เมื่อเฟรญ่าทำท่าไม่เชื่อ มาร์เซลก็หัวเราะออกมาเสียงดัง เขาจับมือเธอพร้อมกับพาเธอวิ่งไปยังงานเทศกาลของเดียลอร์ลที่ในยามนี้มีชาวบ้านมากมายกำลังเต้นรำอยู่ตามท้องถนน บนใบหน้าหล่อเหลานั้นมีรอยยิ้มฉายชัดอยู่ มันเป็นรอยยิ้มที่ทำให้ดวงตาของเฟรญ่านั้นพร่ามัวไปในทันทีราวกับว่ารอยยิ้มของเขามันแฝงไปด้วยเวทมนตร์
แค่เขายิ้มก็ทำให้หัวใจของเธออ่อนลงยวบยาบ ฝ่ามือของเราเกาะกุมกันไว้โดยไร้คำพูด มาร์เซลหยุดเดินพร้อมกับหมุนตัวมาหาเธอ เขายกมือขึ้นมาจับเอวของเธอเอาไว้ ก่อนจะยกขึ้นเล็กน้อยแล้วพาเธอหมุนตัวตามจังหวะของเครื่องดนตรีพื้นเมือง เฟรญ่าหยักยิ้มขึ้นมาในทันที หัวใจของเธอมันเต้นผิดจังหวะในทุกครั้งที่อยู่กับเขา มันคือความรักที่ไม่รู้เหมือนกันว่าจะอธิบายเช่นไร แต่ในยามที่เธอมองเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา มันทำให้เธอมีความสุขได้โดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย บางทีความหวังของเธอก็เป็นเรื่องง่ายๆอย่างเช่นการคาดหวังให้มาร์เซลมีความสุขตลอดไป.. “เวลาที่ท่านยิ้มออกมามันสวยมากเลยนะครับ..” ในวันที่พบเจอกันครั้งแรก เขาก็เชื่อมั่นในพรหมลิขิตในทันทีว่าคนรักของเขาจะต้องเป็นเธอเท่านั้น บางสิ่งในอกค่อยๆ แผ่ซ่านออกมา หัวใจที่เย็นยะเยือกของเขาค่อยๆ หลอมละลายอย่างช้าๆ เมื่อได้พบกันเธอ เพลงจบแล้วพร้อมกับเสียงตบมือที่ดังก้อง มาร์เซลปล่อยมือของเฟรญ่าเป็นการชั่วคราวก่อนที่เขาจะเดินไปยังเวทีเล็กๆกลางงานเทศกาล “สวัสดีชาวเมืองเดียลอร์ลทุกคนด้วยนะครับ อย่างที่ทุกท่านทราบว่าเดียลอร์ลของเรานั้นกว่าที่จะฝ่าฟันอุปสรรคที่ยิ่งใหญ่มานั้นไม่ง่ายเลย และในวันนี้วีรสตรีที่ทำให้เดียลอร์ลกลับมาสงบสุขก็อยู่ที่นี่ด้วย..ขอให้ทุกคนตบมือให้กับเลดี้ทีเซียส ด้วยนะครับ” เฟรญ่ายกมือขึ้นมาปิดปากด้วยความตกใจ เธอไม่คิดว่ามาร์เซลจะประกาศออกมาเช่นนั้นและในยามนี้เสียงตบมือมันดังก้องขึ้นมาพร้อมกับชาวเมืองที่ตบเท้าเดินเข้ามาหาเธอด้วยใบหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม “ขอบคุณนะคะคุณเจ้าของโรงแรม..” “ขอบคุณที่เสียสละเพื่อชาวเมืองทุกคน” “ขอบคุณที่ช่วยจัดการกับไอขุ่นมัวนะคะ สามีของข้ารอดตายมาได้เพราะท่านเลย” “บ้านของข้าถูกไฟไหม้นิดหน่อย โชคดีจริงๆ ที่ได้กลับมาอยู่ที่นี่อีกครั้ง ข้าเกิดที่นี่และอยากจะตายที่นี่ อยากจะใช้แผ่นดินก่อนเดียลอร์ลกลบหน้าก่อนตาย..” “ข้าเห็นในตอนที่ท่านยืนหยัดปกป้องและจัดการกับเจ้าคนสารเลวผู้นั้นด้วยนะคะ ท่านช่างกล้าหาญมากจริงๆ” “ขอบคุณ..” “ท่านเก่งมากๆ เลย” “....” คำกล่าวขอบคุณมากมายหลั่งไหลเข้ามาจนเฟรญ่าแทบจะกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ ทั้งๆ ที่เธอจัดการแอชตันเพราะความแค้นส่วนตัวแท้ๆ แต่มันดีมากทีเดียวที่ได้ช่วยเหลือทุกคน.. มาร์เซลยังคงยืนอยู่บนเวทีเล็กๆ แห่งนั้น เขามองเธอด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ ตามการคาดเดาของเขาแล้ว เธอคงจะเจ็บปวดกับความรู้สึกผิดที่เกาะกุมหัวใจ เขาหวังว่าความซาบซึ้งใจของชาวบ้านจะช่วยเยียวยาความรู้สึกผิดของเฟรญ่าให้น้อยลง หวังอย่างยิ่งว่ามันจะเป็นเช่นนั้น กว่าเฟรญ่าจะพูดคุยกับชาวบ้านเสร็จก็ปาเข้าไปดึกดื่นมากพอสมควร มาร์เซลเดินจับมือของเธอเพื่อพาเธอไปยังโรงแรมที่พักของเรา “เรา..กลับไปที่เมืองหลวงด้วยกันดีไหม” เธอเอ่ยถามขึ้นมาพร้อมกับช้อนสายตามองหน้าเขาราวกับกำลังขอร้องเขายังไงอย่างนั้น “ครับ ข้ารับปากกับองค์จักรพรรดิเอาไว้แล้วว่าจะไปที่นั่น รับยศขุนนางสักตำแหน่งแล้วลงหลักปักฐานอยู่ที่เมืองหลวงเลย” ไม่ว่าจะกี่ครั้ง มาร์เซลก็ยังคงเคารพในการตัดสินใจของเธอเสมอเลย “มาร์เซล เดิมทีข้าเป็นคนที่ขาดความมั่นใจเอามากๆ กว่าที่ข้าจะเอาชนะความกลัวของตัวเองได้มันไม่ง่ายเลย แต่พอมาเจอเจ้า เจ้าเปลี่ยนให้คนขี้ขลาดเช่นข้า กล้าหาญมากยิ่งขึ้น” เขาหยุดฝีเท้าที่กำลังก้าวเดินก่อนจะยกมือขึ้นมาจับที่แก้มของเฟรญ่า “ท่านคือคนที่กล้าหาญมากกว่าทุกคนที่ข้ารู้จักเลยนะครับ ข้าแค่ดึงความกล้าหาญที่มีอยู่แล้วของท่าน ออกมาก็เท่านั้น” การเอาชนะความกลัวนั้นไม่ง่ายเลย แม่ของเขาไม่สามารถเอาชนะมันได้ทั้งชีวิต จนต้องยอมตายไปพร้อมกับความหวาดกลัว แต่เฟรญ่าทำได้ นางเอาชนะความหวาดกลัวของตัวเอง แล้วยืนหยัดอย่างกล้าหาญเพื่อที่จะจัดการต้นตอความกลัวของตัวเอง เธอเก่งกาจถึงเพียงนั้นจะไม่ให้เขารักได้อย่างไรกัน เฟรญ่าเดินเข้าไปหาเขาพร้อมกับจับมือทั้งสองข้างของมาร์เซลเอาไว้ “มาร์เซล เรามาแต่งงานกันเถอะนะ..ข้าจะดูแลเจ้าเป็นอย่างดีเพราะอย่างนั้นแค่เจ้าตอบตกลง งานแต่งของเราจะถูกจัดขึ้นมาอย่างยิ่งใหญ่มากที่สุดในจักรวรรดิแห่งนี้” มาร์เซลหัวเราะออกมาเบาๆ เขาจุมพิตลงไปบนหน้าผากของเฟรญ่า “ขี้โกงนะครับ การขอแต่งงานข้าต่างหากที่จะต้องเป็นคนขอ พี่ไม่ควรตัดหน้าแบบนี้ แต่ไม่ว่าใครจะขอ ข้าคิดว่าคำตอบก็คงเหมือนกัน ข้าไม่อยากเป็นแฟนของพี่แล้ว..เพราะงั้นเรามาเป็นสามีภรรยากันเถอะนะครับ..” เขากล่าวพร้อมกับจุมพิตลงไปบนนิ้วนางข้างซ้ายของเธอ ก่อนจะขบกัดมันเบาๆ ด้วยความมันเขี้ยว “เรื่องนั้น แน่นอนอยู่แล้ว” เฟรญ่ากล่าวพร้อมกับโผกอดมาร์เซลเอาไว้แน่น อย่างที่ท่านพี่เจนนีสกล่าวเอาไว้ เธอตามหาบุรุษที่เหมือนกับพระเอกในนิยายพบเจอแล้วจริงๆ ตามหาเขาเจอแล้ว และจะได้แต่งงานกับเขาแล้วด้วย.. เรื่องเลวร้ายต่างๆ นั้นมันเป็นเพียงแค่ความฝันเท่านั้น มันจบลงไปหมดแล้วนับจากนี้ไปเธอจะตั้งใจรักมาร์เซลให้ดีที่สุด จะตั้งใจเป็นภรรยาที่ดีและสร้างครอบครัวของเรา..ให้อบอุ่นเหมือนกับครอบครัวของเธอ “ดูนั่นสิ เจ้าเด็กนั่นกล้ากอดเฟรญ่าต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนั้นได้อย่างไรกัน” เจนนีสตีแขนสามีของเธอเบาๆ ก่อนจะหัวเราะออกมา “อันที่จริงในช่วงเวลาที่เฟรญ่าหลับไป ข้าได้จัดเตรียมงานแต่งของนางเอาไว้เรียบร้อยแล้วค่ะ ลิเวียเองก็ช่วยข้าจัดการสถานที่ และเรื่องบัตรเชิญ ล้วนแล้วแต่จัดเตรียมเอาไว้อย่างเรียบร้อย เหลือแค่ลงกำหนดงานแต่งลงไป ก็พร้อมที่จะส่งให้บรรดาแขกเหรื่อแล้วค่ะ” มาทอสเลิกคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย “เจนนีส เจ้าเตรียมพร้อมมากไปหน่อยรึเปล่า?” เจนนีสตีแขนของสามีเธออีกรอบ “แล้วที่ท่านพี่และคาร์เตอร์ซื้อคฤหาสน์เอาไว้ พร้อมกับยื่นคำร้องขอเลื่อนยศให้กับมาร์เซลล่ะคะ นั่นไม่เตรียมพร้อมยิ่งกว่างั้นหรือ” มาทอสหัวเราะออกมาเบาๆ เพราะในตระกูลของเขา เหลือเพียงแค่เฟรญ่าเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่ยังไม่ได้แต่งงาน เราทุกคนถึงได้อยากจะจัดงานแต่งงานของนางให้ยิ่งใหญ่ เขาอยากจะเห็นน้องสาวเพียงคนเดียวเป็นฝั่งเป็นฝาสักที และกับมาร์เซล หมอนั่นพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าตัวเองเหมาะสมกับตำแหน่งคนรักของเฟรญ่าผู้ล้ำค่าของเขามาทอสพาเฟรญ่าและเจนนีสเดินทางกลับมาที่เมืองหลวงพร้อมกันในอีกสองสัปดาห์ต่อมา คาร์เตอร์ตั้งขบวนเพื่อรอรับการกลับมาของเฟรญ่า ทันทีที่เธอเดินลงมาจากรถม้า คาร์เตอร์ก็พุ่งตัวเข้าไปกอดเฟรญ่าเอาไว้มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นมา และหนึ่งในเรื่องราวเหล่านั้นมันกำลังสั่นคลอนพี่ชายที่แสนกล้าหาญของเธออย่างหนักเลยสินะเฟรญ่าพบเจอคาร์เตอร์ในครั้งแรกตอนที่เธออายุสิบสี่ปี เขาคือองค์รัชทายาท ตามสายเลือดแล้วท่านพี่มาทอสคือน้องชายขององค์จักรพรรดิผู้เป็นพ่อของคาร์เตอร์ เราทั้งคู่จึงถูกเลี้ยงดูมาด้วยกันและสนิทสนมกันมากทีเดียว เพราะแผลในใจที่เคยได้รับจากแม่เลี้ยงทำให้เฟรญ่านั้นหวาดกลัวผู้คนเป็นอย่างมาก อีกทั้งท่านพี่มาทอสก็งานยุ่งมากเพราะในช่วงเวลานั้นท่านพี่มาทอสรับตำแหน่งดยุคมาจากท่านพ่อแล้ว ทำให้เขาไม่มีเวลามาคอยดูแลน้องสาวต่างแม่สักเท่าไหร่นัก ผู้ที่ดูแลและสนิทสนมกับเฟรญ่ามากที่สุดคือคาร์เตอร์ ลูกพี่ลูกน้องของเธอ เขาพยายามเข้าหาเธอในทุกวัน ชวนเธอออกไปข้างนอก และเป็นผู้ที่พาเธอก้าวเดินไปยังงานเลี้ยงในแวดวงสังคม“ฟังนะเฟร จะไม่มีใครหน้าไหนกล้าดูถูกเจ้าทั้งนั้น พี่จะปกป้องเจ้าเองเพราะอย่างนั้นไม่ต้องกังวลหรื
บัตรเชิญของงานแต่งเลดี้ทีเซียส วีรสตรีที่ร่วมการกอบกู้เดียลอร์ลนั้นถูกส่งให้แก่ขุนนางมากมายในจักรวรรดิ บอกตามตรงว่าในตอนที่เฟรญ่าเห็นชื่อและรูปวาดของตัวเองเด่นหราอยู่บนหน้าหนังสือพิมพ์เธอค่อนข้างตกใจมากพอสมควร เพราะเธอไม่คิดว่าเรื่องที่มาร์เซลกล่าวออกมานั้นมันจะเป็นเรื่องจริง“ให้ตายเถอะ ข้ารับมือกับคำว่าวีรสตรีอะไรพวกนั้นไม่ไหวจริงๆ”ลิเวียหัวเราะออกมา“เจ้าคู่ควรกับมันนะเฟร เรื่องความรักที่แสนอบอุ่นนี้ก็ด้วย มาร์เซลคือบุรุษที่ดีมากทีเดียว”ลิเวียกล่าวพร้อมกับสวมสร้อยคอที่มีสีเดียวกับดวงตาของเฟรญ่าลงไปบนลำคอยาวระหง เพื่อนเพียงคนเดียวของเธอแต่งงานแล้ว เฟรญ่าคือสตรีที่งดงามมากๆ ในสายตาของลิเวีย เราพบเจอกันเพราะพี่เจนนีสมาทำงานที่ทีเซียสและพี่สาวก็ร้องขอให้เธอมาเป็นเพื่อนกับเฟรญ่า เพราะสงสารที่เฟรญ่าอยู่คนเดียวในคฤหาสน์ที่แสนกว้างใหญ่ และนั่นทำให้ลิเวียได้มาพบเจอกับคาร์เตอร์ จนได้แต่งงานและเป็นจักรพรรดินีทุกวันนี้เพราะความสามารถของเฟรญ่าเลยเธอถึงได้มีความสุขมากๆ ในช่วงเวลาที่เฟรญ่ากำลังจะได้แต่งงาน เพราะมันเหมือนกับว่าครั้งนี้เป็นเธอแล้วนะที่ได้ส่งเฟรญ่าไปให้ถึงฝั่งฝันกับความรักที่ดีงา
บอกตามตรงว่านี่คงจะเป็นงานแต่งที่เจ้าสาวสบายมากที่สุดในจักรวรรดิแห่งนี้ เฟรญ่าแทบไม่ต้องจัดเตรียมอะไรเลยเพราะว่าพี่เจนนีสและลิเวียจัดเตรียมเอาไว้ให้อย่างเรียบร้อยหมดทุกอย่างแล้ว เธอเพียงสวมชุดเจ้าสาวที่แสนงดงามและเข้าร่วมงานแต่งเท่านั้นเองเฟรญ่าหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อมาร์เซลพาเธอออกมาจากงานแต่งที่แสนยิ่งใหญ่ เขาพาเธอมาที่คฤหาสน์ฮอร์ตันที่เราพึ่งได้รับมาเป็นของขวัญแต่งงาน และในห้องนอนก็เต็มไปด้วยกลิ่นหอมของดอกกุหลาบ มันทั้งหอมหวานและเย้ายวนมากทีเดียว“เจ้ากำลังข้ามขั้นพิธีแต่งงานอยู่นะมาร์เซล เราไม่ควรด่วนชิงเข้าหอก่อนที่งานเลี้ยงจะเริ่ม..”เขาส่งยิ้มให้เธอในขณะที่กำลังถอดกระดุมเสื้อของตัวเองออกมา เขาอดทนมานานมากพอสมควร อดทนแล้วอดทนอีกเพราะว่าเฟรญ่าพึ่งจะฟื้นขึ้นมาจากอาการบาดเจ็บ เพราะอย่างนั้นเขาจึงไม่ได้แตะต้องเธอเลย แต่วันนี้เขาอดทนไม่ไหวอีกแล้ว“ไม่เห็นจะต้องสนใจแขกที่เข้ามาร่วมงานเลยนี่ นี่คืองานแต่งของเราและข้าอยากอยู่กับท่าน..เข้าหอเร็วหน่อยคงไม่เป็นไรหรอกครับ หรือว่าพี่กังวล"เฟรญ่าดึงผ้าคลุมหน้าของเธอออกไป เธอไม่ได้ยืนมองมาร์เซลถอดชุดอยู่เฉยๆ แต่เธอเองก็ถอดชุดเดรสแต่งงานออกเช่
มาร์เซลพึ่งรู้ว่าการนั่งเรือสำเภามันไม่ใช่เรื่องสนุกเลยแม้แต่นิดเดียว เขาออกเดินทางมายังเมืองทางใต้พร้อมกันกับเฟรญ่า นี่คือการดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ของเราก่อนที่เขาจะกลับไปทำงานในตำแหน่งดยุคอย่างเป็นทางการ เราทั้งคู่เคยพูดเอาไว้ว่าอยากจะล่องเรือมาเที่ยวที่เมืองทางใต้มาชมทะเลที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน และในยามนี้เราก็กำลังอยู่กลางทะเลบนเรือสำเภาที่ค่อนข้างจะเป็นพื้นที่ส่วนตัว เพราะว่าเขาเหมาเรือลำนี้เอาไว้ เพื่อมากับเฟรญ่าเพียงแค่สองคนเท่านั้นแต่เขาอาเจียนไปสิบรอบแล้วเห็นจะได้ เพราะเขาไม่เคยนั่งเรือมาก่อน“ออกมานั่งมองทะเลดูไหม เผื่ออาการของเจ้าจะดีขึ้น”อันที่จริงแค่ได้มองหน้าสวยๆ ของเธอก็ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นแบบมากๆ แล้ว เขาจับมือของเฟรญ่าเอาไว้ก่อนจะซบใบหน้าลงไปบนไหล่ของเธอ“รักนะครับ..รักที่สุดเลย”เฟรญ่าไม่รู้ว่าเพราะอายุที่เขาเด็กกว่ามันเกี่ยวข้องด้วยรึเปล่า แต่เขาทำให้เธอรู้สึกราวกับมีลูกสุนัขตัวใหญ่ที่กำลังออดอ้อนเธอตลอดเวลา มาร์เซลติดการสัมผัสมากๆ เขาจะต้องจับมือหรือไม่ก็กอดและหอมแก้มเธอตลอดเวลา และเธอเองก็ชื่นชอบการแสดงความรักเช่นนั้นมากทีเดียว เฟรญ่าจึงไม่เคยผลักไสหรือว่าดุเขาในเร
เลดี้ทีเซียสมีนามว่าเฟรญ่า น้องสาวเพียงผู้เดียวของดยุคมาทอส ทีเซียส กิจการกว่าครึ่งในจักรวรรดิคือกิจการของตระกูลทีเซียส หากจะถามถึงความร่ำรวยแน่นอนว่าทีเซียสนั้นแทบจะร่ำรวยมากเสียยิ่งกว่าองค์จักรพรรดิและตลาดสมรสในปีนั้น เหล่าบุรุษต่างจับจ้องมองมาที่สตรีเพียงผู้เดียวนั่นคือเลดี้ทีเซียสผู้มีเรือนผมสีเงินที่แสนจะโดดเด่น ใบหน้าของเฟรญ่านั้นถือเป็นสตรีผู้งดงามตามแบบฉบับของตระกูลทีเซียสที่ได้ชื่อว่างดงามหมดจดดุจพระเจ้าทรงปั้นทว่าในวัยเด็กเฟรญ่าประสบอุบัติเหตุในระหว่างการเดินทาง ทำให้ขาข้างซ้ายของเธอเดินเหินไม่สะดวกเท่าไหร่ เธอจะต้องใช้ไม้เท้าในการช่วยพยุง บาดแผลในวัยเด็กถึงแม้ว่าจะสาหัส แต่เพราะว่าเธอมีพี่ชายและพี่สะใภ้ที่ดีมาก ทำให้เฟรญ่าไม่ได้สนใจเรื่องที่ตัวเองนั้นเหมือนสินค้าที่มีตำหนิ“เจ้าไม่รู้หรอกว่าข้าอับอายมากแค่ไหนเมื่อตระกูลจามินของเรามีงานเลี้ยง แล้วแกรนด์ดัชเชสเดินลงมาด้วยขาที่พิการเช่นนี้น่ะ..”เฟรญ่าคิดว่าความรักของเธอมันจะเหมือนกับในนิยายที่เคยได้อ่าน ความรักที่สวยเหมือนกับของพี่ชายและท่านพี่เจนนีสแกรนด์ดยุคจามินคือเครือญาติที่แสนเก่าแก่ของราชวงศ์ และท่านแอชตันคือคู่ครอง
“ท่านแกรนด์ดยุคครับ ที่คุกใต้ดินเกิดระเบิด ท่านแกรนด์ดัชเชส..เสียชีวิตแล้วครับ”แอชตันหันไปมองทหารของเขาด้วยแววตาที่เบิกกว้างขึ้นมา แก้วสุราที่อยู่ในมือตกกระทบพื้นจนแตกกระจาย“เจ้าตรวจสอบดีแล้วอย่างนั้นหรือ เฟรญ่านาง..ตายแล้วจริงเหรอ?”ท่าทางของแอชตันมันราวกับว่าเขาจะทรุดฮวบลงไปตรงนั้น“คะ..ครับ ถึงแม้จะมีเหตุระเบิดและไฟไหม้แต่ทหารของเราดับไฟได้ทัน ท่านแกรนด์ดัชเชสไม่ได้เสียชีวิตจากการถูกไฟคลอก แต่ท่าน..ใช้ดาบปลิดชีพตัวเองครับ”แอชตันตกใจจนเกือบจะกัดลิ้นของตัวเอง ดวงตาปรากฏแววตื่นตระหนกเฟรญ่าตายแล้ว..เช่นนั้นเงินที่เขาจะได้จากทีเซียสก็..“นิ้ว!!..นิ้วมือของนางล่ะ นิ้วมือของนางยังอยู่หรือไม่ เอาแค่นิ้วของนางก็พอแล้ว”แค่มีนิ้วมือของนางมาประทับตราลงไปบนหนังสือรับเงิน แค่เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว ลูกของเขาและดาเนียกำลังจะเกิดอีกไม่กี่วัน เขาไม่ต้องการให้ทายาทของเขาเกิดมาด้วยความลำบาก เพราะอย่างนั้นเขาจะขาดเงินตรงนี้ไปไม่ได้อย่างเด็ดขาด..ทหารคนสนิทขบกัดริมฝีปากแน่น นี่คือท่านแกรนด์ดยุคที่เขาเชื่อมั่นอย่างนั้นหรือ? ภรรยาตายแต่ไม่เสียใจแม้แต่น้อย“เจ้าจะเอานิ้วนางไปรับเงินจากดยุคทีเซียสอย่างน
เอาล่ะ มาลองเรียบเรียงเรื่องราวต่างๆ ที่มันเกิดขึ้นมาแล้วก่อน ฉันไม่ควรแต่งงานกับแอชตันอีกครั้ง นี่คือเรื่องเร่งด่วนที่ควรทำที่สุดในตอนนี้ เพียงแต่เพราะว่าแอชตันคือตระกูลแกรนด์ดยุคเนี่ยนะสิ เขาไม่ได้มีเงินทองและอำนาจมากเทียบเท่าตระกูลทีเซียส แต่ถึงอย่างนั้นในสายตาของประชาชนของที่นี่ อย่างไรเสียตระกูลทีเซียสก็ไม่สามารถหักหน้าตระกูลจามินได้..การยกเลิกพิธีหมั้นหมายนั้นอาจจะไม่ง่ายอย่างที่คิด..ไม่สิ หากว่าเป็นท่านพี่มาทอสแล้วละก็ ท่านพี่จะต้องยกเลิกการหมั้นหมายในทันทีที่เธอบอกว่าไม่อยากจะแต่งงานกับแอชตันแล้ว แต่ผลที่ตามมาคือเกียรติและชื่อเสียงของทีซียสที่จะต้องเสียไป..การตัดสินใจหมั้นหมายกับแอชตันมันคือความคิดและการกระทำโง่ๆ ของเธอ ที่ครั้งหนึ่งเคยหลังรักเขาจนหูหนวกตาบอด และในครั้งนี้เธอจะต้องแก้ไขเรื่องราวที่เธอก่อเอาไว้ โดยไม่ให้กระทบกระเทือนชื่อเสียงของทีเซียสและของท่านพี่มาทอสเฟรญ่าตั้งใจเอาไว้แล้วว่าในครั้งนี้ ชีวิตของเธอจะต้องไม่เหมือนเดิม..“ออกเดินทาง? ให้ตายเถอะเจ้าจะไปที่ไหนกัน”มาทอสเอ่ยถามน้องสาวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความตกใจ ครั้งหนึ่งเขาเคยเกือบจะเสียนางไปจากความเคียดแ
เมืองเล็กๆ ในหุบเขาที่มีบรรยากาศดีเยี่ยมในการพักผ่อน เฟรญ่ามาที่นี่ตั้งแต่เมืองสองปีก่อน เธอตั้งใจว่าจะพักผ่อนเป็นการชั่วคราว แต่ทว่าเธอดันชอบบรรยากาศความเงียบและความอบอุ่นของที่นี่มากทีเดียว ในระหว่างที่พักอยู่ที่นี่ ก็มีเจ้าของโรงแรมประกาศขายโรงแรมเพราะว่านางจะแต่งงานแล้วย้ายไปอยู่ที่เมืองอื่นกับสามี เฟรญ่ามองว่านั่นคือโชคชะตาล่ะแน่นอนว่าเงินที่เธอมีในบัญชีนั้น เธอไม่ต้องทำงานจำนวนเงินในนั้นก็เพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ แบบไม่มีวันกินใช้จนหมดเลยด้วยซ้ำ เพราะมันถูกฝากเข้าเรื่อยๆ จากท่านพี่มาทอสแต่เฟรญ่าชอบที่นี่ เธอถึงได้ตัดสินใจซื้อโรงแรมนี้ต่อจากเจ้าของคนเก่า และปรับปรุงใหม่เพื่อให้โรงแรมแห่งนี้เหมาะสมกับบรรยากาศที่จะต้อนรับนักเดินทางต่างๆ ที่หลั่งไหลเข้ามา“มีห้องพักว่างรึเปล่าครับ”เฟรญ่าส่งยิ้มให้กับทหารรับจ้างคนหนึ่งที่เดินเข้ามาถาม“ไม่ทราบว่าอยากจะได้ที่พักกี่ห้องคะ”“สี่ห้องครับ ขอห้องที่ดีที่สุดสำหรับหัวหน้าของเราด้วย”เฟรญ่าหยิบตารางการเข้าพักขึ้นมาดู ปกติแล้วเธอไม่ได้เป็นพนักงานต้อนรับด้วยตัวเอง เพราะจะมีเกรซเป็นคนรับหน้าที่นี้ แต่เพราะว่าวันนี้ในหมู่บ้านมีงานเลี้ยงฤดูเก็บเกี่ยว
มาร์เซลพึ่งรู้ว่าการนั่งเรือสำเภามันไม่ใช่เรื่องสนุกเลยแม้แต่นิดเดียว เขาออกเดินทางมายังเมืองทางใต้พร้อมกันกับเฟรญ่า นี่คือการดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ของเราก่อนที่เขาจะกลับไปทำงานในตำแหน่งดยุคอย่างเป็นทางการ เราทั้งคู่เคยพูดเอาไว้ว่าอยากจะล่องเรือมาเที่ยวที่เมืองทางใต้มาชมทะเลที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน และในยามนี้เราก็กำลังอยู่กลางทะเลบนเรือสำเภาที่ค่อนข้างจะเป็นพื้นที่ส่วนตัว เพราะว่าเขาเหมาเรือลำนี้เอาไว้ เพื่อมากับเฟรญ่าเพียงแค่สองคนเท่านั้นแต่เขาอาเจียนไปสิบรอบแล้วเห็นจะได้ เพราะเขาไม่เคยนั่งเรือมาก่อน“ออกมานั่งมองทะเลดูไหม เผื่ออาการของเจ้าจะดีขึ้น”อันที่จริงแค่ได้มองหน้าสวยๆ ของเธอก็ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นแบบมากๆ แล้ว เขาจับมือของเฟรญ่าเอาไว้ก่อนจะซบใบหน้าลงไปบนไหล่ของเธอ“รักนะครับ..รักที่สุดเลย”เฟรญ่าไม่รู้ว่าเพราะอายุที่เขาเด็กกว่ามันเกี่ยวข้องด้วยรึเปล่า แต่เขาทำให้เธอรู้สึกราวกับมีลูกสุนัขตัวใหญ่ที่กำลังออดอ้อนเธอตลอดเวลา มาร์เซลติดการสัมผัสมากๆ เขาจะต้องจับมือหรือไม่ก็กอดและหอมแก้มเธอตลอดเวลา และเธอเองก็ชื่นชอบการแสดงความรักเช่นนั้นมากทีเดียว เฟรญ่าจึงไม่เคยผลักไสหรือว่าดุเขาในเร
บอกตามตรงว่านี่คงจะเป็นงานแต่งที่เจ้าสาวสบายมากที่สุดในจักรวรรดิแห่งนี้ เฟรญ่าแทบไม่ต้องจัดเตรียมอะไรเลยเพราะว่าพี่เจนนีสและลิเวียจัดเตรียมเอาไว้ให้อย่างเรียบร้อยหมดทุกอย่างแล้ว เธอเพียงสวมชุดเจ้าสาวที่แสนงดงามและเข้าร่วมงานแต่งเท่านั้นเองเฟรญ่าหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อมาร์เซลพาเธอออกมาจากงานแต่งที่แสนยิ่งใหญ่ เขาพาเธอมาที่คฤหาสน์ฮอร์ตันที่เราพึ่งได้รับมาเป็นของขวัญแต่งงาน และในห้องนอนก็เต็มไปด้วยกลิ่นหอมของดอกกุหลาบ มันทั้งหอมหวานและเย้ายวนมากทีเดียว“เจ้ากำลังข้ามขั้นพิธีแต่งงานอยู่นะมาร์เซล เราไม่ควรด่วนชิงเข้าหอก่อนที่งานเลี้ยงจะเริ่ม..”เขาส่งยิ้มให้เธอในขณะที่กำลังถอดกระดุมเสื้อของตัวเองออกมา เขาอดทนมานานมากพอสมควร อดทนแล้วอดทนอีกเพราะว่าเฟรญ่าพึ่งจะฟื้นขึ้นมาจากอาการบาดเจ็บ เพราะอย่างนั้นเขาจึงไม่ได้แตะต้องเธอเลย แต่วันนี้เขาอดทนไม่ไหวอีกแล้ว“ไม่เห็นจะต้องสนใจแขกที่เข้ามาร่วมงานเลยนี่ นี่คืองานแต่งของเราและข้าอยากอยู่กับท่าน..เข้าหอเร็วหน่อยคงไม่เป็นไรหรอกครับ หรือว่าพี่กังวล"เฟรญ่าดึงผ้าคลุมหน้าของเธอออกไป เธอไม่ได้ยืนมองมาร์เซลถอดชุดอยู่เฉยๆ แต่เธอเองก็ถอดชุดเดรสแต่งงานออกเช่
บัตรเชิญของงานแต่งเลดี้ทีเซียส วีรสตรีที่ร่วมการกอบกู้เดียลอร์ลนั้นถูกส่งให้แก่ขุนนางมากมายในจักรวรรดิ บอกตามตรงว่าในตอนที่เฟรญ่าเห็นชื่อและรูปวาดของตัวเองเด่นหราอยู่บนหน้าหนังสือพิมพ์เธอค่อนข้างตกใจมากพอสมควร เพราะเธอไม่คิดว่าเรื่องที่มาร์เซลกล่าวออกมานั้นมันจะเป็นเรื่องจริง“ให้ตายเถอะ ข้ารับมือกับคำว่าวีรสตรีอะไรพวกนั้นไม่ไหวจริงๆ”ลิเวียหัวเราะออกมา“เจ้าคู่ควรกับมันนะเฟร เรื่องความรักที่แสนอบอุ่นนี้ก็ด้วย มาร์เซลคือบุรุษที่ดีมากทีเดียว”ลิเวียกล่าวพร้อมกับสวมสร้อยคอที่มีสีเดียวกับดวงตาของเฟรญ่าลงไปบนลำคอยาวระหง เพื่อนเพียงคนเดียวของเธอแต่งงานแล้ว เฟรญ่าคือสตรีที่งดงามมากๆ ในสายตาของลิเวีย เราพบเจอกันเพราะพี่เจนนีสมาทำงานที่ทีเซียสและพี่สาวก็ร้องขอให้เธอมาเป็นเพื่อนกับเฟรญ่า เพราะสงสารที่เฟรญ่าอยู่คนเดียวในคฤหาสน์ที่แสนกว้างใหญ่ และนั่นทำให้ลิเวียได้มาพบเจอกับคาร์เตอร์ จนได้แต่งงานและเป็นจักรพรรดินีทุกวันนี้เพราะความสามารถของเฟรญ่าเลยเธอถึงได้มีความสุขมากๆ ในช่วงเวลาที่เฟรญ่ากำลังจะได้แต่งงาน เพราะมันเหมือนกับว่าครั้งนี้เป็นเธอแล้วนะที่ได้ส่งเฟรญ่าไปให้ถึงฝั่งฝันกับความรักที่ดีงา
มาทอสพาเฟรญ่าและเจนนีสเดินทางกลับมาที่เมืองหลวงพร้อมกันในอีกสองสัปดาห์ต่อมา คาร์เตอร์ตั้งขบวนเพื่อรอรับการกลับมาของเฟรญ่า ทันทีที่เธอเดินลงมาจากรถม้า คาร์เตอร์ก็พุ่งตัวเข้าไปกอดเฟรญ่าเอาไว้มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นมา และหนึ่งในเรื่องราวเหล่านั้นมันกำลังสั่นคลอนพี่ชายที่แสนกล้าหาญของเธออย่างหนักเลยสินะเฟรญ่าพบเจอคาร์เตอร์ในครั้งแรกตอนที่เธออายุสิบสี่ปี เขาคือองค์รัชทายาท ตามสายเลือดแล้วท่านพี่มาทอสคือน้องชายขององค์จักรพรรดิผู้เป็นพ่อของคาร์เตอร์ เราทั้งคู่จึงถูกเลี้ยงดูมาด้วยกันและสนิทสนมกันมากทีเดียว เพราะแผลในใจที่เคยได้รับจากแม่เลี้ยงทำให้เฟรญ่านั้นหวาดกลัวผู้คนเป็นอย่างมาก อีกทั้งท่านพี่มาทอสก็งานยุ่งมากเพราะในช่วงเวลานั้นท่านพี่มาทอสรับตำแหน่งดยุคมาจากท่านพ่อแล้ว ทำให้เขาไม่มีเวลามาคอยดูแลน้องสาวต่างแม่สักเท่าไหร่นัก ผู้ที่ดูแลและสนิทสนมกับเฟรญ่ามากที่สุดคือคาร์เตอร์ ลูกพี่ลูกน้องของเธอ เขาพยายามเข้าหาเธอในทุกวัน ชวนเธอออกไปข้างนอก และเป็นผู้ที่พาเธอก้าวเดินไปยังงานเลี้ยงในแวดวงสังคม“ฟังนะเฟร จะไม่มีใครหน้าไหนกล้าดูถูกเจ้าทั้งนั้น พี่จะปกป้องเจ้าเองเพราะอย่างนั้นไม่ต้องกังวลหรื
เมื่อเฟรญ่าทำท่าไม่เชื่อ มาร์เซลก็หัวเราะออกมาเสียงดัง เขาจับมือเธอพร้อมกับพาเธอวิ่งไปยังงานเทศกาลของเดียลอร์ลที่ในยามนี้มีชาวบ้านมากมายกำลังเต้นรำอยู่ตามท้องถนน บนใบหน้าหล่อเหลานั้นมีรอยยิ้มฉายชัดอยู่ มันเป็นรอยยิ้มที่ทำให้ดวงตาของเฟรญ่านั้นพร่ามัวไปในทันทีราวกับว่ารอยยิ้มของเขามันแฝงไปด้วยเวทมนตร์แค่เขายิ้มก็ทำให้หัวใจของเธออ่อนลงยวบยาบ ฝ่ามือของเราเกาะกุมกันไว้โดยไร้คำพูด มาร์เซลหยุดเดินพร้อมกับหมุนตัวมาหาเธอ เขายกมือขึ้นมาจับเอวของเธอเอาไว้ ก่อนจะยกขึ้นเล็กน้อยแล้วพาเธอหมุนตัวตามจังหวะของเครื่องดนตรีพื้นเมือง เฟรญ่าหยักยิ้มขึ้นมาในทันที หัวใจของเธอมันเต้นผิดจังหวะในทุกครั้งที่อยู่กับเขา มันคือความรักที่ไม่รู้เหมือนกันว่าจะอธิบายเช่นไร แต่ในยามที่เธอมองเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา มันทำให้เธอมีความสุขได้โดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย บางทีความหวังของเธอก็เป็นเรื่องง่ายๆอย่างเช่นการคาดหวังให้มาร์เซลมีความสุขตลอดไป..“เวลาที่ท่านยิ้มออกมามันสวยมากเลยนะครับ..”ในวันที่พบเจอกันครั้งแรก เขาก็เชื่อมั่นในพรหมลิขิตในทันทีว่าคนรักของเขาจะต้องเป็นเธอเท่านั้น บางสิ่งในอกค่อยๆ แผ่ซ่านออกมา หัวใจที่เย็นย
งานเทศกาลในครั้งนี้จัดขึ้นมาในฤดูที่กำลังปลูกพืชผล เมืองเดียลอร์ลนั้นได้รับผลกระทบเป็นวงกว้างเพราะอย่างนั้น บารอนดีแลนจึงหารือกับชาวบ้านจัดงานนี้ขึ้นมา เพื่อให้บรรยากาศในเดียลอร์ลนั้นดีขึ้นมา ก่อนหน้านั้นกับบางคนที่เผชิญหน้ากับความสูญเสีย พวกเขาไม่อยากแม้แต่จะหายใจต่อไปดีแลนรู้สึกผิดกับชาวเมืองมากทีเดียว กับการตัดสินใจที่ผิดพลาดของเขา เพราะอย่างนั้นเขาจึงพยายามที่จะฟื้นฟูเดียลอร์ลขึ้นมาใหม่เพื่อให้ที่นี่กลับมามีบรรยากาศที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขเช่นเดิมเฟรญ่าเดินไปบนถนนหนทางที่เต็มไปด้วยนักเดินทาง ไม่ว่าจะถามเธอสักกี่ครั้ง เฟรญ่าก็ยังคงตอบได้ในทันทีว่าเดียลอร์ลคือเมืองที่เธอชอบมากที่สุด ความธรรมดาของที่แสนพิเศษ“ไม่เจอกันนานเลยนะเฟร..”ดีแลนเดินเข้ามาทักทายเฟรญ่าด้วยใบหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม“อื้ม ที่นี่เหมือนเดิมเลยนะคะ เหมือนเดียลอร์ลที่ข้ารู้จัก”เฟรญ่าจุดยิ้มที่แสนงดงามบนใบหน้าของเธอ เธอคิดว่าดีแลนเองก็คงจะได้รับผลกระทบทางจิตใจเช่นเดียวกัน“ขาของเจ้า..มันหายดีเป็นปกติแล้วสินะ”เฟรญ่าก้มมองเท้าของตัวเอง เธอพ่นลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ถึงแม้จะรู้สึกแปลกๆ อยู่บ้างในยามที่ไ
การรอคอยสำหรับมาร์เซลนั้นถือเป็นความทรมานมากเกินกว่าที่เขาจะคาดคะเนเอาไว้ซะอีก เขาไม่เคยรู้จักความรักมาก่อนเลย ยิ่งไม่เคยรักใครและทุ่มเทกายใจให้ขนาดนี้ เราทั้งคู่ตั้งใจว่าจะแต่งงานกันหลังจากนี้ ตั้งใจอย่างแรงกล้าว่าเฟรญ่าจะเป็นเจ้าสาว ส่วนเขาจะเป็นเจ้าบ่าว ในงานแต่งที่ยิ่งใหญ่มากที่สุดในจักรวรรดิ เขาและเธอจะสร้างครอบครัวเล็กๆ ด้วยกัน พร้อมกับนั้นลูกของเขาคงจะน่ารักมากทีเดียวเพราะว่าเฟรญ่าชอบเด็ก ทว่าในยามนี้ เธอก็ยังไม่ฟื้นขึ้นมาเลย..ในค่ำคืนที่ดวงจันทร์ลอยเด่นบนนภา มาร์เซลจุมพิตลงไปบนหลังฝ่ามือของเฟรญ่า ก่อนที่เขาจะหลับตาลงเพื่อเฝ้าอธิษฐานจากใจจริง“ตื่นขึ้นมาเถอะมา กลับมาเพื่อให้ข้าได้บอกรักเจ้าจะได้รึเปล่า ได้โปรดเถอะ..กลับมาหาข้าอีกครั้ง..”น้ำเสียงของเขามันเต็มไปด้วยความสั่นเครือ หยาดน้ำตาเปียกชุ่มอยู่บนมือของเฟรญ่า ท่ามกลางห้องที่เงียบงัน มีเพียงเสียงสะอื้นของมาร์เซลเท่านั้นที่ดังออกมา“...มาร์เซล อย่าร้อง”ดวงตาของเขาเบิกกว้างออกมาในทันทีที่ได้ยินเสียงที่แสนคิดถึง และเมื่อมาร์เซลเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งเขาก็พบเจอกับดวงตาสีครามที่กำลังจ้องมองใบหน้าของเขาอยู่ บนดวงหน้างามล้ำยิ่งกว่
เฟรญ่านั่งกอดเข่าอยู่บนเตียงตามลำพัง แววตาของเธอสะท้อนความอ้างว้างและโดดเดี่ยวอย่างเห็นได้ชัด ในห้องนี้ไม่มีใครเลยนอกจากเธอเธออยู่ที่นี่มานานแค่ไหนแล้วก็ไม่รู้ รู้เพียงแต่เธอพยายามที่จะเดินออกไปจากห้องนี้มากแค่ไหนก็ไม่สามารถออกไปได้ เป็นห้องโล่งๆ ที่ไม่มีแม้กระทั่งหน้าต่างสักบาน เธอนอนหลับไปและเมื่อตื่นขึ้นมาก็จะพบเจอกับอาหารทั้งสามมื้อที่วางเอาไว้บนโต๊ะ เธอไม่รู้ว่าตัวเองมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน รู้เพียงแต่ว่าเธอจะต้องหาทางออกไปจากที่นี่ให้ได้ ไม่อย่างนั้นมาร์เซลจะต้องกำลังเป็นห่วงเธออย่างแน่นอน ไหนยังจะท่านพี่ของเธออีกจะมามัวอยู่ที่นี่ตลอดไปไม่ได้เพราะอย่างนั้นเฟรญ่าก็เลยคิดแผนการขึ้นมา การที่มีอาหารมาวางเอาไว้ในช่วงที่เธอหลับ นั่นหมายความว่าจะต้องมีคนเดินเข้ามาที่นี่และเธอจะต้องแกล้งหลับ เพื่อที่จะดูว่าคนที่ขังเธอเอาไว้ที่นี่คือใครกันแน่เมื่อคิดได้ดังนั้นเฟรญ่าก็ล้มตัวนอนลงในทันที เธอหลับตาพร้อมกับเผยอปากออกมาเล็กน้อยเพื่อให้ดูสมจริง แล้วก็เป็นอย่างที่คิดเพราะเมื่อเธอล้มตัวนอน เสียงเปิดประตูก็ดังขึ้นมา พร้อมกับฝีเท้าที่ก้าวเดินเข้ามาอย่างช้าๆเฟรญ่าค่อยๆ ปรือตามองอย่างช้าๆ เธอร
คาร์เตอร์มองเฟรญ่าที่กำลังนอนหลับอยู่ เขาอยู่ในสภาพที่บาดเจ็บสาหัสมากพอสมควร ปกติแล้วเรื่องการต่อสู้หรือการออกรบ เขาล้วนแล้วแต่ทำมันได้ดีมากทีเดียวแต่เพราะการสูดดมไอขุ่นมัวเหล่านั้นทำให้เขาหมดแรง ซึ่งมันทรมานมากที่เขารับรู้เรื่องราวต่างๆ มากกว่าแต่ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้เลยแม้แต่นิดเดียวเขามองเห็นว่าเฟรญ่า นางแตกสลายมากแค่ไหนกับการที่นางลงมือจัดการกับต้นตอของเรื่องนี้ เฟรญ่าในสายตาของคาร์เตอร์เหมือนคนที่เผชิญหน้ากับความเจ็บปวดเจียนตาย ทั้งๆ ที่นางควรจะดีใจเมื่อแอชตันตายไป แต่นางก็ยังร้องไห้ออกมาไม่หยุด ในช่วงเวลาที่นางลงมือทำร้ายแอชตันเฟรญ่าก็ยังร้องไห้ออกมามันเป็นเพราะว่าเฟรญ่า น้องสาวของเขานั้นจิตใจดีมากเกินไป นางไม่เคยทำร้ายคนอื่นมาก่อนเลย แล้วไอ้เวรนั่น..ไอ้แอชตันจะต้องทำร้ายเฟรญ่าหนักหนาสาหัสมากแค่ไหน คนที่ไม่เคยทำร้ายคนอื่นแม้แต่ปลายเล็บอย่างเฟรญ่า ถึงได้ลุกขึ้นมาเพื่อจัดการหมอนั่นด้วยความเจ็บปวดมากมายขนาดนั้น“เรื่องนี้ไม่มีใครผิดหรอกพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทอย่าได้วิตกกังวลมากเกินไปเลย”มาร์เซลปลอบใจองค์จักรพรรดิที่กำลังโมโหตัวเองอยู่ เขาพบเจอสภาพของค่ายทหารที่อาบไปด้วยเลือด พร้อมก