ดีแลนนิ่งอึ้งไปหลายนาทีเมื่อเขาได้ยินคำกล่าวขอแกรนด์ดยุค สีหน้าที่เบิกบานพลันเคร่งเครียดขึ้นมาในทันที“เพราะเดียลอร์ลกำลังจัดงานเทศกาลเก็บเกี่ยว นักเดินทางและนักท่องเที่ยวจึงเดินทางเข้ามามากมาย หากเป็นดังเช่นที่แกรนด์ดยุคกล่าวออกมาจริงๆ เราจะหาตัวคนร้ายได้อย่างไรกันครับ”เรื่องนั้นแอชตันเองก็ยังให้คำตอบไม่ได้เหมือนกัน“เรื่องนั้นข้าเองก็ยังไม่รู้ แต่เพราะว่าที่นี่มีทหารของเจ้าวางกำลังสอดส่องเอาไว้เพื่อให้ความปลอดภัยแก่นักเดินทาง ข้ามั่นใจว่าอีกฝ่ายไม่กล้าทำอะไรผลีผลามอย่างแน่นอน ระหว่างนี้ทั้งเจ้าและข้า เราจะมาปกป้องเดียลอร์ลไปด้วยกันนะบารอน”ชื่อเสียงของแกรนด์ดยุคจามินไม่ได้โดดเด่นอะไรมากมายนัก ในสายตาของดีแลนชายเบื้องหน้ากำลังหาผลประโยชน์จากเดียลอร์ลซะมากกว่าที่จะมาปกป้อง แต่เพราะเป็นแกรนด์ดยุค เพราะชื่อเสียงที่เก่าแก่ของตระกูลจามิน เขาจึงไม่อาจแสดงสีหน้าดูถูกดูแคลนได้อย่างเปิดเผย มีแต่ต้องตามน้ำไปก่อนเท่านั้น“ด้วยความยินดีครับท่านแกรนด์ดยุค”..พูดคำว่ายินดีออกมาด้วยสีหน้าที่ไม่ได้มีความยินดีอะไรอยู่เลยสักนิด บารอนผู้นี้ก็คงกำลังดูแคลนเขาอยู่ในใจใช่ไหม เพราะจามินนั้นไม่ได้ร่ำรวยอะไ
มาร์เซลดีดนิ้วเบาๆ สัญญาที่เฟรญ่าประทับตราลงไปก็หายวับไปกับตา เขาอุ้มเธอขึ้นมาในอ้อมแขนอีกครั้ง ไม่รู้ทำไมเหมือนกันมาร์เซลคิดว่าเขาชอบในช่วงเวลาที่เฟรญ่าอยู่ในอ้อมแขนของเขามากที่สุด เพราะมันดูเหมือนกับว่าเธอเป็นของเขาทั้งที่โอกาสเช่นนี้ไม่ได้มีมาบ่อยๆ และเขาตั้งใจเอาไว้แล้วว่าจะไม่ยอมให้เธอหลุดมือไปไหน แต่ทว่าในยามนี้เปลือกตาของเธอกำลังปิดสนิท และเสียงลมหายใจที่สม่ำเสมอพวกนั้นมันทำให้เขารู้แล้วว่าตัวเองนั้นพลาดโอกาสทองไปซะแล้วเธอหลับ..และเขาไม่ได้ใจร้ายถึงขนาดที่จะล่วงเกินเธอในตอนหลับ เพราะเขาอยากจะให้ในช่วงเวลาที่เรากระทำเรื่องราวที่ลึกซึ้ง ทั้งเธอและเขาต่างก็รับรู้เรื่องราวเหล่านั้นไปด้วยกันมาร์เซลวางเธอลงบนที่นอน เขาดึงผ้าขึ้นมาห่มให้เฟรญ่าก่อนที่ตัวเองจะล้มตัวนอนลงข้างๆ เธอ ดวงตาสีทับทิมของเขาจ้องมองไปยังดวงหน้างามที่ในยามนี้เธอกำลังหลับอย่างสบายภายใต้อ้อมกอดของเขา..เธอเหมือนกับลูกแมวตัวน้อยสีขาวที่เขาเคยเลี้ยงเอาไว้เลย..มาร์เซลขยับรอยยิ้มพรายก่อนที่เขาจะค่อยๆ ปิดเปลือกตาลงอ่า..เธอดื่มเก่งมากกว่าที่คิดเอาไว้ เพราะอย่างนั้นคราวหน้าเห็นทีว่าจะต้องใช้สุราที่มีฤทธิ์แรงมากกว่านี้ซ
ครั้งหนึ่งเธอเคยส่งมอบความรักให้กับชายผู้หนึ่งอย่าสุดหัวใจ มอบให้เขาทั้งหมดที่มี สุดท้ายแม้แต่ชีวิตของตัวเองก็ยังรักษาเอาไว้ไม่ได้“เจ้าคงจะรู้ว่าข้าไม่สะดวกใจที่จะมีความรักครั้งใหม่ เรื่องสัญญาเวทมนตร์นี้ ข้าจะขอความช่วยเหลือจากพี่ชายแล้วส่งไปที่วิหารศักดิ์สิทธิ์เพื่อยกเลิกพันธสัญญา..ส่วนเรื่องร่างกายของเจ้า ข้าไม่มีอะไรจะชดเชยนอกจาก..เช็คเปล่าใบนี้”เธอมองหน้าเขาพร้อมกับส่งใบเบิกเงินที่ไม่ได้ระบุจำนวนเอาไว้ให้ เฟรญ่าคิดว่าเธอทำดีที่สุดแล้วในฐานะของคนที่ทำเรื่องพลาดพลั้งไปโดยไม่ได้ตั้งใจมาร์เซลหยิบกระดาษเล็กๆ แผ่นนั้นขึ้นมาถือเอาไว้ คิดไว้แล้วว่ามันคงไม่ง่าย แต่ทำยังไงได้ล่ะ ก็เขาเป็นพวกชอบความท้าทายซะด้วยสิ สำหรับมาร์เซล ไม่มีอะไรที่เขาอยากได้แล้วคว้ามันมาครอบครองไม่ได้เขาฉีกกระดาษแผ่นนั้นออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย“ข้าไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงินเลยครับพี่ มันน่าเศร้ามากทีเดียวที่พี่เห็นว่าข้าเข้าหาพี่เพราะเรื่องเงิน ทั้งๆ ที่ข้าสิ่งที่ข้าส่งมอบให้พี่คือความจริงใจ แต่พี่กลับทำร้ายจิตใจของข้าเช่นนี้ ท่านจะกล่าวอ้างว่าเรื่องมันไม่ได้ตั้งใจไม่ได้เพราะว่าเรื่องมันเกิดขึ้นมาแล้ว..ไหนๆ ก็ไหน
เฟรญ่าก้มหน้าลงเล็กน้อย เธอสัมผัสได้ถึงเหงื่อเย็นๆ ที่ไหลชุ่มออกมาจากแผ่นหลังได้อย่างชัดเจน มือของเธอกำลังสั่นไหวเพียงเพราะเธอได้ยินเสียงของแอชตันความหวาดกลัวไม่จางหายไปเลยในใจ มันทรมานมากกว่าที่คิดเอาไว้เสียอีก นี่คือเหตุผลหลักที่เธอหลบหนีออกมาอยู่ที่นี่ เพราะเธอยังไม่มีความกล้ามากพอที่จะเผชิญหน้ากับเขา เธอเป็นคนขี้ขลาดและหวาดกลัวเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ในวัยเด็กเธอถูกทรมานโดยแม่เลี้ยง..กว่าจะผ่านมาได้ แต่กลับต้องพบเจอสามีที่ทรมานเธอไม่แตกต่างกัน แค่ได้ยินเสียงของเขาภาพในวันนั้นก็กลับขึ้นมาฉายชัดอยู่ในหัววันที่เธอร้องไห้แล้วอ้อนวอนให้เขาอย่าทำร้ายเธอ เธอหลบหนีไม่สำเร็จ เฟรญ่าพยายามวิ่งหนีด้วยขาที่มันไม่ปกติของเธอ แต่เพราะเธอมีสภาพเช่นนั้นทำให้การวิ่งหนีมันเป็นไปอย่างเชื่องช้า เขาวิ่งตามมาที่ด้านหลังก่อนจะกระชากผมของเธออย่างเต็มแรงด้วยความโกรธ“แอชตัน..ปะ..ปล่อยข้าไปไม่ได้เหรอ ท่านไม่ได้รักข้าแล้วนี่ ท่านมีภรรยาใหม่และนางกำลังมีลูกให้ท่าน ข้าสัญญาว่าจะยอมหย่าแต่โดยดีเพื่อให้นางได้รับตำแหน่งแกรนด์ ดัชเชสจามิน เพราะอย่างนั้น..ท่านปล่อยข้าไปเถอะนะ”แววตาของเขามันไม่ใช่แววตาของแอชตันที่เธอร
เดม่อนไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่หัวหน้าของเขากล่าวออกมาเท่าไหร่นักภรรยา? เจ้าของโรงแรมผู้นั้นจะเป็นภรรยาของนายท่านได้อย่างไรกัน และสิ่งที่คลี่คลายความสงสัยให้เขาคือใบทะเบียนสมรสที่นายท่านส่งมาให้“ส่งสิ่งนี้ไปที่วิหารศักดิ์สิทธิ์ เราจำเป็นที่จะต้องได้รับความยินยอมจากคาดินันคนปัจจุบันเสียก่อน เรื่องราวระหว่างข้าและเฟรญ่าถึงจะเสร็จสิ้น”เดม่อนรู้สึกอยากจะกัดลิ้นตัวเองให้รู้แล้วรู้รอดไป เรามาที่นี่เพื่อมาทำลายเดียลอร์ล แต่นายท่านกลับได้ภรรยาเนี่ยนะ แล้วไม่ต้องไปถามเลยว่าสตรีงดงามผู้นั้นรู้ถึงฐานะที่แท้จริงของนายท่านหรือไม่ ยิ่งเรื่องจุดประสงค์ที่เรามาที่นี่..หัวหน้ามาทำลายบ้านเมืองของเธอ แล้วทั้งสองคนจะรักกันได้อย่างไรก่อน..ถึงแม้จะไม่เห็นด้วยและแสดงท่าทีค้านหัวชนฝา แต่หัวหน้าของเขาก็ไม่คิดที่จะฟังหรอก เพราะอย่างนั้นหน้าที่ของเขาในยามนี้คือการเดินทางไปที่วิหารให้รวดเร็วมากที่สุดเท่าที่จะทำได้มาร์เซลจัดการเอกสารมากมายที่กองอยู่บนโต๊ะ เขาปรายตามองออกไปด้านนอกก็พบว่านี่ใกล้เวลาที่ดวงตะวันจะลาลับขอบฟ้าแล้ว และเขาควรจะกลับไปหาภรรยาของเขาเสียทีเขาจัดการสวมเสื้อคลุมก่อนจะเดินทางออกไปจากโรงแรมท
ใบหน้าในยามที่เฟรญ่าเล่าถึงการเดินทางมันเต็มไปด้วยร่องรอยของความสุข มาร์เซลคิดว่าเธอน่าจะชอบการเดินทางท่องเที่ยวมากทีเดียว“ในเมื่อพี่มีความสุขมากขนาดนั้นแล้วทำไมถึงอยู่ที่นี่ล่ะครับ หลังจากที่เราจัดการเรื่องการแต่งงานเสร็จเรียบร้อยแล้ว พี่ช่วยพาข้าเดินทางไปเรื่อยๆแบบที่พี่ชอบได้หรือไม่”มือที่ถือไม้เท้าอยู่พลันกำแน่นมากขึ้นกว่าเดิม เธอชอบที่ตัวเองได้เดินทางไปเรื่อยๆ และหากว่าดีแลนไม่แนะนำให้เธอซื้อโรงแรมที่นี่ ในบางทีเธออาจจะท่องเที่ยวไปไกลมากกว่านี้แล้วก็ได้ริมฝีปากบางแย้มยิ้มราวกับกลีบดอกไม้ที่ผลิบาน“หากว่าเรื่องต่างๆ เสร็จเรียบร้อยแล้ว เจ้ายังอยากอยู่กับข้าอยู่ เรา..ไปเป็นนักเดินทางด้วยกันก็ได้”ต้องแบบนี้สิ ต้องพาเธอออกไปจากที่นี่ ให้ไกลมากที่สุดเพื่อที่เขาจะได้ทำลายเมืองนี้ให้สิ้นซาก..และเฟรญ่าจะต้องไม่รู้เรื่องนั้น“ข้ามั่นใจว่าข้าไม่มีวันที่จะไม่ชอบพี่หรอก อีกทั้งในทางกฎหมาย พี่ถือเป็นภรรยาของข้าแล้วนะครับ ข้าจะไม่ชอบภรรยาตัวเองได้ยังไง”เมื่อเขาพูดเรื่องทะเบียนสมรสออกมา เฟรญ่าได้แต่หันมองไปทางอื่น แต่ที่มุมปากของเธอยังยกขึ้นสูงด้วยความเขินอาย เมื่อถึงโรงแรมแน่นอนว่าบรรยาก
ดีแลนกล่าวถ้อยคำเหล่านั้นออกมาด้วยใบหน้าที่เปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม เขายื่นมือมาเพื่อหวังตั้งใจมาจับมือของเฟรญ่าทว่าเธอดึงมือกลับทันทีเพื่อไม่ให้เขาได้สัมผัสหรือว่าแตะต้องมือของเธอ กับดีแลน..เฟรญ่าระมัดระวังเสมอในความสัมพันธ์เรา เธอไม่อยากให้คนอื่นมองเธอและเจ้าเมืองของเดียลอร์ลในทางที่ไม่ดี ถึงแม้ว่าบ่อยครั้งที่เขาจะพยายามเข้าหา แต่เฟรญ่าเองก็พยายามหลีกเลี่ยงตลอด“เรื่องนั้น ข้าเข้าใจความหวังดีของเจ้านะดีแลน แต่ข้าชอบมาร์เซลจริงๆ ไม่ต้องห่วงหรอกเพราะถึงแม้ว่าข้าจะมีคนรักแต่เรื่องความเป็นเพื่อนของเรายังคงเหมือนเดิม”การโดนปฏิเสธอย่างชัดเจนเช่นนี้เป็นอะไรที่ช่างทรมานมากเหลือเกิน ดีแลนรู้สึกเจ็บแน่นกลางหน้าอกอย่างบอกไม่ถูก แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ฝืนยิ้มออกมาให้เธอ“เช่นนั้น..ก็ดีแล้ว”หลังจากที่เราคุยกันจบ มาร์เซลก็เดินถือไวน์อุ่นๆ มาพอดี เขาส่งยิ้มให้กับเฟรญ่าก่อนจะนั่งลงข้างๆ เธอ“ระวังด้วยนะครับ ไวน์นี่ร้อนมากเลยนะ หรือว่าพี่ต้องการให้ข้าเป่าให้ก่อนไหม”มือของดีแลนพลันกำแน่นขึ้นมา เขาไม่ชอบขี้หน้าไอ้เด็กนี่เลยให้ตายเถอะ“ข้าขอตัวก่อนนะเฟร พอดีวันนี้ต้องเข้าไปตรวจตราในงานเทศกาลต่อน่ะ”เฟรญ่าพ
ทำไมเขาจะต้องทนในเรื่องพวกนั้นด้วยล่ะ หากว่ามีใครมามองเธอด้วยสายตาดูถูกหรือมาพูดดูแคลนเธอให้เขาได้ยิน ก็จัดการฆ่าคนพวกนั้นซะก็สิ้นเรื่อง..แต่ในอีกแง่มุมมันทำให้มาร์เซลมองเห็นความกังวลใจของเฟรญ่าได้อย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น เขาไม่ได้มองว่าเธอมีข้อผิดพลาดตรงไหนเลย เรื่องขาข้างซ้ายของเธอ หากว่าเธอเดินไม่สะดวก เช่นนั้นเขาอุ้มเธอเดินก็ได้นี่..“ข้าไม่สนใจคำพูดของคนอื่นและไม่สนใจในความหมายของสายตาที่คนพวกนั้นจะมองมาที่ท่านอยู่แล้ว..อ่า ไม่สิข้าสนใจหากว่าคนพวกนั้นมองพี่ในแบบที่พวกเขามีอาการตกหลุมรักน่ะ”เฟรญ่าไม่รู้จะดีใจหรือว่าเสียใจกับคำตอบนั้นของมาร์เซลดี เธอก้มหน้าลงเล็กน้อยและพยายามเบนสายตามองไปทางอื่น“มีคนที่..ดูถูกเรื่องขาของพี่อย่างงั้นเหรอครับ บอกข้ามาได้ไหมว่ามันผู้นั้นเป็นใครที่ทำให้พี่ไม่มั่นใจในตัวเองขนาดนี้”เธอจะบอกเขาได้อย่างไรกันว่าคนที่ทำให้เธอสูญเสียความมั่นใจคือแม่และน้องสาวของแอชตัน เพราะว่ามันเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นมาในก่อนที่เธอจะได้ย้อนเวลามานี่“ข้าไม่ได้มีสภาพเช่นนี้มาตั้งแต่เด็ก ในตอนที่รถม้าประสบอุบัติเหตุ หมอบอกว่าขาของข้ามันอาจจะกลับมาเดินไม่ได้ด้วยซ้ำ..และข้าดี
มาร์เซลพึ่งรู้ว่าการนั่งเรือสำเภามันไม่ใช่เรื่องสนุกเลยแม้แต่นิดเดียว เขาออกเดินทางมายังเมืองทางใต้พร้อมกันกับเฟรญ่า นี่คือการดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ของเราก่อนที่เขาจะกลับไปทำงานในตำแหน่งดยุคอย่างเป็นทางการ เราทั้งคู่เคยพูดเอาไว้ว่าอยากจะล่องเรือมาเที่ยวที่เมืองทางใต้มาชมทะเลที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน และในยามนี้เราก็กำลังอยู่กลางทะเลบนเรือสำเภาที่ค่อนข้างจะเป็นพื้นที่ส่วนตัว เพราะว่าเขาเหมาเรือลำนี้เอาไว้ เพื่อมากับเฟรญ่าเพียงแค่สองคนเท่านั้นแต่เขาอาเจียนไปสิบรอบแล้วเห็นจะได้ เพราะเขาไม่เคยนั่งเรือมาก่อน“ออกมานั่งมองทะเลดูไหม เผื่ออาการของเจ้าจะดีขึ้น”อันที่จริงแค่ได้มองหน้าสวยๆ ของเธอก็ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นแบบมากๆ แล้ว เขาจับมือของเฟรญ่าเอาไว้ก่อนจะซบใบหน้าลงไปบนไหล่ของเธอ“รักนะครับ..รักที่สุดเลย”เฟรญ่าไม่รู้ว่าเพราะอายุที่เขาเด็กกว่ามันเกี่ยวข้องด้วยรึเปล่า แต่เขาทำให้เธอรู้สึกราวกับมีลูกสุนัขตัวใหญ่ที่กำลังออดอ้อนเธอตลอดเวลา มาร์เซลติดการสัมผัสมากๆ เขาจะต้องจับมือหรือไม่ก็กอดและหอมแก้มเธอตลอดเวลา และเธอเองก็ชื่นชอบการแสดงความรักเช่นนั้นมากทีเดียว เฟรญ่าจึงไม่เคยผลักไสหรือว่าดุเขาในเร
บอกตามตรงว่านี่คงจะเป็นงานแต่งที่เจ้าสาวสบายมากที่สุดในจักรวรรดิแห่งนี้ เฟรญ่าแทบไม่ต้องจัดเตรียมอะไรเลยเพราะว่าพี่เจนนีสและลิเวียจัดเตรียมเอาไว้ให้อย่างเรียบร้อยหมดทุกอย่างแล้ว เธอเพียงสวมชุดเจ้าสาวที่แสนงดงามและเข้าร่วมงานแต่งเท่านั้นเองเฟรญ่าหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อมาร์เซลพาเธอออกมาจากงานแต่งที่แสนยิ่งใหญ่ เขาพาเธอมาที่คฤหาสน์ฮอร์ตันที่เราพึ่งได้รับมาเป็นของขวัญแต่งงาน และในห้องนอนก็เต็มไปด้วยกลิ่นหอมของดอกกุหลาบ มันทั้งหอมหวานและเย้ายวนมากทีเดียว“เจ้ากำลังข้ามขั้นพิธีแต่งงานอยู่นะมาร์เซล เราไม่ควรด่วนชิงเข้าหอก่อนที่งานเลี้ยงจะเริ่ม..”เขาส่งยิ้มให้เธอในขณะที่กำลังถอดกระดุมเสื้อของตัวเองออกมา เขาอดทนมานานมากพอสมควร อดทนแล้วอดทนอีกเพราะว่าเฟรญ่าพึ่งจะฟื้นขึ้นมาจากอาการบาดเจ็บ เพราะอย่างนั้นเขาจึงไม่ได้แตะต้องเธอเลย แต่วันนี้เขาอดทนไม่ไหวอีกแล้ว“ไม่เห็นจะต้องสนใจแขกที่เข้ามาร่วมงานเลยนี่ นี่คืองานแต่งของเราและข้าอยากอยู่กับท่าน..เข้าหอเร็วหน่อยคงไม่เป็นไรหรอกครับ หรือว่าพี่กังวล"เฟรญ่าดึงผ้าคลุมหน้าของเธอออกไป เธอไม่ได้ยืนมองมาร์เซลถอดชุดอยู่เฉยๆ แต่เธอเองก็ถอดชุดเดรสแต่งงานออกเช่
บัตรเชิญของงานแต่งเลดี้ทีเซียส วีรสตรีที่ร่วมการกอบกู้เดียลอร์ลนั้นถูกส่งให้แก่ขุนนางมากมายในจักรวรรดิ บอกตามตรงว่าในตอนที่เฟรญ่าเห็นชื่อและรูปวาดของตัวเองเด่นหราอยู่บนหน้าหนังสือพิมพ์เธอค่อนข้างตกใจมากพอสมควร เพราะเธอไม่คิดว่าเรื่องที่มาร์เซลกล่าวออกมานั้นมันจะเป็นเรื่องจริง“ให้ตายเถอะ ข้ารับมือกับคำว่าวีรสตรีอะไรพวกนั้นไม่ไหวจริงๆ”ลิเวียหัวเราะออกมา“เจ้าคู่ควรกับมันนะเฟร เรื่องความรักที่แสนอบอุ่นนี้ก็ด้วย มาร์เซลคือบุรุษที่ดีมากทีเดียว”ลิเวียกล่าวพร้อมกับสวมสร้อยคอที่มีสีเดียวกับดวงตาของเฟรญ่าลงไปบนลำคอยาวระหง เพื่อนเพียงคนเดียวของเธอแต่งงานแล้ว เฟรญ่าคือสตรีที่งดงามมากๆ ในสายตาของลิเวีย เราพบเจอกันเพราะพี่เจนนีสมาทำงานที่ทีเซียสและพี่สาวก็ร้องขอให้เธอมาเป็นเพื่อนกับเฟรญ่า เพราะสงสารที่เฟรญ่าอยู่คนเดียวในคฤหาสน์ที่แสนกว้างใหญ่ และนั่นทำให้ลิเวียได้มาพบเจอกับคาร์เตอร์ จนได้แต่งงานและเป็นจักรพรรดินีทุกวันนี้เพราะความสามารถของเฟรญ่าเลยเธอถึงได้มีความสุขมากๆ ในช่วงเวลาที่เฟรญ่ากำลังจะได้แต่งงาน เพราะมันเหมือนกับว่าครั้งนี้เป็นเธอแล้วนะที่ได้ส่งเฟรญ่าไปให้ถึงฝั่งฝันกับความรักที่ดีงา
มาทอสพาเฟรญ่าและเจนนีสเดินทางกลับมาที่เมืองหลวงพร้อมกันในอีกสองสัปดาห์ต่อมา คาร์เตอร์ตั้งขบวนเพื่อรอรับการกลับมาของเฟรญ่า ทันทีที่เธอเดินลงมาจากรถม้า คาร์เตอร์ก็พุ่งตัวเข้าไปกอดเฟรญ่าเอาไว้มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นมา และหนึ่งในเรื่องราวเหล่านั้นมันกำลังสั่นคลอนพี่ชายที่แสนกล้าหาญของเธออย่างหนักเลยสินะเฟรญ่าพบเจอคาร์เตอร์ในครั้งแรกตอนที่เธออายุสิบสี่ปี เขาคือองค์รัชทายาท ตามสายเลือดแล้วท่านพี่มาทอสคือน้องชายขององค์จักรพรรดิผู้เป็นพ่อของคาร์เตอร์ เราทั้งคู่จึงถูกเลี้ยงดูมาด้วยกันและสนิทสนมกันมากทีเดียว เพราะแผลในใจที่เคยได้รับจากแม่เลี้ยงทำให้เฟรญ่านั้นหวาดกลัวผู้คนเป็นอย่างมาก อีกทั้งท่านพี่มาทอสก็งานยุ่งมากเพราะในช่วงเวลานั้นท่านพี่มาทอสรับตำแหน่งดยุคมาจากท่านพ่อแล้ว ทำให้เขาไม่มีเวลามาคอยดูแลน้องสาวต่างแม่สักเท่าไหร่นัก ผู้ที่ดูแลและสนิทสนมกับเฟรญ่ามากที่สุดคือคาร์เตอร์ ลูกพี่ลูกน้องของเธอ เขาพยายามเข้าหาเธอในทุกวัน ชวนเธอออกไปข้างนอก และเป็นผู้ที่พาเธอก้าวเดินไปยังงานเลี้ยงในแวดวงสังคม“ฟังนะเฟร จะไม่มีใครหน้าไหนกล้าดูถูกเจ้าทั้งนั้น พี่จะปกป้องเจ้าเองเพราะอย่างนั้นไม่ต้องกังวลหรื
เมื่อเฟรญ่าทำท่าไม่เชื่อ มาร์เซลก็หัวเราะออกมาเสียงดัง เขาจับมือเธอพร้อมกับพาเธอวิ่งไปยังงานเทศกาลของเดียลอร์ลที่ในยามนี้มีชาวบ้านมากมายกำลังเต้นรำอยู่ตามท้องถนน บนใบหน้าหล่อเหลานั้นมีรอยยิ้มฉายชัดอยู่ มันเป็นรอยยิ้มที่ทำให้ดวงตาของเฟรญ่านั้นพร่ามัวไปในทันทีราวกับว่ารอยยิ้มของเขามันแฝงไปด้วยเวทมนตร์แค่เขายิ้มก็ทำให้หัวใจของเธออ่อนลงยวบยาบ ฝ่ามือของเราเกาะกุมกันไว้โดยไร้คำพูด มาร์เซลหยุดเดินพร้อมกับหมุนตัวมาหาเธอ เขายกมือขึ้นมาจับเอวของเธอเอาไว้ ก่อนจะยกขึ้นเล็กน้อยแล้วพาเธอหมุนตัวตามจังหวะของเครื่องดนตรีพื้นเมือง เฟรญ่าหยักยิ้มขึ้นมาในทันที หัวใจของเธอมันเต้นผิดจังหวะในทุกครั้งที่อยู่กับเขา มันคือความรักที่ไม่รู้เหมือนกันว่าจะอธิบายเช่นไร แต่ในยามที่เธอมองเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา มันทำให้เธอมีความสุขได้โดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย บางทีความหวังของเธอก็เป็นเรื่องง่ายๆอย่างเช่นการคาดหวังให้มาร์เซลมีความสุขตลอดไป..“เวลาที่ท่านยิ้มออกมามันสวยมากเลยนะครับ..”ในวันที่พบเจอกันครั้งแรก เขาก็เชื่อมั่นในพรหมลิขิตในทันทีว่าคนรักของเขาจะต้องเป็นเธอเท่านั้น บางสิ่งในอกค่อยๆ แผ่ซ่านออกมา หัวใจที่เย็นย
งานเทศกาลในครั้งนี้จัดขึ้นมาในฤดูที่กำลังปลูกพืชผล เมืองเดียลอร์ลนั้นได้รับผลกระทบเป็นวงกว้างเพราะอย่างนั้น บารอนดีแลนจึงหารือกับชาวบ้านจัดงานนี้ขึ้นมา เพื่อให้บรรยากาศในเดียลอร์ลนั้นดีขึ้นมา ก่อนหน้านั้นกับบางคนที่เผชิญหน้ากับความสูญเสีย พวกเขาไม่อยากแม้แต่จะหายใจต่อไปดีแลนรู้สึกผิดกับชาวเมืองมากทีเดียว กับการตัดสินใจที่ผิดพลาดของเขา เพราะอย่างนั้นเขาจึงพยายามที่จะฟื้นฟูเดียลอร์ลขึ้นมาใหม่เพื่อให้ที่นี่กลับมามีบรรยากาศที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขเช่นเดิมเฟรญ่าเดินไปบนถนนหนทางที่เต็มไปด้วยนักเดินทาง ไม่ว่าจะถามเธอสักกี่ครั้ง เฟรญ่าก็ยังคงตอบได้ในทันทีว่าเดียลอร์ลคือเมืองที่เธอชอบมากที่สุด ความธรรมดาของที่แสนพิเศษ“ไม่เจอกันนานเลยนะเฟร..”ดีแลนเดินเข้ามาทักทายเฟรญ่าด้วยใบหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม“อื้ม ที่นี่เหมือนเดิมเลยนะคะ เหมือนเดียลอร์ลที่ข้ารู้จัก”เฟรญ่าจุดยิ้มที่แสนงดงามบนใบหน้าของเธอ เธอคิดว่าดีแลนเองก็คงจะได้รับผลกระทบทางจิตใจเช่นเดียวกัน“ขาของเจ้า..มันหายดีเป็นปกติแล้วสินะ”เฟรญ่าก้มมองเท้าของตัวเอง เธอพ่นลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ถึงแม้จะรู้สึกแปลกๆ อยู่บ้างในยามที่ไ
การรอคอยสำหรับมาร์เซลนั้นถือเป็นความทรมานมากเกินกว่าที่เขาจะคาดคะเนเอาไว้ซะอีก เขาไม่เคยรู้จักความรักมาก่อนเลย ยิ่งไม่เคยรักใครและทุ่มเทกายใจให้ขนาดนี้ เราทั้งคู่ตั้งใจว่าจะแต่งงานกันหลังจากนี้ ตั้งใจอย่างแรงกล้าว่าเฟรญ่าจะเป็นเจ้าสาว ส่วนเขาจะเป็นเจ้าบ่าว ในงานแต่งที่ยิ่งใหญ่มากที่สุดในจักรวรรดิ เขาและเธอจะสร้างครอบครัวเล็กๆ ด้วยกัน พร้อมกับนั้นลูกของเขาคงจะน่ารักมากทีเดียวเพราะว่าเฟรญ่าชอบเด็ก ทว่าในยามนี้ เธอก็ยังไม่ฟื้นขึ้นมาเลย..ในค่ำคืนที่ดวงจันทร์ลอยเด่นบนนภา มาร์เซลจุมพิตลงไปบนหลังฝ่ามือของเฟรญ่า ก่อนที่เขาจะหลับตาลงเพื่อเฝ้าอธิษฐานจากใจจริง“ตื่นขึ้นมาเถอะมา กลับมาเพื่อให้ข้าได้บอกรักเจ้าจะได้รึเปล่า ได้โปรดเถอะ..กลับมาหาข้าอีกครั้ง..”น้ำเสียงของเขามันเต็มไปด้วยความสั่นเครือ หยาดน้ำตาเปียกชุ่มอยู่บนมือของเฟรญ่า ท่ามกลางห้องที่เงียบงัน มีเพียงเสียงสะอื้นของมาร์เซลเท่านั้นที่ดังออกมา“...มาร์เซล อย่าร้อง”ดวงตาของเขาเบิกกว้างออกมาในทันทีที่ได้ยินเสียงที่แสนคิดถึง และเมื่อมาร์เซลเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งเขาก็พบเจอกับดวงตาสีครามที่กำลังจ้องมองใบหน้าของเขาอยู่ บนดวงหน้างามล้ำยิ่งกว่
เฟรญ่านั่งกอดเข่าอยู่บนเตียงตามลำพัง แววตาของเธอสะท้อนความอ้างว้างและโดดเดี่ยวอย่างเห็นได้ชัด ในห้องนี้ไม่มีใครเลยนอกจากเธอเธออยู่ที่นี่มานานแค่ไหนแล้วก็ไม่รู้ รู้เพียงแต่เธอพยายามที่จะเดินออกไปจากห้องนี้มากแค่ไหนก็ไม่สามารถออกไปได้ เป็นห้องโล่งๆ ที่ไม่มีแม้กระทั่งหน้าต่างสักบาน เธอนอนหลับไปและเมื่อตื่นขึ้นมาก็จะพบเจอกับอาหารทั้งสามมื้อที่วางเอาไว้บนโต๊ะ เธอไม่รู้ว่าตัวเองมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน รู้เพียงแต่ว่าเธอจะต้องหาทางออกไปจากที่นี่ให้ได้ ไม่อย่างนั้นมาร์เซลจะต้องกำลังเป็นห่วงเธออย่างแน่นอน ไหนยังจะท่านพี่ของเธออีกจะมามัวอยู่ที่นี่ตลอดไปไม่ได้เพราะอย่างนั้นเฟรญ่าก็เลยคิดแผนการขึ้นมา การที่มีอาหารมาวางเอาไว้ในช่วงที่เธอหลับ นั่นหมายความว่าจะต้องมีคนเดินเข้ามาที่นี่และเธอจะต้องแกล้งหลับ เพื่อที่จะดูว่าคนที่ขังเธอเอาไว้ที่นี่คือใครกันแน่เมื่อคิดได้ดังนั้นเฟรญ่าก็ล้มตัวนอนลงในทันที เธอหลับตาพร้อมกับเผยอปากออกมาเล็กน้อยเพื่อให้ดูสมจริง แล้วก็เป็นอย่างที่คิดเพราะเมื่อเธอล้มตัวนอน เสียงเปิดประตูก็ดังขึ้นมา พร้อมกับฝีเท้าที่ก้าวเดินเข้ามาอย่างช้าๆเฟรญ่าค่อยๆ ปรือตามองอย่างช้าๆ เธอร
คาร์เตอร์มองเฟรญ่าที่กำลังนอนหลับอยู่ เขาอยู่ในสภาพที่บาดเจ็บสาหัสมากพอสมควร ปกติแล้วเรื่องการต่อสู้หรือการออกรบ เขาล้วนแล้วแต่ทำมันได้ดีมากทีเดียวแต่เพราะการสูดดมไอขุ่นมัวเหล่านั้นทำให้เขาหมดแรง ซึ่งมันทรมานมากที่เขารับรู้เรื่องราวต่างๆ มากกว่าแต่ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้เลยแม้แต่นิดเดียวเขามองเห็นว่าเฟรญ่า นางแตกสลายมากแค่ไหนกับการที่นางลงมือจัดการกับต้นตอของเรื่องนี้ เฟรญ่าในสายตาของคาร์เตอร์เหมือนคนที่เผชิญหน้ากับความเจ็บปวดเจียนตาย ทั้งๆ ที่นางควรจะดีใจเมื่อแอชตันตายไป แต่นางก็ยังร้องไห้ออกมาไม่หยุด ในช่วงเวลาที่นางลงมือทำร้ายแอชตันเฟรญ่าก็ยังร้องไห้ออกมามันเป็นเพราะว่าเฟรญ่า น้องสาวของเขานั้นจิตใจดีมากเกินไป นางไม่เคยทำร้ายคนอื่นมาก่อนเลย แล้วไอ้เวรนั่น..ไอ้แอชตันจะต้องทำร้ายเฟรญ่าหนักหนาสาหัสมากแค่ไหน คนที่ไม่เคยทำร้ายคนอื่นแม้แต่ปลายเล็บอย่างเฟรญ่า ถึงได้ลุกขึ้นมาเพื่อจัดการหมอนั่นด้วยความเจ็บปวดมากมายขนาดนั้น“เรื่องนี้ไม่มีใครผิดหรอกพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทอย่าได้วิตกกังวลมากเกินไปเลย”มาร์เซลปลอบใจองค์จักรพรรดิที่กำลังโมโหตัวเองอยู่ เขาพบเจอสภาพของค่ายทหารที่อาบไปด้วยเลือด พร้อมก