้า จึงรีบรุดหน้าไปให้เร็วที่สุด”
‘ไม่เอา ข้าไม่ชอบ’ท่าทางแสนงอนของนางในวัยเยาว์เรียกเสียงหัวเราะขบขันจากบรรดาพี่ชายทั้งสามรวมทั้งบิดาของนางด้วย มารดาเดินเข้ามาพร้อมขนมของว่าง นางวางถาดขนมลงแล้วกวักมือเรียกลูกสาวตัวน้อยมานั่งตัก‘เจ้ารู้หรือไม่ งานเย็บปักนี่ก็เหมือนกลศึกที่เจ้าชอบศึกษา’‘เหมือนกันได้อย่างไรเจ้าคะท่านแม่’‘เจ้าดูแขนเสื้อของพี่ชายเจ้า มันขาดเป็นรูเช่นนั้น เจ้าจะปกปิดอย่างไรไม่ให้ผู้อื่นรู้ การทำศึกมีช่องโหว่เจ้าก็ต้องหาทางปิดจุดบอดนั้นเช่นกัน’‘จริงหรือเจ้าคะท่านพ่อ’‘เจ้าเชื่อฟังคำพูดของแม่เจ้าเถิด’‘แล้วทำไมพวกพี่ๆ ไม่เห็นต้องฝึกงานเย็บปักเลยนี่’‘ซื่อเอ๋อร์ เจ้าเป็นคนใจร้อน เจ้าต้องฝึกใจเย็น มีสมาธิกว่านี้ เอาอย่างนี้ ถ้าเจ้าปักผ้ารูปไก่ได้ แม่จะยอมให้เจ้าฝึกขี่ม้า เจ้าอยากขี่ม้าใช่ไหม?’‘ได้! ข้าจะฝึกเย็บปักกับท่านแม่’มุมปากของหญิงสาวยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม ภาพวันวานหวนคืนกลับมาที่ละเล็กละน้อย นางเคยฝึกขี่ม้ากับพวกพี่ๆ นี่เอง และที่คราวนั้นซุนหลวนคุนบอกว่านางขี่ม้าไม่เป็น คงเพราะกลัวนางจะขี่ม้าหนีไปเที่ยวเล่นคนเดียวเป็นแน่คนแซ่ซุนบังอาจเขียนหนังสือหย่าให้ข้า กลับมาจะจัดการให้ร้องเรียกมารดาเลย ค่อยดูสิ
“มิใช่บุกไปท้าตีท้าต่อยกับพวกเอ้อหยีร์อยู่หรอกเรอะ” ลี่หย่ายกมือขึ้นเท้าเอว “ท้าตีต่อยอะไรของเจ้า แม่ทัพของเราไปทำศึกต่างหาก อุ๊บ!” นายกองผู้หนึ่งหลุดปากพูดออกมา รองแม่ทัพยกมือขึ้นตบศีรษะลูกน้องทันที “อยู่กับพวกเอ้อหยีร์จริง ๆ สินะ” นางเค้นเสียงพูดรอดไรฟัน “แม่ทัพเดินทางไปตั้งแต่เมื่อใด” “สะ...สองวันแล้วขอรับฮูหยิน” “นำกำลังคนไปเท่าไหร่” นางถามแล้วก้าวผ่านรองแม่ทัพไปที่โต๊ะทราย กวาดตามองตำแหน่งต่าง ๆ อย่างรวดเร็ว “ห้า...” “ห้าหมื่น?” นางถาม แต่ไม่ได้ยินคำตอบรับจึงเงยหน้าขึ้น “ห้าพัน?” “ห้าสิบนายขอรับ” นางโมโหจนตัวสั่น แต่ลี่หย่าเข้าใจไปว่าหรูซื่อสั่นเพราะความกลัวจึงเข้าไปลูบไหล่ แต่หรูซื่อตวาดออกมาเสียก่อน “ทหารห้าสิบนาย! ต่อให้เป็นแม่ทัพปีศาจจริงจะต่อสู้กับพวกกระหายเลือดอย่างเอ้อหยีร์ได้เรอะ!” แม้เป็นทหารร่างใหญ่กำยำ แต่ถูกหญิงสาวตัวเล็กตวาดก็เล่นเอาทำอะไรไม่ถูกกันเลยทีเดียว “ใจเย็นก่อนหรูซื่อ แม่ทัพซุนคงมีแผนการในใจที่เราไม่รู้”
“เรา? หมายถึงข้ากับท่านนะหรือ?” นางสายหน้าไปมา “ข้าไม่ไปไหนกับท่านทั้งนั้น” “หรูซื่อ ข้ารู้เรื่องที่เจ้าความจำเลอะเลือนหมดแล้ว” จางหยินเซ่อมองหญิงสาวอย่างสงสาร “ความจำเลอะเลือนอันใดกัน” นางขึงตาใส่ นางแค่จำไม่ได้ชั่วคราวต่างหาก “ท่านรู้ได้อย่างไร” “แม่ทัพซุนบอกข้า” “อะไรนะ” นางส่ายหน้าไปมา “เขาจะบอกท่านทำไมกัน” “บอกเพื่อให้ข้าดูแลเจ้า” จางหยินเซ่อพูดแล้วขยับตัวเข้าไปใกล้ยื่นมือไปหมายจะจับมือนางแต่นางกลับกระถดกายหนีจนแผ่นหลังชิดผนังรถม้า ชายหนุ่มถอนหายใจอีกครั้ง “เขาต้องการให้เจ้าไปจากที่นี่ เขาต้องการตัดขาดกับเจ้า” “ไม่จริง” นางส่ายหน้าไปมา “เขาบอกว่า ถ้าเจ้าฟื้นแล้วให้อ่านจดหมายที่อยู่ในอกเสื้อของเจ้า” หรูซื่อยกมือขึ้นตบสาบเสื้อของตนเอง มีจดหมายอยู่จริง นางหยิบออกมาดู ในซองจดหมายมีหนังสือหย่าและมีดสั้นอันนั้นที่ได้รับจากชาว เปียนเจียงเท่ากับว่านี่เป็นเรื่องจริง “หรูซื่อ” จางหมินเซ่อเอ่ยเรียก “คนแซ่ซุนต้องการเพียงอำนาจไม่ได้รักใคร่เจ้าอย่างจริงใจ เจ้าเป็นคนฉลา