สายตาของทุกคนหันไปมองอู๋เยว่ชิงอย่างพร้อมเพรียงกัน นึกสงสัยว่าเหตุใดนางจึงมีดวงชะตากำราบมาร ครั้นเมื่อฟังสิ่งที่นักพรตชรากล่าวแล้วจึงเข้าใจในที่สุด
แม้วิธีแก้เคล็ดนั้นจะไม่ถูกใจหลินซีเวยแต่เวลานี้เขาไม่มีแรงมากพอที่จะคัดค้านสิ่งใด ทั้งยังไม่สามารถใช้พลังมารบังคับคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นหรือโน้มน้าวตามใจตัวเองได้เพราะเสี่ยงที่นักพรตจะจับได้ในทันทีว่าตัวเขาคือจอมมารที่แฝงอยู่ในร่างของมนุษย์
การโดนกำจัดไม่ได้ยุ่งยากหรือลำบากจอมมารนัก อย่างไรเสียเขาสามารถฟื้นคืนขึ้นมาใหม่ทุกครั้งที่พลังมารมากพออยู่แล้ว แต่เป็นเพราะเกรงว่าจะตามหาตัวผู้มีดวงกำราบมารไม่ทันการจนส่งผลเสียต่อตัวเขาเองมากกว่าจึงต้องยั้งมือเอาไว้แล้วค่อยหาทางแก้ในคราวหลัง
“ท่านนักพรตหมายความให้ข้าน้อยแต่งงานกับองค์ชายสามหรือเจ้าคะ” อู๋เยว่ชิงไม่เชื่อหูตนเอง สายตาของนางเหลือบมองหลินซีเวยที่หลับนิ่งอยู่บนเตียง
เมื่อนักพรตชราพยักหน้า ฮองเฮาจึงเดินมากุมมืออู๋เยว่ชิงไว้พลางขอร้องให้ช่วยบุตรชายของนาง ไม่ว่าจวนแม่ทัพต้องการสิ่งใด นางจะหามาให้ทั้งหมดเพื่อเป็นการตอบแทน
“เสี่ยวเยว่ชิง ได้โปรดช่วยองค์ชายด้วย” น้ำตาหยดใสคลอเบ้ารอฟังคำตอบจากคนตรงหน้า “ไม่ว่าสิ่งใด ข้ายกให้เจ้าได้ทั้งหมด ช่วยเขาด้วยเถิด”
ครั้นฮองเฮาจะนั่งลงคุกเข่าอ้อนวอน อู๋เยว่ชิงจึงรีบประคองร่างบางของนางเอาไว้แล้วเอ่ยปากว่า “หากทำเช่นนี้แล้วสามารถช่วยองค์ชายได้ หม่อมฉันยินดีเพคะ”
กระนั้น เหล่าขันทีและนางกำนัลต่างอยากรู้ว่าบุตรสาวแม่ทัพใหญ่ต้องการสิ่งใดเป็นเครื่องตอบแทน ไท่จื่อสังเกตเห็นได้ว่าบรรยากาศรอบตัวเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นจึงสั่งตัดไฟตั้งแต่ต้นลมเสีย
“เรื่องในตำหนักองค์ชายสาม อย่าให้ถึงหูเหล่าขุนนางเป็นอันขาด มิเช่นนั้นแล้ว ข้าจะสั่งลงโทษให้สาสม”
ฮ่องเต้มองหน้าบุตรชายคนโตแล้วพยักหน้าก่อนจะส่งคนไปเรียกแม่ทัพใหญ่และฮูหยินมาปรึกษาหารือกับนักพรตชรา
คล้อยหลังคนทั้งหมด โจวเหวินหลงโผล่หน้ามาหาเจ้านายของตนพลันได้รับคำสั่งว่าให้ติดตามพวกเขาแล้วมารายงานอย่างละเอียด
ในห้องบรรทมจึงมีเพียงแค่หลินซีเวยและเฉินซือหยางอยู่ด้วยกันเพียงลำพัง
“นายท่านจะทำอย่างไรต่อหรือ” ลูกน้องปีศาจถามผู้เป็นนาย “นายท่านจะแต่งงานกับนางจริงหรือขอรับ”
“ข้ามีทางเลือกอื่นเรอะ” น้ำเสียงหงุดหงิดดังก้อง
“ลองดูก็ไม่เสียหายนี่ขอรับ เจ้าของร่างเดิมอาจจะเป็นเนื้อคู่ในชาตินี้ของนาง แต่พอนายท่านเข้ามายุ่งเกี่ยวโชคชะตาของนางจึงเปลี่ยนไป พอได้มาแต่งกับคนที่ไม่ได้รักแถมยังถูกรังเกียจก็ไม่ต่างกับว่านายท่านจะได้อยู่บั่นทอนจิตใจของนางไปเรื่อย ๆ ทุกวันหรอกหรือ ถึงจะไม่ได้ผลอะไรมากนักแต่ก็น่าสนุกไม่น้อย”
จอมมารได้แต่คิดในใจว่าร่างกายของหลินซีเวยทำอะไรไม่เคยได้ดั่งใจเลยและทำไมเขาจึงต้องมาติดอยู่ในร่างนี้ด้วยก็ไม่รู้ เวลานี้เจ็บร่างกายจนขยับตัวไม่ไหวจึงได้แต่นอนนิ่งอยู่บนเตียง
“พวกมนุษย์ช่างน่าเบื่อหน่าย” เขาบ่นพึมพำแล้วผล็อยหลับไปเพราะฤทธิ์ยาสมุนไพรหลากหลายชนิดที่หมอหลวงสกัดผสมกัน
เมื่อทางฝั่งผู้ใหญ่ตกลงเรื่องงานอภิเษกเสร็จเรียบร้อย ฮ่องเต้เมืองไท่หยางมีรับสั่งให้จัดเตรียมทุกอย่างให้พร้อมภายในสามวัน ไม่นานนักวังหลวงจึงประดับประดาไปด้วยสีแดงสำหรับงานมงคล
นักพรตชราเลือกฤกษ์ทำพิธีช่วงยามเหม่าเพราะเป็นช่วงที่มารปีศาจอ่อนกำลังมากที่สุดเพื่อให้งานอภิเษกแก้เคล็ดผ่านไปได้ด้วยดี
อู๋เยว่ชิงสวมชุดเจ้าสาวสีแดงเดินมาพร้อมกับบิดาของนางด้วยสีหน้ากังวลเล็กน้อย สายตาทอดมองไปยังเตียงในห้องบรรทมขององค์ชายสามที่เวลานี้ไร้สิ้นเรี่ยวแรง
หลินซีเวยสวมอาภรณ์สีเดียวกันลืมตาสบประสานดวงตาสีฟ้าของเจ้าสาวแล้วย่นคิ้วขมวดจนทำให้นางต้องลอบถอนหายใจไปครั้งใหญ่ก่อนจะเดินไปข้างเตียงแล้วนอนลงเคียงข้างกายของเขา
“สองมือสอดประสาน” นักพรตกล่าวให้อู๋เยว่ชิงจับมือของเจ้าบ่าวเอาไว้แล้วเริ่มสวดมนต์ทำพิธีด้วยสีหน้าจริงจัง
หากแต่องค์ชายสามผู้ดื้อดึงกรอกตามองคนข้างกาย “อย่ามาแตะต้องตัวข้านะ”
“แต่ว่าท่านนักพรตบอกว่า...”
“อย่าเอามือน่ารังเกียจมาแตะต้อง” น้ำเสียงเกรี้ยวกราดของเขาทำให้พยานงานพิธีกังวลใจไม่แพ้กัน
ทว่า นักพรตชราไม่ฟังคำของเขา “งานพิธีจะเริ่มแล้ว หากเลยฤกษ์ยามครั้งนี้ไปอาจต้องรออีกนาน เวลานั้นพระวรกายขององค์ชายคงทนพิษมารปีศาจไม่ไหว”
หลินซีเวยคิดในใจ ข้าเป็นถึงจอมมารเหตุใดจึงจะทนไม่ไหว
เมื่ออู๋เยว่ชิงได้ยินดังนั้นไม่รอช้าจับมืออีกฝ่ายไว้แน่น ความตั้งใจที่จะช่วยเหลือองค์ชายสามแน่วแน่ “หม่อมฉันรู้ว่าพระองค์ไม่พอพระทัยแต่ว่าทรงอดทนเพียงหนึ่งก้านธูปได้หรือไม่เพคะ”
“บังอาจนัก” เขาถลึงตามองนางก่อนจะหยุดนิ่งไปชั่วครู่เพราะพลังเซียนเจือจางของนักพรตชราทำให้หลินซีเวยต้องใช้สมาธิควบคุมพลังมารในแก่นวิญญาณของตนเองไม่ให้ประทุออกมา
ผ่านไปเพียงหนึ่งชั่วยาม พิธีอภิเษกแก้เคล็ดจึงผ่านไปได้ด้วยดีส่วนจอมมารในร่างมนุษย์กลับทุลักทุเลเหงื่อแตกพลั่กจนใครหลายคนคิดว่าอาการของเขากำเริบขึ้นมาอีกครั้ง
หลังจากนั้นนักพรตจึงสั่งห้ามคู่บ่าวสาวออกนอกห้องหอเป็นเวลาเจ็ดวันเจ็ดคืนเพื่อผูกดวงชะตาให้แน่นแฟ้นและไม่ให้ผู้ใดเข้าไปยุ่งเกี่ยวในช่วงเวลานั้น
เจ้าสาวมือใหม่จึงได้เริ่มทำหน้าที่ของตนทันที นางกำนัลแนะนำที่ทาง ข้าวของเครื่องใช้ในตำหนักให้อู๋เยว่ชิงได้รู้แล้วออกมานอกรัศมีแผ่นยันต์ที่นักพรตชราติดไว้ด้านนอก
“เอ่อคือ...” อู๋เยว่ชิงอ้ำอึ้ง ในมืออุ้มอ่างน้ำเล็ก ๆ พลางถือผ้าสะอาดมาเพื่อเช็ดตัวให้เขา
หากแต่นางเพิ่งจะเคยทำเช่นนี้เป็นครั้งแรกจึงทำตัวไม่ถูกและไม่รู้ว่าจะเริ่มที่ตรงไหนเพราะเจ้าบ่าวกำลังมองหน้านางอย่างไม่สบอารมณ์โดยใช้สายตาสั่งห้ามเข้าใกล้โดยเด็ดขาด
“หมอหลวงกำชับว่าพระองค์ต้องเสวยพระโอสถสี่เวลา หม่อมฉันอาจจะต้องโผล่หน้ามาให้พระองค์ทรงรู้สึกไม่พอพระทัยบ้าง ยิ่งทรงหายประชวรโดยเร็ว ก็จะได้ไม่ต้องทนเห็นหน้าหม่อมฉันแล้ว” นางพยายามอธิบายโน้มน้าวใจเจ้าของตำหนักที่ตั้งแง่ไม่ยอมลูกเดียว
ครั้นพูดจบจึงขยับเข้ามาใกล้ พยายามประคองหลินซีเวยไว้แล้วหยิบถ้วยโอสถมาป้อนแต่อีกฝ่ายกลับปัดทิ้งจนน้ำกระจายเปื้อนเสื้อผ้าของเขา
ความรังเกียจจากแววตาฉายชัดว่าไม่อยากให้นางเข้ามาใกล้ เขาถึงกับเผลอร่ายพลังมารใส่นางทั้ง ๆ ที่รู้ว่ามันอาจจะย้อนกลับมาหาตัวเอง
แค่ก แค่ก
หลินซีเวยกระอักเลือดได้แต่หงุดหงิดอยู่คนเดียวเพราะยิ่งร่างกายนี้บาดเจ็บเขาก็ยิ่งทำอะไรไม่สะดวก คราวนี้แม้จะอยากผลักนางยังทำได้ยาก ถ้าเปิดปากพูดเมื่อใดเลือดในกายก็ทำท่าจะกระอักออกมาทุกเมื่อจึงได้แต่นิ่งงันยอมรับการปรนนิบัติจากนางไปโดยปริยาย
“องค์ชาย ทรงประทานอภัยให้หม่อมฉันด้วยที่ล่วงเกิน” นางกล่าวกับเขาแล้วหยิบผ้าชุบน้ำมาเช็ดใบหน้าของเขาอย่างอ่อนโยน ค่อย ๆ ซับเหงื่อตรงลำคอ สายตาเลื่อนลงมองรอยเปื้อนจากยาบนเสื้อผ้าที่คนตรงหน้าสวมใส่ “เอ่อคือ... ท่านนักพรตห้ามไม่ให้ผู้ใดเข้ามา หม่อมฉันเลยต้อง... ต้องดูแลพระองค์ทุกอย่าง คือว่า... หม่อมฉันอาจจะไม่ถนัดแต่ว่าจะทำให้ดีที่สุดเพคะ”
“...” สายตาไม่พอใจจ้องมองนางแล้วเบือนหน้าหนีไปอีกทางหนึ่งตัดใจยอมแพ้ไปสักเรื่องแล้วค่อยคิดหาทางเอาคืนให้หนักกว่าเท่าตัว
ท่าทีของอู๋เยว่ชิงสมเป็นมือใหม่ นางไม่เคยต้องดูแลบุรุษใดอย่างใกล้ชิดเช่นนี้มาก่อน ใบหน้าจึงแดงระเรื่อเขินอายไม่น้อยแล้วค่อย ๆ ปลดผ้าที่ผูกกันออกทีละนิด บางครั้งถึงกับลืมหายใจกว่าจะเช็ดตัวของเจ้าบ่าวตั้งแต่หัวจรดเท้าเรียบร้อยก็กินเวลาไปเสียนาน
วันทั้งวันอู๋เยว่ชิงจะโผล่มาให้เขาเห็นหน้าก็ต่อเมื่ออีกฝ่ายต้องดื่มโอสถ เช็ดตัว หรือทำอะไรที่จำเป็นเท่านั้น นอกเหนือจากเรื่องเหล่านี้แล้ว นางก็ได้แต่นั่งอยู่ในส่วนรับรองที่อยู่ข้างกันมีเพียงฉากกั้นระหว่างคนทั้งสอง
เมื่อองค์ชายสามเสวยพระโอสถรอบก่อนบรรทมเรียบร้อยแล้ว อู๋เยว่ชิงจึงเดินมาที่ข้างเตียงตามคำสั่งของนักพรตว่าเจ็ดคืนนี้ต้องนอนร่วมเตียงกันเสมือนบ่าวสาวเข้าห้องหอ
ทว่า หลินซีเวยกลับบอกว่า “ลงไปนอนข้างล่าง”
“พระองค์ทรงมีรับสั่งให้หม่อมฉันนอนพื้นหรือเพคะ” อู๋เยว่ชิงไม่คาดหวังว่าเขาจะยอมให้นอนข้างกายแต่ก็ไม่คิดว่าจะต้องนอนบนพื้นเช่นนี้
“เจ้ามิใช่ภรรยาข้าจริง ๆ เสียหน่อย เหตุใดจึงสำคัญตัว”
“หม่อมฉันเพียงทำตามที่ท่านนักพรตกำชับเอาไว้”
“ทำไม่ได้ก็ออกไป แค่เห็นหน้าเจ้าข้าก็อยากสำรอกโอสถออกมาอยู่แล้ว ถ้าต้องนอนกับเจ้าร่างกายข้าคงจะทรุดในเร็ววัน” หลินซีเวยฮึดฮัดไม่พอใจ
เจ้าสาวผู้นี้จึงไม่มีทางเลือกจำใจต้องนอนกับพื้นอย่างที่เขาสั่งจริง ๆ “หม่อมฉันเข้าใจแล้วเพคะ” นางเดินไปหยิบเครื่องนอนอีกชุดหนึ่งมาปูบนพื้นแล้วเอ่ยปากบอกคนหน้าบึ้งว่า “ขอให้พระองค์หายประชวรในเร็ววันเพคะ หากประสงค์สิ่งใด หม่อมฉันยินดีรับใช้”
“เฮอะ ไปให้พ้นหน้าข้าเสียที” เขาเอ่ยปากทันควัน
“เรื่องนั้นหม่อมฉันทำให้พระองค์ได้เพคะ แต่ต้องหลังจากที่หายประชวรเสียก่อน ทางที่ดีพระองค์ทรงรีบเข้าบรรทมพักผ่อนพระวรกายดีกว่า” อู๋เยว่ชิงพูดแล้วก็ดับไฟในตะเกียงเข้านอนโดยไม่สนคนดื้อดึง
ในวันต่อมาหลินซีเวยยังคงปฏิบัติกับอู๋เยว่ชิงเหมือนเดิม ทั้งพูดจาไม่เข้าหู ปัดถ้วยโอสถกระเด็น และอีกสารพัดที่นึกอยากจะทำเพื่อให้อีกฝ่ายไปให้พ้นหน้าทว่า อู๋เยว่ชิงยังคงอดทนทำให้เขาตามที่นักพรตชราสั่งเอาไว้ไม่ขาดตกบกพร่องจนกระทั่งผ่านพ้นวันต้องห้าม“องค์ชาย ทรงเป็นอย่างไรบ้าง” ฮองเฮาเข้ามาเยี่ยมบุตรชายทันทีที่พ้นฤกษ์ยาม เวลานี้สีหน้าของหลินซีเวยดีขึ้นเล็กน้อย นางจึงเชื่อว่าการทำพิธีแต่งงานกับอู๋เยว่ชิงจะช่วยปัดเป่าไอมารปีศาจจากองค์ชายสามได้“ข้าไม่เป็นอันใด” เขาตอบอย่างขอไปที “รีบให้นางออกไปจากตำหนักของข้าได้แล้ว”“เจ้าคงทำเช่นนั้นไม่ได้หรอกน้องสาม” ไท่จื่อส่ายหน้าแล้วอธิบายว่า “ท่านนักพรตบอกว่าดวงชะตาของพวกเจ้าผูกพันกัน เพราะมีนางอยู่ข้างกาย เจ้าจึงไม่ถูกไอมารปีศาจครอบงำ”“เสี่ยวเยว่ชิงตั้งใจดูแลองค์ชายเป็นอย่างดี พ่อว่าไม่มีใครเหมาะสมกับเจ้าไปมากกว่านางอีกแล้ว” ฮ่องเต้พูดขึ้นมา สีหน้าพึงพอใจและกำลังคิดบางอย่างอยู่ “เจ้าและนางก็ถึงวั
เมื่อได้ยินดังนั้นหลินซีเวยจึงถามต่ออีกว่า “หากนางรักข้า ข้าควรทำเช่นไรให้นางรักจนยอมตายเพื่อข้าได้เล่า”เรียวคิ้วของเฉินซือหยางขมวดชนกัน “ข้าเป็นปีศาจอาจจะไม่สามารถล่วงรู้ความรู้สึกของมนุษย์ได้แน่ชัด นายท่านลองอ่านหนังสือพวกนั้นดูเถิดขอรับ”เขาชี้ไปที่ตู้ไม้มุมห้อง ในนั้นมีหนังสือเขียนเกี่ยวกับมนุษย์มากมายให้ค้นหา หลินซีเวยกวาดสายตามองแต่ไกลเพื่อเลือกหนังสือออกมาเล่มหนึ่ง“ไม่เห็นจะมีอันใดน่าสนใจ” เขาส่ายหน้าแล้วร่ายพลังเผามันทิ้งอย่างไม่ใยดีเฉินซือหยางคิดหนักกว่าเดิมแล้วบอกให้เจ้านายรออยู่ครู่หนึ่งก่อนกลับมาพร้อมหนังสือกองใหญ่ “นายท่านลองอ่านพวกนี้ดูก่อนขอรับ ข้าเห็นมนุษย์หลายคนชอบอ่านยิ่งนัก”จอมมารผู้อ่อนต่อโลกสุ่มหยิบเล่มหนึ่งขึ้นมาเปิดอ่าน ในเวลาหนึ่งก้านธูปเขากลับอ่านหนังสือเล่มหนาได้จนจบเล่ม รอยยิ้มเจ้าเล่ห์จึงผุดขึ้นมาในทันทีแล้วหยิบหนังสือเล่มอื่น ๆ มาอ่านต่อโดยไม่สนใจสิ่งรอบข้างคืนนั้น จอมมารอ่านหนังสือกองพะเนินจนครบทุกเล่มโดยไม่หลับไม่นอนพลั
ผ่านไปสามวันหลังจากนั้น ความสัมพันธ์ของคนทั้งสองดีขึ้นจากแต่เดิมอยู่มาก แม้กระทั่งฮ่องเต้และฮองเฮายังรู้สึกแปลกใจที่จู่ ๆ บุตรชายเปลี่ยนไปมากเพียงนั้นกระนั้นก็ทำให้พวกเขาทั้งคู่พอจะวางใจไปได้บ้างเพราะสุดท้ายแล้วการแต่งงานแก้เคล็ดในครั้งนี้ก็ไม่สูญเปล่าแรกเริ่มที่พวกเขาได้ยินจากปากของอู๋ฮูหยินว่าบุตรสาวของนางแอบรักองค์ชายสามมานานแล้วก็ได้แต่คิดว่าอู๋เยว่ชิงช่างน่าสงสารที่ถูกบุตรชายของตนผลักไสไล่ส่งยิ่งต้องให้นางช่วยผูกดวงชะตาเพื่อรักษาอาการของเขาแล้วก็ยังรู้สึกว่าละอายใจไม่น้อยที่ต้องขอให้ช่วยเช่นนี้ แต่อู๋เยว่ชิงกลับรับปากและบอกว่านางจะทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยเขาอย่างสุดความสามารถคราวนี้ได้เห็นว่าความรักของนางได้รับการตอบแทนกลับมาบ้างแล้วจึงโล่งใจเหมือนยกภูเขาออกจากอกหากแต่เรื่องราวลับคมคมในนี้มีเพียงแค่ฝ่ายจอมมารเท่านั้นที่รู้ว่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นเพียงละครฉากหนึ่งที่สักวันหลินซีเวยจะหักหลังอู๋เยว่ชิงและสังหารนางอย่างเจ็บปวดการถูกหักหลังจากคนที่รักและไว้ใจที่สุดจะเป็นอย่างไร หลินซีเวยแทบรอที่จะได้เห็นสี
หนึ่งเดือนผ่านไปราวกับว่ากำลังใจจากอู๋เยว่ชิงเป็นโอสถชั้นดี ร่างกายของหลินซีเวยจึงดีขึ้นเป็นลำดับแทบจะหายเป็นปลิดทิ้ง เวลานี้จึงพอที่จะเดินเล่นนอกตำหนักได้บ้างแล้วนับเป็นครั้งแรกที่เหล่าขันทีและนางในได้เห็นองค์ชายสามและชายาประทับอยู่ในสวนดอกไม้ สายตาทุกคู่เห็นพ้องต้องกันว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาราวกับคนรักกันก็มิปานการกระทำของหลินซีเวยไม่มีปิดบัง การแสดงออกของเขาทำให้หลายคนได้ตระหนักว่าองค์ชายสามผู้นี้ก็มีด้านที่อบอุ่นและอ่อนโยนเช่นกัน“เทศกาลชมจันทร์ใกล้เข้ามาแล้ว เจ้าอยากไปเที่ยวชมหรือไม่เยว่ชิง” หลินซีเวยเอ่ยปากชวนนาง สีหน้าคาดคั้นหวังว่านางจะตอบรับคำขอ“เพคะ” รอยยิ้มบางของนางถือเป็นคำตอบ อู๋เยว่ชิงไม่เคยปฏิเสธคำขอของเขาสักครั้ง“เช่นนั้นเจ้าเตรียมตัวไว้ให้ดีเถิด” เขาบอกกล่าวอย่างมีเลศนัยพลางเอื้อมมือมากุมมือสองข้างของนางไว้ “ขอบคุณที่ดูแลข้ามาตลอด”“หม่อมฉันเต็มใจเพคะ” อู๋เยว่ชิงยิ้มให้เขา “หม่อมฉันไม่หวังสิ่งใดไปมากกว่านี้แ
หลายวันต่อมาจู่ ๆ หลินซีเวยอารมณ์ดีนึกชวนอู๋เยว่ซินไปขอพรที่วัดบนเขา ทั้งสองจึงตระเตรียมข้าวของไปสักการะตามธรรมเนียม“เสด็จพี่ ทรงคิดถึงสิ่งใดอยู่หรือเพคะ” นางเอ่ยปากถามคนที่นั่งคุกเข่าอยู่ข้าง ๆ หลินซีเวยหลับตาคิ้วขมวดราวกับครุ่นคิดบางอย่างพลันรอยยิ้มมุมปากเชิดขึ้นเพราะได้ยินนางเรียกเขาเช่นนั้น“ขอพรให้มีสิ่งดี ๆ เกิดขึ้นกับเราสองคนอย่างไรเล่า” เขากระซิบข้างหู “หากมีเจ้าตัวเล็กวิ่งเล่นอยู่ในตำหนักจันทราคงจะดีไม่น้อย”แก้มสองข้างของอู๋เยว่ชิงแดงระเรื่อรู้ดีว่าเขาหมายถึงสิ่งใด ครั้นนึกถึงช่วงเวลาที่จะทำให้เกิดเจ้าตัวเล็กอย่างที่ว่าก็ไม่วายเขินอายอยู่ร่ำไปจึงต้องรีบเปลี่ยนเรื่องก่อนที่เขาจะแกล้งนางไปมากกว่านี้หลังจากใช้เวลาอันสงบนิ่งบนเขาอยู่พักหนึ่ง เจ้าอาวาสประจำวัดก็เดินออกมาพบทั้งคู่ สายตามองหลินซีเวยราวกับค้นหาบางอย่างที่ซ่อนอยู่แล้วถอนหายใจฝ่ายองค์ชายสามเห็นดังนั้นรู้ดีว่าคนตรงหน้ามองเห็นไอมารจาง ๆ ในตัวเขาจึงกล่าวไม่ให้ผู้ใดคลางแคลงใจ มารโดยกำเนิดอย่างเขาไม่ว
ผ่านไปสองเดือนฮ่องเต้เมืองไท่หยางได้จัดงานเลี้ยงเฉลิมฉลองการอภิเษกขององค์ชายสามกับบุตรสาวแม่ทัพอย่างยิ่งใหญ่เพื่อแสดงความยินดีกับทั้งคู่อย่างเป็นทางการเจ็ดวันเจ็ดคืนนอกจากนั้นยังเป็นการจัดงานรื่นเริงอวยพรให้องค์ชายสามมีร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรงอีกด้วยวังหลวงถูกประดับตกแต่งด้วยผ้าหลากสีสัน ห้อยโยงระย้าสวยงาม ทั้งยังมีโคมไฟลวดลายต่าง ๆ ห้อยไว้อยู่ทุกหนแห่ง ยามค่ำคืนดวงไฟนั้นจะส่องแสงสว่างสะท้อนภาพบนกระดาษที่ใช้ทำโคมไฟสิ่งที่ทำให้อู๋เยว่ชิงตื่นเต้นมากที่สุดคือการมาเยือนของหลินมู่หลงสหายรักของนางที่เดินทางกลับมายังเมืองไท่หยางพร้อมชายาของตนครั้นได้พบหน้ากัน อู๋เยว่ชิงจึงอดไม่ได้ที่จะรีบวิ่งไปหาเขาด้วยความคิดถึง รอยยิ้มกว้างผุดขึ้นมา ทั้งยังท่าทางสนิทสนมระหว่างคนทั้งคู่ก็ทำให้ใครบางคนนิ่วหน้าในทันที“องค์หญิงสือหลิว ยินดีด้วยเพคะ” อู๋เยว่ชิงกล่าวกับนางด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนและเป็นกันเองก่อนหน้านี้ได้อ่านจดหมายจากองค์ชายเจ็ดจึงพอได้รู้แล้วว่าองค์หญิงสือหลิวกำลังทรงพระครรภ์ นางจึงพลอยดีใจ
เสด็จพี่ เหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่ได้หรือเพคะ” อู๋เยว่ชิงถามหลินซีเวยทันทีที่เห็นหน้า“นั่นสิพี่สาม วังหลวงออกจะกว้างใหญ่ บังเอิญจริง ๆ ที่ได้เห็นท่านที่นี่” หลินมู่หลงพูดเบา ๆ แต่อีกฝ่ายกลับตอบว่า “บังเอิญอย่างยิ่งที่มืดค่ำป่านนี้แล้วเจ้ายังไม่กลับตำหนักของตนแต่มาอยู่กับนาง”“พระพักตร์ไม่สบอารมณ์ พระสุรเสียงหงุดหงิด ท่าทางฉุนเฉียว” เสียงขององค์หญิงสือหลิวลอยมาแต่ไกลพลางมองคนของตนเองราวกับจะบอกว่า “เห็นไหมเล่า เป็นอย่างที่ข้าบอกจริง ๆ ด้วย”“เป็นอย่างไรหรือเพคะ” อู๋เยว่ชิงถามนางบ้าง“การกระทำเช่นนี้ องค์ชายสามคงจะตกไหน้ำส้มกระมัง” องค์หญิงกล่าวอย่างตรงไปตรงมา แล้วหันไปบอกกับหลินมู่หลงว่า “เราสองคนขอตัวกลับกันก่อนดีกว่า” แล้วคล้องแขนดึงคนข้าง ๆ ไปทันที“เอ่อ...” หลินมู่หลงกำลังจะเอ่ยปากแต่ทำได้แค่ยกมือโบกลาอู๋เยว่ชิงเท่านั้นดวงตาสีม่วงแดงของหลินซีเวยขุ่นเคืองไม่น้อยจนอู๋เยว่ชิงนึกถึงคำที่องค์หญิงบอกเมื่อครู่ “เสด็
คืนนั้น ข่าวคราวของชายาองค์ชายสามแพร่สะพัดไปทั่ววังหลวง ปีนี้นับว่ามีแต่เรื่องดี ๆ เข้ามาจนใครหลายคนพากันขอบคุณสวรรค์หลังจากหมอหลวงกลับออกไป หลินซีเวยยิ่งตัวติดกับอู๋เยว่ชิงไม่ห่างมากกว่าเดิม คอยประคบประหงมดูแลยิ่งกว่าไข่ในหิน“หม่อมฉันดื่มเองได้เพคะ” นางรีบรับถ้วยยามาถือไว้เพราะเกรงใจคนตรงหน้าที่ไม่เคยต้องปรนนิบัติดูแลใครอย่างใกล้ชิดมาก่อน“ข้าอยากดูแลเจ้าเหมือนครานั้นที่เจ้าดูแลข้า ไม่ได้หรือ” หลินซีเวยไม่ยอมปล่อยถ้วยยานั้น อู๋เยว่ชิงไม่รู้จะปฏิเสธอย่างไรจึงได้แต่ทำตามโดยปริยายเช้าวันต่อมาฮ่องเต้และฮองเอาจึงมาแสดงความยินดีกับทั้งสองคนพร้อมอวยพรให้สุขภาพร่างกายของอู๋เยว่ชิงและเด็กน้อยในท้องแข็งแรง ไร้โรคภัยเบียดเบียนไท่จื่อกับชายารวมถึงหลินมู่หลงและองค์หญิงสือหลิวก็มาพร้อมหน้ากัน หากแต่ปฏิกิริยาของหลินซีเวยดูแตกต่างไปจากตอนที่บิดาของเขามาเยี่ยมนักบุรุษใดนอกเหนือจากที่เขาคิดอย่าได้ย่างกรายเข้ามาใกล้นางเป็นอันขาด“พี่สาม ข้าจะขอพบนางสักครู่ไม่ได้หรือ” หลินม
บ้านหลังเล็กของมารน้อยเมื่อทั้งสองฝ่ายตัดสินใจได้แล้วว่าจะทำอย่างไรต่อไปจึงร่างสัญญาสงบศึกชั่วคราวเพราะต้องการดูลาดเลาสถานการณ์ที่ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นจริงบ้านหลังเล็กที่เคยอยู่กันเพียงสองคน เวลานี้มีหลังอื่นผุดขึ้นมาอยู่ใกล้ ๆ กันอีกสามสี่หลังจนแทบจะกลายเป็นหมู่บ้านที่มีทั้งมารและเทพอยู่ร่วมกันอย่างสันติต้นท้อรายรอบกำลังผลิดอกสีชมพูบานสะพรั่งเหมือนภาพวาด อีนั่วจึงตั้งชื่อหมู่บ้านของเขาว่าหมู่บ้านดอกท้อ ในใจคิดอยากอยู่ที่แห่งนี้อย่างสงบตลอดไปพลังของอีนั่วถูกกลบซ่อนเอาไว้ไม่ให้มารปีศาจตนอื่นรู้ รอบเขตบ้านจึงมีม่านศักดิ์สิทธิ์ของเทพวายุห้อมล้อมอยู่ด้วย“เจ้าจะทำเช่นนั้นไม่ได้ พวกข้าอึดอัด” หลิวอิง
สวีลู่ชิงและพี่ชายรอข่าวคราวจากเสี่ยวไป๋อยู่นอกเขตแดนมารนางเดินวนไปวนมาด้วยความกังวลกลัวว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีกับอีนั่วจนแทบอยากจะฝ่าเข้าไปในภพมารเพื่อตามหาเขาด้วยตัวเอง“นั่งลงก่อนเถิด เจ้าเดินไปเดินมาจนข้าตาลายแล้ว” สวีต้าเฟิงส่ายหน้าพลางบ่นพึมพำ“ข้าเป็นห่วงเขา” นางเอ่ยตามตรง ใจหนึ่งรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้เจอกับมารน้อยครั้งแรกแต่อีกใจกลับสัมผัสความรู้สึกคุ้นเคยได้อย่างบอกไม่ถูกช่วงเวลาเพียงเสี้ยวหนึ่ง เสี่ยวไป๋ส่งสัญญาณบางอย่างกลับมาหาผู้เป็นเจ้านายบอกให้รู้ว่ากำลังมาถึง รอยยิ้มบางจึงผุดขึ้นมาด้วยความยินดีพลันเงาดำตะคุ่มปรากฏด้านหลังเขตแดนภพมาร“สวีลู่ชิง ถอยออกมา” เทพวายุดึงร่างน้องสาวให้ออกห่างเพราะกลัวจะมีอันตราย “เจ้าอย่าเพิ่งวู่วาม จงอย่าล
หลังจากกงจื่อเย่สูญสิ้นไปทัพมารที่กำลังบุกสวรรค์ครานี้จึงแตกพ่ายเพราะไร้ผู้นำถูกกองทัพสวรรค์ขับไล่กลับภพมารในเวลาไม่นานเหล่าเทพเซียนต่างพากันโห่ร้องยินดีเพราะภัยคุกคามถูกกำจัดแล้ว หากแต่เทพอาวุโสและเทพชั้นสูงบางคนยังคงไม่อาจวางใจได้มากนักแต่ถึงอย่างนั้นแล้วก็พอจะโล่งใจได้บ้างว่าหลายพันปีต่อจากนี้สามภพคงจะสงบสุขราบรื่น และหากถึงเวลาที่จอมมารฟื้นคืนกลับมา ตอนนั้นพวกเขาคงหาวิธีรับมือได้บ้างแล้วตำหนักเทพดารามีแขกเข้าเยี่ยมไม่ขาดสายเพราะได้ยินเรื่องราวปากต่อปากจึงมาถามไถ่ด้วยตนเอง สวีลู่ชิงจึงบอกพวกเขาแต่เพียงว่า “มารผู้นั้นคงกลับใจกระมัง แต่ข้าไม่รู้หรอกว่าเป็นเพราะอันใด”นางกล่าวเช่นนั้นเพราะไม่รู้จริง ๆ แม้กงจื่อเย่จะจากไปแล้วแต่ความทรงจำที่ขาดหายไปก็ยังไม่กลับคืนมา
เทพเซียนที่ยืนอยู่รายรอบมองหน้ากันด้วยความงุนงงครั้นจะพุ่งตัวเข้าไปดึงจอมมารออกมาจากที่นั่นก็ทำไม่ได้เพราะรังแต่จะเสี่ยงชีวิตของตัวเองไปด้วยคราวแรกก็คิดว่าเขาเข้ามาขัดขวางไม่ให้นางทำภารกิจสำเร็จ แต่ไป ๆ มา ๆ กลับได้เห็นว่าจอมมารกำลังใช้ร่างกายตัวเองเป็นเกราะกำบังและรับอสนีบาตแต่เพียงผู้เดียว“สวีต้าเฟิง นี่มันเรื่องอันใดกัน” หนึ่งในเทพอาวุโสถามเขาเพราะเพิ่งมาถึง“ข้าก็ไม่รู้ขอรับ” เขาไม่อาจตอบคำถามนั้นได้เพราะไม่คิดว่าเรื่องราวตรงหน้าจะกลับตาลปัตรได้ขนาดนั้น“แต่ถ้าปล่อยเอาไว้แล้วจะจัดการจอมมารได้อย่างไร เจ้าก็รู้ไม่ใช่หรือว่าเทพดาราจะต้องเป็นผู้รับทัณฑ์สวรรค์ ไม่ได้การแล้ว ข้าต้องรีบเข้าไปห้าม”เทพอาวุโสส่ายหน้าหนักใจ ช่วงท
เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนั้นคนเป็นพี่ชายอย่างสวีต้าเฟิงแทบทำอาวุธหลุดมือ ในใจนึกโกรธเกรี้ยวที่จอมมารเจ้าเล่ห์พูดอะไรไม่เข้าเรื่อง“เจ้าอย่ามาพูดซี้ซั้ว” เทพวายุกำอาวุธประจำกายไว้แน่น “กล้าพูดใส่ร้ายให้น้องสาวข้ามีมลทิน เห็นทีคงไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วใช่หรือไม่”กงจื่อเย่ไม่ยอมน้อยหน้าเพราะทุกสิ่งที่พูดออกไปเป็นความจริงจึงยืนยันว่า “ข้าคือสามีที่ถูกต้องตามประเพณีในด่านเคราะห์ชาติที่สองของนาง” ใจจริงเขาอยากจะพูดต่อด้วยซ้ำไปว่ามีพยานรักหนึ่งคนที่มีดวงตาสีฟ้างดงามเหมือนกับนางแต่เพื่อความปลอดภัยของมารน้อย เขาจึงต้องเก็บเรื่องนี้เอาไว้ต่อไป“เฮอะ” เทพปฐพีแสยะยิ้ม “ก็แค่ด่านเคราะห์ เจ้าจะมายึดถือเช่นนั้นได้อย่างไร” เขาถามออกไปแต่ในใจเริ่มคิดแล้วว่าถ้าเขาได้ตัวภรรยากลับไปแล้วเรื่องราวสงครามของจอมมา
สายใยระหว่างแม่ลูกที่ถักทอในแก่นวิญญาณมารน้อยทำให้เขารู้ว่าเวลานี้นางหายไปอยู่ในที่แสนไกล ถึงอย่างนั้นก็ยังคงหวังลึก ๆ และนั่งรอมารดาอยู่ที่เดิมทว่า ผ่านไปวันแล้ววันเล่า ในใจของอีนั่วเศร้าหมองและคิดถึงนางยิ่งนักจึงตัดสินใจอย่างเด็ดขาด ไม่เกรงกลัวว่าจะมีอันตรายใด ๆ เกิดขึ้นกับตัวเองพลันใช้พลังมารหายตัวเข้าสู่แดนสวรรค์ในพริบตาอีนั่วรีบพุ่งไปที่ตำหนักเทพดาราในทันที ไม่ข้องแวะที่ใดเพราะห่วงว่าจะมีใครสังเกตเห็นตัวตนมารปีศาจ คอยแอบอยู่ในมุมมืด พรางตัวราวกับเป็นอากาศ แล้วกวาดสายตามองหามารดา“ท่านแม่...” เขาเผลอเรียกออกไปแบบนั้นอย่างเคยแต่หยุดชะงักไปเพราะรู้สึกได้ว่าหญิงสาวตรงหน้ามีอะไรแปลกไปจากเดิม นางกำลังหัวเราะและยิ้มให้คนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ โดยไม่รู้สึกตัวเลยว่าเลือดเนื้อเชื้อไขตัวน้อย ๆ รอนางเพียงลำพัง
วันหนึ่งในฤดูฝนเสียงฟ้าร้องคำรามก้องไปทั่วบริเวณเป็นเวลาเกือบสองชั่วยาม พื้นดินรอบบ้านเปียกแฉะกลายเป็นโคลนและมีแอ่งน้ำเล็ก ๆ เกิดขึ้นหลายแห่งทุ่งดอกไม้สีเหลืองพัดไหวตามสายฝนลมพัดในเวลานั้นราวกับเริงระบำแม้อู๋เยว่ชิงจะถูกพลังของอีนั่วปกปิดเรื่องบางอย่างเอาไว้ แต่นางที่เป็นถึงเทพดาราย่อมเฉลียวใจได้ในบางครั้งว่าทุกสิ่งมันแปลกเกินไป อายุที่เพิ่มมากขึ้นในทุกวัน ไม่มีมนุษย์ผู้ใดหรอกจะอายุยืนร้อยปีแต่เนื้อหนังร่างกายและใบหน้ายังคงเหมือนวันวานไม่เปลี่ยนแปลงโดยเฉพาะอีนั่ว ร้อยปีผ่านมาแล้วเขายังคงเหมือนเด็กอายุเจ็ดขวบไม่มีผิดสายตาที่ล่องลอยราวกับจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวทำให้บุตรชายสังเกตได้ในพริบตา เขาเอียงคอเล็กน้อยก่อนที่พลังมารจาง ๆ ค่อย ๆ เคลื่อนผ่านไปหาอู๋เยว่ชิง
นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมากงจื่อเย่ออกเดินทางตามหาร่องรอยของอู๋เยว่ชิงทุกหนแห่ง ยามคิดถึงหรือเหนื่อยล้าหัวใจมักจะหยิบถุงหอมและปิ่นปักผมที่เคยมอบให้นางมาดูเขาเริ่มฟื้นฟูตำหนักจันทราให้เป็นเหมือนเดิมแล้วใช้เป็นสถานที่พักผ่อนยามค่ำคืน กลิ่นอายเก่า ๆ หวนกลับมาทุกครั้งจนเขานึกอยากย้อนวันเวลากลับไป“เจ้าอยู่ที่ใดหรือเยว่ชิง” จอมมารกวาดสายตามองไปรอบตำหนักที่เวลานี้เริ่มมีต้นไม้ดอกไม้ผลิบานตามฤดู “ดอกไม้งดงามปานนี้แล้ว เจ้าไม่อยากเห็นหรือ”คำถามของเขาไม่มีเสียงตอบกลับมา ความว่างเปล่าเกาะกุมหัวใจจนทรมานในเมื่อตามหาทุกหนทุกแห่งแล้วยังไม่พบเจอ คงจะเหลือเพียงสถานที่สุดท้าย หากเสี้ยววิญญาณของนางยังคงอยู่ บางทีนางอาจจะยังอยู่ที่แห่งนั้น
นับตั้งแต่นั้นมากงจื่อเย่จึงไม่ออกไปที่ไหนอีกติดอยู่ในภพมารเพื่อกระทำบางอย่างด้วยความตั้งใจจนไม่รู้ตัวว่าเวลาล่วงเลยไปมากเท่าใดแล้วเมื่อผู้ปกครองละเว้นหน้าที่ ความวุ่นวายในภพมารจึงเริ่มบังเกิดทีละส่วน หากแต่ลูกน้องทั้งสามยังคงใช้อำนาจของเขาคอยจัดการได้อยู่แม้จะแลกมาด้วยความเหนื่อยเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวก็ตามครั้งนี้เช่นเดียวกัน ไอมารปีศาจชั่วร้ายก่อตัวเป็นรูปเป็นร่าง เดิมทีกงจื่อเย่จะคอยดูดซับพลังพวกนั้นมาเป็นอาหารของตนเองแต่เวลานี้สิ่งที่เขาให้ความสนใจอยู่เหนือสิ่งอื่นใด พวกปีศาจและสัตว์อสูรจึงได้ทีฉกฉวยมันมาเป็นของตัวเองจึงทำให้มีพละกำลังที่เพิ่มมากขึ้นแต่บางขณะ ไอมารปีศาจที่แข็งแกร่งย่อมปกป้องตัวเองให้รอดพ้นจากเงื้อมมือของพวกเดียวกันและเป็นฝ่ายกัดกินมารปีศาจพวกนั้นแทนที่จนสามารถหล่อหลอมรูปลักษณ์สร้างตัวตนขึ้นมาได้&n