เฟรญ่านั่งลงบนม้านั่งในสวนของคฤหาสน์ ดวงตาสีครามช้อนขึ้นมามองท้องฟ้าก่อนจะยกแก้วน้ำชาขึ้นมาดื่ม บอกตามตรงว่าตั้งแต่ที่มาร์เซลเดินทางออกไป เธอรู้สึกใจคอไม่ดีเลย แน่นอนว่าเธออยากจะหลบหนีออกไปจากทีเซียส เพื่อตามไปช่วยเหลือเขาและตามไปช่วยเหลือผู้คนในโรงแรมของเธอ แต่ก็มีคำถามเกิดขึ้นในใจว่าเธอทำอะไรได้บ้างล่ะ พลังเวทหรือการต่อสู้ เฟรญ่าก็ล้วนแล้วแต่ไม่เคยเรียนมาก่อน เธอไม่มีความสามารถอะไรสักอย่าง จะไปที่นั่นก็มีแต่ทำให้มาร์เซลต้องเป็นห่วง
เพราะอย่างนั้นการรอคอยด้วยความทรมานใจอยู่ที่นี่น่าจะดีกว่า “เฟร..” ลิเวียเดินเข้ามานั่งลงตรงข้ามเฟรญ่าด้วยใบหน้าที่เปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม ไร้วี่แววความกังวลบนใบหน้าของลิเวียจนเฟรญ่าเองก็อดแปลกใจไม่ได้ “อย่ามองหน้ากันแบบนั้นสิเฟร สามีออกรบ ภรรยาที่ไหนจะไม่เป็นห่วง เพียงแต่สิ่งที่เจ้าจะต้องมีมันคือความเชื่อมั่น เชื่อมั่นในตัวของคนรักสักหน่อยสิเฟร อีกอย่างเพราะว่าข้าคือจักรพรรดินี เมื่อองค์จักรพรรดิเดินทางไปออกรบ ข้าจะมามัวเสียใจไม่ได้ สิ่งที่ข้าต้องทำมีมากมาย และข้าก็จะต้องเป็นตัวแทนของคาร์เตอร์ในการดูแลเมืองหลวงและพระราชวัง ทั้งเดียลอร์ลและสามีของเรา จะไม่เป็นอะไรทั้งนั้น..ไม่มีอะไรให้เจ้าเป็นกังวลหรอกนะ” เฟรญ่าพยายามที่จะคิดเช่นนั้นอยู่เหมือนกัน แต่ในใจของเธอมันมีสัญญาณการร้องเตือนแปลกๆอยู่ด้วย ไอขุ่นมัวพวกนั้นเธอไม่เคยได้ยินเรื่องเช่นนี้มาก่อนในช่วงชีวิตครั้งที่แล้ว ไม่เคยได้ยินว่าเดียลอร์ลมีเหตุการณ์ความไม่สงบเกิดขึ้น นี่คือเรื่องใหญ่มากพอสมควร เป็นภัยพิบัติในระดับที่ท่านพี่คาร์เตอร์ยังต้องออกหน้าด้วยตัวเอง มันร้ายแรงมากพอสมควร แต่เธอไม่เคยได้ยินเรื่องราวเช่นนี้มาก่อน เฟรญ่าก็เลยไม่แน่ใจว่ามันเกี่ยวพันกับเรื่องที่เธอย้อนเวลากลับมาหรือไม่ แล้วในยามนี้แอชตันก็อยู่ที่เดียลอร์ลด้วย เธอได้แต่ภาวนาให้มาร์เซลและท่านพี่คาร์เตอร์ปลอดภัย และอยากให้ทุกคนที่เดียลอร์ลปลอดภัยเช่นกัน ถึงอย่างไรเธอก็อยู่ที่นั่นมาตั้งหลายปี “ขอบคุณลิเวีย ข้าเองก็ควรจะเข้มแข็งให้ได้เหมือนอย่างเจ้า” เราทั้งคู่ไม่ใช่เด็กสาวอายุ 17 ที่จะถูกรังแกง่ายๆ เหมือนในอดีต ตอนนี้ทั้งเธอและลิเวียต่างก็เติบโตเป็นสตรีที่งดงาม อีกทั้งลิเวียคือสตรีที่ทรงอำนาจมากที่สุดของจักรวรรดิอีกต่างหาก และเธอควรละทิ้งความอ่อนแอและขี้ขลาดที่เกาะกุมในใจไปเสียที “ท่านหญิงคะมีจดหมายส่งมาค่ะ” สาวใช้เดินเข้ามาพร้อมกับจดหมายในมือ เมื่อเฟรญ่าเหลือบมองตราของตระกูลจามินที่ประทับอยู่ ริมฝีปากของเธอก็แย้มยิ้มขึ้นมาในทันที “ข้าได้ยินมาว่าแกรนด์ดยุคยกแกรนด์ดัชชีให้แก่น้องเขยของเขา ด้วยนิสัยของแอชตันแล้วเขาไม่น่าจะมีน้ำใจมากขนาดนั้น..” คำถามของลิเวียเหมือนคำถามเพื่อหยั่งเชิงว่าในความเป็นเพื่อนของเรานั้น นางสามารถรับรู้ได้แค่ไหนกัน “ลิเวีย..เจ้าคือสหายรักของข้า เป็นเพื่อนเพียงคนเดียวของข้าด้วย เจ้าสามารถรับรู้ได้ในทุกเรื่องของข้าเช่นกัน ข้าเป็นคนซื้อบรรดาศักดิ์แกรนด์ดยุคจามินมาจากเขาเอง” ลิเวียเลิกคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย การกระทำเช่นนั้นนับว่าไม่ปกติสำหรับเฟรญ่าผู้น่ารักของเธอ แต่เธอมีหน้าที่ในการรับฟังและสนับสนุนเฟรญ่าเท่านั้นไม่ว่าเฟรญ่าจะทำเรื่องอะไร มันจะเป็นเรื่องที่ถูกต้องในสายตาของ ลิเวียเสมอ “ไม่ถามงั้นเหรอว่าข้าทำไปทำไม” “เฟร เจ้าจะต้องมีเหตุผลในการกระทำของตัวเองอยู่แล้ว เพียงแต่หากเจ้าต้องการบรรดาศักดิ์ของจามินจริงๆ แค่เจ้าเดินทางมาหาข้า เจ้าจะไม่ต้องเสียเงินเลยแม้แต่เหรียญเดียว..” เฟรญ่าหัวเราะออกมาเบาๆ “ข้ารู้ แต่ข้าไม่อยากทำให้ทั้งเจ้าและท่านพี่คาร์เตอร์เป็นห่วง ครั้งหนึ่งข้าเคยถูกแอชตันทรมานอย่างหนัก..หนักหนาและสาหัสมากทีเดียว” ลิเวียลุกขึ้นในทันที “อ่า ไอ้เวรนั่น..มันกล้ารังแกเจ้างั้นหรือ” เฟรญ่าต้องรีบดึงแขนของลิเวียเพื่อให้สหายรักนั่งลง “ลิเวีย ครั้งหนึ่งข้าเคยอ่อนแอ เจ้าก็รู้ว่าแวดวงสังคมมองข้าว่าอย่างไร ข้าไม่สามารถเต้นรำกับผู้ใดได้เพราะอย่างที่เห็นขาของข้ามันเป็นเช่นนี้อีกทั้ง..ข้าถูกมองว่าข้าคือบ่อเงินบ่อทองของพวกเขา เหล่าบุรุษตบเท้าเข้าหาข้าเพราะว่าข้าคือทีเซียส แต่ข้ากลับหลงโง่งมว่าความอ่อนโยนเหล่านั้นมันคือของจริง หลงคิดไปว่าคนเช่นข้า คนที่มีตำหนิเช่นข้าก็ถูกรักได้เหมือนกัน..ข้าก็เลยส่งมอบทุกสิ่งทุกอย่างให้เขาไปจนหมดสิ้น..” ไม่เว้นแม้แต่ลมหายใจ เธอเคยโหยหาความรักแต่ไม่เคยมองเลยว่าครอบครัว สหาย พี่ชาย พี่สะใภ้ นั้นรักเธอมากแค่ไหน คนในครอบครัวโอบกอดและโอบอุ้มเธอเอาไว้ในเธอเป็นเฟรญ่าที่มีแต่ความสุข แต่เธอกลับเลือกที่จะเข้าไปแตกสลายในอ้อมกอดของแอชตัน เธอนี่มันโง่มากจริงๆ “กว่าที่ข้าจะมองเห็นความอ่อนแอของตัวเองก็ใช้เวลาหลายปีมากทีเดียว ข้าค่อยๆ ซ่อมแซมตัวเอง ค่อยๆ ทำให้ความอ่อนแอพวกนั้นจางหายไป และในยามนี้ข้าต้องการแก้แค้นแอชตันด้วยตัวเอง ข้าเคยทรมานเช่นไรข้าจะทำให้เขาทรมานมากกว่าข้าหลายร้อยเท่า เคยอดสูเช่นไร ข้าจะทำให้เขาแหลกเหลวยิ่งกว่า..ลิเวียข้าในยามนี้ไม่ใช่เฟรญ่าคนเดิมอีกแล้วนะ” ลิเวียยื่นมือมาจับมือของเฟรญ่าเอาไว้แน่นมากพอสมควร เราทั้งคู่จับมือกันแน่นแทบจะในทุกช่วงเวลา จนเฟรญ่าตัดสินใจไปเป็นนักเดินทาง นับจากนั้นนานๆ ทีเราถึงเขียนจดหมายหากัน และในวันที่พบเจอกันอีกครั้ง สิ่งแรกที่มันเปลี่ยนไปคือแววตาของเพื่อนรัก เฟรย่าไม่ใช่สตรีอ่อนแออีกแล้ว แต่ในยามนี้นางเข้มแข็งมากกว่าเดิม และลิเวียเชื่อเหลือเกินว่าหากมีการออกงานสังคม เฟรญ่าจะต้องเข้าร่วมงานด้วยใบหน้าที่ไม่ยี่หระต้องเสียงนินทารอบข้างเป็นแน่ แม้ไม่รู้ว่าช่วงเวลาที่ผ่านมาเฟรญ่าพบเจออะไรบ้าง แต่การลุกขึ้นสู้มันคือสัญญาณการเปลี่ยนแปลงที่ดี “เช่นนั้นในยามนี้แกรนด์ดยุคจามินคือคนของเจ้าสินะ” เฟรญ่าพยักหน้า “เป็นคนดีที่พร้อมจะนำพาจามินให้รุ่งเรืองมากกว่าแกรนด์ดยุคคนเก่าอย่างแน่นอน หากสิ้นสุดเรื่องที่เดียลอร์ลข้าจะพาเขา มาพบจักรพรรดินีของจักรวรรดิแห่งนี้เอง” ลิเวียยกแก้วน้ำชาขึ้นมาดื่ม “แล้วแอชตัน เขาไปอยู่ที่ไหนกันล่ะ..นี่อย่าบอกนะว่าเขาไปอยู่ที่เดียลอร์ลเพื่อไปตามตื้อเจ้า” เฟรญ่ายักไหล่ขึ้นมา และนั่นมันคือคำตอบที่ชัดเจนมากทีเดียวว่าแอชตันอยู่ที่เดียลอร์ล ลิเวียปรายตามององครักษ์ของเธอก่อนจะพยักหน้าเบาๆ เพื่อให้เขาไปรายงานเรื่องนี้แก่สามีของเธอ ข้ารู้ว่าเจ้าอยากแก้แค้นเองนะเฟรญ่า แต่ไอ้เวรนั่นกล้าลงมือกับเจ้า มันไม่สมควรที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกแล้วล่ะ“เฟรญ่าเป็นเด็กที่น่ารักมากทีเดียว เพียงแต่นางมีความเจ็บปวดกับช่วงเวลาวัยเด็กมากเกินไป ทำให้ไม่ว่านางจะทำอะไรก็ล้วนแล้วแต่ยังคงมีความหวาดกลัว..และยังไม่กล้าตัดสินใจด้วยตัวเองเท่าไหร่นัก” องค์จักรพรรรดิคาเตอร์กล่าวออกมาในช่วงเวลาที่เราพักค้างแรมด้วยกัน ด้วยระยะทางจากเมืองหลวงเดินทางไปยังเดียลอร์ลนั้นต้องใช้เวลามาพอสมควร ทำให้ต้องมีการพักค้างแรมเป็นระยะๆ ต้องพักทั้งคนและม้าด้วย เพราะไม่มีใครรู้ว่าสิ่งที่เราจะพบเจอเมื่อถึงเดียลอร์ลนั้นมีอะไรที่คอยอยู่ “ครับ..แต่ในครั้งแรกที่กระหม่อมพบเจอท่านเฟรญ่า นางมีแววตาที่ไม่ได้แสดงอาการหวาดกลัวออกมาแม้แต่น้อย บนใบหน้างดงามนั้นฉายแววมั่นใจในแบบที่แค่มองเห็นก็สะดุดตาแบบที่เดินหนีออกไม่ได้เลย..กระหม่อมสามารถเรียกการพบเจอของกระหม่อมและเฟรญ่าว่ามันคือรักแรกพบเลยก็ว่าได้” คาร์เตอร์มองเปลวไฟที่กำลังลุกไหม้ขอนไม้ อากาศในยามค่ำคืนเย็นลงเล็กน้อย เขาคิดถึงจักรพรรดินีลิเวียมากทีเดียว แต่หน้าที่ก็ย่อมต้องเป็นหน้าที่ “บอกตามตรงว่าข้าไม่ได้คิดขัดขวางเรื่องความรักของเจ้าหรอกนะ เฟรญ่าเองก็ควรจะมีคนดูแลนางและคอยปกป้องรอยยิ้มของนาง ข้าไม่ได้หวงน้องสาวจนไร้สติเหมื
แครอลลีนยกมือขึ้นมาปิดปากเพื่อเก็บกักเสียงไอ นางมองดูหมู่บ้านที่กำลังถูกควันสีดำปกคลุม ใครจะอยู่ก็อยู่ไปเถอะแต่นางไม่คิดจะอยู่สถานที่เช่นนี้หรอก ในมือของแครอลลีนถือถุงเงินที่ขโมยมาจากพี่ชายเอาไว้ เธอจับมือของท่านแม่เอาไว้แน่นพร้อมกับเร่งฝีเท้าเพื่อที่จะวิ่งหนีออกไปจากที่นี่ท่านพี่แอชตันหายตัวออกจากบ้านหลายวันแล้ว เธอและท่านแม่เป็นห่วงท่านพี่มาก แต่ทว่าอาการเจ็บป่วยของชาวเมืองนั้นเริ่มร้ายแรงมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ เหมือนกับโรคระบาดที่ท่านแม่เคยเล่าให้ฟัง เราสองแม่ลูกตัดสินใจอยู่นานก่อนจะพากันหลบหนีออกมา“นี่เรา..ไม่ได้ทำผิดใช่ไหมแคลร์ แอชตันไปไหนก็ไม่รู้ บางทีพี่ชายของเจ้าอาจจะยังอยู่ที่เดียลอร์ลก็ได้”“ท่านแม่ เราทำถูกแล้วค่ะท่านไม่ต้องเป็นกังวลไป พี่อาจจะทิ้งเราแล้วหลบหนีไปก่อนหน้านั้นก็ได้ ไม่ว่าจะเรื่องไหนพี่ก็มักนึกถึงเราสองคนเป็นเรื่องสุดท้ายอยู่แล้วนี่ เงินพวกนี้ก็เหลือไม่ถึงครึ่งที่ขายบรรดาศักดิ์ไปด้วยซ้ำ มันคือเงินในจำนวนที่เราสองคนควรจะได้นี่คะ อย่ามัวพูดมากอยู่เลย เราทั้งสองคนควรจะรีบวิ่งให้เร็วมากกว่านี้อีกไม่ไกลจะถึงถนนแล้ว อาจจะมีรถม้าวิ่งผ่านมา เราเดินทางไปที่เมืองหลวงกันเถ
เฟรญ่าเดินทางไปที่วิหารศักดิ์สิทธิ์ เธอได้พบเจอกับคาดินันไมเลสที่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ชื่นชอบเธอเท่าไหร่นัก“สวัสดีครับเลดี้ทีเซียส”เฟรญ่าย่อตัวลงเล็กน้อย“ข้าต้องการพูดคุยกับท่านค่ะ แน่นอนว่าข้ามีเรื่องสงสัยมากมายที่กำลังพยายามหาคำตอบอยู่ และหวังอย่างยิ่งว่าท่านคาดินันจะช่วยเหลือ..”คาดินันวัยชราถอนหายใจเล็กน้อย“บอกตามตรงว่าข้าไม่ได้อยากพูดคุยกับเลดี้เลยครับ แต่เพราะว่าข้าคือคาดินันและหน้าที่ของข้าคือผู้รับใช้พระเจ้า..”เขาพ่นลมหายใจออกมาเสียงดัง“เช่นนั้นก็ตามข้ามาเลยครับ”เฟรญ่าคิดเอาไว้แล้วว่าเธอจะไม่ได้รับการต้อนรับที่ดีเท่าไหร่นัก แต่การต้อนรับเช่นนี้มันเกินไปหน่อย“ข้าคือทีเซียสค่ะ ข้าอยากให้คาดินันมองข้าใหม่ และปฏิบัติกับข้าด้วยความมีมารยาทมากกว่านี้ ข้ามาที่นี่เพราะคิดว่าท่านจะให้ความช่วยเหลือมาร์เซลได้ แต่การกระทำของท่านทำให้ข้าอยากจะเดินออกไปจากที่นี่แล้วไปยังหอคอยเวทมนตร์เพื่อร้องขอพวกนักเวท ที่นั่นน่าจะต้อนรับข้าได้ดีมากกว่าที่วิหารศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้..”คาดินันไมเลสกำมือแน่น เขาไม่ชอบสตรีผู้นี้เพราะว่านางไม่มีอะไรเลยที่เหมาะสมกับคนอย่างท่านมาร์เซลที่เชิดหน้าได้อยู่ก็เพร
“กอดได้รึเปล่าครับ.”“มาร์เซลเจ้ากำลังกอดข้าอยู่”“อ่า..เช่นนั้นข้าจูบได้รึเปล่า”เฟรย่าขมวดคิ้วเล็กน้อย“เราจูบกันเกินสิบครั้งแล้วนะมาร์เซล”ใบหน้าของเขาขึ้นเป็นสีแดงระเรื่อเล็กน้อย ให้ตายเถอะเฟรญ่าน่ารักชะมัดเลย“มาร์เซล ข้าถามเจ้าบ้างได้รึเปล่า”เขาพยักหน้าพร้อมกับดึงเธอไปกอดเอาไว้แนบอก“เราทำมากกว่าการนี้ได้ไหม ทำมากกว่า การจูบน่ะ”เขาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยก่อนหยักยิ้มที่มุมปาก มาร์เซลอุ้มเฟรญ่าขึ้นมาในทันทีแล้วพาเธอเดินตรงมาที่เตียงนอน“ได้แน่นอนครับ ได้หลายครั้งเลยล่ะ..”เฟรญ่าขบเม้มริมฝีปากเบาๆ นี่เรากำลังเขินกันไปกันมาแต่ถึงอย่างนั้นร่างกายก็โอบกอดกันแนบแน่นไม่คิดปล่อยมือชุดนอนของเธอถูกถอดออกไปจากศีรษะ พร้อมกับชุดนักบุญที่เขาสวมอยู่ ริมฝีปากอุ่นร้อนหว่านพรมไปมาบนร่างกายของเธอ ลิ้นอุ่นเลียลงมาบนยอดอก ก่อนดูดดึงหนักๆ ไม่ก็งับแรงๆ พอให้สะดุ้งตาม ปลายนิ้วของเขาวนเบาๆ ที่รอยแยกกลางกาย ก่อนจะกรีดมันไปมาเพื่อขยี้ลงบนเม็ดสีทับทิมที่นูนเด่นขึ้นปลายยอดอกสั่นระริกถูกเคล้นคลึงส่งผลให้ร่างกายของเธอรู้สึกสะท้านวาบขึ้นมา ริมฝีปากของเขาย้ายไปกระทำอยู่บนยอดอกอีกข้าง ขณะที่ใช้ปลายนิ้วหยอกเย้าข้
คราแรกมาร์เซลนั้นไม่มั่นใจในสิ่งที่เขาสันนิษฐานเอาไว้ในใจ ทว่าเมื่อเขาเห็นกลุ่มควันสีดำที่เคลื่อนไหวอยู่ด้านนอกหน้าต่างห้องนอนของเฟรญ่า เขามีความแน่ใจในทันทีว่าการหายตัวไปของแอชตันเกี่ยวข้องกับไอขุ่นมัวพวกนั้นแน่ๆโชคดีที่เขามาที่นี่ ไม่อย่างนั้นก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรกับเธอ ทว่าอีกนัยหนึ่ง มันราวกับว่านี่คือการจงใจ..แอชตันอาจจงใจให้เขามองเห็นควันพวกนั้นเพื่อให้เขาพาเฟรญ่าไปด้วย หากทุกอย่างเป็นแผนการของหมอนั่นล่ะ เขาจะทำเช่นไร..ในชีวิตของมาร์เซล เขาสูญเสียทุกอย่างได้ทั้งหมดยกเว้นเฟรญ่า เขาเสียเธอไปไม่ได้ ไม่ว่าด้วยเรื่องอะไรก็ตาม..มาร์เซลกล่อมเฟรญ่าจนหลับ เขาเดินทางไปที่พระราชวังเพื่อเล่าเรื่องทั้งหมดให้กับท่านดยุคมาทอสได้รับฟังมาทอสยกมือขึ้นมานวดขมับเบาๆ ดวงตาสีครามของเขาฉายแวววูบไหวและไม่มั่นใจ“หมายความว่า..เฟรญ่าเคยตายไปแล้วครั้งหนึ่งอย่างนั้นหรือ? นางถูกแอชตันทรมานจนตายแล้วก็..ย้อนเวลากลับมาอีกครั้ง ข้าพูดได้เลยว่าหากข้าได้ฟังเรื่องนี้จากผู้อื่น แน่นอนว่าข้าจะไม่เชื่ออย่างเด็ดขาด แต่เพราะว่านี่เจ้าเป็นคนเล่า”มหาจอมเวทแห่งยุคเล่าเรื่องที่เหนือธรรมชาติให้เขาได้ฟัง และเรื่องนั้นม
ในความคิดของเฟรญ่า เธอคิดมานานแล้วว่ากับแอชตันไม่ว่าวันใดก็วันหนึ่งเธอจะต้องพบเจอกับเขาอย่างแน่นอน ถึงแม้ว่ามาร์เซลจะบอกกล่าวกับเธอว่าแอชตันและไอขุ่นมัวพวกนั้นจะเป็นพวกเดียวกัน แต่เธอก็ไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวอะไรเลยนานมากๆ แล้วที่เธอไม่ได้หวาดกลัวแอชตัน อาจเป็นเพราะว่าเธอสามารถเอาชนะความกลัวของตัวเองได้แล้ว และต่อให้เธอต้องตายอีกครั้งด้วยน้ำมือของแอชตัน เธอก็อยากจะลองฆ่าหมอนั่นด้วยมือของตัวเองดูสักครั้งความแค้นที่ฝังลึกในใจทำให้เฟรญ่าอยากจะเดินขึ้นเขาเพื่อไปหาเขาให้รู้แล้วรู้รอด แต่คนอย่างแอชตันคุ้มค่าที่เธอจะเอาชีวิตของตัวเองไปเสี่ยงงั้นเหรอ จริงอยู่ที่ชีวิตครั้งที่แล้วของเธอไม่มีอะไรเลย แต่ในชีวิตครั้งนี้เธอมีคนรัก มีครอบครัวที่รักเธอมากกว่าใคร มีทุกสิ่งทุกอย่างที่สามารถทำให้เธอมีความสุขได้หากจะเอาชีวิตของเธอไปแลกกับชีวิตของคนเช่นนั้นก็คงจะไม่คุ้มค่าสักเท่าไหร่นัก...“เฟรญ่า..”เสียงเรียกที่เหมือนกับว่าจะพาเธอจมดิ่งลงไปสู่ขุมนรกที่มืดมิดนั้นดังขึ้นมาจากด้านหลังของเธอ เธอกำลังเดินเล่นอยู่รอบๆ กระโจมที่พักของมาร์เซล มีทหารมากมายเดินไปเดินมาอยู่ที่นี่ และเธอคิดว่าการเดินเล่นที่นี่นั้นป
วันนี้คือวันที่ทุกอย่างเตรียมพร้อมสำหรับการระเบิดเดียลอร์ลเพื่อให้ไอขุ่นมัวจางหายไป หลังจากนั้นแผนการในชั้นต่อไป มาร์เซลและคนของเขาจะบุกขึ้นไปบนเขา ทหารบางส่วนจะมาคุ้มกันและส่งพวกเขาไปให้ถึงบนเขา ที่ที่ประตูของเผ่าปีศาจเปิดออกมา แล้วหลังจากนั้นมาร์เซลจะทำการปิดประตูนั้นทว่าในระหว่างที่เรากำลังจะทำการระเบิดเดียลอร์ล มาร์เซลก็หายตัวไปพร้อมกับใบหน้าที่ตื่นตระหนก เขาและทหารที่ใจคอไม่ดีรีบกลับมาที่ค่ายของเราเพื่อมาตรวจตราหาสิ่งที่ทำให้มาร์เซลไม่ปกติเท้าทั้งสองข้างของคาร์เตอร์หยุดลงตรงหน้ากระโจมที่พักของมาร์เซล เขารู้เรื่องที่เฟรญ่าเดินทางมาที่นี่แล้ว และเขาก็ค่อนข้างเคารพการตัดสินใจของมาร์เซลเป็นอย่างดี แต่ต่อให้มองเห็นด้วยสายตาของตัวเอง คาร์เตอร์ก็ไม่อยากจะเชื่อสายตาว่าอดีตแกรนด์ ดยุคจามินและไอขุ่นมัวพวกนั้นจะหลอมรวมร่างกายเป็นหนึ่งเดียวกัน“ไม่ยักรู้ว่าองค์จักรพรรดิก็ทรงอยู่ที่นี่ด้วย ไม่พบเจอกันนานมากเลยนะพ่ะย่ะค่ะ”“ข้าไม่ต้องการรับคำทักทายจากต้นเหตุที่ทำให้เดียลอร์ลอยู่ในสภาพเช่นนี้หรอกนะ”...เขาไม่ได้ทำสักหน่อย ไอขุ่นมัวพวกนั้นปกคลุมเดียลอร์ลเอาไว้ก่อนที่เขาจะยกร่างกายนี้ให้ปีศาจซ
สองเท้าของมาร์เซลวิ่งแบบไม่คิดชีวิตเพื่อไปยังหมู่บ้าน ไอเดนกำลังร่ายเวทเพื่อไม่ให้แรงระเบิดเล็ดลอดออกมาจากหมู่บ้าน และเพื่อไม่ให้มีเสียงระเบิดดังขึ้นมา“นายท่านครับ..รออีกสักพักเมื่อไอขุ่นมัวลดลงเราก็จะเดินทางขึ้นไปด้านบนได้..”“รอนานขนาดนั้นไม่ได้หรอกวิน เจ้าและไอเดนตามข้ามาส่วนเดม่อน เจ้ากลับไปที่ค่ายทหารเพื่อปกป้องเฟรญ่าเอาไว้ เราจะต้องรีบจัดการปิดประตูปีศาจต้องรีบทำให้เรื่องราวทุกอย่างจบสิ้นอย่างรวดเร็วมากที่สุด”เดม่อนก้มหน้าลงเล็กน้อยเพื่อรับคำสั่ง เขารีบวิ่งกลับไปที่ค่ายทหารแต่ก็พบเจอท่านเฟรญ่าที่กำลังถูกแอชตันโอบกอดเอาไว้ เขาวิ่งเข้าไปหาองค์จักรพรรดิก่อนจะช่วยพยุงพระองค์ที่อยู่ในสภาพปางตายขึ้นมา อีกฝ่ายคือร่างที่เป็นภาชนะของปีศาจเพราะอย่างนั้น นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายที่มนุษย์จะรับมือกับการโจมตีของปีศาจได้“น่าเสียดายนะ เพราะแม้แต่เรี่ยวแรงครั้งสุดท้ายของเจ้าก็ไม่อาจทำอันตรายข้าได้เลยเฟร..เจ้ายอมรับเถอะว่าเจ้าสู้ข้าไม่ได้ และหากเจ้าต้องการให้ข้ารื้อฟื้นความหลังของเจ้า ให้ข้าจัดการทำให้ขาของเจ้าเดินไม่ได้เหมือนเดิมดีหรือไม่”เดม่อนพุ่งตัวเข้าไปด้วยความรวดเร็วก่อนที่เขาจะแย่งชิงท่านเ
มาร์เซลพึ่งรู้ว่าการนั่งเรือสำเภามันไม่ใช่เรื่องสนุกเลยแม้แต่นิดเดียว เขาออกเดินทางมายังเมืองทางใต้พร้อมกันกับเฟรญ่า นี่คือการดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ของเราก่อนที่เขาจะกลับไปทำงานในตำแหน่งดยุคอย่างเป็นทางการ เราทั้งคู่เคยพูดเอาไว้ว่าอยากจะล่องเรือมาเที่ยวที่เมืองทางใต้มาชมทะเลที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน และในยามนี้เราก็กำลังอยู่กลางทะเลบนเรือสำเภาที่ค่อนข้างจะเป็นพื้นที่ส่วนตัว เพราะว่าเขาเหมาเรือลำนี้เอาไว้ เพื่อมากับเฟรญ่าเพียงแค่สองคนเท่านั้นแต่เขาอาเจียนไปสิบรอบแล้วเห็นจะได้ เพราะเขาไม่เคยนั่งเรือมาก่อน“ออกมานั่งมองทะเลดูไหม เผื่ออาการของเจ้าจะดีขึ้น”อันที่จริงแค่ได้มองหน้าสวยๆ ของเธอก็ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นแบบมากๆ แล้ว เขาจับมือของเฟรญ่าเอาไว้ก่อนจะซบใบหน้าลงไปบนไหล่ของเธอ“รักนะครับ..รักที่สุดเลย”เฟรญ่าไม่รู้ว่าเพราะอายุที่เขาเด็กกว่ามันเกี่ยวข้องด้วยรึเปล่า แต่เขาทำให้เธอรู้สึกราวกับมีลูกสุนัขตัวใหญ่ที่กำลังออดอ้อนเธอตลอดเวลา มาร์เซลติดการสัมผัสมากๆ เขาจะต้องจับมือหรือไม่ก็กอดและหอมแก้มเธอตลอดเวลา และเธอเองก็ชื่นชอบการแสดงความรักเช่นนั้นมากทีเดียว เฟรญ่าจึงไม่เคยผลักไสหรือว่าดุเขาในเร
บอกตามตรงว่านี่คงจะเป็นงานแต่งที่เจ้าสาวสบายมากที่สุดในจักรวรรดิแห่งนี้ เฟรญ่าแทบไม่ต้องจัดเตรียมอะไรเลยเพราะว่าพี่เจนนีสและลิเวียจัดเตรียมเอาไว้ให้อย่างเรียบร้อยหมดทุกอย่างแล้ว เธอเพียงสวมชุดเจ้าสาวที่แสนงดงามและเข้าร่วมงานแต่งเท่านั้นเองเฟรญ่าหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อมาร์เซลพาเธอออกมาจากงานแต่งที่แสนยิ่งใหญ่ เขาพาเธอมาที่คฤหาสน์ฮอร์ตันที่เราพึ่งได้รับมาเป็นของขวัญแต่งงาน และในห้องนอนก็เต็มไปด้วยกลิ่นหอมของดอกกุหลาบ มันทั้งหอมหวานและเย้ายวนมากทีเดียว“เจ้ากำลังข้ามขั้นพิธีแต่งงานอยู่นะมาร์เซล เราไม่ควรด่วนชิงเข้าหอก่อนที่งานเลี้ยงจะเริ่ม..”เขาส่งยิ้มให้เธอในขณะที่กำลังถอดกระดุมเสื้อของตัวเองออกมา เขาอดทนมานานมากพอสมควร อดทนแล้วอดทนอีกเพราะว่าเฟรญ่าพึ่งจะฟื้นขึ้นมาจากอาการบาดเจ็บ เพราะอย่างนั้นเขาจึงไม่ได้แตะต้องเธอเลย แต่วันนี้เขาอดทนไม่ไหวอีกแล้ว“ไม่เห็นจะต้องสนใจแขกที่เข้ามาร่วมงานเลยนี่ นี่คืองานแต่งของเราและข้าอยากอยู่กับท่าน..เข้าหอเร็วหน่อยคงไม่เป็นไรหรอกครับ หรือว่าพี่กังวล"เฟรญ่าดึงผ้าคลุมหน้าของเธอออกไป เธอไม่ได้ยืนมองมาร์เซลถอดชุดอยู่เฉยๆ แต่เธอเองก็ถอดชุดเดรสแต่งงานออกเช่
บัตรเชิญของงานแต่งเลดี้ทีเซียส วีรสตรีที่ร่วมการกอบกู้เดียลอร์ลนั้นถูกส่งให้แก่ขุนนางมากมายในจักรวรรดิ บอกตามตรงว่าในตอนที่เฟรญ่าเห็นชื่อและรูปวาดของตัวเองเด่นหราอยู่บนหน้าหนังสือพิมพ์เธอค่อนข้างตกใจมากพอสมควร เพราะเธอไม่คิดว่าเรื่องที่มาร์เซลกล่าวออกมานั้นมันจะเป็นเรื่องจริง“ให้ตายเถอะ ข้ารับมือกับคำว่าวีรสตรีอะไรพวกนั้นไม่ไหวจริงๆ”ลิเวียหัวเราะออกมา“เจ้าคู่ควรกับมันนะเฟร เรื่องความรักที่แสนอบอุ่นนี้ก็ด้วย มาร์เซลคือบุรุษที่ดีมากทีเดียว”ลิเวียกล่าวพร้อมกับสวมสร้อยคอที่มีสีเดียวกับดวงตาของเฟรญ่าลงไปบนลำคอยาวระหง เพื่อนเพียงคนเดียวของเธอแต่งงานแล้ว เฟรญ่าคือสตรีที่งดงามมากๆ ในสายตาของลิเวีย เราพบเจอกันเพราะพี่เจนนีสมาทำงานที่ทีเซียสและพี่สาวก็ร้องขอให้เธอมาเป็นเพื่อนกับเฟรญ่า เพราะสงสารที่เฟรญ่าอยู่คนเดียวในคฤหาสน์ที่แสนกว้างใหญ่ และนั่นทำให้ลิเวียได้มาพบเจอกับคาร์เตอร์ จนได้แต่งงานและเป็นจักรพรรดินีทุกวันนี้เพราะความสามารถของเฟรญ่าเลยเธอถึงได้มีความสุขมากๆ ในช่วงเวลาที่เฟรญ่ากำลังจะได้แต่งงาน เพราะมันเหมือนกับว่าครั้งนี้เป็นเธอแล้วนะที่ได้ส่งเฟรญ่าไปให้ถึงฝั่งฝันกับความรักที่ดีงา
มาทอสพาเฟรญ่าและเจนนีสเดินทางกลับมาที่เมืองหลวงพร้อมกันในอีกสองสัปดาห์ต่อมา คาร์เตอร์ตั้งขบวนเพื่อรอรับการกลับมาของเฟรญ่า ทันทีที่เธอเดินลงมาจากรถม้า คาร์เตอร์ก็พุ่งตัวเข้าไปกอดเฟรญ่าเอาไว้มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นมา และหนึ่งในเรื่องราวเหล่านั้นมันกำลังสั่นคลอนพี่ชายที่แสนกล้าหาญของเธออย่างหนักเลยสินะเฟรญ่าพบเจอคาร์เตอร์ในครั้งแรกตอนที่เธออายุสิบสี่ปี เขาคือองค์รัชทายาท ตามสายเลือดแล้วท่านพี่มาทอสคือน้องชายขององค์จักรพรรดิผู้เป็นพ่อของคาร์เตอร์ เราทั้งคู่จึงถูกเลี้ยงดูมาด้วยกันและสนิทสนมกันมากทีเดียว เพราะแผลในใจที่เคยได้รับจากแม่เลี้ยงทำให้เฟรญ่านั้นหวาดกลัวผู้คนเป็นอย่างมาก อีกทั้งท่านพี่มาทอสก็งานยุ่งมากเพราะในช่วงเวลานั้นท่านพี่มาทอสรับตำแหน่งดยุคมาจากท่านพ่อแล้ว ทำให้เขาไม่มีเวลามาคอยดูแลน้องสาวต่างแม่สักเท่าไหร่นัก ผู้ที่ดูแลและสนิทสนมกับเฟรญ่ามากที่สุดคือคาร์เตอร์ ลูกพี่ลูกน้องของเธอ เขาพยายามเข้าหาเธอในทุกวัน ชวนเธอออกไปข้างนอก และเป็นผู้ที่พาเธอก้าวเดินไปยังงานเลี้ยงในแวดวงสังคม“ฟังนะเฟร จะไม่มีใครหน้าไหนกล้าดูถูกเจ้าทั้งนั้น พี่จะปกป้องเจ้าเองเพราะอย่างนั้นไม่ต้องกังวลหรื
เมื่อเฟรญ่าทำท่าไม่เชื่อ มาร์เซลก็หัวเราะออกมาเสียงดัง เขาจับมือเธอพร้อมกับพาเธอวิ่งไปยังงานเทศกาลของเดียลอร์ลที่ในยามนี้มีชาวบ้านมากมายกำลังเต้นรำอยู่ตามท้องถนน บนใบหน้าหล่อเหลานั้นมีรอยยิ้มฉายชัดอยู่ มันเป็นรอยยิ้มที่ทำให้ดวงตาของเฟรญ่านั้นพร่ามัวไปในทันทีราวกับว่ารอยยิ้มของเขามันแฝงไปด้วยเวทมนตร์แค่เขายิ้มก็ทำให้หัวใจของเธออ่อนลงยวบยาบ ฝ่ามือของเราเกาะกุมกันไว้โดยไร้คำพูด มาร์เซลหยุดเดินพร้อมกับหมุนตัวมาหาเธอ เขายกมือขึ้นมาจับเอวของเธอเอาไว้ ก่อนจะยกขึ้นเล็กน้อยแล้วพาเธอหมุนตัวตามจังหวะของเครื่องดนตรีพื้นเมือง เฟรญ่าหยักยิ้มขึ้นมาในทันที หัวใจของเธอมันเต้นผิดจังหวะในทุกครั้งที่อยู่กับเขา มันคือความรักที่ไม่รู้เหมือนกันว่าจะอธิบายเช่นไร แต่ในยามที่เธอมองเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา มันทำให้เธอมีความสุขได้โดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย บางทีความหวังของเธอก็เป็นเรื่องง่ายๆอย่างเช่นการคาดหวังให้มาร์เซลมีความสุขตลอดไป..“เวลาที่ท่านยิ้มออกมามันสวยมากเลยนะครับ..”ในวันที่พบเจอกันครั้งแรก เขาก็เชื่อมั่นในพรหมลิขิตในทันทีว่าคนรักของเขาจะต้องเป็นเธอเท่านั้น บางสิ่งในอกค่อยๆ แผ่ซ่านออกมา หัวใจที่เย็นย
งานเทศกาลในครั้งนี้จัดขึ้นมาในฤดูที่กำลังปลูกพืชผล เมืองเดียลอร์ลนั้นได้รับผลกระทบเป็นวงกว้างเพราะอย่างนั้น บารอนดีแลนจึงหารือกับชาวบ้านจัดงานนี้ขึ้นมา เพื่อให้บรรยากาศในเดียลอร์ลนั้นดีขึ้นมา ก่อนหน้านั้นกับบางคนที่เผชิญหน้ากับความสูญเสีย พวกเขาไม่อยากแม้แต่จะหายใจต่อไปดีแลนรู้สึกผิดกับชาวเมืองมากทีเดียว กับการตัดสินใจที่ผิดพลาดของเขา เพราะอย่างนั้นเขาจึงพยายามที่จะฟื้นฟูเดียลอร์ลขึ้นมาใหม่เพื่อให้ที่นี่กลับมามีบรรยากาศที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขเช่นเดิมเฟรญ่าเดินไปบนถนนหนทางที่เต็มไปด้วยนักเดินทาง ไม่ว่าจะถามเธอสักกี่ครั้ง เฟรญ่าก็ยังคงตอบได้ในทันทีว่าเดียลอร์ลคือเมืองที่เธอชอบมากที่สุด ความธรรมดาของที่แสนพิเศษ“ไม่เจอกันนานเลยนะเฟร..”ดีแลนเดินเข้ามาทักทายเฟรญ่าด้วยใบหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม“อื้ม ที่นี่เหมือนเดิมเลยนะคะ เหมือนเดียลอร์ลที่ข้ารู้จัก”เฟรญ่าจุดยิ้มที่แสนงดงามบนใบหน้าของเธอ เธอคิดว่าดีแลนเองก็คงจะได้รับผลกระทบทางจิตใจเช่นเดียวกัน“ขาของเจ้า..มันหายดีเป็นปกติแล้วสินะ”เฟรญ่าก้มมองเท้าของตัวเอง เธอพ่นลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ถึงแม้จะรู้สึกแปลกๆ อยู่บ้างในยามที่ไ
การรอคอยสำหรับมาร์เซลนั้นถือเป็นความทรมานมากเกินกว่าที่เขาจะคาดคะเนเอาไว้ซะอีก เขาไม่เคยรู้จักความรักมาก่อนเลย ยิ่งไม่เคยรักใครและทุ่มเทกายใจให้ขนาดนี้ เราทั้งคู่ตั้งใจว่าจะแต่งงานกันหลังจากนี้ ตั้งใจอย่างแรงกล้าว่าเฟรญ่าจะเป็นเจ้าสาว ส่วนเขาจะเป็นเจ้าบ่าว ในงานแต่งที่ยิ่งใหญ่มากที่สุดในจักรวรรดิ เขาและเธอจะสร้างครอบครัวเล็กๆ ด้วยกัน พร้อมกับนั้นลูกของเขาคงจะน่ารักมากทีเดียวเพราะว่าเฟรญ่าชอบเด็ก ทว่าในยามนี้ เธอก็ยังไม่ฟื้นขึ้นมาเลย..ในค่ำคืนที่ดวงจันทร์ลอยเด่นบนนภา มาร์เซลจุมพิตลงไปบนหลังฝ่ามือของเฟรญ่า ก่อนที่เขาจะหลับตาลงเพื่อเฝ้าอธิษฐานจากใจจริง“ตื่นขึ้นมาเถอะมา กลับมาเพื่อให้ข้าได้บอกรักเจ้าจะได้รึเปล่า ได้โปรดเถอะ..กลับมาหาข้าอีกครั้ง..”น้ำเสียงของเขามันเต็มไปด้วยความสั่นเครือ หยาดน้ำตาเปียกชุ่มอยู่บนมือของเฟรญ่า ท่ามกลางห้องที่เงียบงัน มีเพียงเสียงสะอื้นของมาร์เซลเท่านั้นที่ดังออกมา“...มาร์เซล อย่าร้อง”ดวงตาของเขาเบิกกว้างออกมาในทันทีที่ได้ยินเสียงที่แสนคิดถึง และเมื่อมาร์เซลเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งเขาก็พบเจอกับดวงตาสีครามที่กำลังจ้องมองใบหน้าของเขาอยู่ บนดวงหน้างามล้ำยิ่งกว่
เฟรญ่านั่งกอดเข่าอยู่บนเตียงตามลำพัง แววตาของเธอสะท้อนความอ้างว้างและโดดเดี่ยวอย่างเห็นได้ชัด ในห้องนี้ไม่มีใครเลยนอกจากเธอเธออยู่ที่นี่มานานแค่ไหนแล้วก็ไม่รู้ รู้เพียงแต่เธอพยายามที่จะเดินออกไปจากห้องนี้มากแค่ไหนก็ไม่สามารถออกไปได้ เป็นห้องโล่งๆ ที่ไม่มีแม้กระทั่งหน้าต่างสักบาน เธอนอนหลับไปและเมื่อตื่นขึ้นมาก็จะพบเจอกับอาหารทั้งสามมื้อที่วางเอาไว้บนโต๊ะ เธอไม่รู้ว่าตัวเองมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน รู้เพียงแต่ว่าเธอจะต้องหาทางออกไปจากที่นี่ให้ได้ ไม่อย่างนั้นมาร์เซลจะต้องกำลังเป็นห่วงเธออย่างแน่นอน ไหนยังจะท่านพี่ของเธออีกจะมามัวอยู่ที่นี่ตลอดไปไม่ได้เพราะอย่างนั้นเฟรญ่าก็เลยคิดแผนการขึ้นมา การที่มีอาหารมาวางเอาไว้ในช่วงที่เธอหลับ นั่นหมายความว่าจะต้องมีคนเดินเข้ามาที่นี่และเธอจะต้องแกล้งหลับ เพื่อที่จะดูว่าคนที่ขังเธอเอาไว้ที่นี่คือใครกันแน่เมื่อคิดได้ดังนั้นเฟรญ่าก็ล้มตัวนอนลงในทันที เธอหลับตาพร้อมกับเผยอปากออกมาเล็กน้อยเพื่อให้ดูสมจริง แล้วก็เป็นอย่างที่คิดเพราะเมื่อเธอล้มตัวนอน เสียงเปิดประตูก็ดังขึ้นมา พร้อมกับฝีเท้าที่ก้าวเดินเข้ามาอย่างช้าๆเฟรญ่าค่อยๆ ปรือตามองอย่างช้าๆ เธอร
คาร์เตอร์มองเฟรญ่าที่กำลังนอนหลับอยู่ เขาอยู่ในสภาพที่บาดเจ็บสาหัสมากพอสมควร ปกติแล้วเรื่องการต่อสู้หรือการออกรบ เขาล้วนแล้วแต่ทำมันได้ดีมากทีเดียวแต่เพราะการสูดดมไอขุ่นมัวเหล่านั้นทำให้เขาหมดแรง ซึ่งมันทรมานมากที่เขารับรู้เรื่องราวต่างๆ มากกว่าแต่ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้เลยแม้แต่นิดเดียวเขามองเห็นว่าเฟรญ่า นางแตกสลายมากแค่ไหนกับการที่นางลงมือจัดการกับต้นตอของเรื่องนี้ เฟรญ่าในสายตาของคาร์เตอร์เหมือนคนที่เผชิญหน้ากับความเจ็บปวดเจียนตาย ทั้งๆ ที่นางควรจะดีใจเมื่อแอชตันตายไป แต่นางก็ยังร้องไห้ออกมาไม่หยุด ในช่วงเวลาที่นางลงมือทำร้ายแอชตันเฟรญ่าก็ยังร้องไห้ออกมามันเป็นเพราะว่าเฟรญ่า น้องสาวของเขานั้นจิตใจดีมากเกินไป นางไม่เคยทำร้ายคนอื่นมาก่อนเลย แล้วไอ้เวรนั่น..ไอ้แอชตันจะต้องทำร้ายเฟรญ่าหนักหนาสาหัสมากแค่ไหน คนที่ไม่เคยทำร้ายคนอื่นแม้แต่ปลายเล็บอย่างเฟรญ่า ถึงได้ลุกขึ้นมาเพื่อจัดการหมอนั่นด้วยความเจ็บปวดมากมายขนาดนั้น“เรื่องนี้ไม่มีใครผิดหรอกพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทอย่าได้วิตกกังวลมากเกินไปเลย”มาร์เซลปลอบใจองค์จักรพรรดิที่กำลังโมโหตัวเองอยู่ เขาพบเจอสภาพของค่ายทหารที่อาบไปด้วยเลือด พร้อมก