“กอดได้รึเปล่าครับ.”
“มาร์เซลเจ้ากำลังกอดข้าอยู่” “อ่า..เช่นนั้นข้าจูบได้รึเปล่า” เฟรย่าขมวดคิ้วเล็กน้อย “เราจูบกันเกินสิบครั้งแล้วนะมาร์เซล” ใบหน้าของเขาขึ้นเป็นสีแดงระเรื่อเล็กน้อย ให้ตายเถอะเฟรญ่าน่ารักชะมัดเลย “มาร์เซล ข้าถามเจ้าบ้างได้รึเปล่า” เขาพยักหน้าพร้อมกับดึงเธอไปกอดเอาไว้แนบอก “เราทำมากกว่าการนี้ได้ไหม ทำมากกว่า การจูบน่ะ” เขาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยก่อนหยักยิ้มที่มุมปาก มาร์เซลอุ้มเฟรญ่าขึ้นมาในทันทีแล้วพาเธอเดินตรงมาที่เตียงนอน “ได้แน่นอนครับ ได้หลายครั้งเลยล่ะ..” เฟรญ่าขบเม้มริมฝีปากเบาๆ นี่เรากำลังเขินกันไปกันมาแต่ถึงอย่างนั้นร่างกายก็โอบกอดกันแนบแน่นไม่คิดปล่อยมือ ชุดนอนของเธอถูกถอดออกไปจากศีรษะ พร้อมกับชุดนักบุญที่เขาสวมอยู่ ริมฝีปากอุ่นร้อนหว่านพรมไปมาบนร่างกายของเธอ ลิ้นอุ่นเลียลงมาบนยอดอก ก่อนดูดดึงหนักๆ ไม่ก็งับแรงๆ พอให้สะดุ้งตาม ปลายนิ้วของเขาวนเบาๆ ที่รอยแยกกลางกาย ก่อนจะกรีดมันไปมาเพื่อขยี้ลงบนเม็ดสีทับทิมที่นูนเด่นขึ้น ปลายยอดอกสั่นระริกถูกเคล้นคลึงส่งผลให้ร่างกายของเธอรู้สึกสะท้านวาบขึ้นมา ริมฝีปากของเขาย้ายไปกระทำอยู่บนยอดอกอีกข้าง ขณะที่ใช้ปลายนิ้วหยอกเย้าข้างที่เหลือจนตั้งชันขึ้นมา “ตรงนี้น่ารักจังเลยนะครับ..แค่สัมผัสตรงนี้เบาๆ ข้างล่างของพี่ก็เปียกชุ่มไปหมดเลย ชอบอย่างนั้นสินะครับ” เฟรญ่าเบือนหน้าหนีในทันที เธอไม่อาจทำใจให้ชินกับถ้อยคำลามกที่มาร์เซลพูดออกมาได้เลย มันน่าอายแต่ก็ทำให้ร่างกายของเธอร้อนขึ้นมาด้วยความบ้าคลั่ง เมื่อเสียงเปียกแฉะดังขึ้นมาพร้อมกับเรียวนิ้วที่สอดเข้าออกในโพรงอุ่นได้อย่างสะดวก มาร์เซลก็จัดการยกขาของเฟรญ่าขึ้น เขาดันใต้ข้อพับเข่าของเธอขึ้นสูงจนชนกันเนินอกพอดิบพอดี หลังจากนั้นก็จ้องมองร่องฉ่ำเยิ้มที่อ้าโอบรัดอากาศเบาๆ ราวกับกำลังยั่วยวนเขา เขานั่งคุกเข่าก่อนจะจับแท่งร้อนกระทบที่ปากทางเข้าเบาๆ “อ๊า..” มาร์เซลลากไล้วนจนทั่วปากทาง จนปลายยอดสีแดงเข้มเคลือบไปด้วยน้ำหวานที่รินไหลออกมาจากปากทาง เขากดปลายหัวหยักสะกิดเขี่ยเม็ดเสียวก่อนชำแรกเข้ามาในที่สุด “อะ..อื้ม!” มือใหญ่รวบดันใต้ขา เท้าชี้เพดาน ท่าทางอล่างฉ่างจนเฟรย่ารู้สึกอับอาย เพราะในยามนี้สายตาของมาร์เซลกำลังจับจ้องยังจุดที่เชื่อมต่อ เขาขบงับที่นิ้วหัวแม่เท้าของเธอเบาๆ ก่อนจะจุมพิตลงบนฝ่าเท้าด้วยความหลงใหล “ข้าชอบมองจากมุมนี้นะครับ เพราะมันยิ่งตอกย้ำให้ข้ารู้ว่าพี่เป็นของข้าจริงๆ” ของข้าคนเดียวเท่านั้น ไม่ว่าจะใครหน้าไหนก็แย่งพี่ไปจากข้าไม่ได้ การหายตัวของแอชตันสร้างความประหลาดใจให้กับมาร์เซลมากพอสมควร แต่เขาไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวอะไรเลย หากหมอนั่นข้องเกี่ยวกับไอขุ่นมัวก็ดีสิ เขาจะได้มีเหตุผลในการสังหารแอชตันได้อย่างไร้ความผิด และเฟรญ่าเองก็จะได้สบายใจเสียที "มะ..มาร์เซล อื้อ” จังหวะที่เร่งเร้าเกินรับไหว พาให้เธอต้องยันผลักต้นขาของเขาเอาไว้ “ช้า..หน่อยสิ ไหนเจ้าบอกว่าเรามีเวลาอยู่ด้วยกันทั้งคืน เจ้าจะรีบ..อื้อ..ระ..รีบไปทำไม” มาร์เซลใช้ปลายนิ้วขยี้อยู่บนปุ่มกระสันที่นูนขึ้นมา พร้อมกับขยับเอวให้เร็วยิ่งขึ้น เขาไม่ได้ฟังที่เฟรญ่าพูดเลย เพราะเธอเอ่ยปากร้องขอทั้งที่ด้านในตอดรัดไม่หยุด มันตรงข้ามกับคำขอเหลือเกิน ร่างกายของเธอต้องการเขามากแท้ๆ เมื่อไหร่กันนะที่เฟรญ่าของเขาจะพูดตรงไปตรงมากับเรื่องนี้ อย่างเช่นการร้องขอให้เขา..ทำแรงมากกว่านี้น่ะ แผ่นหลังของเฟรญ่าชุ่มไปด้วยหยาดเหงื่อ มือของเธอปัดป่ายไปมาเพื่อระบายความหน่วงที่ได้รับ ศีรษะของเธอยกเกร็งขึ้นมาเมื่อถึงจุด เฟรญ่ากัดริมฝีปากเอาไว้แน่นพร้อมกับเสียงร้องครางแสนหวานที่เล็ดลอดออกมา “พี่สวยมากเลยนะครับ..และข้าชอบพี่มากๆ เลย” แขนที่เขากักร่างของเธอเอาไว้เห็นลายกล้ามที่เด่นชัด มีเส้นเลือดปูดขึ้นมา มันชวนให้ใจสั่นไหวดึงดูดจนเผลอมองอย่างเหม่อลอยอยู่หลายครั้ง และท่าทีเช่นนั้นของเฟรญ่ามันทำให้มาร์เซลอดขำไม่ได้ เขากำลังบอกความในใจกับเธอ แต่เธอกลับสนใจเส้นเลือดบนแขนของเขามากกว่างั้นเหรอ “พี่ไม่สนใจข้างั้นเหรอครับ” “มะ..ไม่ใช่แบบนั้นนะ” จมูกของเขาคลอเคลียอยู่บนเรือนแก้มที่แดงซ่าน มาร์เซลกดปลายจมูกลงไปเพื่อหอมแก้มเธอแรงๆ ด้วยความมันเขี้ยว เฟรญ่าหลับตาลงในทันที เธอเสร็จสมจนนับไม่ถ้วนว่ากี่ครั้ง ในยามนี้หน้าขาของเธอเปียกชุ่มไปหมด ด้วยน้ำรักเปียกชื้นที่ค่อยๆไหลออกมา ทุกครั้งที่สะโพกของเขากดทับลงมา สร้างความจุกหน่วงด้านในอย่างไม่ลดละไปเลย แผ่นหลังของเธอเคลื่อนไถลไปตามแรงส่งกระทั้น “จะโยกสะโพกขึ้นมาแล้วนะครับ ถึงแม้ว่าเราจะมีเวลาอีกมากมายกว่าจนกว่าดวงตะวันจะขึ้น แต่ข้ากลับทนไม่ไหวซะได้..” ฝ่ามือหยาบกร้านประคองเอว ลูบคลำช่วงเอวที่คอด ตำแหน่งเว้าโค้งและสีข้างเบาๆ มาร์เซลกัดกรามแน่น เขารู้สึกดีมากไม่ว่าจะการเคลื่อนไหวหรือเนินอกที่ขยับขึ้นลงตามจังหวะหายใจของเธอล้วนแล้วแต่เร้าอารมณ์ของเขาทั้งสิ้น “ใกล้แล้วครับพี่ ยกตัวสวนขึ้นมาหน่อยได้ไหม อ่า..มันดีมากเลย” เธออยากได้มากกว่านี้จนต้องเป็นฝ่ายยกสะโพกเข้าหาเขาด้วยตัวเอง แก่นกายที่กระทุ้งยิ่งแทงลึก “อื้อ..” เขาร้องครางออกมาพร้อมกับความรู้สึกอุ่นร้อนที่ด้านใน มาร์เซลพรมจูบข้อเท้าเล็ก ขบกัด บีบจับฝ่าเท้าที่เนียนละเอียดราวกับผ้าไหม “ข้าอยากอยู่กับพี่นะครับ ตลอดไปเลย..” เขามองสบตากับเธอก่อนจะยกยิ้มขึ้นมา “ไม่ต่างกันเลยมาร์เซล ข้าคิดถึงเจ้าแทบบ้าจนอยากจะไปที่เดียลอร์ลด้วยตัวเอง..ข้าเป็นห่วงเจ้ามากนะ” เธอยกมือขึ้นมากอบกุมที่ใบหน้าของเขาเอาไว้ด้วยความรักใคร่ “รอข้าอยู่ที่นี่นะครับ ข้าจะกลับมาหาพี่เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย..อีกอย่างที่ข้าจะบอกคือนับจากนี้เป็นต้นไปอย่าออกไปจากคฤหาสน์ทีเซียสนะครับ” ดูปัดมือเบาๆ แสงสีทองก็พุ่งไปด้านนอกหน้าต่างเพื่อขจัดควันสีดำที่กำลังพุ่งตรงเข้ามา ดูเหมือนว่าสิ่งที่เขาคิดจะเป็นความจริงแล้วละสิ แอชตันหลอมรวมความโลภเข้ากับไอขุ่นมัว และคงจะทำสัญญากับจอมปีศาจเพื่อให้จอมมารยืมร่าง.. จุดประสงค์ของหมอนั่นคงหนีไม่พ้น เฟรญ่าของเขาอย่างแน่นอน “พี่คิดว่าสำหรับพี่ ที่ไหนปลอดภัยที่สุดอย่างนั้นหรือครับ” เธอจับมือของเขาเอาไว้แน่น “มาร์เซล ข้างกายของเจ้าคือที่ที่ปลอดภัยที่สุดคราแรกมาร์เซลนั้นไม่มั่นใจในสิ่งที่เขาสันนิษฐานเอาไว้ในใจ ทว่าเมื่อเขาเห็นกลุ่มควันสีดำที่เคลื่อนไหวอยู่ด้านนอกหน้าต่างห้องนอนของเฟรญ่า เขามีความแน่ใจในทันทีว่าการหายตัวไปของแอชตันเกี่ยวข้องกับไอขุ่นมัวพวกนั้นแน่ๆโชคดีที่เขามาที่นี่ ไม่อย่างนั้นก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรกับเธอ ทว่าอีกนัยหนึ่ง มันราวกับว่านี่คือการจงใจ..แอชตันอาจจงใจให้เขามองเห็นควันพวกนั้นเพื่อให้เขาพาเฟรญ่าไปด้วย หากทุกอย่างเป็นแผนการของหมอนั่นล่ะ เขาจะทำเช่นไร..ในชีวิตของมาร์เซล เขาสูญเสียทุกอย่างได้ทั้งหมดยกเว้นเฟรญ่า เขาเสียเธอไปไม่ได้ ไม่ว่าด้วยเรื่องอะไรก็ตาม..มาร์เซลกล่อมเฟรญ่าจนหลับ เขาเดินทางไปที่พระราชวังเพื่อเล่าเรื่องทั้งหมดให้กับท่านดยุคมาทอสได้รับฟังมาทอสยกมือขึ้นมานวดขมับเบาๆ ดวงตาสีครามของเขาฉายแวววูบไหวและไม่มั่นใจ“หมายความว่า..เฟรญ่าเคยตายไปแล้วครั้งหนึ่งอย่างนั้นหรือ? นางถูกแอชตันทรมานจนตายแล้วก็..ย้อนเวลากลับมาอีกครั้ง ข้าพูดได้เลยว่าหากข้าได้ฟังเรื่องนี้จากผู้อื่น แน่นอนว่าข้าจะไม่เชื่ออย่างเด็ดขาด แต่เพราะว่านี่เจ้าเป็นคนเล่า”มหาจอมเวทแห่งยุคเล่าเรื่องที่เหนือธรรมชาติให้เขาได้ฟัง และเรื่องนั้นม
ในความคิดของเฟรญ่า เธอคิดมานานแล้วว่ากับแอชตันไม่ว่าวันใดก็วันหนึ่งเธอจะต้องพบเจอกับเขาอย่างแน่นอน ถึงแม้ว่ามาร์เซลจะบอกกล่าวกับเธอว่าแอชตันและไอขุ่นมัวพวกนั้นจะเป็นพวกเดียวกัน แต่เธอก็ไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวอะไรเลยนานมากๆ แล้วที่เธอไม่ได้หวาดกลัวแอชตัน อาจเป็นเพราะว่าเธอสามารถเอาชนะความกลัวของตัวเองได้แล้ว และต่อให้เธอต้องตายอีกครั้งด้วยน้ำมือของแอชตัน เธอก็อยากจะลองฆ่าหมอนั่นด้วยมือของตัวเองดูสักครั้งความแค้นที่ฝังลึกในใจทำให้เฟรญ่าอยากจะเดินขึ้นเขาเพื่อไปหาเขาให้รู้แล้วรู้รอด แต่คนอย่างแอชตันคุ้มค่าที่เธอจะเอาชีวิตของตัวเองไปเสี่ยงงั้นเหรอ จริงอยู่ที่ชีวิตครั้งที่แล้วของเธอไม่มีอะไรเลย แต่ในชีวิตครั้งนี้เธอมีคนรัก มีครอบครัวที่รักเธอมากกว่าใคร มีทุกสิ่งทุกอย่างที่สามารถทำให้เธอมีความสุขได้หากจะเอาชีวิตของเธอไปแลกกับชีวิตของคนเช่นนั้นก็คงจะไม่คุ้มค่าสักเท่าไหร่นัก...“เฟรญ่า..”เสียงเรียกที่เหมือนกับว่าจะพาเธอจมดิ่งลงไปสู่ขุมนรกที่มืดมิดนั้นดังขึ้นมาจากด้านหลังของเธอ เธอกำลังเดินเล่นอยู่รอบๆ กระโจมที่พักของมาร์เซล มีทหารมากมายเดินไปเดินมาอยู่ที่นี่ และเธอคิดว่าการเดินเล่นที่นี่นั้นป
วันนี้คือวันที่ทุกอย่างเตรียมพร้อมสำหรับการระเบิดเดียลอร์ลเพื่อให้ไอขุ่นมัวจางหายไป หลังจากนั้นแผนการในชั้นต่อไป มาร์เซลและคนของเขาจะบุกขึ้นไปบนเขา ทหารบางส่วนจะมาคุ้มกันและส่งพวกเขาไปให้ถึงบนเขา ที่ที่ประตูของเผ่าปีศาจเปิดออกมา แล้วหลังจากนั้นมาร์เซลจะทำการปิดประตูนั้นทว่าในระหว่างที่เรากำลังจะทำการระเบิดเดียลอร์ล มาร์เซลก็หายตัวไปพร้อมกับใบหน้าที่ตื่นตระหนก เขาและทหารที่ใจคอไม่ดีรีบกลับมาที่ค่ายของเราเพื่อมาตรวจตราหาสิ่งที่ทำให้มาร์เซลไม่ปกติเท้าทั้งสองข้างของคาร์เตอร์หยุดลงตรงหน้ากระโจมที่พักของมาร์เซล เขารู้เรื่องที่เฟรญ่าเดินทางมาที่นี่แล้ว และเขาก็ค่อนข้างเคารพการตัดสินใจของมาร์เซลเป็นอย่างดี แต่ต่อให้มองเห็นด้วยสายตาของตัวเอง คาร์เตอร์ก็ไม่อยากจะเชื่อสายตาว่าอดีตแกรนด์ ดยุคจามินและไอขุ่นมัวพวกนั้นจะหลอมรวมร่างกายเป็นหนึ่งเดียวกัน“ไม่ยักรู้ว่าองค์จักรพรรดิก็ทรงอยู่ที่นี่ด้วย ไม่พบเจอกันนานมากเลยนะพ่ะย่ะค่ะ”“ข้าไม่ต้องการรับคำทักทายจากต้นเหตุที่ทำให้เดียลอร์ลอยู่ในสภาพเช่นนี้หรอกนะ”...เขาไม่ได้ทำสักหน่อย ไอขุ่นมัวพวกนั้นปกคลุมเดียลอร์ลเอาไว้ก่อนที่เขาจะยกร่างกายนี้ให้ปีศาจซ
สองเท้าของมาร์เซลวิ่งแบบไม่คิดชีวิตเพื่อไปยังหมู่บ้าน ไอเดนกำลังร่ายเวทเพื่อไม่ให้แรงระเบิดเล็ดลอดออกมาจากหมู่บ้าน และเพื่อไม่ให้มีเสียงระเบิดดังขึ้นมา“นายท่านครับ..รออีกสักพักเมื่อไอขุ่นมัวลดลงเราก็จะเดินทางขึ้นไปด้านบนได้..”“รอนานขนาดนั้นไม่ได้หรอกวิน เจ้าและไอเดนตามข้ามาส่วนเดม่อน เจ้ากลับไปที่ค่ายทหารเพื่อปกป้องเฟรญ่าเอาไว้ เราจะต้องรีบจัดการปิดประตูปีศาจต้องรีบทำให้เรื่องราวทุกอย่างจบสิ้นอย่างรวดเร็วมากที่สุด”เดม่อนก้มหน้าลงเล็กน้อยเพื่อรับคำสั่ง เขารีบวิ่งกลับไปที่ค่ายทหารแต่ก็พบเจอท่านเฟรญ่าที่กำลังถูกแอชตันโอบกอดเอาไว้ เขาวิ่งเข้าไปหาองค์จักรพรรดิก่อนจะช่วยพยุงพระองค์ที่อยู่ในสภาพปางตายขึ้นมา อีกฝ่ายคือร่างที่เป็นภาชนะของปีศาจเพราะอย่างนั้น นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายที่มนุษย์จะรับมือกับการโจมตีของปีศาจได้“น่าเสียดายนะ เพราะแม้แต่เรี่ยวแรงครั้งสุดท้ายของเจ้าก็ไม่อาจทำอันตรายข้าได้เลยเฟร..เจ้ายอมรับเถอะว่าเจ้าสู้ข้าไม่ได้ และหากเจ้าต้องการให้ข้ารื้อฟื้นความหลังของเจ้า ให้ข้าจัดการทำให้ขาของเจ้าเดินไม่ได้เหมือนเดิมดีหรือไม่”เดม่อนพุ่งตัวเข้าไปด้วยความรวดเร็วก่อนที่เขาจะแย่งชิงท่านเ
สองเท้าของมาร์เซลกำลังวิ่งขึ้นไปยังยอดเขา ที่นี่มีควันสีดำมากเกินไปทำให้ไม่สามารถใช้เวทมนตร์ได้ เพราะอย่างนั้นเขาถึงไม่สามารถใช้เทเลพอทในการเดินทางได้เลย มันทรมานและไอขุ่นมัวเหล่านี้ทำให้รู้สึกสะอิดสะเอียนและทำท่าจะหมดแรงลงไป เขาต้องร่ายเวทป้องกันตลอด และเมื่อเขาเดินทางมาถึงที่ยอดเขาแห่งนี้ เมื่อเขามองเห็นประตูสีดำที่กำลังเปิดอยู่ มาร์เซลก็พ่นลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก เขามองหน้ากับวินเพื่อให้คนของเขาแยกย้ายไปกันยืนล้อมรอบประตูที่กำลังมีควันสีดำพวยพุ่งออกมาต้องทำให้เดียลอร์ลถูกปกคลุมไปด้วยกลุ่มควันสีดำซะก่อน ราชาปีศาจถึงจะพาพวกพ้องออกมาและยึดเอาเดียลอร์ลแปรเปลี่ยนเป็นเมืองปีศาจอย่างนั้นสินะ“นายท่านครับ..”ไอเดนเรียกเขาด้วยความเป็นห่วงเมื่อหมอนั่นมองเห็นเลือดกำเดาที่กำลังไหลออกมาอย่างช้าๆมาร์เซลยกมือขึ้นมาเพื่อเช็ดเลือดเหล่านั้นอย่างลวกๆ หากไม่ทำการปิดประตูนี้ลง จักรวรรดิจะมีภัยอย่างแน่นอน มันจะไม่มีโอกาสให้สอง สาม หรือสี่ให้กับเขา มีแต่ต้องทำให้สำเร็จเท่านั้นแรงระเบิดทำให้กลุ่มควันจางหายก็จริง แต่ในระยะเวลาไม่นานควันสีดำก็พวงพุ่งออกมาจากประตูบานนั้น พร้อมกับปกคลุมท้องฟ้าใหม่อีกครั้ง
“ข้าจะยินยอมส่งมอบร่างกายให้แก่ท่าน ทว่าข้าจะไม่ยินยอมส่งมอบจิตวิญญาณนี้ให้ท่าน การแลกเปลี่ยนของเรา..คือการที่ท่านจะไม่สามารถบังคับหรือว่าควบคุมจิตใจของข้าได้”กลุ่มควันสีดำเหล่านั้นพวยพุ่งผ่านร่างกายของแอชตันไป พร้อมกับเสียงหัวเราะที่ดังขึ้นมาทั่วบริเวณ“แอชตันมีคำกล่าวว่ามนุษย์นั้นโง่เขลา ข้าไม่เชื่อจนได้พบเจอด้วยสายตาของตัวเอง ในเมื่อเจ้ามีความทรงจำตั้งแต่ชีวิตครั้งที่แล้วของเจ้า แล้วทำไมเจ้าไม่ทำให้สตรีผู้นั้นยินยอมสยบแทบเท้าเจ้าดังเช่นช่วงเวลาที่ผ่านมาเล่า การใช้กำลังนั้นถือเป็นการกระทำที่ดีที่สุดไม่ใช่หรือ บังคับให้นางมาเป็นของเจ้าน่าจะดีกว่าการร้องขอ..”แววตาของแอชตันสะท้อนถึงความอ้างว้างและโดดเดี่ยว ทันทีที่เขาได้รับความทรงจำกลับคืนมา เขากลับรู้สึกขยะแขยงตัวเองเหลือทน เขากระทำเรื่องสารเลวมากมายกับสตรีที่เขารักเขาอย่างสุดหัวใจเฟรญ่าหลงรักและเทิดทูนบูชาเขาราวว่าเขาคือพระเจ้าของนาง นางส่งมอบทุกอย่างให้แก่เขาเพื่อที่จะทำให้เขาสุขสบายมากยิ่งขึ้น..แอชตันไม่คิดโทษใคร เขาไม่คิดโกรธเคืองหรือว่าเกลียดชังใครทั้งนั้น นอกจากตัวของเขาเองและเขาต้องการให้เฟรญ่ามาอยู่เคียงข้างเขาอีกครั้ง เพ
คาร์เตอร์มองเฟรญ่าที่กำลังนอนหลับอยู่ เขาอยู่ในสภาพที่บาดเจ็บสาหัสมากพอสมควร ปกติแล้วเรื่องการต่อสู้หรือการออกรบ เขาล้วนแล้วแต่ทำมันได้ดีมากทีเดียวแต่เพราะการสูดดมไอขุ่นมัวเหล่านั้นทำให้เขาหมดแรง ซึ่งมันทรมานมากที่เขารับรู้เรื่องราวต่างๆ มากกว่าแต่ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้เลยแม้แต่นิดเดียวเขามองเห็นว่าเฟรญ่า นางแตกสลายมากแค่ไหนกับการที่นางลงมือจัดการกับต้นตอของเรื่องนี้ เฟรญ่าในสายตาของคาร์เตอร์เหมือนคนที่เผชิญหน้ากับความเจ็บปวดเจียนตาย ทั้งๆ ที่นางควรจะดีใจเมื่อแอชตันตายไป แต่นางก็ยังร้องไห้ออกมาไม่หยุด ในช่วงเวลาที่นางลงมือทำร้ายแอชตันเฟรญ่าก็ยังร้องไห้ออกมามันเป็นเพราะว่าเฟรญ่า น้องสาวของเขานั้นจิตใจดีมากเกินไป นางไม่เคยทำร้ายคนอื่นมาก่อนเลย แล้วไอ้เวรนั่น..ไอ้แอชตันจะต้องทำร้ายเฟรญ่าหนักหนาสาหัสมากแค่ไหน คนที่ไม่เคยทำร้ายคนอื่นแม้แต่ปลายเล็บอย่างเฟรญ่า ถึงได้ลุกขึ้นมาเพื่อจัดการหมอนั่นด้วยความเจ็บปวดมากมายขนาดนั้น“เรื่องนี้ไม่มีใครผิดหรอกพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทอย่าได้วิตกกังวลมากเกินไปเลย”มาร์เซลปลอบใจองค์จักรพรรดิที่กำลังโมโหตัวเองอยู่ เขาพบเจอสภาพของค่ายทหารที่อาบไปด้วยเลือด พร้อมก
เฟรญ่านั่งกอดเข่าอยู่บนเตียงตามลำพัง แววตาของเธอสะท้อนความอ้างว้างและโดดเดี่ยวอย่างเห็นได้ชัด ในห้องนี้ไม่มีใครเลยนอกจากเธอเธออยู่ที่นี่มานานแค่ไหนแล้วก็ไม่รู้ รู้เพียงแต่เธอพยายามที่จะเดินออกไปจากห้องนี้มากแค่ไหนก็ไม่สามารถออกไปได้ เป็นห้องโล่งๆ ที่ไม่มีแม้กระทั่งหน้าต่างสักบาน เธอนอนหลับไปและเมื่อตื่นขึ้นมาก็จะพบเจอกับอาหารทั้งสามมื้อที่วางเอาไว้บนโต๊ะ เธอไม่รู้ว่าตัวเองมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน รู้เพียงแต่ว่าเธอจะต้องหาทางออกไปจากที่นี่ให้ได้ ไม่อย่างนั้นมาร์เซลจะต้องกำลังเป็นห่วงเธออย่างแน่นอน ไหนยังจะท่านพี่ของเธออีกจะมามัวอยู่ที่นี่ตลอดไปไม่ได้เพราะอย่างนั้นเฟรญ่าก็เลยคิดแผนการขึ้นมา การที่มีอาหารมาวางเอาไว้ในช่วงที่เธอหลับ นั่นหมายความว่าจะต้องมีคนเดินเข้ามาที่นี่และเธอจะต้องแกล้งหลับ เพื่อที่จะดูว่าคนที่ขังเธอเอาไว้ที่นี่คือใครกันแน่เมื่อคิดได้ดังนั้นเฟรญ่าก็ล้มตัวนอนลงในทันที เธอหลับตาพร้อมกับเผยอปากออกมาเล็กน้อยเพื่อให้ดูสมจริง แล้วก็เป็นอย่างที่คิดเพราะเมื่อเธอล้มตัวนอน เสียงเปิดประตูก็ดังขึ้นมา พร้อมกับฝีเท้าที่ก้าวเดินเข้ามาอย่างช้าๆเฟรญ่าค่อยๆ ปรือตามองอย่างช้าๆ เธอร
มาร์เซลพึ่งรู้ว่าการนั่งเรือสำเภามันไม่ใช่เรื่องสนุกเลยแม้แต่นิดเดียว เขาออกเดินทางมายังเมืองทางใต้พร้อมกันกับเฟรญ่า นี่คือการดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ของเราก่อนที่เขาจะกลับไปทำงานในตำแหน่งดยุคอย่างเป็นทางการ เราทั้งคู่เคยพูดเอาไว้ว่าอยากจะล่องเรือมาเที่ยวที่เมืองทางใต้มาชมทะเลที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน และในยามนี้เราก็กำลังอยู่กลางทะเลบนเรือสำเภาที่ค่อนข้างจะเป็นพื้นที่ส่วนตัว เพราะว่าเขาเหมาเรือลำนี้เอาไว้ เพื่อมากับเฟรญ่าเพียงแค่สองคนเท่านั้นแต่เขาอาเจียนไปสิบรอบแล้วเห็นจะได้ เพราะเขาไม่เคยนั่งเรือมาก่อน“ออกมานั่งมองทะเลดูไหม เผื่ออาการของเจ้าจะดีขึ้น”อันที่จริงแค่ได้มองหน้าสวยๆ ของเธอก็ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นแบบมากๆ แล้ว เขาจับมือของเฟรญ่าเอาไว้ก่อนจะซบใบหน้าลงไปบนไหล่ของเธอ“รักนะครับ..รักที่สุดเลย”เฟรญ่าไม่รู้ว่าเพราะอายุที่เขาเด็กกว่ามันเกี่ยวข้องด้วยรึเปล่า แต่เขาทำให้เธอรู้สึกราวกับมีลูกสุนัขตัวใหญ่ที่กำลังออดอ้อนเธอตลอดเวลา มาร์เซลติดการสัมผัสมากๆ เขาจะต้องจับมือหรือไม่ก็กอดและหอมแก้มเธอตลอดเวลา และเธอเองก็ชื่นชอบการแสดงความรักเช่นนั้นมากทีเดียว เฟรญ่าจึงไม่เคยผลักไสหรือว่าดุเขาในเร
บอกตามตรงว่านี่คงจะเป็นงานแต่งที่เจ้าสาวสบายมากที่สุดในจักรวรรดิแห่งนี้ เฟรญ่าแทบไม่ต้องจัดเตรียมอะไรเลยเพราะว่าพี่เจนนีสและลิเวียจัดเตรียมเอาไว้ให้อย่างเรียบร้อยหมดทุกอย่างแล้ว เธอเพียงสวมชุดเจ้าสาวที่แสนงดงามและเข้าร่วมงานแต่งเท่านั้นเองเฟรญ่าหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อมาร์เซลพาเธอออกมาจากงานแต่งที่แสนยิ่งใหญ่ เขาพาเธอมาที่คฤหาสน์ฮอร์ตันที่เราพึ่งได้รับมาเป็นของขวัญแต่งงาน และในห้องนอนก็เต็มไปด้วยกลิ่นหอมของดอกกุหลาบ มันทั้งหอมหวานและเย้ายวนมากทีเดียว“เจ้ากำลังข้ามขั้นพิธีแต่งงานอยู่นะมาร์เซล เราไม่ควรด่วนชิงเข้าหอก่อนที่งานเลี้ยงจะเริ่ม..”เขาส่งยิ้มให้เธอในขณะที่กำลังถอดกระดุมเสื้อของตัวเองออกมา เขาอดทนมานานมากพอสมควร อดทนแล้วอดทนอีกเพราะว่าเฟรญ่าพึ่งจะฟื้นขึ้นมาจากอาการบาดเจ็บ เพราะอย่างนั้นเขาจึงไม่ได้แตะต้องเธอเลย แต่วันนี้เขาอดทนไม่ไหวอีกแล้ว“ไม่เห็นจะต้องสนใจแขกที่เข้ามาร่วมงานเลยนี่ นี่คืองานแต่งของเราและข้าอยากอยู่กับท่าน..เข้าหอเร็วหน่อยคงไม่เป็นไรหรอกครับ หรือว่าพี่กังวล"เฟรญ่าดึงผ้าคลุมหน้าของเธอออกไป เธอไม่ได้ยืนมองมาร์เซลถอดชุดอยู่เฉยๆ แต่เธอเองก็ถอดชุดเดรสแต่งงานออกเช่
บัตรเชิญของงานแต่งเลดี้ทีเซียส วีรสตรีที่ร่วมการกอบกู้เดียลอร์ลนั้นถูกส่งให้แก่ขุนนางมากมายในจักรวรรดิ บอกตามตรงว่าในตอนที่เฟรญ่าเห็นชื่อและรูปวาดของตัวเองเด่นหราอยู่บนหน้าหนังสือพิมพ์เธอค่อนข้างตกใจมากพอสมควร เพราะเธอไม่คิดว่าเรื่องที่มาร์เซลกล่าวออกมานั้นมันจะเป็นเรื่องจริง“ให้ตายเถอะ ข้ารับมือกับคำว่าวีรสตรีอะไรพวกนั้นไม่ไหวจริงๆ”ลิเวียหัวเราะออกมา“เจ้าคู่ควรกับมันนะเฟร เรื่องความรักที่แสนอบอุ่นนี้ก็ด้วย มาร์เซลคือบุรุษที่ดีมากทีเดียว”ลิเวียกล่าวพร้อมกับสวมสร้อยคอที่มีสีเดียวกับดวงตาของเฟรญ่าลงไปบนลำคอยาวระหง เพื่อนเพียงคนเดียวของเธอแต่งงานแล้ว เฟรญ่าคือสตรีที่งดงามมากๆ ในสายตาของลิเวีย เราพบเจอกันเพราะพี่เจนนีสมาทำงานที่ทีเซียสและพี่สาวก็ร้องขอให้เธอมาเป็นเพื่อนกับเฟรญ่า เพราะสงสารที่เฟรญ่าอยู่คนเดียวในคฤหาสน์ที่แสนกว้างใหญ่ และนั่นทำให้ลิเวียได้มาพบเจอกับคาร์เตอร์ จนได้แต่งงานและเป็นจักรพรรดินีทุกวันนี้เพราะความสามารถของเฟรญ่าเลยเธอถึงได้มีความสุขมากๆ ในช่วงเวลาที่เฟรญ่ากำลังจะได้แต่งงาน เพราะมันเหมือนกับว่าครั้งนี้เป็นเธอแล้วนะที่ได้ส่งเฟรญ่าไปให้ถึงฝั่งฝันกับความรักที่ดีงา
มาทอสพาเฟรญ่าและเจนนีสเดินทางกลับมาที่เมืองหลวงพร้อมกันในอีกสองสัปดาห์ต่อมา คาร์เตอร์ตั้งขบวนเพื่อรอรับการกลับมาของเฟรญ่า ทันทีที่เธอเดินลงมาจากรถม้า คาร์เตอร์ก็พุ่งตัวเข้าไปกอดเฟรญ่าเอาไว้มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นมา และหนึ่งในเรื่องราวเหล่านั้นมันกำลังสั่นคลอนพี่ชายที่แสนกล้าหาญของเธออย่างหนักเลยสินะเฟรญ่าพบเจอคาร์เตอร์ในครั้งแรกตอนที่เธออายุสิบสี่ปี เขาคือองค์รัชทายาท ตามสายเลือดแล้วท่านพี่มาทอสคือน้องชายขององค์จักรพรรดิผู้เป็นพ่อของคาร์เตอร์ เราทั้งคู่จึงถูกเลี้ยงดูมาด้วยกันและสนิทสนมกันมากทีเดียว เพราะแผลในใจที่เคยได้รับจากแม่เลี้ยงทำให้เฟรญ่านั้นหวาดกลัวผู้คนเป็นอย่างมาก อีกทั้งท่านพี่มาทอสก็งานยุ่งมากเพราะในช่วงเวลานั้นท่านพี่มาทอสรับตำแหน่งดยุคมาจากท่านพ่อแล้ว ทำให้เขาไม่มีเวลามาคอยดูแลน้องสาวต่างแม่สักเท่าไหร่นัก ผู้ที่ดูแลและสนิทสนมกับเฟรญ่ามากที่สุดคือคาร์เตอร์ ลูกพี่ลูกน้องของเธอ เขาพยายามเข้าหาเธอในทุกวัน ชวนเธอออกไปข้างนอก และเป็นผู้ที่พาเธอก้าวเดินไปยังงานเลี้ยงในแวดวงสังคม“ฟังนะเฟร จะไม่มีใครหน้าไหนกล้าดูถูกเจ้าทั้งนั้น พี่จะปกป้องเจ้าเองเพราะอย่างนั้นไม่ต้องกังวลหรื
เมื่อเฟรญ่าทำท่าไม่เชื่อ มาร์เซลก็หัวเราะออกมาเสียงดัง เขาจับมือเธอพร้อมกับพาเธอวิ่งไปยังงานเทศกาลของเดียลอร์ลที่ในยามนี้มีชาวบ้านมากมายกำลังเต้นรำอยู่ตามท้องถนน บนใบหน้าหล่อเหลานั้นมีรอยยิ้มฉายชัดอยู่ มันเป็นรอยยิ้มที่ทำให้ดวงตาของเฟรญ่านั้นพร่ามัวไปในทันทีราวกับว่ารอยยิ้มของเขามันแฝงไปด้วยเวทมนตร์แค่เขายิ้มก็ทำให้หัวใจของเธออ่อนลงยวบยาบ ฝ่ามือของเราเกาะกุมกันไว้โดยไร้คำพูด มาร์เซลหยุดเดินพร้อมกับหมุนตัวมาหาเธอ เขายกมือขึ้นมาจับเอวของเธอเอาไว้ ก่อนจะยกขึ้นเล็กน้อยแล้วพาเธอหมุนตัวตามจังหวะของเครื่องดนตรีพื้นเมือง เฟรญ่าหยักยิ้มขึ้นมาในทันที หัวใจของเธอมันเต้นผิดจังหวะในทุกครั้งที่อยู่กับเขา มันคือความรักที่ไม่รู้เหมือนกันว่าจะอธิบายเช่นไร แต่ในยามที่เธอมองเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา มันทำให้เธอมีความสุขได้โดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย บางทีความหวังของเธอก็เป็นเรื่องง่ายๆอย่างเช่นการคาดหวังให้มาร์เซลมีความสุขตลอดไป..“เวลาที่ท่านยิ้มออกมามันสวยมากเลยนะครับ..”ในวันที่พบเจอกันครั้งแรก เขาก็เชื่อมั่นในพรหมลิขิตในทันทีว่าคนรักของเขาจะต้องเป็นเธอเท่านั้น บางสิ่งในอกค่อยๆ แผ่ซ่านออกมา หัวใจที่เย็นย
งานเทศกาลในครั้งนี้จัดขึ้นมาในฤดูที่กำลังปลูกพืชผล เมืองเดียลอร์ลนั้นได้รับผลกระทบเป็นวงกว้างเพราะอย่างนั้น บารอนดีแลนจึงหารือกับชาวบ้านจัดงานนี้ขึ้นมา เพื่อให้บรรยากาศในเดียลอร์ลนั้นดีขึ้นมา ก่อนหน้านั้นกับบางคนที่เผชิญหน้ากับความสูญเสีย พวกเขาไม่อยากแม้แต่จะหายใจต่อไปดีแลนรู้สึกผิดกับชาวเมืองมากทีเดียว กับการตัดสินใจที่ผิดพลาดของเขา เพราะอย่างนั้นเขาจึงพยายามที่จะฟื้นฟูเดียลอร์ลขึ้นมาใหม่เพื่อให้ที่นี่กลับมามีบรรยากาศที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขเช่นเดิมเฟรญ่าเดินไปบนถนนหนทางที่เต็มไปด้วยนักเดินทาง ไม่ว่าจะถามเธอสักกี่ครั้ง เฟรญ่าก็ยังคงตอบได้ในทันทีว่าเดียลอร์ลคือเมืองที่เธอชอบมากที่สุด ความธรรมดาของที่แสนพิเศษ“ไม่เจอกันนานเลยนะเฟร..”ดีแลนเดินเข้ามาทักทายเฟรญ่าด้วยใบหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม“อื้ม ที่นี่เหมือนเดิมเลยนะคะ เหมือนเดียลอร์ลที่ข้ารู้จัก”เฟรญ่าจุดยิ้มที่แสนงดงามบนใบหน้าของเธอ เธอคิดว่าดีแลนเองก็คงจะได้รับผลกระทบทางจิตใจเช่นเดียวกัน“ขาของเจ้า..มันหายดีเป็นปกติแล้วสินะ”เฟรญ่าก้มมองเท้าของตัวเอง เธอพ่นลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ถึงแม้จะรู้สึกแปลกๆ อยู่บ้างในยามที่ไ
การรอคอยสำหรับมาร์เซลนั้นถือเป็นความทรมานมากเกินกว่าที่เขาจะคาดคะเนเอาไว้ซะอีก เขาไม่เคยรู้จักความรักมาก่อนเลย ยิ่งไม่เคยรักใครและทุ่มเทกายใจให้ขนาดนี้ เราทั้งคู่ตั้งใจว่าจะแต่งงานกันหลังจากนี้ ตั้งใจอย่างแรงกล้าว่าเฟรญ่าจะเป็นเจ้าสาว ส่วนเขาจะเป็นเจ้าบ่าว ในงานแต่งที่ยิ่งใหญ่มากที่สุดในจักรวรรดิ เขาและเธอจะสร้างครอบครัวเล็กๆ ด้วยกัน พร้อมกับนั้นลูกของเขาคงจะน่ารักมากทีเดียวเพราะว่าเฟรญ่าชอบเด็ก ทว่าในยามนี้ เธอก็ยังไม่ฟื้นขึ้นมาเลย..ในค่ำคืนที่ดวงจันทร์ลอยเด่นบนนภา มาร์เซลจุมพิตลงไปบนหลังฝ่ามือของเฟรญ่า ก่อนที่เขาจะหลับตาลงเพื่อเฝ้าอธิษฐานจากใจจริง“ตื่นขึ้นมาเถอะมา กลับมาเพื่อให้ข้าได้บอกรักเจ้าจะได้รึเปล่า ได้โปรดเถอะ..กลับมาหาข้าอีกครั้ง..”น้ำเสียงของเขามันเต็มไปด้วยความสั่นเครือ หยาดน้ำตาเปียกชุ่มอยู่บนมือของเฟรญ่า ท่ามกลางห้องที่เงียบงัน มีเพียงเสียงสะอื้นของมาร์เซลเท่านั้นที่ดังออกมา“...มาร์เซล อย่าร้อง”ดวงตาของเขาเบิกกว้างออกมาในทันทีที่ได้ยินเสียงที่แสนคิดถึง และเมื่อมาร์เซลเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งเขาก็พบเจอกับดวงตาสีครามที่กำลังจ้องมองใบหน้าของเขาอยู่ บนดวงหน้างามล้ำยิ่งกว่
เฟรญ่านั่งกอดเข่าอยู่บนเตียงตามลำพัง แววตาของเธอสะท้อนความอ้างว้างและโดดเดี่ยวอย่างเห็นได้ชัด ในห้องนี้ไม่มีใครเลยนอกจากเธอเธออยู่ที่นี่มานานแค่ไหนแล้วก็ไม่รู้ รู้เพียงแต่เธอพยายามที่จะเดินออกไปจากห้องนี้มากแค่ไหนก็ไม่สามารถออกไปได้ เป็นห้องโล่งๆ ที่ไม่มีแม้กระทั่งหน้าต่างสักบาน เธอนอนหลับไปและเมื่อตื่นขึ้นมาก็จะพบเจอกับอาหารทั้งสามมื้อที่วางเอาไว้บนโต๊ะ เธอไม่รู้ว่าตัวเองมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน รู้เพียงแต่ว่าเธอจะต้องหาทางออกไปจากที่นี่ให้ได้ ไม่อย่างนั้นมาร์เซลจะต้องกำลังเป็นห่วงเธออย่างแน่นอน ไหนยังจะท่านพี่ของเธออีกจะมามัวอยู่ที่นี่ตลอดไปไม่ได้เพราะอย่างนั้นเฟรญ่าก็เลยคิดแผนการขึ้นมา การที่มีอาหารมาวางเอาไว้ในช่วงที่เธอหลับ นั่นหมายความว่าจะต้องมีคนเดินเข้ามาที่นี่และเธอจะต้องแกล้งหลับ เพื่อที่จะดูว่าคนที่ขังเธอเอาไว้ที่นี่คือใครกันแน่เมื่อคิดได้ดังนั้นเฟรญ่าก็ล้มตัวนอนลงในทันที เธอหลับตาพร้อมกับเผยอปากออกมาเล็กน้อยเพื่อให้ดูสมจริง แล้วก็เป็นอย่างที่คิดเพราะเมื่อเธอล้มตัวนอน เสียงเปิดประตูก็ดังขึ้นมา พร้อมกับฝีเท้าที่ก้าวเดินเข้ามาอย่างช้าๆเฟรญ่าค่อยๆ ปรือตามองอย่างช้าๆ เธอร
คาร์เตอร์มองเฟรญ่าที่กำลังนอนหลับอยู่ เขาอยู่ในสภาพที่บาดเจ็บสาหัสมากพอสมควร ปกติแล้วเรื่องการต่อสู้หรือการออกรบ เขาล้วนแล้วแต่ทำมันได้ดีมากทีเดียวแต่เพราะการสูดดมไอขุ่นมัวเหล่านั้นทำให้เขาหมดแรง ซึ่งมันทรมานมากที่เขารับรู้เรื่องราวต่างๆ มากกว่าแต่ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้เลยแม้แต่นิดเดียวเขามองเห็นว่าเฟรญ่า นางแตกสลายมากแค่ไหนกับการที่นางลงมือจัดการกับต้นตอของเรื่องนี้ เฟรญ่าในสายตาของคาร์เตอร์เหมือนคนที่เผชิญหน้ากับความเจ็บปวดเจียนตาย ทั้งๆ ที่นางควรจะดีใจเมื่อแอชตันตายไป แต่นางก็ยังร้องไห้ออกมาไม่หยุด ในช่วงเวลาที่นางลงมือทำร้ายแอชตันเฟรญ่าก็ยังร้องไห้ออกมามันเป็นเพราะว่าเฟรญ่า น้องสาวของเขานั้นจิตใจดีมากเกินไป นางไม่เคยทำร้ายคนอื่นมาก่อนเลย แล้วไอ้เวรนั่น..ไอ้แอชตันจะต้องทำร้ายเฟรญ่าหนักหนาสาหัสมากแค่ไหน คนที่ไม่เคยทำร้ายคนอื่นแม้แต่ปลายเล็บอย่างเฟรญ่า ถึงได้ลุกขึ้นมาเพื่อจัดการหมอนั่นด้วยความเจ็บปวดมากมายขนาดนั้น“เรื่องนี้ไม่มีใครผิดหรอกพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทอย่าได้วิตกกังวลมากเกินไปเลย”มาร์เซลปลอบใจองค์จักรพรรดิที่กำลังโมโหตัวเองอยู่ เขาพบเจอสภาพของค่ายทหารที่อาบไปด้วยเลือด พร้อมก