เพราะว่าเมืองเดียลอร์ลมันคือเมืองท่องเที่ยวยังไงล่ะ เพราะว่าที่นี่คือเมืองที่จะมีนักเดินทางจำนวนมากหลั่งไหลเข้ามา และเพราะว่าที่นี่คือเมืองที่พ่อของเขาสร้างมาด้วยสองมือของท่าน เขาจะยินยอมให้พวกนักเวทย์ใช้ที่นี่เพื่อเป็นที่ชำระล้างไอขุ่นมัวของปีศาจพวกนี้ได้อย่างไรกัน
“ข้าเป็นนักเวทย์ครับ ข้าคือคนของวิหาร..และนี่คือคำแนะนำที่ดีที่สุด หากชาวบ้านถูกไอขุ่นมัวพวกนั้นครอบงำ พวกเขาจะล้มป่วยเหมือนกับชายที่ขึ้นเขาไปหาสมุนไพรก่อนหน้านี้ ในสายตาของท่านเจ้าเมือง ผลประโยชน์มันมีค่ามากกว่าชีวิตของพวกชาวเมืองอย่างนั้นหรือครับ” “นักเวทย์อย่างพวกเจ้าไม่มีทางเข้าใจข้าหรอก ไม่มีทางเข้าใจชาวบ้านที่อาศัยอยู่ที่นี่มาอย่างยาวนาน..อีกทั้งเท่าที่ข้าเห็นมันยังไม่เกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นมาเลยสักนิด ก็แค่มีชาวบ้านล้มป่วยแค่คนเดียวเท่านั้นเอง อย่าทำเป็นแตกตื่นไปหน่อยเลย” ต่อให้ต้องตาย เขาก็ไม่ยอมเสียเดียลอร์ลไปอย่างเด็ดขาด ที่นี่คือบ้านของเขาและมันคือบ้านของประชาชนที่นี่ทุกคนด้วย ในฐานะของเจ้าเมืองหากเขาไม่ยอมซะอย่าง ไม่มีใครหน้าไหนก็ไม่มีสิทธิ์เข้ามาในเดียลอร์ล!! “ท่านจะต้องเสียใจกับการตัดสินใจในครั้งนี้นะครับ ขอให้ท่านเจ้าเมืองพึงระลึกเอาไว้ในใจเสมอว่าเรื่องเลวร้ายทุกอย่างที่มันเกิดขึ้นที่นี่ มันเป็นเพราะท่านเจ้าเมืองทั้งนั้นเลย ข้าเตือนท่านได้เพียงเท่านั้น และในเมื่อท่านไม่ยินยอมรับฟัง เช่นนั้นข้าจะหาคนที่อำนาจในการตักเตือนท่านมาจัดการเรื่องนี้เอง” เดม่อนเองก็จนปัญญาแล้วเหมือนกัน แทนที่จะรีบสั่งให้ชาวบ้านขนของออกไปจากเมือง เจ้าเมืองกลับบอกว่าไม่เป็นไร ทั้งๆ ที่ไอขุ่นมัวพวกนั้นมันมาจากประตูปีศาจที่กำลังจะเปิดออก ขนาดสูดดมไอขุ่นมัวเข้าไปยังล้มป่วย หากมีปีศาจออกมาจริงๆ แล้วละก็..ที่นี่จะต้องพินาศอย่างแน่นอน .............. “ท่านอา..” จูเวลและแจสเปอร์วิ่งเข้ามาหาเฟรญ่าในทันทีที่รถม้าของวิหารศักดิ์สิทธิ์จอดเทียบที่ด้านหน้าคฤหาสน์ทีเซียส เฟรญ่านั่งลงบนพื้นก่อนที่เธอจะโอบกอดหลานชายและหลานสาวที่ดูเหมือนว่าจะเติบโตขึ้นมาในช่วงเวลาที่ผ่านมา จูเวลเงยหน้าขึ้นมามองบุรุษที่เดินตามหลังท่านอาของเธอด้วยสายตาที่ไม่ไว้ใจสักเท่าไหร่นัก “นั่นคือเจ้าชายในนิทานที่ท่านอาบอกอย่างนั้นหรือครับ” ดวงตาจองแจสเปอร์เป็นประกายเมื่อเขามองเห็นมาร์เซลในชุดนักบุญสีขาวบริสุทธิ์ “บ้าไปแล้วรึไงแจส นั่นคือนักบุญต่างหาก เจ้าชายที่แท้จริงคือท่านอาคาร์เตอร์..” “เฟรญ่า!!” สิ้นเสียงของจูเวล ลิเวียก็รีบวิ่งออกมาจากคฤหาสน์ในทันที เธอโผกอดเพื่อนรักที่ไม่ได้พบเจอกันมานานหลายปี ในขณะที่มาร์เซลก้มหน้าลงเพื่อทำความเคารพจักรพรรดินีและองค์จักรพรรดิที่กำลังเดินออกมา เฟรญ่าขบเม้มริมฝีปากเบาๆ ก่อนที่เธอจะเดินเข้าไปกอดคาร์เตอร์ “ว่าไงยัยตัวแสบ ไปเที่ยวเพลินเลยนะ ทั้งๆ ที่ข้าอยากให้เจ้ามาช่วยงานในพระราชวังแท้ๆ ถึงเวลาที่เจ้าจะอยู่อย่างมีความสุขที่เมืองหลวงแล้วรึยัง” เฟรญ่าหัวเบาๆ กับคำกล่าวของคาเตอร์ ถึงแม้ในยามนี้เขาจะเป็นถึงองค์จักรพรรดิ แต่ทว่าเรายังคงเป็นพี่น้องที่สนิทสนมเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ส่วนลิเวีย..นางคือเพื่อนที่ดีที่สุดและสนิทที่สุดของเธอ ทุกอย่างมันน่าจะปกติดีไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงเลยแม้แต่นิดเดียว หากว่าไม่มีทหารมากมายยืนอยู่ที่ด้านหน้าของคฤหาสน์.. เธอแค่จะพามาร์เซลมาแนะนำตัวกับท่านพี่มาทอส แล้วขบวนทหารพวกนี้มันคืออะไรกัน? เมื่อลิเวียเห็นรอยยิ้มแห้งๆ ของเฟรญ่าเธอก็อดขำออกมาไม่ได้ ก่อนหน้าที่เฟรย่าจะมาที่นี่ ทั้งท่านดยุคและสามีของเธอว้าวุ่นกันมากทีเดียว “เป็นนักบุญจากวิหารเหรอครับ เช่นนั้นมิใช่ว่าเฟรญ่าจะต้องไปอยู่ที่วิหารอย่างนั้นหรือ ข้ายอมไม่ได้อย่างเด็ดขาด แต่ไหนแต่ไรนางล้วนแล้วแต่มีอิสระทั้งนั้น จะให้นางเข้าไปอยู่ในวิหารข้าย่อมยอมไม่ได้..” “เช่นนั้นเราควรจะหาทางจัดขวางดีหรือไม่คาเตอร์” “เพี๊ยะ!!” ฝ่ามือของเจนนีส ตีเข้าไปที่แผ่นหลังของมาทอสจนเขาถึงกับสะดุ้งในทันที “ทุกคนกรุณาเคารพการตัดสินใจของเฟรญ่าด้วยค่ะ นางพาคนรักมาที่นี่เพื่อมาแนะนำตัวกับพี่ชายนะคะ นางไม่ได้พาคนรักของนางมาที่นี่เพื่อขออนุญาตในการคบหากัน อีกทั้งสองคนนั่นเขียนชื่อของตัวเองลงไปในใบสมรสเรียบร้อยแล้วด้วย ในยามนี้สิ่งที่พวกท่านทั้งสองคนควรทำ คือการหารือเรื่องการแต่งงานและสนับสนุนในความรักครั้งนี้ของเฟรญ่า..นั่นคือสิ่งที่พี่ชายทั้งสองคนของนางควรทำค่ะ” ในตอนนั้นลิเวียตบมือให้กับพี่สาวของเธอ สถานการณ์ที่ตึงเครียดคลี่คลายมาได้เพราะท่านพี่เจนนีสแท้ๆ แต่ในยามนี้ทั้งท่านดยุคและสามีของเธอต่างจ้องมองบุรุษที่อยู่ด้านหลังเฟรญ่าราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ “เราเข้าไปข้างในกันน่าจะดีกว่านะคะ อากาศข้างนอกหนาวเย็นยิ่งนัก เดี๋ยวจะไม่สบาย” ลิเวียกล่าวขึ้นมาเพื่อทำลายความเงียบของการสนทนา เธอมองไปยังสหายรักด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความคิดถึง ในขณะที่เฟรญ่ากำลังจะก้าวเดิน บุรุษที่มีเรือนผมสีแดงผู้นั้นก็ยื่นมือของเขาเพื่อให้นางจับ ส่วนอีกมือเขาประคองเอวของเฟรญ่าเพื่อให้เธอก้าวเดินได้อย่างสะดวก ลิเวียจุดยิ้มขึ้นมาด้วยความพึงพอใจ สำหรับสตรีที่มีทุกอย่างแล้วอย่างเฟรญ่าจะต้องการอะไรล่ะ หากไม่ใช่การเอาใจใส่..เฟรญ่าไม่ได้ชอบเข้าสังคม นางชอบท่องเที่ยวไปเรื่อยๆ และในยามที่อยู่ในคฤหาสน์ ช่วงเวลาส่วนใหญ่เฟรญ่าจะขลุกตัวอยู่ที่ห้องสมุด บุรุษที่เฟรย่าต้องการคือชายธรรมดาๆ ที่ดูแลและเอาใจใส่นาง และดูเหมือนว่านางจะหาบุรุษผู้นั้นพบเจอแล้วสินะ “เจ้าเองก็คิดว่าชายผู้นั้นไม่เลวเลยใช่ไหม ลิเวีย” ลิเวียพยักหน้ากับคำถามของท่านพี่เจนนีส “ข้ามองเห็นความเหมาะสมของทั้งสองคน พวกเขาดูเข้ากันได้ดีเลยนะคะ” เจนนีสแย้มยิ้มออกมา เราทุกคนต่างห่วงใยเฟรญ่าไม่แตกต่างกัน เพราะนางมีชีวิตที่ยากลำบากมาๆ ในยามเด็ก มาทอสเลยพยายามดูแลเฟรญ่าให้ดี และเอาใจใส่นางในทุกเรื่องเพื่อที่จะชดเชยช่วงเวลาเลวร้ายที่นางพบเจอมา เพราะแบบนั้นในยามนี้พี่ชายของนางก็เลยทำหน้าเหมือนกับคนที่กำลังกลืนยาขมเข้าไป เขาพยายามมองหาจุดบกพร่องของนักบุญผู้นั้น แต่ทว่าก็ไม่อาจหาเจอ เพราะชื่อเสียงของมาร์เซลในวิหารศักดิ์สิทธิ์นั่นค่อนข้างดีเลย ผู้สืบทอดสายเลือดที่ศักดิ์สิทธิ์ของเมลวิน และผู้ใช้เวทย์ในระดับที่สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์.. ชื่อเสียงเหล่านั้นมันมากมายและดูเหมาะสมกับเฟรญ่ามากๆ ในสายตาของเจนนีส ถึงแม้ทางวิหารจะต้องมาเกี่ยวข้องและพัวพันในงานแต่งครั้งนี้ แต่เจนนีสก็ภาวนาให้น้องสาวของเธอ จับมือของมาร์เซลให้แนบแน่นแล้วก้าวผ่านเรื่องราวเลวร้ายไปด้วยกันบอกตามตรงว่าถึงแม้อีกฝ่ายจะเป็นองค์จักรพรรดิกับดยุคทีเซียส แต่มาร์เซลก็ไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวอะไรเลย เขามาที่นี่เพื่อแสดงความหนักแน่นต่อความรักที่มีกับเฟรญ่า เพราะอย่างนั้นไม่มีอะไรที่จะต้องเป็นกังวลเลยด้วยซ้ำ“ข้าจะไม่ถามหรอกว่าที่ผ่านมา เจ้าและน้องสาวของข้าพบเจอกันได้อย่างไร ข้ารู้ว่าข้าห้ามการคบหากันในครั้งนี้ไม่ได้ มาร์เซล..ในช่วงวัยเด็กเฟรย่าพบเจอกับความลำบากมามากทีเดียว เรื่องนี้เจ้าอาจจะยังไม่รู้..”“ข้าทราบครับท่านดยุค นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เราทั้งสองคนพบกันเลย เฟรญ่ามีเรื่องทุกข์ใจในแบบที่นางบอกกล่าวกับใครไปก็คงจะไม่เข้าใจนาง แต่ข้าสามารถทำความเข้าใจกับเรื่องราวที่มันเหลือเชื่อพวกนั้น และข้าไม่คิดจะเป็นผู้นำหอคอยหรือว่าคาดินัน อะไรทั้งนั้น ข้าจะเป็นแค่ทหารรับจ้างคนหนึ่งที่มีเวลาอยู่กับภรรยาคนสวยของข้ามากกว่าใครทั้งนั้น”คำตอบของมาร์เซลทำให้ทั้งคาเตอร์และมาทอส นิ่งอึ้งไปพร้อมๆ กัน มาทอสต้องการพูดคุยกับมาร์เซลเป็นการส่วนตัว เพราะอย่างนั้นเขาก็เลยให้เจนนีสพาเฟรญ่าออกไปก่อน“แล้วตาแก่ที่วิหารจะยินยอมอย่างนั้นหรือ”“พวกเขาทำอะไรข้าไม่ได้อยู่แล้วครับ ไม่มีใครหน้าไหนมาบัง
เฟรญ่าพอจะรับรู้เรื่องราวคร่าวๆ มาจากปากของพี่ชายแล้ว ดูเหมือนว่าเรื่องราวในเดียลอร์ลจะไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยอย่างที่คิดเอาไว้ และเธออยู่ที่นั่นมานานมากถึงสองปี ผู้คนที่นั่นล้วนแล้วแต่เป็นมิตร เธออยู่ที่นั่นด้วยความสบายใจในแบบที่หาไม่ได้ง่ายๆ ในเมืองอื่น.. ยังไม่มีการการันตีได้เลยว่าหลังจากที่กำจัดไอขุ่นมัวไปหมดแล้วทางพระราชวังจะอนุญาตให้ผู้คนเข้าไปพื้นที่ด้านในเมืองอีกหรือไม่ ในความคิดของเฟรญ่า เหมือนกับว่าเดียลอร์ลจะกลายเป็นเมืองที่ล่มสลายไปแล้ว.. แต่จะทำยังไงได้ ในเมื่อต้องจำกัดไอขุ่นมัวทั้งหมด และต้องปิดประตูของปีศาจไม่ให้มันเปิดออกมาได้ ไม่อย่างนั้นจะไม่ใช่แค่ เดียลอร์ลที่เดียวเท่านั้นที่จะล่มสลาย แต่ทั่วทั้งจักรวรรดิ อาจจะล่มสลายไปตามๆ กันก็ได้ มาร์เซลเดินสำรวจที่คฤหาสน์ของเธอพักใหญ่ๆ ด้วยแววตาที่เป็นประกาย เฟรญ่าอาศัยอยู่คนเดียวในคฤหาสน์หลังเล็กด้านในสุด เธอไม่ได้อยู่ที่คฤหาสน์หลัก เพราะด้วยนิสัยของเฟรญ่าแล้ว เดิมทีเธอคือคนขี้อายที่พูดน้อย..นิสัยเมื่อก่อนน่ะนะ “ในภาพวาดพี่น่ารักมากๆ เลยครับ..ข้าชอบที่นี่นะ มันอบอุ่นและเงียบสงบดี” เฟรญ่าเดินเข้าไปที่ด้านหลังของเขา เธอยกมือ
เฟรญ่านั่งลงบนม้านั่งในสวนของคฤหาสน์ ดวงตาสีครามช้อนขึ้นมามองท้องฟ้าก่อนจะยกแก้วน้ำชาขึ้นมาดื่ม บอกตามตรงว่าตั้งแต่ที่มาร์เซลเดินทางออกไป เธอรู้สึกใจคอไม่ดีเลย แน่นอนว่าเธออยากจะหลบหนีออกไปจากทีเซียส เพื่อตามไปช่วยเหลือเขาและตามไปช่วยเหลือผู้คนในโรงแรมของเธอ แต่ก็มีคำถามเกิดขึ้นในใจว่าเธอทำอะไรได้บ้างล่ะ พลังเวทหรือการต่อสู้ เฟรญ่าก็ล้วนแล้วแต่ไม่เคยเรียนมาก่อน เธอไม่มีความสามารถอะไรสักอย่าง จะไปที่นั่นก็มีแต่ทำให้มาร์เซลต้องเป็นห่วงเพราะอย่างนั้นการรอคอยด้วยความทรมานใจอยู่ที่นี่น่าจะดีกว่า“เฟร..”ลิเวียเดินเข้ามานั่งลงตรงข้ามเฟรญ่าด้วยใบหน้าที่เปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม ไร้วี่แววความกังวลบนใบหน้าของลิเวียจนเฟรญ่าเองก็อดแปลกใจไม่ได้“อย่ามองหน้ากันแบบนั้นสิเฟร สามีออกรบ ภรรยาที่ไหนจะไม่เป็นห่วง เพียงแต่สิ่งที่เจ้าจะต้องมีมันคือความเชื่อมั่น เชื่อมั่นในตัวของคนรักสักหน่อยสิเฟร อีกอย่างเพราะว่าข้าคือจักรพรรดินี เมื่อองค์จักรพรรดิเดินทางไปออกรบ ข้าจะมามัวเสียใจไม่ได้ สิ่งที่ข้าต้องทำมีมากมาย และข้าก็จะต้องเป็นตัวแทนของคาร์เตอร์ในการดูแลเมืองหลวงและพระราชวัง ทั้งเดียลอร์ลและสามีของเรา จะไม่เป็
“เฟรญ่าเป็นเด็กที่น่ารักมากทีเดียว เพียงแต่นางมีความเจ็บปวดกับช่วงเวลาวัยเด็กมากเกินไป ทำให้ไม่ว่านางจะทำอะไรก็ล้วนแล้วแต่ยังคงมีความหวาดกลัว..และยังไม่กล้าตัดสินใจด้วยตัวเองเท่าไหร่นัก” องค์จักรพรรรดิคาเตอร์กล่าวออกมาในช่วงเวลาที่เราพักค้างแรมด้วยกัน ด้วยระยะทางจากเมืองหลวงเดินทางไปยังเดียลอร์ลนั้นต้องใช้เวลามาพอสมควร ทำให้ต้องมีการพักค้างแรมเป็นระยะๆ ต้องพักทั้งคนและม้าด้วย เพราะไม่มีใครรู้ว่าสิ่งที่เราจะพบเจอเมื่อถึงเดียลอร์ลนั้นมีอะไรที่คอยอยู่ “ครับ..แต่ในครั้งแรกที่กระหม่อมพบเจอท่านเฟรญ่า นางมีแววตาที่ไม่ได้แสดงอาการหวาดกลัวออกมาแม้แต่น้อย บนใบหน้างดงามนั้นฉายแววมั่นใจในแบบที่แค่มองเห็นก็สะดุดตาแบบที่เดินหนีออกไม่ได้เลย..กระหม่อมสามารถเรียกการพบเจอของกระหม่อมและเฟรญ่าว่ามันคือรักแรกพบเลยก็ว่าได้” คาร์เตอร์มองเปลวไฟที่กำลังลุกไหม้ขอนไม้ อากาศในยามค่ำคืนเย็นลงเล็กน้อย เขาคิดถึงจักรพรรดินีลิเวียมากทีเดียว แต่หน้าที่ก็ย่อมต้องเป็นหน้าที่ “บอกตามตรงว่าข้าไม่ได้คิดขัดขวางเรื่องความรักของเจ้าหรอกนะ เฟรญ่าเองก็ควรจะมีคนดูแลนางและคอยปกป้องรอยยิ้มของนาง ข้าไม่ได้หวงน้องสาวจนไร้สติเหมื
แครอลลีนยกมือขึ้นมาปิดปากเพื่อเก็บกักเสียงไอ นางมองดูหมู่บ้านที่กำลังถูกควันสีดำปกคลุม ใครจะอยู่ก็อยู่ไปเถอะแต่นางไม่คิดจะอยู่สถานที่เช่นนี้หรอก ในมือของแครอลลีนถือถุงเงินที่ขโมยมาจากพี่ชายเอาไว้ เธอจับมือของท่านแม่เอาไว้แน่นพร้อมกับเร่งฝีเท้าเพื่อที่จะวิ่งหนีออกไปจากที่นี่ท่านพี่แอชตันหายตัวออกจากบ้านหลายวันแล้ว เธอและท่านแม่เป็นห่วงท่านพี่มาก แต่ทว่าอาการเจ็บป่วยของชาวเมืองนั้นเริ่มร้ายแรงมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ เหมือนกับโรคระบาดที่ท่านแม่เคยเล่าให้ฟัง เราสองแม่ลูกตัดสินใจอยู่นานก่อนจะพากันหลบหนีออกมา“นี่เรา..ไม่ได้ทำผิดใช่ไหมแคลร์ แอชตันไปไหนก็ไม่รู้ บางทีพี่ชายของเจ้าอาจจะยังอยู่ที่เดียลอร์ลก็ได้”“ท่านแม่ เราทำถูกแล้วค่ะท่านไม่ต้องเป็นกังวลไป พี่อาจจะทิ้งเราแล้วหลบหนีไปก่อนหน้านั้นก็ได้ ไม่ว่าจะเรื่องไหนพี่ก็มักนึกถึงเราสองคนเป็นเรื่องสุดท้ายอยู่แล้วนี่ เงินพวกนี้ก็เหลือไม่ถึงครึ่งที่ขายบรรดาศักดิ์ไปด้วยซ้ำ มันคือเงินในจำนวนที่เราสองคนควรจะได้นี่คะ อย่ามัวพูดมากอยู่เลย เราทั้งสองคนควรจะรีบวิ่งให้เร็วมากกว่านี้อีกไม่ไกลจะถึงถนนแล้ว อาจจะมีรถม้าวิ่งผ่านมา เราเดินทางไปที่เมืองหลวงกันเถ
เฟรญ่าเดินทางไปที่วิหารศักดิ์สิทธิ์ เธอได้พบเจอกับคาดินันไมเลสที่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ชื่นชอบเธอเท่าไหร่นัก“สวัสดีครับเลดี้ทีเซียส”เฟรญ่าย่อตัวลงเล็กน้อย“ข้าต้องการพูดคุยกับท่านค่ะ แน่นอนว่าข้ามีเรื่องสงสัยมากมายที่กำลังพยายามหาคำตอบอยู่ และหวังอย่างยิ่งว่าท่านคาดินันจะช่วยเหลือ..”คาดินันวัยชราถอนหายใจเล็กน้อย“บอกตามตรงว่าข้าไม่ได้อยากพูดคุยกับเลดี้เลยครับ แต่เพราะว่าข้าคือคาดินันและหน้าที่ของข้าคือผู้รับใช้พระเจ้า..”เขาพ่นลมหายใจออกมาเสียงดัง“เช่นนั้นก็ตามข้ามาเลยครับ”เฟรญ่าคิดเอาไว้แล้วว่าเธอจะไม่ได้รับการต้อนรับที่ดีเท่าไหร่นัก แต่การต้อนรับเช่นนี้มันเกินไปหน่อย“ข้าคือทีเซียสค่ะ ข้าอยากให้คาดินันมองข้าใหม่ และปฏิบัติกับข้าด้วยความมีมารยาทมากกว่านี้ ข้ามาที่นี่เพราะคิดว่าท่านจะให้ความช่วยเหลือมาร์เซลได้ แต่การกระทำของท่านทำให้ข้าอยากจะเดินออกไปจากที่นี่แล้วไปยังหอคอยเวทมนตร์เพื่อร้องขอพวกนักเวท ที่นั่นน่าจะต้อนรับข้าได้ดีมากกว่าที่วิหารศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้..”คาดินันไมเลสกำมือแน่น เขาไม่ชอบสตรีผู้นี้เพราะว่านางไม่มีอะไรเลยที่เหมาะสมกับคนอย่างท่านมาร์เซลที่เชิดหน้าได้อยู่ก็เพร
“กอดได้รึเปล่าครับ.”“มาร์เซลเจ้ากำลังกอดข้าอยู่”“อ่า..เช่นนั้นข้าจูบได้รึเปล่า”เฟรย่าขมวดคิ้วเล็กน้อย“เราจูบกันเกินสิบครั้งแล้วนะมาร์เซล”ใบหน้าของเขาขึ้นเป็นสีแดงระเรื่อเล็กน้อย ให้ตายเถอะเฟรญ่าน่ารักชะมัดเลย“มาร์เซล ข้าถามเจ้าบ้างได้รึเปล่า”เขาพยักหน้าพร้อมกับดึงเธอไปกอดเอาไว้แนบอก“เราทำมากกว่าการนี้ได้ไหม ทำมากกว่า การจูบน่ะ”เขาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยก่อนหยักยิ้มที่มุมปาก มาร์เซลอุ้มเฟรญ่าขึ้นมาในทันทีแล้วพาเธอเดินตรงมาที่เตียงนอน“ได้แน่นอนครับ ได้หลายครั้งเลยล่ะ..”เฟรญ่าขบเม้มริมฝีปากเบาๆ นี่เรากำลังเขินกันไปกันมาแต่ถึงอย่างนั้นร่างกายก็โอบกอดกันแนบแน่นไม่คิดปล่อยมือชุดนอนของเธอถูกถอดออกไปจากศีรษะ พร้อมกับชุดนักบุญที่เขาสวมอยู่ ริมฝีปากอุ่นร้อนหว่านพรมไปมาบนร่างกายของเธอ ลิ้นอุ่นเลียลงมาบนยอดอก ก่อนดูดดึงหนักๆ ไม่ก็งับแรงๆ พอให้สะดุ้งตาม ปลายนิ้วของเขาวนเบาๆ ที่รอยแยกกลางกาย ก่อนจะกรีดมันไปมาเพื่อขยี้ลงบนเม็ดสีทับทิมที่นูนเด่นขึ้นปลายยอดอกสั่นระริกถูกเคล้นคลึงส่งผลให้ร่างกายของเธอรู้สึกสะท้านวาบขึ้นมา ริมฝีปากของเขาย้ายไปกระทำอยู่บนยอดอกอีกข้าง ขณะที่ใช้ปลายนิ้วหยอกเย้าข้
คราแรกมาร์เซลนั้นไม่มั่นใจในสิ่งที่เขาสันนิษฐานเอาไว้ในใจ ทว่าเมื่อเขาเห็นกลุ่มควันสีดำที่เคลื่อนไหวอยู่ด้านนอกหน้าต่างห้องนอนของเฟรญ่า เขามีความแน่ใจในทันทีว่าการหายตัวไปของแอชตันเกี่ยวข้องกับไอขุ่นมัวพวกนั้นแน่ๆโชคดีที่เขามาที่นี่ ไม่อย่างนั้นก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรกับเธอ ทว่าอีกนัยหนึ่ง มันราวกับว่านี่คือการจงใจ..แอชตันอาจจงใจให้เขามองเห็นควันพวกนั้นเพื่อให้เขาพาเฟรญ่าไปด้วย หากทุกอย่างเป็นแผนการของหมอนั่นล่ะ เขาจะทำเช่นไร..ในชีวิตของมาร์เซล เขาสูญเสียทุกอย่างได้ทั้งหมดยกเว้นเฟรญ่า เขาเสียเธอไปไม่ได้ ไม่ว่าด้วยเรื่องอะไรก็ตาม..มาร์เซลกล่อมเฟรญ่าจนหลับ เขาเดินทางไปที่พระราชวังเพื่อเล่าเรื่องทั้งหมดให้กับท่านดยุคมาทอสได้รับฟังมาทอสยกมือขึ้นมานวดขมับเบาๆ ดวงตาสีครามของเขาฉายแวววูบไหวและไม่มั่นใจ“หมายความว่า..เฟรญ่าเคยตายไปแล้วครั้งหนึ่งอย่างนั้นหรือ? นางถูกแอชตันทรมานจนตายแล้วก็..ย้อนเวลากลับมาอีกครั้ง ข้าพูดได้เลยว่าหากข้าได้ฟังเรื่องนี้จากผู้อื่น แน่นอนว่าข้าจะไม่เชื่ออย่างเด็ดขาด แต่เพราะว่านี่เจ้าเป็นคนเล่า”มหาจอมเวทแห่งยุคเล่าเรื่องที่เหนือธรรมชาติให้เขาได้ฟัง และเรื่องนั้นม
มาร์เซลพึ่งรู้ว่าการนั่งเรือสำเภามันไม่ใช่เรื่องสนุกเลยแม้แต่นิดเดียว เขาออกเดินทางมายังเมืองทางใต้พร้อมกันกับเฟรญ่า นี่คือการดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ของเราก่อนที่เขาจะกลับไปทำงานในตำแหน่งดยุคอย่างเป็นทางการ เราทั้งคู่เคยพูดเอาไว้ว่าอยากจะล่องเรือมาเที่ยวที่เมืองทางใต้มาชมทะเลที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน และในยามนี้เราก็กำลังอยู่กลางทะเลบนเรือสำเภาที่ค่อนข้างจะเป็นพื้นที่ส่วนตัว เพราะว่าเขาเหมาเรือลำนี้เอาไว้ เพื่อมากับเฟรญ่าเพียงแค่สองคนเท่านั้นแต่เขาอาเจียนไปสิบรอบแล้วเห็นจะได้ เพราะเขาไม่เคยนั่งเรือมาก่อน“ออกมานั่งมองทะเลดูไหม เผื่ออาการของเจ้าจะดีขึ้น”อันที่จริงแค่ได้มองหน้าสวยๆ ของเธอก็ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นแบบมากๆ แล้ว เขาจับมือของเฟรญ่าเอาไว้ก่อนจะซบใบหน้าลงไปบนไหล่ของเธอ“รักนะครับ..รักที่สุดเลย”เฟรญ่าไม่รู้ว่าเพราะอายุที่เขาเด็กกว่ามันเกี่ยวข้องด้วยรึเปล่า แต่เขาทำให้เธอรู้สึกราวกับมีลูกสุนัขตัวใหญ่ที่กำลังออดอ้อนเธอตลอดเวลา มาร์เซลติดการสัมผัสมากๆ เขาจะต้องจับมือหรือไม่ก็กอดและหอมแก้มเธอตลอดเวลา และเธอเองก็ชื่นชอบการแสดงความรักเช่นนั้นมากทีเดียว เฟรญ่าจึงไม่เคยผลักไสหรือว่าดุเขาในเร
บอกตามตรงว่านี่คงจะเป็นงานแต่งที่เจ้าสาวสบายมากที่สุดในจักรวรรดิแห่งนี้ เฟรญ่าแทบไม่ต้องจัดเตรียมอะไรเลยเพราะว่าพี่เจนนีสและลิเวียจัดเตรียมเอาไว้ให้อย่างเรียบร้อยหมดทุกอย่างแล้ว เธอเพียงสวมชุดเจ้าสาวที่แสนงดงามและเข้าร่วมงานแต่งเท่านั้นเองเฟรญ่าหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อมาร์เซลพาเธอออกมาจากงานแต่งที่แสนยิ่งใหญ่ เขาพาเธอมาที่คฤหาสน์ฮอร์ตันที่เราพึ่งได้รับมาเป็นของขวัญแต่งงาน และในห้องนอนก็เต็มไปด้วยกลิ่นหอมของดอกกุหลาบ มันทั้งหอมหวานและเย้ายวนมากทีเดียว“เจ้ากำลังข้ามขั้นพิธีแต่งงานอยู่นะมาร์เซล เราไม่ควรด่วนชิงเข้าหอก่อนที่งานเลี้ยงจะเริ่ม..”เขาส่งยิ้มให้เธอในขณะที่กำลังถอดกระดุมเสื้อของตัวเองออกมา เขาอดทนมานานมากพอสมควร อดทนแล้วอดทนอีกเพราะว่าเฟรญ่าพึ่งจะฟื้นขึ้นมาจากอาการบาดเจ็บ เพราะอย่างนั้นเขาจึงไม่ได้แตะต้องเธอเลย แต่วันนี้เขาอดทนไม่ไหวอีกแล้ว“ไม่เห็นจะต้องสนใจแขกที่เข้ามาร่วมงานเลยนี่ นี่คืองานแต่งของเราและข้าอยากอยู่กับท่าน..เข้าหอเร็วหน่อยคงไม่เป็นไรหรอกครับ หรือว่าพี่กังวล"เฟรญ่าดึงผ้าคลุมหน้าของเธอออกไป เธอไม่ได้ยืนมองมาร์เซลถอดชุดอยู่เฉยๆ แต่เธอเองก็ถอดชุดเดรสแต่งงานออกเช่
บัตรเชิญของงานแต่งเลดี้ทีเซียส วีรสตรีที่ร่วมการกอบกู้เดียลอร์ลนั้นถูกส่งให้แก่ขุนนางมากมายในจักรวรรดิ บอกตามตรงว่าในตอนที่เฟรญ่าเห็นชื่อและรูปวาดของตัวเองเด่นหราอยู่บนหน้าหนังสือพิมพ์เธอค่อนข้างตกใจมากพอสมควร เพราะเธอไม่คิดว่าเรื่องที่มาร์เซลกล่าวออกมานั้นมันจะเป็นเรื่องจริง“ให้ตายเถอะ ข้ารับมือกับคำว่าวีรสตรีอะไรพวกนั้นไม่ไหวจริงๆ”ลิเวียหัวเราะออกมา“เจ้าคู่ควรกับมันนะเฟร เรื่องความรักที่แสนอบอุ่นนี้ก็ด้วย มาร์เซลคือบุรุษที่ดีมากทีเดียว”ลิเวียกล่าวพร้อมกับสวมสร้อยคอที่มีสีเดียวกับดวงตาของเฟรญ่าลงไปบนลำคอยาวระหง เพื่อนเพียงคนเดียวของเธอแต่งงานแล้ว เฟรญ่าคือสตรีที่งดงามมากๆ ในสายตาของลิเวีย เราพบเจอกันเพราะพี่เจนนีสมาทำงานที่ทีเซียสและพี่สาวก็ร้องขอให้เธอมาเป็นเพื่อนกับเฟรญ่า เพราะสงสารที่เฟรญ่าอยู่คนเดียวในคฤหาสน์ที่แสนกว้างใหญ่ และนั่นทำให้ลิเวียได้มาพบเจอกับคาร์เตอร์ จนได้แต่งงานและเป็นจักรพรรดินีทุกวันนี้เพราะความสามารถของเฟรญ่าเลยเธอถึงได้มีความสุขมากๆ ในช่วงเวลาที่เฟรญ่ากำลังจะได้แต่งงาน เพราะมันเหมือนกับว่าครั้งนี้เป็นเธอแล้วนะที่ได้ส่งเฟรญ่าไปให้ถึงฝั่งฝันกับความรักที่ดีงา
มาทอสพาเฟรญ่าและเจนนีสเดินทางกลับมาที่เมืองหลวงพร้อมกันในอีกสองสัปดาห์ต่อมา คาร์เตอร์ตั้งขบวนเพื่อรอรับการกลับมาของเฟรญ่า ทันทีที่เธอเดินลงมาจากรถม้า คาร์เตอร์ก็พุ่งตัวเข้าไปกอดเฟรญ่าเอาไว้มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นมา และหนึ่งในเรื่องราวเหล่านั้นมันกำลังสั่นคลอนพี่ชายที่แสนกล้าหาญของเธออย่างหนักเลยสินะเฟรญ่าพบเจอคาร์เตอร์ในครั้งแรกตอนที่เธออายุสิบสี่ปี เขาคือองค์รัชทายาท ตามสายเลือดแล้วท่านพี่มาทอสคือน้องชายขององค์จักรพรรดิผู้เป็นพ่อของคาร์เตอร์ เราทั้งคู่จึงถูกเลี้ยงดูมาด้วยกันและสนิทสนมกันมากทีเดียว เพราะแผลในใจที่เคยได้รับจากแม่เลี้ยงทำให้เฟรญ่านั้นหวาดกลัวผู้คนเป็นอย่างมาก อีกทั้งท่านพี่มาทอสก็งานยุ่งมากเพราะในช่วงเวลานั้นท่านพี่มาทอสรับตำแหน่งดยุคมาจากท่านพ่อแล้ว ทำให้เขาไม่มีเวลามาคอยดูแลน้องสาวต่างแม่สักเท่าไหร่นัก ผู้ที่ดูแลและสนิทสนมกับเฟรญ่ามากที่สุดคือคาร์เตอร์ ลูกพี่ลูกน้องของเธอ เขาพยายามเข้าหาเธอในทุกวัน ชวนเธอออกไปข้างนอก และเป็นผู้ที่พาเธอก้าวเดินไปยังงานเลี้ยงในแวดวงสังคม“ฟังนะเฟร จะไม่มีใครหน้าไหนกล้าดูถูกเจ้าทั้งนั้น พี่จะปกป้องเจ้าเองเพราะอย่างนั้นไม่ต้องกังวลหรื
เมื่อเฟรญ่าทำท่าไม่เชื่อ มาร์เซลก็หัวเราะออกมาเสียงดัง เขาจับมือเธอพร้อมกับพาเธอวิ่งไปยังงานเทศกาลของเดียลอร์ลที่ในยามนี้มีชาวบ้านมากมายกำลังเต้นรำอยู่ตามท้องถนน บนใบหน้าหล่อเหลานั้นมีรอยยิ้มฉายชัดอยู่ มันเป็นรอยยิ้มที่ทำให้ดวงตาของเฟรญ่านั้นพร่ามัวไปในทันทีราวกับว่ารอยยิ้มของเขามันแฝงไปด้วยเวทมนตร์แค่เขายิ้มก็ทำให้หัวใจของเธออ่อนลงยวบยาบ ฝ่ามือของเราเกาะกุมกันไว้โดยไร้คำพูด มาร์เซลหยุดเดินพร้อมกับหมุนตัวมาหาเธอ เขายกมือขึ้นมาจับเอวของเธอเอาไว้ ก่อนจะยกขึ้นเล็กน้อยแล้วพาเธอหมุนตัวตามจังหวะของเครื่องดนตรีพื้นเมือง เฟรญ่าหยักยิ้มขึ้นมาในทันที หัวใจของเธอมันเต้นผิดจังหวะในทุกครั้งที่อยู่กับเขา มันคือความรักที่ไม่รู้เหมือนกันว่าจะอธิบายเช่นไร แต่ในยามที่เธอมองเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา มันทำให้เธอมีความสุขได้โดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย บางทีความหวังของเธอก็เป็นเรื่องง่ายๆอย่างเช่นการคาดหวังให้มาร์เซลมีความสุขตลอดไป..“เวลาที่ท่านยิ้มออกมามันสวยมากเลยนะครับ..”ในวันที่พบเจอกันครั้งแรก เขาก็เชื่อมั่นในพรหมลิขิตในทันทีว่าคนรักของเขาจะต้องเป็นเธอเท่านั้น บางสิ่งในอกค่อยๆ แผ่ซ่านออกมา หัวใจที่เย็นย
งานเทศกาลในครั้งนี้จัดขึ้นมาในฤดูที่กำลังปลูกพืชผล เมืองเดียลอร์ลนั้นได้รับผลกระทบเป็นวงกว้างเพราะอย่างนั้น บารอนดีแลนจึงหารือกับชาวบ้านจัดงานนี้ขึ้นมา เพื่อให้บรรยากาศในเดียลอร์ลนั้นดีขึ้นมา ก่อนหน้านั้นกับบางคนที่เผชิญหน้ากับความสูญเสีย พวกเขาไม่อยากแม้แต่จะหายใจต่อไปดีแลนรู้สึกผิดกับชาวเมืองมากทีเดียว กับการตัดสินใจที่ผิดพลาดของเขา เพราะอย่างนั้นเขาจึงพยายามที่จะฟื้นฟูเดียลอร์ลขึ้นมาใหม่เพื่อให้ที่นี่กลับมามีบรรยากาศที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขเช่นเดิมเฟรญ่าเดินไปบนถนนหนทางที่เต็มไปด้วยนักเดินทาง ไม่ว่าจะถามเธอสักกี่ครั้ง เฟรญ่าก็ยังคงตอบได้ในทันทีว่าเดียลอร์ลคือเมืองที่เธอชอบมากที่สุด ความธรรมดาของที่แสนพิเศษ“ไม่เจอกันนานเลยนะเฟร..”ดีแลนเดินเข้ามาทักทายเฟรญ่าด้วยใบหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม“อื้ม ที่นี่เหมือนเดิมเลยนะคะ เหมือนเดียลอร์ลที่ข้ารู้จัก”เฟรญ่าจุดยิ้มที่แสนงดงามบนใบหน้าของเธอ เธอคิดว่าดีแลนเองก็คงจะได้รับผลกระทบทางจิตใจเช่นเดียวกัน“ขาของเจ้า..มันหายดีเป็นปกติแล้วสินะ”เฟรญ่าก้มมองเท้าของตัวเอง เธอพ่นลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ถึงแม้จะรู้สึกแปลกๆ อยู่บ้างในยามที่ไ
การรอคอยสำหรับมาร์เซลนั้นถือเป็นความทรมานมากเกินกว่าที่เขาจะคาดคะเนเอาไว้ซะอีก เขาไม่เคยรู้จักความรักมาก่อนเลย ยิ่งไม่เคยรักใครและทุ่มเทกายใจให้ขนาดนี้ เราทั้งคู่ตั้งใจว่าจะแต่งงานกันหลังจากนี้ ตั้งใจอย่างแรงกล้าว่าเฟรญ่าจะเป็นเจ้าสาว ส่วนเขาจะเป็นเจ้าบ่าว ในงานแต่งที่ยิ่งใหญ่มากที่สุดในจักรวรรดิ เขาและเธอจะสร้างครอบครัวเล็กๆ ด้วยกัน พร้อมกับนั้นลูกของเขาคงจะน่ารักมากทีเดียวเพราะว่าเฟรญ่าชอบเด็ก ทว่าในยามนี้ เธอก็ยังไม่ฟื้นขึ้นมาเลย..ในค่ำคืนที่ดวงจันทร์ลอยเด่นบนนภา มาร์เซลจุมพิตลงไปบนหลังฝ่ามือของเฟรญ่า ก่อนที่เขาจะหลับตาลงเพื่อเฝ้าอธิษฐานจากใจจริง“ตื่นขึ้นมาเถอะมา กลับมาเพื่อให้ข้าได้บอกรักเจ้าจะได้รึเปล่า ได้โปรดเถอะ..กลับมาหาข้าอีกครั้ง..”น้ำเสียงของเขามันเต็มไปด้วยความสั่นเครือ หยาดน้ำตาเปียกชุ่มอยู่บนมือของเฟรญ่า ท่ามกลางห้องที่เงียบงัน มีเพียงเสียงสะอื้นของมาร์เซลเท่านั้นที่ดังออกมา“...มาร์เซล อย่าร้อง”ดวงตาของเขาเบิกกว้างออกมาในทันทีที่ได้ยินเสียงที่แสนคิดถึง และเมื่อมาร์เซลเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งเขาก็พบเจอกับดวงตาสีครามที่กำลังจ้องมองใบหน้าของเขาอยู่ บนดวงหน้างามล้ำยิ่งกว่
เฟรญ่านั่งกอดเข่าอยู่บนเตียงตามลำพัง แววตาของเธอสะท้อนความอ้างว้างและโดดเดี่ยวอย่างเห็นได้ชัด ในห้องนี้ไม่มีใครเลยนอกจากเธอเธออยู่ที่นี่มานานแค่ไหนแล้วก็ไม่รู้ รู้เพียงแต่เธอพยายามที่จะเดินออกไปจากห้องนี้มากแค่ไหนก็ไม่สามารถออกไปได้ เป็นห้องโล่งๆ ที่ไม่มีแม้กระทั่งหน้าต่างสักบาน เธอนอนหลับไปและเมื่อตื่นขึ้นมาก็จะพบเจอกับอาหารทั้งสามมื้อที่วางเอาไว้บนโต๊ะ เธอไม่รู้ว่าตัวเองมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน รู้เพียงแต่ว่าเธอจะต้องหาทางออกไปจากที่นี่ให้ได้ ไม่อย่างนั้นมาร์เซลจะต้องกำลังเป็นห่วงเธออย่างแน่นอน ไหนยังจะท่านพี่ของเธออีกจะมามัวอยู่ที่นี่ตลอดไปไม่ได้เพราะอย่างนั้นเฟรญ่าก็เลยคิดแผนการขึ้นมา การที่มีอาหารมาวางเอาไว้ในช่วงที่เธอหลับ นั่นหมายความว่าจะต้องมีคนเดินเข้ามาที่นี่และเธอจะต้องแกล้งหลับ เพื่อที่จะดูว่าคนที่ขังเธอเอาไว้ที่นี่คือใครกันแน่เมื่อคิดได้ดังนั้นเฟรญ่าก็ล้มตัวนอนลงในทันที เธอหลับตาพร้อมกับเผยอปากออกมาเล็กน้อยเพื่อให้ดูสมจริง แล้วก็เป็นอย่างที่คิดเพราะเมื่อเธอล้มตัวนอน เสียงเปิดประตูก็ดังขึ้นมา พร้อมกับฝีเท้าที่ก้าวเดินเข้ามาอย่างช้าๆเฟรญ่าค่อยๆ ปรือตามองอย่างช้าๆ เธอร
คาร์เตอร์มองเฟรญ่าที่กำลังนอนหลับอยู่ เขาอยู่ในสภาพที่บาดเจ็บสาหัสมากพอสมควร ปกติแล้วเรื่องการต่อสู้หรือการออกรบ เขาล้วนแล้วแต่ทำมันได้ดีมากทีเดียวแต่เพราะการสูดดมไอขุ่นมัวเหล่านั้นทำให้เขาหมดแรง ซึ่งมันทรมานมากที่เขารับรู้เรื่องราวต่างๆ มากกว่าแต่ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้เลยแม้แต่นิดเดียวเขามองเห็นว่าเฟรญ่า นางแตกสลายมากแค่ไหนกับการที่นางลงมือจัดการกับต้นตอของเรื่องนี้ เฟรญ่าในสายตาของคาร์เตอร์เหมือนคนที่เผชิญหน้ากับความเจ็บปวดเจียนตาย ทั้งๆ ที่นางควรจะดีใจเมื่อแอชตันตายไป แต่นางก็ยังร้องไห้ออกมาไม่หยุด ในช่วงเวลาที่นางลงมือทำร้ายแอชตันเฟรญ่าก็ยังร้องไห้ออกมามันเป็นเพราะว่าเฟรญ่า น้องสาวของเขานั้นจิตใจดีมากเกินไป นางไม่เคยทำร้ายคนอื่นมาก่อนเลย แล้วไอ้เวรนั่น..ไอ้แอชตันจะต้องทำร้ายเฟรญ่าหนักหนาสาหัสมากแค่ไหน คนที่ไม่เคยทำร้ายคนอื่นแม้แต่ปลายเล็บอย่างเฟรญ่า ถึงได้ลุกขึ้นมาเพื่อจัดการหมอนั่นด้วยความเจ็บปวดมากมายขนาดนั้น“เรื่องนี้ไม่มีใครผิดหรอกพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทอย่าได้วิตกกังวลมากเกินไปเลย”มาร์เซลปลอบใจองค์จักรพรรดิที่กำลังโมโหตัวเองอยู่ เขาพบเจอสภาพของค่ายทหารที่อาบไปด้วยเลือด พร้อมก