“มิใช่บุกไปท้าตีท้าต่อยกับพวกเอ้อหยีร์อยู่หรอกเรอะ” ลี่หย่ายกมือขึ้นเท้าเอว
“ท้าตีต่อยอะไรของเจ้า แม่ทัพของเราไปทำศึกต่างหาก อุ๊บ!” นายกองผู้หนึ่งหลุดปากพูดออกมา รองแม่ทัพยกมือขึ้นตบศีรษะลูกน้องทันที
“อยู่กับพวกเอ้อหยีร์จริง ๆ สินะ” นางเค้นเสียงพูดรอดไรฟัน “แม่ทัพเดินทางไปตั้งแต่เมื่อใด”
“สะ...สองวันแล้วขอรับฮูหยิน”
“นำกำลังคนไปเท่าไหร่” นางถามแล้วก้าวผ่านรองแม่ทัพไปที่โต๊ะทราย กวาดตามองตำแหน่งต่าง ๆ อย่างรวดเร็ว
“ห้า...”
“ห้าหมื่น?” นางถาม แต่ไม่ได้ยินคำตอบรับจึงเงยหน้าขึ้น “ห้าพัน?”
“ห้าสิบนายขอรับ”
นางโมโหจนตัวสั่น แต่ลี่หย่าเข้าใจไปว่าหรูซื่อสั่นเพราะความกลัวจึงเข้าไปลูบไหล่ แต่หรูซื่อตวาดออกมาเสียก่อน
“ทหารห้าสิบนาย! ต่อให้เป็นแม่ทัพปีศาจจริงจะต่อสู้กับพวกกระหายเลือดอย่างเอ้อหยีร์ได้เรอะ!”
แม้เป็นทหารร่างใหญ่กำยำ แต่ถูกหญิงสาวตัวเล็กตวาดก็เล่นเอาทำอะไรไม่ถูกกันเลยทีเดียว
“ใจเย็นก่อนหรูซื่อ แม่ทัพซุนคงมีแผนการในใจที่เราไม่รู้”
“ใช่! แม้แต่ข้าก็ยังไม่รู้!” หรูซื่อเผลอตวาดลี่หย่า ในกระโจมเงียบสนิทจนได้ยินเสียงหอบหายใจแรงของนาง หญิงสาวจึงสูดลมหายใจลึกพยายามระงับสติอารมณ์แล้วเอ่ยขึ้นใหม่อีกครั้ง
“ขออภัยทุกท่าน ข้าร้อนใจที่แม่ทัพซุนคิดเปิดศึกกับเอ้อหยีร์” นางเอ่ยเสียงเรียบ ทำให้ทุกคนเริ่มผ่อนลมหายใจคลายความกังวลลงได้
“พวกเราเข้าใจความทุกข์ใจของฮูหยิน ฮูหยินกลับไปรอฟังข่าวที่จวนแม่ทัพเถิด” รองแม่ทัพเอ่ยขึ้น
“ข้าไปไม่ได้” นางสบตากับบุรุษที่ยืนอยู่ในกระโจม “เดิมทีแม่ทัพถวายฎีกาขอปราบแคว้นเอ้อหยีร์ แต่ไม่ได้รับความเห็นชอบ การกระทำของแม่ทัพครั้งนี้นับว่ามีโทษใหญ่หลวงนัก วิธีเดียวที่พ้นผิดในครั้งนี้คือ
ต้องทำให้แผนการของแม่ทัพซุนบรรลุความสำเร็จเท่านั้น”
หรูซื่อเป็นสตรีรูปร่างบอบบาง ทว่าในยามนี้แววตามุ่งมั่นและน้ำเสียงจริงจังมั่นคง ทำให้ผู้คนในบังคับบัญชาของซุนหลวนคุนเกิดความเคารพเลื่อมใส
“ฮูหยินกล่าวถูกแล้ว” รองแม่ทัพเอ่ยขึ้น “ด้วยเหตุนี้ท่านแม่ทัพจึงนำยอดฝีมือติดตามไปเพียงห้าสิบนาย”
“เขา...เอ่อ ท่านแม่ทัพเดินทางได้สองวันแล้วสินะ”
“ขอรับ”
นางกัดริมฝีปากแล้วเดินไปที่โต๊ะทราย แล้วเงยหน้าขึ้นมองทางลี่หย่าที่ยืนกอดอกมองหรูซื่ออยู่ก่อนแล้ว
“ลี่หย่ามาที่นี่เพราะรู้เรื่องแม่ทัพซุนจะเปิดฉากปะทะกับเอ้อหยีร์สินะ”
“แค่พวกเจ้ามีการเคลื่อนไหวที่ชายแดน พวกข้าก็ได้รับข่าวแล้ว พวกเอ้อหยีร์สันดานเลวนั้นไม่น่าคบหา ไม่น่ารักเหมือนเจ้า”
ลี่หย่าพยักหน้าหงึกหงักแล้วเดินมาใกล้ ยกมือขึ้นโอบไหล่ของหรูซื่อด้วยท่าทีสนิทสนม
“พวกนั้นชอบปล้นชิงอาหาร ขโมยแพะและช่วงชิงสตรีของเผ่าเรา ว่าตามจริงพวกเราไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับทางการ แต่ถ้าสามารถกำจัดพวกเอ้อหยีร์ได้ ข้าซึ่งเป็นตัวแทนเผ่าเปียนเจียง ขอร่วมสู้ด้วย”
“นับเป็นเรื่องดียิ่ง” หรูซื่อกล่าว “เจ้าช่วยรวบรวมบุรุษที่พร้อมต่อสู้ภายในวันนี้ได้หรือไม่”
“แน่นอน เรื่องพวกนี้เราเตรียมตัวพร้อมเสมอ ข้าควบม้ากลับไปไม่ถึงครึ่งชั่วยาม เจ้าตระเตรียมเรื่องที่ควรทำที่นี่”
“ได้ ข้าจะรอ”
ลี่หย่าหมุนตัวออกไปเดินไปที่ประตูกระโจมแล้วหันกลับมาพูดเสียงดังให้ทุกคนได้ยิน
“ข้าทำตามคำสั่งของฮูหยินแม่ทัพซุนเท่านั้น คนอื่นอย่าริบังอาจออกคำสั่ง!”
มุมปากของหญิงสาวยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย เมื่อในห้องเหลือแต่บุรุษ นางจึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่อ่อนน้อมลง
“ข้าคาดการณ์ว่าแม่ทัพซุนเตรียมเรื่องเหล่านี้ไว้นานแล้ว และคิดว่าเขาคงไม่ต้องการดึงพวกท่านมาติดร่างแหนี้ด้วย”
“ฮูหยิน...” รองแม่ทัพได้แต่เรียกอีกฝ่ายเสียงแผ่ว เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ย “ฮูหยินเข้าใจถูกแล้วขอรับ ท่านแม่ทัพสั่งไม่ให้ข้าติดตามไป รั้งให้อยู่ปกป้องกำแพงเมือง ไม่ให้ชาวเมืองเดือดร้อน”
“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น สิ่งสำคัญคือปกป้องชาวบ้านไม่ให้เดือดร้อย” นางพูดไปตามที่คิด “ท่านอาจเห็นว่าข้าเป็นสตรีมิควรยืนอยู่ที่นี่ แต่คนที่บุกเข้ารังพวกเอ้อหยีร์นั้นเป็นสามีข้า และทหารห้าสิบนายที่แม้พวกเขายอมตายเพื่อทำตามคำสั่งของแม่ทัพซุน แต่พวกเขาก็เป็นบุตรชายที่มีบิดามารดาเฝ้ารอการกลับไป หรือบางคนก็มีภรรยาและลูกรออยู่ ข้าในฐานะฮูหยินแม่ทัพซุนจึงขอใช้ความรู้ความสามารถที่มี นำพาทุกชีวิตได้กลับคืนสู่ครอบครัว”
“ข้าเกาเสียงหุยของรับคำสั่งของฮูหยินแม่ทัพซุน”
หรูซื่อคารวะรองแม่ทัพรวมทั้งทหารนายกองที่ยังอยู่ในห้อง ทุกคนต่างประสานมือคารวะนางด้วยความเคารพอย่างจริงใจ พวกเขาอาจถูกฝึกให้รับคำสั่งโดยไม่ต้องตั้งคำถามใด แต่ถ้อยคำของฮูหยินแทรกซึมหัวใจของพวกเขา ได้รับรู้ว่าพวกเขาเองก็มีค่ามิใช้ถูกใช้ให้ตายเปล่า
“ฮูหยินมีแผนใดโปรดสั่งพวกเราได้เลย”
“ท่านแม่ทัพสั่งการใดก่อนไป” นางเอ่ยถามรองแม่ทัพ
“ท่านแม่ทัพกล่าวว่าจะใช้เวลาเพียงสามวันเพื่อเด็ดศีรษะแม่ทัพใหญ่ของเอ้อหยีร์ หากภายในสามวันมิได้กลับมาให้พวกเราปกป้องการรุกรานของเอ้อหยีร์”
“แม่ทัพใหญ่ของเอ้อหยีร์คือรัชทายาทของเอ้อหยีร์มิใช่หรือ?” นางขมวดคิ้ว
‘เป็นผู้ที่ถูกวางตัวให้เป็นผู้สืบทอดบัลลังก์ ลักษณะนิสัยโหดเหี้ยมอำมหิต ทะเยอทะยานกระหายอำนาจ หากได้ขึ้นปกครองเอ้อหยีร์จริง เกรงว่าจะเป็นภัยต่อแผ่นดินแล้ว’
“เข้าใจแล้ว” นางเอ่ยขึ้น “ท่านรองแม่ทัพโปรดเตรียมทหารให้ประจำการปกป้องแนวกำแพงเมือง อีกสวนเตรียมอพยพชาวบ้าน แต่ต้องเคลื่อนไหวอย่างเงียบเฉียบ หากมีผู้ใดถาม เพียงแค่ตอบไปว่าเป็นการเตรียมพร้อมรับมือกับภัยหนาว อีกส่วนประจำการที่นี่ แม้ท่านแม่ทัพฝึกซ้อมทหารมาเพื่อรบในสภาพภูมิประเทศเช่นนี้ แต่เราต้องเตรียมตัวตั้งรับให้ดี ข้าเชื่อว่าท่านแม่ทัพต้องทำสำเร็จ แต่การถอยกลับมานั้นยากยิ่ง เรามิอาจนำกำลังของเราไปช่วยท่านแม่ทัพได้ หากผู้อื่นรู้ว่าแม่ทัพซุนกระทำการโดยไม่ผ่านความเห็นชอบจากฮ่องเต้จะกลายเป็นนำความเดือดร้อนแก่ทุกคน ฉะนั้นข้าจะใช้กำลังคนของเปียนเจียง เข้าสนับสนุนท่านแม่ทัพ นำพาทหารของเรากลับบ้าน”
“รับทราบ!”
“พวกท่านรีบเตรียมการเถิด ข้าขอศึกษาแผนงานของท่านแม่ทัพอยู่ที่นี่”
“หากฮูหยินต้องการสิ่งใด โปรดเรียกใช้ทหารได้ ทหารของแม่ทัพซุนก็เสมือนคนของฮูหยิน”
“ขอบคุณทุกท่านมาก”
หญิงสาวยืนรอจนทุกคนออกไปหมดแล้วจึงระบายลมหายใจออกมา ความกัดดันทำให้นางวิงเวียนแต่ยังฝืนพาตนเองไปนั่งที่เก้าอี้ของแม่ทัพใหญ่ได้ เรื่องแบบนี้เขาไม่ได้วางแผนเพียงไม่กี่วันหรือกี่เดือนเป็นแน่ อย่างน้อยก็ต้องสองหรือสามปี เขามีความแค้นส่วนตัวหรือไร แต่คราวนั้นเขาพูดว่าทำเพราะนาง
หรูซื่อส่ายหน้าไปมา เวลานี้นางต้องคิดหาทางให้ซุนหลวนคุนและทหารห้าร้อยนายกลับมาอย่างปลอดภัยเป็นอันดับแรก เขาจะต้องกลับมาทั้งที่ยังมีลมหายใจ มาชดใช้ความผิดต่อนาง กลับมาทำหน้าที่สามีที่ควรทำตั้งแต่ห้าปีที่แล้ว!
หญิงสาวสลัดความคิดเรื่องซุนหลวนคุนออกไปก่อน แล้วกวาดเอาจดหมายโต้ตอบกับทางการและหนังสือรายงานต่าง ๆ ออกมา รวมทั้งคำให้การของสายลับที่ลอบเข้ามาในแคว้น นางอ่านลำดับเรื่องราวทั้งหมดอย่างเงียบๆ หัวใจเริ่มสงบนิ่งราวกับเคยทำเช่นนี้มานับครั้งไม่ถ้วน
ไม่ใช่สิ...แท้จริงแล้ว นางศึกษาเรื่องเหล่านี้มาตลอด
ตั้งแต่นางเป็นเด็ก นางมีบิดาเป็นถึงราชครูที่ฮ่องเต้ทรงไว้วางพระราชหฤทัยเป็นอย่างมาก นางมีพี่ชายสามคนที่รักใครเอ็นดูนางมาก นางชอบศึกษากลศึกแต่เด็ก เห็นโต๊ะทรายเหมือนของเล่นที่โปรดปราน พวกพี่ชายของนางชอบพูดเอาใจเสมอว่า
‘หากเจ้าเป็นบุรุษต้องเป็นกุนซือเก่งกาจเป็นแน่’
‘ข้าเป็นสตรี เป็นกุนซือไม่ได้หรือ?’
‘ไม่ได้ เจ้าควรหัดงานบ้านงานเรือน หัดเย็บปักกับมารดา’
‘ไม่เอา ข้าไม่ชอบ’ท่าทางแสนงอนของนางในวัยเยาว์เรียกเสียงหัวเราะขบขันจากบรรดาพี่ชายทั้งสามรวมทั้งบิดาของนางด้วย มารดาเดินเข้ามาพร้อมขนมของว่าง นางวางถาดขนมลงแล้วกวักมือเรียกลูกสาวตัวน้อยมานั่งตัก‘เจ้ารู้หรือไม่ งานเย็บปักนี่ก็เหมือนกลศึกที่เจ้าชอบศึกษา’‘เหมือนกันได้อย่างไรเจ้าคะท่านแม่’‘เจ้าดูแขนเสื้อของพี่ชายเจ้า มันขาดเป็นรูเช่นนั้น เจ้าจะปกปิดอย่างไรไม่ให้ผู้อื่นรู้ การทำศึกมีช่องโหว่เจ้าก็ต้องหาทางปิดจุดบอดนั้นเช่นกัน’‘จริงหรือเจ้าคะท่านพ่อ’‘เจ้าเชื่อฟังคำพูดของแม่เจ้าเถิด’‘แล้วทำไมพวกพี่ๆ ไม่เห็นต้องฝึกงานเย็บปักเลยนี่’‘ซื่อเอ๋อร์ เจ้าเป็นคนใจร้อน เจ้าต้องฝึกใจเย็น มีสมาธิกว่านี้ เอาอย่างนี้ ถ้าเจ้าปักผ้ารูปไก่ได้ แม่จะยอมให้เจ้าฝึกขี่ม้า เจ้าอยากขี่ม้าใช่ไหม?’‘ได้! ข้าจะฝึกเย็บปักกับท่านแม่’มุมปากของหญิงสาวยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม ภาพวันวานหวนคืนกลับมาที่ละเล็กละน้อย นางเคยฝึกขี่ม้ากับพวกพี่ๆ นี่เอง และที่คราวนั้นซุนหลวนคุนบอกว่านางขี่ม้าไม่เป็น คงเพราะกลัวนางจะขี่ม้าหนีไปเที่ยวเล่นคนเดียวเป็นแน่คนแซ่ซุนบังอาจเขียนหนังสือหย่าให้ข้า กลับมาจะจัดการให้ร้องเรียกมารดาเลย ค่อยดูสิ
‘อ่า...นี่คงเพราะซุนหลวนคุนบอกจางหยินเซ่อว่าความจำเสื่อมสินิ คนแซ่จางเลยแต่งเรื่องว่านางมอบผ้าเช็ดหน้าให้ และสามีของนางก็อยากได้บ้าง อันที่จริงนั้นเป็นผ้าปักฝีมือนางก็จริง แต่ที่มอบให้เพราะเขาสัญญาว่าจะพานางไปพบซุนหลวนคุนต่างหาก’หรูซื่อหยิบเสื้อคลุมตัวนั้นออกมาแล้วคลุมร่างของตน วูบหนึ่งนางรู้สึกเหมือนตกอยู่ในวงแขนของเขา กลิ่นอายที่คุ้นเคยดั่งวงแขนโอบกอดนางแนบแน่น ภาพความทรงจำต่าง ๆ หลั่งไหลเข้ามาดุจสายฝนสาดซัดจนกายหนาวสั่น แม้ภาพเหตุการณ์เหล่านั้นไม่ปะติปะต่อกันนัก แต่สิ่งนี้ยืนยันได้ว่า นางไม่เคยคิดปันใจไปจากเขา แม้เขาจะละเลยไม่ใส่ใจนางเท่าที่ควร นางต้องได้ยินเขาสารภาพความจริงจากปากของเขาเอง. เมื่อเข้าสู่ฤดูหนาว กลางคืนคืบคลานเข้ามาอย่างรวดเร็ว อากาศในหุบเขาเย็นเยียบ กระนั้นทหารกลับมีเหงื่อไหลโทรมกาย แต่พวกเขาก็ไม่อาจหยุดได้ ต้องรีบถอยกลับไปถึงเขตแดนของตน “หวงอี้ เจ้านำทหารที่เหลือล่วงหน้าไปก่อน” “ไม่ได้นะขอรับ ท่านแม่ทัพนำหน้าไปก่อน พวกข้าจะอยู่รั้งท้ายเอง” “พวกเจ้านั้นแหละเป็นตัวถ่วงข้า จึงรีบรุดหน้าไปให้เร็วที่สุด”
ม้าพุ่งทะยานฝ่าสายลมอันหนาวเหน็บพ้นเขตเอ้อหยีร์ ม้าของแม่ทัพหนุ่มรั้งท้าย แม้มีหยาดเลือดไหลเปื้อนใบหน้า ทำให้เขาต้องยกมือขึ้นเช็ดมันทิ้งราวกับปาดเหงื่อ แต่หัวใจเขาพุ่งกลับไปที่ถึงค่ายทหารก่อนแล้วด้วยการเตรียมการของหรูซื่อ นางสั่งการผ่านรองแม่ทัพ เมื่อทหารห้าสิบนายกลับมาถึงค่ายทหารให้ทำเป็นไม่รับรู้เรื่องใด การะจายคนทั้งห้าสิบพักตามกระโจมต่าง ๆ แม้จะตื่นเต้นยินดี แต่ต้องเก็บอาการไว้แต่กระนั้น หรูซื่อที่ห่อตัวเองด้วยเสื้อคลุมของสามียืนรอเขากลับมาที่หน้ากระโจมหลักเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและกังวล สายตาของนางนับคนที่กลับมา แม้พวกเขาจะบาดเจ็บแต่ยังรักษาชีวิตมาได้ นางหวงฝูเห็นบุตรชายกลับมาปลอดภัยก็กลั้นน้ำตาไม่อยู่ นางรีบเข้าไปดูอาการบุตรชายทันที ม้าสองตัวควบขนาบคู่กันมา ดวงตาของหญิงสาวเพ่งมอง มือข้างหนึ่งยกขึ้นกุมหัวใจไม่ให้เต้นเร็วเกินไปนัก แต่ก็บังคับได้ยากเย็น เมื่อเห็นร่างสูงใหญ่ที่เฝ้ารอเข้ามาใกล้น้ำตาที่กลั้นไว้ก็เอ่อคลอ ทว่าสองเท้ากลับเหมือนถูกตอกตรึงไม่สามารถขยับได้ ได้แต่ยืนมองเขาลงจากหลังม้าแล้วเดินตรงมาทางนาง “หรูซื่อ...” มีคำถามมากหมาย
“แต่ท่านก็ยังส่งข้าไป ท่านเขียนหนังสือหย่าข้า” นางยื่นมือไปโอบกอดร่างแกร่งที่ยามนี้เต็มไปด้วยผ้าพันแผล แม้เลือดจะหยุดแล้วแต่บนผ้าพันแผลยังมีรอยเลือดให้เห็นอยู่ “เพราะข้ารักเจ้า” เขากอดนาง กดปลายจมูกกับเรือนผมอ่อนนุ่ม สูดดมกลิ่นอายที่คุ้นเคย “ข้าก็รักท่าน” นางเอ่ยที่ออกมา “แม้ข้าจะจำอะไรไม่ได้เลย แต่ข้ารู้ว่าท่านไม่ใช่คนที่จะทำร้ายข้า ท่านพยายามปิดบังบางอย่างเพื่อปกป้องข้า ข้ารู้ว่าที่ผ่านมาท่านเตรียมแผนการสำหรับครั้งนี้ไว้หมดแล้ว ท่านไม่ได้ไปเอ้อหยีร์ในนามของแม่ทัพพิทักษ์ประจิม ท่านไม่ต้องให้ผู้อื่นติดร่างแหไปด้วย ท่านเตรียมตัวไปตาย แต่ท่านลืมไปว่า ข้าคือหลิวหรูซื่อ คนที่ทำอาหารไม่เป็น แต่คัดลอกตำราพิชัยยุทธส่งให้ท่าน คนที่ตระเตรียมเสื้อผ้าให้ท่าน และเป็นสตรีใจแคบที่ไม่ยอมให้ท่านรับอนุ ซ้ำยังเอาแต่ใจตัวเอง แต่ข้าสามารถรับมือกับเรื่องนี้ได้ โดยที่ท่านไม่ต้องรับผิดใด ๆ และยังสามารถกลับเมืองหลวงไปฉลองปีใหม่กับครอบครัวได้” “เจ้ามีแผนใด” แน่นอนว่าเขาไม่คิดว่าตัวเองจะรอดชีวิตกลับมา จึงทุ่มเทสุดเรี่ยวแรงเพื่อให้ครั้งนี้ทำสำเร็จ “
ความรู้สึกเจ็บปวดนี่มันคืออะไรกัน เป็นอีกเช้าที่ซุนหลวนคุนลืมตาตื่นแล้วพบว่า ดวงตาของตนมีน้ำตาเอ่อคลอ น่าอายเหลือเกิน เขาอายุสิบแปดแล้ว แต่ยังนอนละเมอร้องไห้อยู่อีก ที่สำคัญ เขาไม่เคยจำได้เลยว่าฝันถึงเรื่องใด ทุกครั้งที่ลืมตาตื่นจะเหลือเพียงความเจ็บปวดบีบรัดหัวใจ ชายหนุ่มยันกายขึ้นนั่งบนเตียง เขาตื่นแต่เช้ามืดเพราะต้องฝึกเพลงยุทธ เขาเป็นทหารมาหลายปีไต่เต้าด้วยความสามารถ มือสองข้างเปื้อนเลือดคล้ายตัวเขามีกลิ่นอายของความตายโอบกอดอยู่ เขาถอนหายใจ จะทำอย่างไรได้ เขาเลือกเส้นทางนี้เอง แต่ก่อนนั้นครอบครัวของเขาเป็นเพียงชาวนายากจน เขาเป็นพี่ชายคนโตที่หนีออกจากบ้านเพื่อไปเป็นทหาร เขาฝึกหนักกว่าผู้อื่น ทำในสิ่งที่หลายคนไม่คิดว่าเขากล้าทำ เมื่อฐานะของตนเองมั่นคงจึงได้เชิญบิดามารดารวมทั้งน้อง ๆ มาอยู่ด้วยกัน แต่บิดาอ่อนแอเจ็บป่วยเรื้อรังมานาน ย้ายมาอยู่กับเขาได้ไม่ปีเศษก็ตายจาก เขาไม่ได้สนใจลาภยศใด เขาเพียงหวังให้ครอบครัวของเขาหลุดพ้นความยากจน ไม่ต้องอดมื้อกินมื้อหรือไม่มีเสื้อผ้าอบอุ่นใส่ในยามหนาวเหน็บ แต่กระนั้น เมื่อมาถึงจุดนี้
“แต่งงาน! น้องเล็กอายุแค่สิบเอ็ดจะให้แต่งงานแล้วหรือ?” “อีกสองเดือนน้องเล็กคนนี้ก็สิบสองแล้วเจ้าค่ะ” เสียงหวานใสดังขึ้นก่อนที่เจ้าของร่างเล็กเดินเร็วๆ ยื่นมือมาหยิบขนมดอกกุ้ยฮวาที่วางบนโต๊ะเข้าปากกัดกินอย่างเอร็ดอร่อย “ซื่อเอ๋อร์ เจ้าแอบฟังพ่อกับพี่ๆ คุยกันอีกแล้วนะ”ราชครูหลิวถอนหายใจเบาๆ แต่กลับยิ้มเอ็นดูลูกสาวคนเดียวของสกุลหลิวไม่ได้ แม้นางเป็นหญิงแต่เฉลียวฉลาดแต่เด็ก หากไม่นับเรื่องวรยุทธแล้ว นางก็ไม่ด้อยกว่าบุรุษเลย “ซื่อเอ๋อร์ไม่ได้แอบฟังเสียหน่อย แต่เสียงพี่ๆกับท่านพ่อดังไปนอกห้องเอง” เด็กหญิงตัวน้อยไม่ทุกข์ร้อนกับเรื่องที่ได้ยิน “แล้วเจ้าคิดเห็นว่าอย่างไร” บิดาเอ่ยถามพลางรินน้ำให้ลูกสาวอย่างเอาใจ “คนแซ่ซุนอยากแต่งข้าเป็นภรรยา ก็แต่งสิ ไม่เห็นต้องกังวลเลย” นางรับน้ำมาดื่มเล็กน้อยแล้วกินขนมต่อ มุมปากเลอะคราบขนมทำให้พี่ใหญ่หยิบผ้าเช็ดหน้าเช็ดให้นาง “คนแซ่ซุนไม่มีอะไรเหมาะสมกับเจ้าเลยสักนิด” พี่ชายคนรองเอ่ยอย่างหงุดหงิด “แค่ทหารปลายแถวที่ถีบตนเองขึ้นมาจากดินโคลน” “ข้าเชื่อว่าคนแซ่ซุน
“เข้ามาคุยด้านในเถิด” เขาปล่อยมือจากไหล่ของนางแล้วเชื้อเชิญให้เข้าไปด้านใน ทว่าสายตาของนางถูกตำรามากมายดึงดูดไว้จนหลงลืมว่ามี ‘สามี’ อยู่ใกล้ๆ “ข้าไม่คิดว่าท่านแม่ทัพจะชอบสะสมหนังสือมากขนาดนี้” ‘ท่านแม่ทัพ’ ภรรยาหมาดๆ สนใจแต่หนังสือมากมายเหล่านั้น จึงไม่ได้เห็นแววตาไม่พอใจของสามีหมาดๆ อย่างเขา ซุนหลวนคุน ลอบถอนหายใจ นางเพิ่งย่างเท้าเข้าบ้านมาเป็นคนสกุลซุน คงไม่คุ้นชินกับการเรียกขานนัก “อีกห้าวันข้าต้องออกเดินทางแล้ว” “เดินทาง? ท่านแม่ทัพจะไปไหนรึ” หลิวหรูซื่อหันมามองหน้า ‘สามี’ นางทำหน้างุนงงไม่เข้าใจว่าทำไมเขาต้องขบกรามเน้นเช่นนั้น“ได้ ข้าจะเตรียมตัว” “เจ้าไม่ต้องไป” น้ำเสียงของเขากระด้างขึ้นเล็กน้อย บอกตนเองว่าต้องให้ ‘เวลา’ นางมากกว่านี้ เขาจะโมโหนางไม่ได้เด็ดขาด “เหตุใดไม่ให้ข้าไป” นางเอียงคอถาม ท่าทางไร้เดียงสา “เจ้าอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนมารดาข้าเถิด” เขากดน้ำเสียงไม่ให้หงุดหงิดจนเกินไป “นับจากนี้เจ้าเป็นนายหญิงของจวน ต้องรับภาระดูแลเรื่องน้อยใหญ่ในบ้านร่วมกับมารดาข้าแล
“ดีจัง”“อะไรรึ” เขาถามโดยไม่ได้หันมามองนาง “ท่านแบกข้าไว้เช่นนี้” นางนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยต่อ “ท่านจะแบกข้าไปชั่วชีวิตได้หรือไม่” “แน่นอน”“ถ้าข้าอ้วนกว่านี้เล่า”“ข้าแข็งแรงแบกเจ้าไหว” ซุนหลวนคุนหัวเราะในลำคอ หากนางกลายร่างเป็นหญิงอวบอ้วนก็ช่างประไร ของให้นางคือ ‘หรูซื่อ’ ของเขาก็พอ แสงสว่างที่กระทบเปลือกตา ทำให้คนที่หลับใหลค่อยๆ ตื่นฟื้น มือเรียวเล็กยกขึ้นบังแสงที่เข้ามากระทบใบหน้า ทว่าข้อมือกลับถูกจับไว้แน่น ไอร้อนจากฝ่ามือทำให้หญิงสาวได้สติ นางหลุดเสียงร้องบางเบา แต่กระนั้นกลับทำให้เจ้าของฝ่ามือคลายมือลงอย่างรวดเร็ว “เจ้า...ฟื้นแล้ว” ดวงตากลมจ้องมองเจ้าของเสียงแหบพร่า น้ำเสียงเหนื่อยล้าระคนดีใจทำให้นางงุนงง หญิงสาวกะพริบตาปรับสายตาอยู่ครู่หนึ่งจึงจ้องมองบุรุษเบื้องหน้า ยังไม่ทันตั้งสติได้ ร่างของนางถูกเขารวบขึ้นมากอดแนบแน่นกับแผ่นอกกว้างของเขา “ฟื้นเสียที” ร่างของนางเกร็งขึ้นทันที สองมือพยายามดันแผ่นอกและดิ้นรนอย่างตื่นกลัว อาการต่อต้านทำให้ชายหนุ่มผ่อนวงแขนแล้วก้มมองหญิงสาวด้วยความประหลาดใจ “เป็นอะไ
“เข้ามาคุยด้านในเถิด” เขาปล่อยมือจากไหล่ของนางแล้วเชื้อเชิญให้เข้าไปด้านใน ทว่าสายตาของนางถูกตำรามากมายดึงดูดไว้จนหลงลืมว่ามี ‘สามี’ อยู่ใกล้ๆ “ข้าไม่คิดว่าท่านแม่ทัพจะชอบสะสมหนังสือมากขนาดนี้” ‘ท่านแม่ทัพ’ ภรรยาหมาดๆ สนใจแต่หนังสือมากมายเหล่านั้น จึงไม่ได้เห็นแววตาไม่พอใจของสามีหมาดๆ อย่างเขา ซุนหลวนคุน ลอบถอนหายใจ นางเพิ่งย่างเท้าเข้าบ้านมาเป็นคนสกุลซุน คงไม่คุ้นชินกับการเรียกขานนัก “อีกห้าวันข้าต้องออกเดินทางแล้ว” “เดินทาง? ท่านแม่ทัพจะไปไหนรึ” หลิวหรูซื่อหันมามองหน้า ‘สามี’ นางทำหน้างุนงงไม่เข้าใจว่าทำไมเขาต้องขบกรามเน้นเช่นนั้น“ได้ ข้าจะเตรียมตัว” “เจ้าไม่ต้องไป” น้ำเสียงของเขากระด้างขึ้นเล็กน้อย บอกตนเองว่าต้องให้ ‘เวลา’ นางมากกว่านี้ เขาจะโมโหนางไม่ได้เด็ดขาด “เหตุใดไม่ให้ข้าไป” นางเอียงคอถาม ท่าทางไร้เดียงสา “เจ้าอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนมารดาข้าเถิด” เขากดน้ำเสียงไม่ให้หงุดหงิดจนเกินไป “นับจากนี้เจ้าเป็นนายหญิงของจวน ต้องรับภาระดูแลเรื่องน้อยใหญ่ในบ้านร่วมกับมารดาข้าแล
“แต่งงาน! น้องเล็กอายุแค่สิบเอ็ดจะให้แต่งงานแล้วหรือ?” “อีกสองเดือนน้องเล็กคนนี้ก็สิบสองแล้วเจ้าค่ะ” เสียงหวานใสดังขึ้นก่อนที่เจ้าของร่างเล็กเดินเร็วๆ ยื่นมือมาหยิบขนมดอกกุ้ยฮวาที่วางบนโต๊ะเข้าปากกัดกินอย่างเอร็ดอร่อย “ซื่อเอ๋อร์ เจ้าแอบฟังพ่อกับพี่ๆ คุยกันอีกแล้วนะ”ราชครูหลิวถอนหายใจเบาๆ แต่กลับยิ้มเอ็นดูลูกสาวคนเดียวของสกุลหลิวไม่ได้ แม้นางเป็นหญิงแต่เฉลียวฉลาดแต่เด็ก หากไม่นับเรื่องวรยุทธแล้ว นางก็ไม่ด้อยกว่าบุรุษเลย “ซื่อเอ๋อร์ไม่ได้แอบฟังเสียหน่อย แต่เสียงพี่ๆกับท่านพ่อดังไปนอกห้องเอง” เด็กหญิงตัวน้อยไม่ทุกข์ร้อนกับเรื่องที่ได้ยิน “แล้วเจ้าคิดเห็นว่าอย่างไร” บิดาเอ่ยถามพลางรินน้ำให้ลูกสาวอย่างเอาใจ “คนแซ่ซุนอยากแต่งข้าเป็นภรรยา ก็แต่งสิ ไม่เห็นต้องกังวลเลย” นางรับน้ำมาดื่มเล็กน้อยแล้วกินขนมต่อ มุมปากเลอะคราบขนมทำให้พี่ใหญ่หยิบผ้าเช็ดหน้าเช็ดให้นาง “คนแซ่ซุนไม่มีอะไรเหมาะสมกับเจ้าเลยสักนิด” พี่ชายคนรองเอ่ยอย่างหงุดหงิด “แค่ทหารปลายแถวที่ถีบตนเองขึ้นมาจากดินโคลน” “ข้าเชื่อว่าคนแซ่ซุน
ความรู้สึกเจ็บปวดนี่มันคืออะไรกัน เป็นอีกเช้าที่ซุนหลวนคุนลืมตาตื่นแล้วพบว่า ดวงตาของตนมีน้ำตาเอ่อคลอ น่าอายเหลือเกิน เขาอายุสิบแปดแล้ว แต่ยังนอนละเมอร้องไห้อยู่อีก ที่สำคัญ เขาไม่เคยจำได้เลยว่าฝันถึงเรื่องใด ทุกครั้งที่ลืมตาตื่นจะเหลือเพียงความเจ็บปวดบีบรัดหัวใจ ชายหนุ่มยันกายขึ้นนั่งบนเตียง เขาตื่นแต่เช้ามืดเพราะต้องฝึกเพลงยุทธ เขาเป็นทหารมาหลายปีไต่เต้าด้วยความสามารถ มือสองข้างเปื้อนเลือดคล้ายตัวเขามีกลิ่นอายของความตายโอบกอดอยู่ เขาถอนหายใจ จะทำอย่างไรได้ เขาเลือกเส้นทางนี้เอง แต่ก่อนนั้นครอบครัวของเขาเป็นเพียงชาวนายากจน เขาเป็นพี่ชายคนโตที่หนีออกจากบ้านเพื่อไปเป็นทหาร เขาฝึกหนักกว่าผู้อื่น ทำในสิ่งที่หลายคนไม่คิดว่าเขากล้าทำ เมื่อฐานะของตนเองมั่นคงจึงได้เชิญบิดามารดารวมทั้งน้อง ๆ มาอยู่ด้วยกัน แต่บิดาอ่อนแอเจ็บป่วยเรื้อรังมานาน ย้ายมาอยู่กับเขาได้ไม่ปีเศษก็ตายจาก เขาไม่ได้สนใจลาภยศใด เขาเพียงหวังให้ครอบครัวของเขาหลุดพ้นความยากจน ไม่ต้องอดมื้อกินมื้อหรือไม่มีเสื้อผ้าอบอุ่นใส่ในยามหนาวเหน็บ แต่กระนั้น เมื่อมาถึงจุดนี้
“แต่ท่านก็ยังส่งข้าไป ท่านเขียนหนังสือหย่าข้า” นางยื่นมือไปโอบกอดร่างแกร่งที่ยามนี้เต็มไปด้วยผ้าพันแผล แม้เลือดจะหยุดแล้วแต่บนผ้าพันแผลยังมีรอยเลือดให้เห็นอยู่ “เพราะข้ารักเจ้า” เขากอดนาง กดปลายจมูกกับเรือนผมอ่อนนุ่ม สูดดมกลิ่นอายที่คุ้นเคย “ข้าก็รักท่าน” นางเอ่ยที่ออกมา “แม้ข้าจะจำอะไรไม่ได้เลย แต่ข้ารู้ว่าท่านไม่ใช่คนที่จะทำร้ายข้า ท่านพยายามปิดบังบางอย่างเพื่อปกป้องข้า ข้ารู้ว่าที่ผ่านมาท่านเตรียมแผนการสำหรับครั้งนี้ไว้หมดแล้ว ท่านไม่ได้ไปเอ้อหยีร์ในนามของแม่ทัพพิทักษ์ประจิม ท่านไม่ต้องให้ผู้อื่นติดร่างแหไปด้วย ท่านเตรียมตัวไปตาย แต่ท่านลืมไปว่า ข้าคือหลิวหรูซื่อ คนที่ทำอาหารไม่เป็น แต่คัดลอกตำราพิชัยยุทธส่งให้ท่าน คนที่ตระเตรียมเสื้อผ้าให้ท่าน และเป็นสตรีใจแคบที่ไม่ยอมให้ท่านรับอนุ ซ้ำยังเอาแต่ใจตัวเอง แต่ข้าสามารถรับมือกับเรื่องนี้ได้ โดยที่ท่านไม่ต้องรับผิดใด ๆ และยังสามารถกลับเมืองหลวงไปฉลองปีใหม่กับครอบครัวได้” “เจ้ามีแผนใด” แน่นอนว่าเขาไม่คิดว่าตัวเองจะรอดชีวิตกลับมา จึงทุ่มเทสุดเรี่ยวแรงเพื่อให้ครั้งนี้ทำสำเร็จ “
ม้าพุ่งทะยานฝ่าสายลมอันหนาวเหน็บพ้นเขตเอ้อหยีร์ ม้าของแม่ทัพหนุ่มรั้งท้าย แม้มีหยาดเลือดไหลเปื้อนใบหน้า ทำให้เขาต้องยกมือขึ้นเช็ดมันทิ้งราวกับปาดเหงื่อ แต่หัวใจเขาพุ่งกลับไปที่ถึงค่ายทหารก่อนแล้วด้วยการเตรียมการของหรูซื่อ นางสั่งการผ่านรองแม่ทัพ เมื่อทหารห้าสิบนายกลับมาถึงค่ายทหารให้ทำเป็นไม่รับรู้เรื่องใด การะจายคนทั้งห้าสิบพักตามกระโจมต่าง ๆ แม้จะตื่นเต้นยินดี แต่ต้องเก็บอาการไว้แต่กระนั้น หรูซื่อที่ห่อตัวเองด้วยเสื้อคลุมของสามียืนรอเขากลับมาที่หน้ากระโจมหลักเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและกังวล สายตาของนางนับคนที่กลับมา แม้พวกเขาจะบาดเจ็บแต่ยังรักษาชีวิตมาได้ นางหวงฝูเห็นบุตรชายกลับมาปลอดภัยก็กลั้นน้ำตาไม่อยู่ นางรีบเข้าไปดูอาการบุตรชายทันที ม้าสองตัวควบขนาบคู่กันมา ดวงตาของหญิงสาวเพ่งมอง มือข้างหนึ่งยกขึ้นกุมหัวใจไม่ให้เต้นเร็วเกินไปนัก แต่ก็บังคับได้ยากเย็น เมื่อเห็นร่างสูงใหญ่ที่เฝ้ารอเข้ามาใกล้น้ำตาที่กลั้นไว้ก็เอ่อคลอ ทว่าสองเท้ากลับเหมือนถูกตอกตรึงไม่สามารถขยับได้ ได้แต่ยืนมองเขาลงจากหลังม้าแล้วเดินตรงมาทางนาง “หรูซื่อ...” มีคำถามมากหมาย
‘อ่า...นี่คงเพราะซุนหลวนคุนบอกจางหยินเซ่อว่าความจำเสื่อมสินิ คนแซ่จางเลยแต่งเรื่องว่านางมอบผ้าเช็ดหน้าให้ และสามีของนางก็อยากได้บ้าง อันที่จริงนั้นเป็นผ้าปักฝีมือนางก็จริง แต่ที่มอบให้เพราะเขาสัญญาว่าจะพานางไปพบซุนหลวนคุนต่างหาก’หรูซื่อหยิบเสื้อคลุมตัวนั้นออกมาแล้วคลุมร่างของตน วูบหนึ่งนางรู้สึกเหมือนตกอยู่ในวงแขนของเขา กลิ่นอายที่คุ้นเคยดั่งวงแขนโอบกอดนางแนบแน่น ภาพความทรงจำต่าง ๆ หลั่งไหลเข้ามาดุจสายฝนสาดซัดจนกายหนาวสั่น แม้ภาพเหตุการณ์เหล่านั้นไม่ปะติปะต่อกันนัก แต่สิ่งนี้ยืนยันได้ว่า นางไม่เคยคิดปันใจไปจากเขา แม้เขาจะละเลยไม่ใส่ใจนางเท่าที่ควร นางต้องได้ยินเขาสารภาพความจริงจากปากของเขาเอง. เมื่อเข้าสู่ฤดูหนาว กลางคืนคืบคลานเข้ามาอย่างรวดเร็ว อากาศในหุบเขาเย็นเยียบ กระนั้นทหารกลับมีเหงื่อไหลโทรมกาย แต่พวกเขาก็ไม่อาจหยุดได้ ต้องรีบถอยกลับไปถึงเขตแดนของตน “หวงอี้ เจ้านำทหารที่เหลือล่วงหน้าไปก่อน” “ไม่ได้นะขอรับ ท่านแม่ทัพนำหน้าไปก่อน พวกข้าจะอยู่รั้งท้ายเอง” “พวกเจ้านั้นแหละเป็นตัวถ่วงข้า จึงรีบรุดหน้าไปให้เร็วที่สุด”
‘ไม่เอา ข้าไม่ชอบ’ท่าทางแสนงอนของนางในวัยเยาว์เรียกเสียงหัวเราะขบขันจากบรรดาพี่ชายทั้งสามรวมทั้งบิดาของนางด้วย มารดาเดินเข้ามาพร้อมขนมของว่าง นางวางถาดขนมลงแล้วกวักมือเรียกลูกสาวตัวน้อยมานั่งตัก‘เจ้ารู้หรือไม่ งานเย็บปักนี่ก็เหมือนกลศึกที่เจ้าชอบศึกษา’‘เหมือนกันได้อย่างไรเจ้าคะท่านแม่’‘เจ้าดูแขนเสื้อของพี่ชายเจ้า มันขาดเป็นรูเช่นนั้น เจ้าจะปกปิดอย่างไรไม่ให้ผู้อื่นรู้ การทำศึกมีช่องโหว่เจ้าก็ต้องหาทางปิดจุดบอดนั้นเช่นกัน’‘จริงหรือเจ้าคะท่านพ่อ’‘เจ้าเชื่อฟังคำพูดของแม่เจ้าเถิด’‘แล้วทำไมพวกพี่ๆ ไม่เห็นต้องฝึกงานเย็บปักเลยนี่’‘ซื่อเอ๋อร์ เจ้าเป็นคนใจร้อน เจ้าต้องฝึกใจเย็น มีสมาธิกว่านี้ เอาอย่างนี้ ถ้าเจ้าปักผ้ารูปไก่ได้ แม่จะยอมให้เจ้าฝึกขี่ม้า เจ้าอยากขี่ม้าใช่ไหม?’‘ได้! ข้าจะฝึกเย็บปักกับท่านแม่’มุมปากของหญิงสาวยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม ภาพวันวานหวนคืนกลับมาที่ละเล็กละน้อย นางเคยฝึกขี่ม้ากับพวกพี่ๆ นี่เอง และที่คราวนั้นซุนหลวนคุนบอกว่านางขี่ม้าไม่เป็น คงเพราะกลัวนางจะขี่ม้าหนีไปเที่ยวเล่นคนเดียวเป็นแน่คนแซ่ซุนบังอาจเขียนหนังสือหย่าให้ข้า กลับมาจะจัดการให้ร้องเรียกมารดาเลย ค่อยดูสิ
“มิใช่บุกไปท้าตีท้าต่อยกับพวกเอ้อหยีร์อยู่หรอกเรอะ” ลี่หย่ายกมือขึ้นเท้าเอว “ท้าตีต่อยอะไรของเจ้า แม่ทัพของเราไปทำศึกต่างหาก อุ๊บ!” นายกองผู้หนึ่งหลุดปากพูดออกมา รองแม่ทัพยกมือขึ้นตบศีรษะลูกน้องทันที “อยู่กับพวกเอ้อหยีร์จริง ๆ สินะ” นางเค้นเสียงพูดรอดไรฟัน “แม่ทัพเดินทางไปตั้งแต่เมื่อใด” “สะ...สองวันแล้วขอรับฮูหยิน” “นำกำลังคนไปเท่าไหร่” นางถามแล้วก้าวผ่านรองแม่ทัพไปที่โต๊ะทราย กวาดตามองตำแหน่งต่าง ๆ อย่างรวดเร็ว “ห้า...” “ห้าหมื่น?” นางถาม แต่ไม่ได้ยินคำตอบรับจึงเงยหน้าขึ้น “ห้าพัน?” “ห้าสิบนายขอรับ” นางโมโหจนตัวสั่น แต่ลี่หย่าเข้าใจไปว่าหรูซื่อสั่นเพราะความกลัวจึงเข้าไปลูบไหล่ แต่หรูซื่อตวาดออกมาเสียก่อน “ทหารห้าสิบนาย! ต่อให้เป็นแม่ทัพปีศาจจริงจะต่อสู้กับพวกกระหายเลือดอย่างเอ้อหยีร์ได้เรอะ!” แม้เป็นทหารร่างใหญ่กำยำ แต่ถูกหญิงสาวตัวเล็กตวาดก็เล่นเอาทำอะไรไม่ถูกกันเลยทีเดียว “ใจเย็นก่อนหรูซื่อ แม่ทัพซุนคงมีแผนการในใจที่เราไม่รู้”
“เรา? หมายถึงข้ากับท่านนะหรือ?” นางสายหน้าไปมา “ข้าไม่ไปไหนกับท่านทั้งนั้น” “หรูซื่อ ข้ารู้เรื่องที่เจ้าความจำเลอะเลือนหมดแล้ว” จางหยินเซ่อมองหญิงสาวอย่างสงสาร “ความจำเลอะเลือนอันใดกัน” นางขึงตาใส่ นางแค่จำไม่ได้ชั่วคราวต่างหาก “ท่านรู้ได้อย่างไร” “แม่ทัพซุนบอกข้า” “อะไรนะ” นางส่ายหน้าไปมา “เขาจะบอกท่านทำไมกัน” “บอกเพื่อให้ข้าดูแลเจ้า” จางหยินเซ่อพูดแล้วขยับตัวเข้าไปใกล้ยื่นมือไปหมายจะจับมือนางแต่นางกลับกระถดกายหนีจนแผ่นหลังชิดผนังรถม้า ชายหนุ่มถอนหายใจอีกครั้ง “เขาต้องการให้เจ้าไปจากที่นี่ เขาต้องการตัดขาดกับเจ้า” “ไม่จริง” นางส่ายหน้าไปมา “เขาบอกว่า ถ้าเจ้าฟื้นแล้วให้อ่านจดหมายที่อยู่ในอกเสื้อของเจ้า” หรูซื่อยกมือขึ้นตบสาบเสื้อของตนเอง มีจดหมายอยู่จริง นางหยิบออกมาดู ในซองจดหมายมีหนังสือหย่าและมีดสั้นอันนั้นที่ได้รับจากชาว เปียนเจียงเท่ากับว่านี่เป็นเรื่องจริง “หรูซื่อ” จางหมินเซ่อเอ่ยเรียก “คนแซ่ซุนต้องการเพียงอำนาจไม่ได้รักใคร่เจ้าอย่างจริงใจ เจ้าเป็นคนฉลา