เมืองเล็กๆ ในหุบเขาที่มีบรรยากาศดีเยี่ยมในการพักผ่อน เฟรญ่ามาที่นี่ตั้งแต่เมืองสองปีก่อน เธอตั้งใจว่าจะพักผ่อนเป็นการชั่วคราว แต่ทว่าเธอดันชอบบรรยากาศความเงียบและความอบอุ่นของที่นี่มากทีเดียว ในระหว่างที่พักอยู่ที่นี่ ก็มีเจ้าของโรงแรมประกาศขายโรงแรมเพราะว่านางจะแต่งงานแล้วย้ายไปอยู่ที่เมืองอื่นกับสามี เฟรญ่ามองว่านั่นคือโชคชะตาล่ะ
แน่นอนว่าเงินที่เธอมีในบัญชีนั้น เธอไม่ต้องทำงานจำนวนเงินในนั้นก็เพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ แบบไม่มีวันกินใช้จนหมดเลยด้วยซ้ำ เพราะมันถูกฝากเข้าเรื่อยๆ จากท่านพี่มาทอส แต่เฟรญ่าชอบที่นี่ เธอถึงได้ตัดสินใจซื้อโรงแรมนี้ต่อจากเจ้าของคนเก่า และปรับปรุงใหม่เพื่อให้โรงแรมแห่งนี้เหมาะสมกับบรรยากาศที่จะต้อนรับนักเดินทางต่างๆ ที่หลั่งไหลเข้ามา “มีห้องพักว่างรึเปล่าครับ” เฟรญ่าส่งยิ้มให้กับทหารรับจ้างคนหนึ่งที่เดินเข้ามาถาม “ไม่ทราบว่าอยากจะได้ที่พักกี่ห้องคะ” “สี่ห้องครับ ขอห้องที่ดีที่สุดสำหรับหัวหน้าของเราด้วย” เฟรญ่าหยิบตารางการเข้าพักขึ้นมาดู ปกติแล้วเธอไม่ได้เป็นพนักงานต้อนรับด้วยตัวเอง เพราะจะมีเกรซเป็นคนรับหน้าที่นี้ แต่เพราะว่าวันนี้ในหมู่บ้านมีงานเลี้ยงฤดูเก็บเกี่ยว เกรซที่ต้องช่วยแม่ของนางตั้งร้านขายของก็เลยมาถึงที่นี่ช้าจากเวลางานนิดหน่อย “สี่ห้องนะคะ ไม่ทราบว่าจะพักกี่วันคะ” เดม่อนมองหน้าของสตรีเบื้องหน้าด้วยใบหน้าที่ขึ้นเป็นสีแดงระเรื่อ เขาไม่เคยพบเจอสตรีที่งดงามโดดเด่นเช่นนี้มาก่อนเลย “เรื่องนั้นข้าคงจะต้องไปถามหัวหน้าของเราก่อน..รอสักครู่นะครับ” “คงจะดีหากว่าท่านเรียก..หัวหน้าของท่านมาคุยกับข้า เพราะมีเรื่องค่าประกันและค่าเข้าพักห้องชั้นบนที่แพงกว่าห้องอื่นเล็กน้อย..” ในเมื่อเขาต้องการห้องที่ดีที่สุด เช่นนั้นก็จะต้องจ่ายในราคาที่สมน้ำสมเนื้อหน่อยสิ เธอไม่ได้เห็นแก่เงินแต่เพราะว่าในช่วงนี้คืองานเทศกาลที่ใหญ่มากในเมืองเดียลอร์ล จะมีนักเดินทางหลั่งไหลเข้ามาที่นี่อย่างแน่นอนในช่วงสองสัปดาห์นี้และห้องชั้นบนสุดของโรงแรมถือเป็นห้องพักที่นักเดินทางมากมายต้องการเข้าพัก.. เดม่อนเดินออกมาด้านนอกเพื่อมาตามหัวหน้าของเขาไปพูดคุยกับผู้ดูแลห้องพัก “ดูเหมือนว่าคนที่นี่จะเรื่องเยอะมากทีเดียว..ไม่เป็นไรเดม่อน เดี๋ยวข้าจะเข้าไปคุยเอง พวกเจ้าพาม้าของเราไปพักที่ด้านหลังเถิด” มาร์เซลคิดว่าเขากำลังหงุดหงิดมากพอสมควร เพราะว่าเขาเดินทางอย่างเหนื่อยล้าเพื่อมาที่นี่ เขาเดินเข้าไปด้านในโรงแรม บรรยากาศด้านที่นี่ดูราวกับคฤหาสน์หรูๆ สักหลังเลย ดวงตาสีทับทิมของเขาจ้องมองไปยังพนักงานต้อนรับที่ยืนอยู่ตรงเคาน์เตอร์ สิ่งที่แสนสะดุดตาคือเรือนผมสีเงินที่เด่นชัดและดวงตาสีฟ้าน้ำทะเล ดวงหน้างามในแบบที่เขาเข้าใจท่าทีประหม่าของเดม่อนที่เดินออกไปจากที่นี่แล้วละสิ คราแรกเขาคิดว่าเพราะ เดม่อนอาจจะถูกผู้ดูแลโรงแรมทำท่าเรื่องมากใส่ แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่แบบนั้น “สวัสดีค่ะ ไม่ทราบว่านายท่านจะเข้าพักกี่วันคะ” เฟรญ่าเอ่ยถามออกมาด้วยใบหน้าที่เปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม ชายเบื้องหน้าดูเด็กมากกว่าที่เธอคิด เพราะในคราแรกที่ทหารรับจ้างคนแรกบอกว่าจะไปเรียกหัวหน้าของเขามา เธอคิดว่าจะเป็นชายหนุ่มที่ดูสูงอายุและน่าเกรงขามมากกว่านี้ซะอีก “เรื่องนั้นข้าจะพักอยู่ที่นี่สักสองเดือนครับ..” สองเดือน? ถือเป็นระยะเวลาที่นานมากพอสมควรกับโรงแรมหรูและทหารรับจ้างแบบพวกเขา “เช่นนั้นข้าต้องขอเก็บค่าเข้าพักล่วงหน้า..” เขาวางถุงทองลงบนเคาน์เตอร์ “เรื่องนั้นไม่มีปัญหาอะไรเลยครับ ว่าแต่พี่สาวเป็นพนักงานของที่นี่เหรอครับ” แค่ดูชุดเดรสที่สวมก็รู้แล้วว่าเธอไม่ได้เป็นพนักงานแต่เป็นเจ้าของที่นี่ต่างหาก “ค่ะ..ยินดีต้อนรับเข้าสู่โรงแรมของเรานะคะ นี่เป็นกุญแจห้องทั้งสี่ห้อง..ช่วงเช้าจะมีอาหารเช้ายกขึ้นไปให้ที่หน้าห้อง หากท่านไม่ต้องการสามารถปฏิเสธได้..” มาร์เซลยกยิ้มออกมา “พี่สาวเป็นคนยกอาหารขึ้นไปรึเปล่าครับ เพราะหากพี่ยกขึ้นไปให้ ข้าคงจะไม่ปฏิเสธ” รอยยิ้มของเฟรญ่ามันแข็งค้างอยู่บนใบหน้าของเธอ ชายเบื้องหน้านั้นมีใบหน้าที่สะดุดตามากทีเดียว เรือนผมสีแดงและรอยยิ้มที่ทำให้เขาดูเหมือนเด็กหนุ่มน่ารักๆ คนหนึ่ง แต่เขาเป็นทหารรับจ้างนี่แหละ หากเขาได้เป็นหัวหน้าตั้งแต่อายุเท่านี้ แสดงว่าเขาคงจะสังหารคนมานับไม่ถ้วนแล้ว ทางที่ดีเธอไม่ควรไว้ใจใบหน้าซื่อๆ และรอยยิ้มหวานๆ ของเขา.. “เรื่องนั้นพนักงานของที่นี่จะเป็นผู้ยกขึ้นไปค่ะ ขอทราบชื่อของผู้เข้าพักด้วยค่ะ” มาร์เซลหัวเราะออกมาเบาๆ กับการขีดเส้นของสตรีเบื้องหน้า เธอไม่ได้สนใจเขาเลย..ในดวงตาสีน้ำทะเลนั่นไม่ได้หวั่นไหวไปกับใบหน้าที่แสนหล่อเหลาของเขาเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามในแววตาของเธอแสดงออกให้เห็นถึงความไม่ไว้ใจ ถึงอย่างไรเขาก็จะต้องพักอยู่ที่นี่นานมากอยู่แล้วเพราะอย่างนั้นลองเล่นสนุกกับสตรีที่ดูท่าทางว่าจะมอบความสนุกให้เขาหน่อย น่าจะดีกว่า “มาร์เซลครับ..ชื่อของข้าคือมาร์เซล” เฟรญ่าชะงักเล็กน้อยเมื่อเขาเอ่ยชื่อของตัวเองขึ้นมา เธอเงยหน้าขึ้นมามองหน้าของเขา.. มาร์เซล..ชื่อนี้มันชื่อเดียวกันกับเจ้าของดาบที่เธอใช้ปลิดชีพตัวเองในชาติที่แล้วเลย..คงไม่ใช่หรอกมั้ง ก็แค่คนชื่อเหมือนทั่วๆ ไป “ค่ะท่านมาร์เซล ขอให้ช่วงเวลาที่ท่านพักผ่อนอยู่ที่เดียลอร์ลมีแต่ความสุขนะคะ” เรื่องนั้นเขามีความสุขอย่างแน่นอน หากที่นี่มอดไหม้น่ะนะ..แต่เมื่อถึงเวลานั้นดวงตาสวยๆ คู่นั้นจะร้องไห้ออกมารึเปล่านะ ชักสงสัยแล้วละสิ “แล้ว..ที่นี่มีพี่สาวคนสวยทำงานอยู่คนเดียวงั้นเหรอครับ” เฟรญ่าส่งยิ้มให้เขา ทำไมหมอนี่ยังไม่ไปจากเธอสักทีนะ..กุญแจห้องพักก็ให้ไปแล้วไม่ใช่เหรอ “เพราะว่าวันนี้เป็นวันแรกของเทศกาลเก็บเกี่ยว พนักงานคนอื่นๆ ก็เลยมาถึงที่นี่ช้าค่ะ” มาร์เซลพยักหน้า “เป็นแบบนี้นี่เอง หมายความว่าในโรงแรมแห่งนี้มีพี่สาวอยู่คนเดียวใช่ไหมครับ แบบนั้นถ้าหากว่าข้าลักพาตัวพี่ขึ้นไปบนห้องชั้นบนสุดด้วยกันก็คงจะไม่มีใครรู้อย่างนั้นสินะ..” เป็นอีกครั้งที่รอยยิ้มของเฟรญ่าแข็งค้างบนใบหน้า เธอไม่ได้ถูกพูดถึงในลักษณะนี้เป็นครั้งแรกสักหน่อย แต่เพราะว่าใบหน้าของเด็กหนุ่มเบื้องหน้ามันค่อนไปทางน่ารักมากกว่าที่เขาจะกล่าวถ้อยคำหยอกล้อที่รุนแรงออกมาแบบนั้น “ฮะ.ฮ่า ท่านล้อเล่นเกินไปแล้วนะคะ” เฟรญ่าหัวเราะออกมาทั้งๆ ที่ในใจของเธอไม่ได้รู้สึกเช่นนั้นเลย มาร์เซลส่งยิ้มที่แสนเจ้าเล่ห์ให้กับเฟรญ่าอีกครั้ง “แล้ว..พี่สาวชื่อว่าอะไรกันครับ มันไม่ยุติธรรมนี่หากว่าพี่จะรู้ชื่อของข้าแค่ฝ่ายเดียวน่ะ” เขาไม่ได้ปฏิเสธว่าตัวเองพูดเล่น มาร์เซลกวาดสายตามองไปรอบๆ เขากำลังคิดจะพาพี่สาวคนสวยขึ้นไปบนห้องด้วยกันจริงๆ ต่างหาก“นายหญิงครับ..”เสียงเรียกนั้นดึงความสนใจของทั้งเฟรญ่าและมาร์เซลไปไว้ที่ชายผู้เดินเข้ามาใหม่ แน่นอนว่าชายผู้นั้นมองหน้ามาร์เซลอย่างไม่ไว้ใจสักเท่าไหร่“อ่า..มาพอดีเลยสินะเบน ฝากเจ้าพาแขกของเราไปที่ห้องพักหน่อยสิ”เฟรญ่ารีบกล่าวออกมาพร้อมกับเดินออกไปจากเคาน์เตอร์ต้อนรับในทันที มาร์เซลมองตามแผ่นหลังบางของเธอ และเมื่อเห็นจังหวะการก้าวเดินที่มันผิดปกติ บวกกับมือที่ถือไม้เท้าช่วยพยุงแววตาของมาร์เซลก็หรี่ลงมาเล็กน้อย ได้โอกาสหนีพอดีเลยสินะ พอมีคนเข้ามาใหม่เธอถึงได้ไม่หันมองหน้าเขาแม้แต่นิดเดียวฉับพลันดวงตาของมาร์เซลก็เปลี่ยนเป็นประกายแวววาว เขาว่าจะอยู่ที่นี่ต่ออีกหน่อย เห็นทีว่าระยะเวลาเพียงหนึ่งเดือนคงจะไม่นานพอให้ได้เล่นสนุกซะแล้วสิเฟรญ่าเดินออกมาจากโรงแรม เธอมีบ้านอยู่ที่นี่เป็นบ้านหลังเล็กๆ ที่อยู่ถัดจากโรงแรมไปอีกหน่อย ตลอดระยะเวลาสองปีที่ผ่านมาเธอติดตามข่าวของแกรนด์ดยุคจามินอย่างใกล้ชิด ปกติแล้วในช่วงเวลานี้เขาจะต้องเดินทางไปที่เมืองหลวงเพื่อไปอยู่ที่เมืองหลวงนานแรมปีเพราะคำสั่งขององค์จักรพรรดิ ทว่าเธอไม่ได้ยินข่าวเรื่องการเดินทางนั้นของแอชตันเลย ไม่ได้ยินคำสั่งขององค์จักรพรรดิด้วย
ทั้งๆ ที่คิดว่าจะหลบหนีไปจากตรงนั้น แต่เมื่อถึงเวลาจริงๆขาทั้งสองข้างของเฟรญ่ามันกลับก้าวเดินไม่ออก เธอกำไม้เท้าเอาไว้ในมือแน่น เมื่อเขาเดินมาประชิดตัวด้วยท่าทีหอบเหนื่อย“เฟรญ่า..จะ..เจ้าหายไปไหนมา!! แล้วมันเกิดเรื่องอะไรขึ้นระหว่างเรากัน ก่อนการตกลงหมั้นหมายเจ้ากับข้าเราสองคนยังรักกันอยู่ดีๆ อยู่เลย แล้วทำไม..”“ท่านแกรนด์ดยุค สำหรับข้าแล้ว เรื่องของเรามันเป็นเพียงเรื่องราวที่ผ่านมาแล้วเท่านั้น ทั้งสองฝ่ายลงนามบนหนังสือถอนหมั้นเรียบร้อย ข้าและท่านในยามนี้เปรียบเสมือนคนแปลกหน้า ข้ามาเที่ยวที่นี่เพื่อต้องการมองดูบรรยากาศที่แสนสนุกสนานของงานเทศกาล เราต่างคนต่างไปเถอะนะคะ..”แอชตันเอื้อมมือมาจับข้อมือของเฟรญ่าเอาไว้แน่น สีหน้าของเขามันเต็มไปด้วยความวิงวอนและขอร้อง ดวงตาของแอชตันแดงก่ำราวกับว่าเขากำลังจะร้องไห้ออกมาจนถึงตอนนี้การแสดงของเขา..ยังคงนับว่ายอดเยี่ยมเหมือนเดิมเลยสินะ เขาทำแบบนี้ได้อย่างไรกัน แสดงออกมาราวกับว่ารักเธอจริงๆ ..“เฟรญ่า..ข้าไม่เคยลืมเจ้าได้เลยแม้แต่วันเดียว ท่านแม่และแครอลลีนอยากเจอเจ้ามากนะ ครอบครัวของข้าทุกคนเลยอยากจะพบเจอเจ้าอีกครั้ง กลับไปที่จามินกับข้าได้ไหม
เพราะเหล้ารัมที่ดื่มเข้าไปหลายแก้ว และเพราะจิตใจที่ไม่มั่นคงของเฟรญ่า นั่นทำให้เธอคิดว่าเธออยากจะหลบหนีไป..ถึงแม้ว่าเธอจะหนีมามากพอแล้วก็ตามดวงตาของมาร์เซลเบนสายตามองใบหน้าที่กำลังขึ้นเป็นแดงระเรื่อของฤทธิ์ของสุรา ดวงตาสีน้ำทะเลของเธอฉ่ำวาวและปรือปรอยทว่าในแววตานั้นมีความโศกเศร้าที่ราวกับว่าเธอพร้อมจะตายได้ทุกเมื่อ สตรีอายุไม่น่าจะเกินยี่สิบห้าแต่มีแววตาราวกับสตรีที่มีอายุมากกว่านั้นตัวแปรในเรื่องนี้คือแกรนด์ดยุคจามิน อย่างงั้นเหรอ เขาคนนั้นสามารถทำให้ใบหน้าที่งดงามของพี่สาวคนสวยเต็มไปด้วยร่องรอยความเศร้าหมองขนาดนี้เลยหรือ?“ทำไมถึงอยากจะหนีล่ะครับ”“...ข้าคิดว่าทหารรับจ้างจะยอมทำตามสิ่งที่ว่าจ้างทุกอย่างซะอีก”มาร์เซลส่งเสียงร้อง “หึ” ออกมาเบาๆ“นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนว่าจ้างให้ข้าลักพาตัว..ตัวเองนะครับ คำสั่งที่ไม่เคยทำมาก่อน ข้าจะต้องสอบถามรายละเอียดให้ดีหน่อยสิ”ร่างกายของเฟรญ่าโอนเอนเล็กน้อยขณะพูด เธอซบใบหน้าลงบนฝ่ามือของตัวเอง“นี่คือความรู้สึกแบบไหนกันครับ การหลบหนีของท่านมันคือการหลบหนีเพราะว่าท่านทำผิดอย่างนั้นหรือ?”“ไม่ใช่นะ! ข้าไม่ได้ทำผิดเลย!!”เป็นอีกฝ่ายต่างหากที่ทำผิด
บนใบหน้าหล่อเหลาเผยให้เห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยความคาดไม่ถึง เพราะที่เขามองเห็น..สตรีเบื้องหน้านั้นงดงามมากทีเดียว นางสวย เก่งและดูเข้มแข็งมากในสายตาของเขา ทว่ามาร์เซลไม่รู้มาก่อนเลยว่าภายในของนางจะแตกสลายถึงเพียงนี้“เรื่องนั้น..พี่สาวผ่านมันมาแล้วนี่ครับ”เธอผ่านมันมาแล้ว เพราะแม่เลี้ยงเสีย และพี่ชายที่ยืนหยัดปกป้องเธอมาช่วยเหลือเอาไว้ แต่กว่าที่เธอจะกลับมายิ้มได้อีกครั้งมันใช้เวลานานมากทีเดียว เธอคิดว่าเรื่องร้ายๆ ในชีวิตมันผ่านไปหมดแล้ว จนได้พบเจอกับบ้านของแอชตันเธอถามตัวเองทุกวันว่าทำไมถึงเป็นเธอที่จะต้องพบเจอเรื่องราวที่แสนเลวร้ายพวกนี้ซ้ำๆ เธอทำอะไรผิดหนักหนาถึงไม่ได้รับอนุญาตให้มีความสุข..บางทีการย้อนเวลากลับมานี้ พระเจ้าอาจจะได้ยินเสียงก่นด่าของเธอก็เป็นได้ เธอถึงได้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง และสามารถเลือกทางเดินชีวิตของตัวเองได้“ข้าเคยฝัน..มันเป็นความฝันที่ยาวนานราวกับลางบอกเหตุ ข้าเชื่อมั่นในความรักและอยากจะมีความรักกับบุรุษสักคน เพียงแต่ในบ้านของชายที่ข้ารัก มีแม่ของเขาที่นิสัยเหมือนกับแม่เลี้ยงของข้า มีน้องสาวที่ชอบแย่งข้าวของทุกอย่างของข้าไป ส่วนสามีก็มีภรรยาคนใหม่ พวกเขาเ
ในตอนแรกเรายื้อกันอยู่พักหนึ่ง เพราะว่าเฟรญ่ายืนยันว่าเธอจะเดินเอง ทั้งๆ ที่ทรงตัวเองไว้แทบไม่อยู่ ส่วนมาร์เซลเขาได้แต่ยืนอยู่ข้างๆ เธอ วงแขนแสนอบอุ่นนั้นกำลังโอบเอวของเฟรญ่าเอาไว้หลวมๆ และคอยประคองร่างเล็กๆ นั่นให้อยู่ในอ้อมแขนของเขาบนใบหน้าหล่อเหลานั้นระบายรอยยิ้มออกมาด้วยความเอ็นดู เพราะในยามที่สตรีในอ้อมแขนไม่ได้เมา เธอมักจะทำตัวสง่างามและตั้งกำแพงใส่เขาอยู่เสมอ แต่ในยามนี้ไม่ได้เป็นเช่นนั้น พี่สาวคนสวยดูเหมือนเด็กสาวตัวน้อยที่กำลังเอาแต่ใจ“ให้ข้าอุ้มไปเถอะครับ..พี่ไม่อยากให้ถึงบ้านของพี่เร็วๆ รึไง”เธอช้อนสายตามองหน้าเขาอีกครั้ง ในมือของมาร์เซลถือไม้เท้าของเธอเอาไว้ เขาใช้ตัวเองในการช่วยประคองเธอให้เดินไปข้างหน้าได้ใบหน้าขึ้นเป็นสีกุหลาบเพราะในยามนี้เฟรญ่ากำลังรู้สึกอับอายเป็นอย่างมาก..เธอขบกัดริมฝีปากบางจนมันช้ำเลือด“คิดอะไรอยู่กันครับ”สุดท้ายเป็นมาร์เซลที่ทนไม่ไหว เขาก้มตัวลงเล็กน้อยก่อนจะช้อนร่างกายของเฟรญ่าขึ้นมาอุ้มเอาไว้ในอ้อมแขน“เจ้าทำให้ข้ารู้สึกอับอาย..”มุมปากของมาร์เซลยกสูงขึ้นมา“อับอายหรือว่าเขินอายกันครับ ถึงแม้ว่าจะอายเหมือนกันแต่ความรู้สึกมันแตกต่างกันมากเลย
นี่มัน..อะไรกัน? คำถามมากมายกำลังผุดขึ้นมาในใจพร้อมกับดวงตาที่เบิกกว้างของเฟรญ่าเขาจูบเธอทำไมกัน แล้ว..เธอไปจูบเขาตอบทำไม? ในหัวรู้สึกสับสนมึนงงอย่างน่าประหลาด ริมฝีปากของเธอเม้มๆ คลายๆ ด้วยความชั่งใจ“ข้าพึ่งเคยลิ้มรสสุราที่หวานขนาดนี้เป็นครั้งแรกเลยนะครับ เห็นทีว่าจะต้องมากินบ่อยๆ ซะแล้ว”เมื่อเขากล่าวจบใบหน้าของเธอก็ร้อนผ่าวขึ้นมา วันนี้เธอดื่มไปมากพอสมควร แต่ถึงแม้ว่าเธอจะเมามากแค่ไหนเรื่องใบหน้าที่แสนหล่อเหลาของเขา ฤทธิ์ของสุราที่ร้ายกาจก็ยังไม่อาจลบความน่ารักไปจากใบหน้าของเขาได้เลยเดี๋ยวนะ..นี่เธอคิดอะไรกันวะเนี่ย!!“สัญญา! ข้าต้องการประทับตราลงไปบนสัญญาให้เร็วมากที่สุด ในยามนี้ก็ดึกมากแล้ว เจ้าควรจะกลับไปพักที่โรงแรม..”มาร์เซลแย้มยิ้มออกมา“หากพี่สาวรีบถึงขนาดนั้น เรารีบประทับตราลงไปบนหนังสือสัญญาเลยก็ได้ รอข้าสักพักนะครับ”เขาเดินไปหยิบกระดาษที่วางเอาไว้บนโต๊ะทำงานของเธอขึ้นมาก่อนจะขีดเขียนข้อความลงไปในบนนั้น มาร์เซลยื่นกระดาษให้เฟรญ่าพร้อมกับปากกาขนนกเพื่อให้เธอเขียนชื่อตัวเองลงไปฉิบหายแล้วไง นี่เธอ..มองตัวหนังสือพวกนี้แทบไม่รู้เรื่องเลย อีกทั้งในหัวยังรู้สึกสับสนมึนงงจนแ
ดีแลนนิ่งอึ้งไปหลายนาทีเมื่อเขาได้ยินคำกล่าวขอแกรนด์ดยุค สีหน้าที่เบิกบานพลันเคร่งเครียดขึ้นมาในทันที“เพราะเดียลอร์ลกำลังจัดงานเทศกาลเก็บเกี่ยว นักเดินทางและนักท่องเที่ยวจึงเดินทางเข้ามามากมาย หากเป็นดังเช่นที่แกรนด์ดยุคกล่าวออกมาจริงๆ เราจะหาตัวคนร้ายได้อย่างไรกันครับ”เรื่องนั้นแอชตันเองก็ยังให้คำตอบไม่ได้เหมือนกัน“เรื่องนั้นข้าเองก็ยังไม่รู้ แต่เพราะว่าที่นี่มีทหารของเจ้าวางกำลังสอดส่องเอาไว้เพื่อให้ความปลอดภัยแก่นักเดินทาง ข้ามั่นใจว่าอีกฝ่ายไม่กล้าทำอะไรผลีผลามอย่างแน่นอน ระหว่างนี้ทั้งเจ้าและข้า เราจะมาปกป้องเดียลอร์ลไปด้วยกันนะบารอน”ชื่อเสียงของแกรนด์ดยุคจามินไม่ได้โดดเด่นอะไรมากมายนัก ในสายตาของดีแลนชายเบื้องหน้ากำลังหาผลประโยชน์จากเดียลอร์ลซะมากกว่าที่จะมาปกป้อง แต่เพราะเป็นแกรนด์ดยุค เพราะชื่อเสียงที่เก่าแก่ของตระกูลจามิน เขาจึงไม่อาจแสดงสีหน้าดูถูกดูแคลนได้อย่างเปิดเผย มีแต่ต้องตามน้ำไปก่อนเท่านั้น“ด้วยความยินดีครับท่านแกรนด์ดยุค”..พูดคำว่ายินดีออกมาด้วยสีหน้าที่ไม่ได้มีความยินดีอะไรอยู่เลยสักนิด บารอนผู้นี้ก็คงกำลังดูแคลนเขาอยู่ในใจใช่ไหม เพราะจามินนั้นไม่ได้ร่ำรวยอะไ
มาร์เซลดีดนิ้วเบาๆ สัญญาที่เฟรญ่าประทับตราลงไปก็หายวับไปกับตา เขาอุ้มเธอขึ้นมาในอ้อมแขนอีกครั้ง ไม่รู้ทำไมเหมือนกันมาร์เซลคิดว่าเขาชอบในช่วงเวลาที่เฟรญ่าอยู่ในอ้อมแขนของเขามากที่สุด เพราะมันดูเหมือนกับว่าเธอเป็นของเขาทั้งที่โอกาสเช่นนี้ไม่ได้มีมาบ่อยๆ และเขาตั้งใจเอาไว้แล้วว่าจะไม่ยอมให้เธอหลุดมือไปไหน แต่ทว่าในยามนี้เปลือกตาของเธอกำลังปิดสนิท และเสียงลมหายใจที่สม่ำเสมอพวกนั้นมันทำให้เขารู้แล้วว่าตัวเองนั้นพลาดโอกาสทองไปซะแล้วเธอหลับ..และเขาไม่ได้ใจร้ายถึงขนาดที่จะล่วงเกินเธอในตอนหลับ เพราะเขาอยากจะให้ในช่วงเวลาที่เรากระทำเรื่องราวที่ลึกซึ้ง ทั้งเธอและเขาต่างก็รับรู้เรื่องราวเหล่านั้นไปด้วยกันมาร์เซลวางเธอลงบนที่นอน เขาดึงผ้าขึ้นมาห่มให้เฟรญ่าก่อนที่ตัวเองจะล้มตัวนอนลงข้างๆ เธอ ดวงตาสีทับทิมของเขาจ้องมองไปยังดวงหน้างามที่ในยามนี้เธอกำลังหลับอย่างสบายภายใต้อ้อมกอดของเขา..เธอเหมือนกับลูกแมวตัวน้อยสีขาวที่เขาเคยเลี้ยงเอาไว้เลย..มาร์เซลขยับรอยยิ้มพรายก่อนที่เขาจะค่อยๆ ปิดเปลือกตาลงอ่า..เธอดื่มเก่งมากกว่าที่คิดเอาไว้ เพราะอย่างนั้นคราวหน้าเห็นทีว่าจะต้องใช้สุราที่มีฤทธิ์แรงมากกว่านี้ซ
มาร์เซลพึ่งรู้ว่าการนั่งเรือสำเภามันไม่ใช่เรื่องสนุกเลยแม้แต่นิดเดียว เขาออกเดินทางมายังเมืองทางใต้พร้อมกันกับเฟรญ่า นี่คือการดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ของเราก่อนที่เขาจะกลับไปทำงานในตำแหน่งดยุคอย่างเป็นทางการ เราทั้งคู่เคยพูดเอาไว้ว่าอยากจะล่องเรือมาเที่ยวที่เมืองทางใต้มาชมทะเลที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน และในยามนี้เราก็กำลังอยู่กลางทะเลบนเรือสำเภาที่ค่อนข้างจะเป็นพื้นที่ส่วนตัว เพราะว่าเขาเหมาเรือลำนี้เอาไว้ เพื่อมากับเฟรญ่าเพียงแค่สองคนเท่านั้นแต่เขาอาเจียนไปสิบรอบแล้วเห็นจะได้ เพราะเขาไม่เคยนั่งเรือมาก่อน“ออกมานั่งมองทะเลดูไหม เผื่ออาการของเจ้าจะดีขึ้น”อันที่จริงแค่ได้มองหน้าสวยๆ ของเธอก็ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นแบบมากๆ แล้ว เขาจับมือของเฟรญ่าเอาไว้ก่อนจะซบใบหน้าลงไปบนไหล่ของเธอ“รักนะครับ..รักที่สุดเลย”เฟรญ่าไม่รู้ว่าเพราะอายุที่เขาเด็กกว่ามันเกี่ยวข้องด้วยรึเปล่า แต่เขาทำให้เธอรู้สึกราวกับมีลูกสุนัขตัวใหญ่ที่กำลังออดอ้อนเธอตลอดเวลา มาร์เซลติดการสัมผัสมากๆ เขาจะต้องจับมือหรือไม่ก็กอดและหอมแก้มเธอตลอดเวลา และเธอเองก็ชื่นชอบการแสดงความรักเช่นนั้นมากทีเดียว เฟรญ่าจึงไม่เคยผลักไสหรือว่าดุเขาในเร
บอกตามตรงว่านี่คงจะเป็นงานแต่งที่เจ้าสาวสบายมากที่สุดในจักรวรรดิแห่งนี้ เฟรญ่าแทบไม่ต้องจัดเตรียมอะไรเลยเพราะว่าพี่เจนนีสและลิเวียจัดเตรียมเอาไว้ให้อย่างเรียบร้อยหมดทุกอย่างแล้ว เธอเพียงสวมชุดเจ้าสาวที่แสนงดงามและเข้าร่วมงานแต่งเท่านั้นเองเฟรญ่าหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อมาร์เซลพาเธอออกมาจากงานแต่งที่แสนยิ่งใหญ่ เขาพาเธอมาที่คฤหาสน์ฮอร์ตันที่เราพึ่งได้รับมาเป็นของขวัญแต่งงาน และในห้องนอนก็เต็มไปด้วยกลิ่นหอมของดอกกุหลาบ มันทั้งหอมหวานและเย้ายวนมากทีเดียว“เจ้ากำลังข้ามขั้นพิธีแต่งงานอยู่นะมาร์เซล เราไม่ควรด่วนชิงเข้าหอก่อนที่งานเลี้ยงจะเริ่ม..”เขาส่งยิ้มให้เธอในขณะที่กำลังถอดกระดุมเสื้อของตัวเองออกมา เขาอดทนมานานมากพอสมควร อดทนแล้วอดทนอีกเพราะว่าเฟรญ่าพึ่งจะฟื้นขึ้นมาจากอาการบาดเจ็บ เพราะอย่างนั้นเขาจึงไม่ได้แตะต้องเธอเลย แต่วันนี้เขาอดทนไม่ไหวอีกแล้ว“ไม่เห็นจะต้องสนใจแขกที่เข้ามาร่วมงานเลยนี่ นี่คืองานแต่งของเราและข้าอยากอยู่กับท่าน..เข้าหอเร็วหน่อยคงไม่เป็นไรหรอกครับ หรือว่าพี่กังวล"เฟรญ่าดึงผ้าคลุมหน้าของเธอออกไป เธอไม่ได้ยืนมองมาร์เซลถอดชุดอยู่เฉยๆ แต่เธอเองก็ถอดชุดเดรสแต่งงานออกเช่
บัตรเชิญของงานแต่งเลดี้ทีเซียส วีรสตรีที่ร่วมการกอบกู้เดียลอร์ลนั้นถูกส่งให้แก่ขุนนางมากมายในจักรวรรดิ บอกตามตรงว่าในตอนที่เฟรญ่าเห็นชื่อและรูปวาดของตัวเองเด่นหราอยู่บนหน้าหนังสือพิมพ์เธอค่อนข้างตกใจมากพอสมควร เพราะเธอไม่คิดว่าเรื่องที่มาร์เซลกล่าวออกมานั้นมันจะเป็นเรื่องจริง“ให้ตายเถอะ ข้ารับมือกับคำว่าวีรสตรีอะไรพวกนั้นไม่ไหวจริงๆ”ลิเวียหัวเราะออกมา“เจ้าคู่ควรกับมันนะเฟร เรื่องความรักที่แสนอบอุ่นนี้ก็ด้วย มาร์เซลคือบุรุษที่ดีมากทีเดียว”ลิเวียกล่าวพร้อมกับสวมสร้อยคอที่มีสีเดียวกับดวงตาของเฟรญ่าลงไปบนลำคอยาวระหง เพื่อนเพียงคนเดียวของเธอแต่งงานแล้ว เฟรญ่าคือสตรีที่งดงามมากๆ ในสายตาของลิเวีย เราพบเจอกันเพราะพี่เจนนีสมาทำงานที่ทีเซียสและพี่สาวก็ร้องขอให้เธอมาเป็นเพื่อนกับเฟรญ่า เพราะสงสารที่เฟรญ่าอยู่คนเดียวในคฤหาสน์ที่แสนกว้างใหญ่ และนั่นทำให้ลิเวียได้มาพบเจอกับคาร์เตอร์ จนได้แต่งงานและเป็นจักรพรรดินีทุกวันนี้เพราะความสามารถของเฟรญ่าเลยเธอถึงได้มีความสุขมากๆ ในช่วงเวลาที่เฟรญ่ากำลังจะได้แต่งงาน เพราะมันเหมือนกับว่าครั้งนี้เป็นเธอแล้วนะที่ได้ส่งเฟรญ่าไปให้ถึงฝั่งฝันกับความรักที่ดีงา
มาทอสพาเฟรญ่าและเจนนีสเดินทางกลับมาที่เมืองหลวงพร้อมกันในอีกสองสัปดาห์ต่อมา คาร์เตอร์ตั้งขบวนเพื่อรอรับการกลับมาของเฟรญ่า ทันทีที่เธอเดินลงมาจากรถม้า คาร์เตอร์ก็พุ่งตัวเข้าไปกอดเฟรญ่าเอาไว้มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นมา และหนึ่งในเรื่องราวเหล่านั้นมันกำลังสั่นคลอนพี่ชายที่แสนกล้าหาญของเธออย่างหนักเลยสินะเฟรญ่าพบเจอคาร์เตอร์ในครั้งแรกตอนที่เธออายุสิบสี่ปี เขาคือองค์รัชทายาท ตามสายเลือดแล้วท่านพี่มาทอสคือน้องชายขององค์จักรพรรดิผู้เป็นพ่อของคาร์เตอร์ เราทั้งคู่จึงถูกเลี้ยงดูมาด้วยกันและสนิทสนมกันมากทีเดียว เพราะแผลในใจที่เคยได้รับจากแม่เลี้ยงทำให้เฟรญ่านั้นหวาดกลัวผู้คนเป็นอย่างมาก อีกทั้งท่านพี่มาทอสก็งานยุ่งมากเพราะในช่วงเวลานั้นท่านพี่มาทอสรับตำแหน่งดยุคมาจากท่านพ่อแล้ว ทำให้เขาไม่มีเวลามาคอยดูแลน้องสาวต่างแม่สักเท่าไหร่นัก ผู้ที่ดูแลและสนิทสนมกับเฟรญ่ามากที่สุดคือคาร์เตอร์ ลูกพี่ลูกน้องของเธอ เขาพยายามเข้าหาเธอในทุกวัน ชวนเธอออกไปข้างนอก และเป็นผู้ที่พาเธอก้าวเดินไปยังงานเลี้ยงในแวดวงสังคม“ฟังนะเฟร จะไม่มีใครหน้าไหนกล้าดูถูกเจ้าทั้งนั้น พี่จะปกป้องเจ้าเองเพราะอย่างนั้นไม่ต้องกังวลหรื
เมื่อเฟรญ่าทำท่าไม่เชื่อ มาร์เซลก็หัวเราะออกมาเสียงดัง เขาจับมือเธอพร้อมกับพาเธอวิ่งไปยังงานเทศกาลของเดียลอร์ลที่ในยามนี้มีชาวบ้านมากมายกำลังเต้นรำอยู่ตามท้องถนน บนใบหน้าหล่อเหลานั้นมีรอยยิ้มฉายชัดอยู่ มันเป็นรอยยิ้มที่ทำให้ดวงตาของเฟรญ่านั้นพร่ามัวไปในทันทีราวกับว่ารอยยิ้มของเขามันแฝงไปด้วยเวทมนตร์แค่เขายิ้มก็ทำให้หัวใจของเธออ่อนลงยวบยาบ ฝ่ามือของเราเกาะกุมกันไว้โดยไร้คำพูด มาร์เซลหยุดเดินพร้อมกับหมุนตัวมาหาเธอ เขายกมือขึ้นมาจับเอวของเธอเอาไว้ ก่อนจะยกขึ้นเล็กน้อยแล้วพาเธอหมุนตัวตามจังหวะของเครื่องดนตรีพื้นเมือง เฟรญ่าหยักยิ้มขึ้นมาในทันที หัวใจของเธอมันเต้นผิดจังหวะในทุกครั้งที่อยู่กับเขา มันคือความรักที่ไม่รู้เหมือนกันว่าจะอธิบายเช่นไร แต่ในยามที่เธอมองเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา มันทำให้เธอมีความสุขได้โดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย บางทีความหวังของเธอก็เป็นเรื่องง่ายๆอย่างเช่นการคาดหวังให้มาร์เซลมีความสุขตลอดไป..“เวลาที่ท่านยิ้มออกมามันสวยมากเลยนะครับ..”ในวันที่พบเจอกันครั้งแรก เขาก็เชื่อมั่นในพรหมลิขิตในทันทีว่าคนรักของเขาจะต้องเป็นเธอเท่านั้น บางสิ่งในอกค่อยๆ แผ่ซ่านออกมา หัวใจที่เย็นย
งานเทศกาลในครั้งนี้จัดขึ้นมาในฤดูที่กำลังปลูกพืชผล เมืองเดียลอร์ลนั้นได้รับผลกระทบเป็นวงกว้างเพราะอย่างนั้น บารอนดีแลนจึงหารือกับชาวบ้านจัดงานนี้ขึ้นมา เพื่อให้บรรยากาศในเดียลอร์ลนั้นดีขึ้นมา ก่อนหน้านั้นกับบางคนที่เผชิญหน้ากับความสูญเสีย พวกเขาไม่อยากแม้แต่จะหายใจต่อไปดีแลนรู้สึกผิดกับชาวเมืองมากทีเดียว กับการตัดสินใจที่ผิดพลาดของเขา เพราะอย่างนั้นเขาจึงพยายามที่จะฟื้นฟูเดียลอร์ลขึ้นมาใหม่เพื่อให้ที่นี่กลับมามีบรรยากาศที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขเช่นเดิมเฟรญ่าเดินไปบนถนนหนทางที่เต็มไปด้วยนักเดินทาง ไม่ว่าจะถามเธอสักกี่ครั้ง เฟรญ่าก็ยังคงตอบได้ในทันทีว่าเดียลอร์ลคือเมืองที่เธอชอบมากที่สุด ความธรรมดาของที่แสนพิเศษ“ไม่เจอกันนานเลยนะเฟร..”ดีแลนเดินเข้ามาทักทายเฟรญ่าด้วยใบหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม“อื้ม ที่นี่เหมือนเดิมเลยนะคะ เหมือนเดียลอร์ลที่ข้ารู้จัก”เฟรญ่าจุดยิ้มที่แสนงดงามบนใบหน้าของเธอ เธอคิดว่าดีแลนเองก็คงจะได้รับผลกระทบทางจิตใจเช่นเดียวกัน“ขาของเจ้า..มันหายดีเป็นปกติแล้วสินะ”เฟรญ่าก้มมองเท้าของตัวเอง เธอพ่นลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ถึงแม้จะรู้สึกแปลกๆ อยู่บ้างในยามที่ไ
การรอคอยสำหรับมาร์เซลนั้นถือเป็นความทรมานมากเกินกว่าที่เขาจะคาดคะเนเอาไว้ซะอีก เขาไม่เคยรู้จักความรักมาก่อนเลย ยิ่งไม่เคยรักใครและทุ่มเทกายใจให้ขนาดนี้ เราทั้งคู่ตั้งใจว่าจะแต่งงานกันหลังจากนี้ ตั้งใจอย่างแรงกล้าว่าเฟรญ่าจะเป็นเจ้าสาว ส่วนเขาจะเป็นเจ้าบ่าว ในงานแต่งที่ยิ่งใหญ่มากที่สุดในจักรวรรดิ เขาและเธอจะสร้างครอบครัวเล็กๆ ด้วยกัน พร้อมกับนั้นลูกของเขาคงจะน่ารักมากทีเดียวเพราะว่าเฟรญ่าชอบเด็ก ทว่าในยามนี้ เธอก็ยังไม่ฟื้นขึ้นมาเลย..ในค่ำคืนที่ดวงจันทร์ลอยเด่นบนนภา มาร์เซลจุมพิตลงไปบนหลังฝ่ามือของเฟรญ่า ก่อนที่เขาจะหลับตาลงเพื่อเฝ้าอธิษฐานจากใจจริง“ตื่นขึ้นมาเถอะมา กลับมาเพื่อให้ข้าได้บอกรักเจ้าจะได้รึเปล่า ได้โปรดเถอะ..กลับมาหาข้าอีกครั้ง..”น้ำเสียงของเขามันเต็มไปด้วยความสั่นเครือ หยาดน้ำตาเปียกชุ่มอยู่บนมือของเฟรญ่า ท่ามกลางห้องที่เงียบงัน มีเพียงเสียงสะอื้นของมาร์เซลเท่านั้นที่ดังออกมา“...มาร์เซล อย่าร้อง”ดวงตาของเขาเบิกกว้างออกมาในทันทีที่ได้ยินเสียงที่แสนคิดถึง และเมื่อมาร์เซลเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งเขาก็พบเจอกับดวงตาสีครามที่กำลังจ้องมองใบหน้าของเขาอยู่ บนดวงหน้างามล้ำยิ่งกว่
เฟรญ่านั่งกอดเข่าอยู่บนเตียงตามลำพัง แววตาของเธอสะท้อนความอ้างว้างและโดดเดี่ยวอย่างเห็นได้ชัด ในห้องนี้ไม่มีใครเลยนอกจากเธอเธออยู่ที่นี่มานานแค่ไหนแล้วก็ไม่รู้ รู้เพียงแต่เธอพยายามที่จะเดินออกไปจากห้องนี้มากแค่ไหนก็ไม่สามารถออกไปได้ เป็นห้องโล่งๆ ที่ไม่มีแม้กระทั่งหน้าต่างสักบาน เธอนอนหลับไปและเมื่อตื่นขึ้นมาก็จะพบเจอกับอาหารทั้งสามมื้อที่วางเอาไว้บนโต๊ะ เธอไม่รู้ว่าตัวเองมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน รู้เพียงแต่ว่าเธอจะต้องหาทางออกไปจากที่นี่ให้ได้ ไม่อย่างนั้นมาร์เซลจะต้องกำลังเป็นห่วงเธออย่างแน่นอน ไหนยังจะท่านพี่ของเธออีกจะมามัวอยู่ที่นี่ตลอดไปไม่ได้เพราะอย่างนั้นเฟรญ่าก็เลยคิดแผนการขึ้นมา การที่มีอาหารมาวางเอาไว้ในช่วงที่เธอหลับ นั่นหมายความว่าจะต้องมีคนเดินเข้ามาที่นี่และเธอจะต้องแกล้งหลับ เพื่อที่จะดูว่าคนที่ขังเธอเอาไว้ที่นี่คือใครกันแน่เมื่อคิดได้ดังนั้นเฟรญ่าก็ล้มตัวนอนลงในทันที เธอหลับตาพร้อมกับเผยอปากออกมาเล็กน้อยเพื่อให้ดูสมจริง แล้วก็เป็นอย่างที่คิดเพราะเมื่อเธอล้มตัวนอน เสียงเปิดประตูก็ดังขึ้นมา พร้อมกับฝีเท้าที่ก้าวเดินเข้ามาอย่างช้าๆเฟรญ่าค่อยๆ ปรือตามองอย่างช้าๆ เธอร
คาร์เตอร์มองเฟรญ่าที่กำลังนอนหลับอยู่ เขาอยู่ในสภาพที่บาดเจ็บสาหัสมากพอสมควร ปกติแล้วเรื่องการต่อสู้หรือการออกรบ เขาล้วนแล้วแต่ทำมันได้ดีมากทีเดียวแต่เพราะการสูดดมไอขุ่นมัวเหล่านั้นทำให้เขาหมดแรง ซึ่งมันทรมานมากที่เขารับรู้เรื่องราวต่างๆ มากกว่าแต่ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้เลยแม้แต่นิดเดียวเขามองเห็นว่าเฟรญ่า นางแตกสลายมากแค่ไหนกับการที่นางลงมือจัดการกับต้นตอของเรื่องนี้ เฟรญ่าในสายตาของคาร์เตอร์เหมือนคนที่เผชิญหน้ากับความเจ็บปวดเจียนตาย ทั้งๆ ที่นางควรจะดีใจเมื่อแอชตันตายไป แต่นางก็ยังร้องไห้ออกมาไม่หยุด ในช่วงเวลาที่นางลงมือทำร้ายแอชตันเฟรญ่าก็ยังร้องไห้ออกมามันเป็นเพราะว่าเฟรญ่า น้องสาวของเขานั้นจิตใจดีมากเกินไป นางไม่เคยทำร้ายคนอื่นมาก่อนเลย แล้วไอ้เวรนั่น..ไอ้แอชตันจะต้องทำร้ายเฟรญ่าหนักหนาสาหัสมากแค่ไหน คนที่ไม่เคยทำร้ายคนอื่นแม้แต่ปลายเล็บอย่างเฟรญ่า ถึงได้ลุกขึ้นมาเพื่อจัดการหมอนั่นด้วยความเจ็บปวดมากมายขนาดนั้น“เรื่องนี้ไม่มีใครผิดหรอกพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทอย่าได้วิตกกังวลมากเกินไปเลย”มาร์เซลปลอบใจองค์จักรพรรดิที่กำลังโมโหตัวเองอยู่ เขาพบเจอสภาพของค่ายทหารที่อาบไปด้วยเลือด พร้อมก