เดม่อนไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่หัวหน้าของเขากล่าวออกมาเท่าไหร่นักภรรยา? เจ้าของโรงแรมผู้นั้นจะเป็นภรรยาของนายท่านได้อย่างไรกัน และสิ่งที่คลี่คลายความสงสัยให้เขาคือใบทะเบียนสมรสที่นายท่านส่งมาให้“ส่งสิ่งนี้ไปที่วิหารศักดิ์สิทธิ์ เราจำเป็นที่จะต้องได้รับความยินยอมจากคาดินันคนปัจจุบันเสียก่อน เรื่องราวระหว่างข้าและเฟรญ่าถึงจะเสร็จสิ้น”เดม่อนรู้สึกอยากจะกัดลิ้นตัวเองให้รู้แล้วรู้รอดไป เรามาที่นี่เพื่อมาทำลายเดียลอร์ล แต่นายท่านกลับได้ภรรยาเนี่ยนะ แล้วไม่ต้องไปถามเลยว่าสตรีงดงามผู้นั้นรู้ถึงฐานะที่แท้จริงของนายท่านหรือไม่ ยิ่งเรื่องจุดประสงค์ที่เรามาที่นี่..หัวหน้ามาทำลายบ้านเมืองของเธอ แล้วทั้งสองคนจะรักกันได้อย่างไรก่อน..ถึงแม้จะไม่เห็นด้วยและแสดงท่าทีค้านหัวชนฝา แต่หัวหน้าของเขาก็ไม่คิดที่จะฟังหรอก เพราะอย่างนั้นหน้าที่ของเขาในยามนี้คือการเดินทางไปที่วิหารให้รวดเร็วมากที่สุดเท่าที่จะทำได้มาร์เซลจัดการเอกสารมากมายที่กองอยู่บนโต๊ะ เขาปรายตามองออกไปด้านนอกก็พบว่านี่ใกล้เวลาที่ดวงตะวันจะลาลับขอบฟ้าแล้ว และเขาควรจะกลับไปหาภรรยาของเขาเสียทีเขาจัดการสวมเสื้อคลุมก่อนจะเดินทางออกไปจากโรงแรมท
ใบหน้าในยามที่เฟรญ่าเล่าถึงการเดินทางมันเต็มไปด้วยร่องรอยของความสุข มาร์เซลคิดว่าเธอน่าจะชอบการเดินทางท่องเที่ยวมากทีเดียว“ในเมื่อพี่มีความสุขมากขนาดนั้นแล้วทำไมถึงอยู่ที่นี่ล่ะครับ หลังจากที่เราจัดการเรื่องการแต่งงานเสร็จเรียบร้อยแล้ว พี่ช่วยพาข้าเดินทางไปเรื่อยๆแบบที่พี่ชอบได้หรือไม่”มือที่ถือไม้เท้าอยู่พลันกำแน่นมากขึ้นกว่าเดิม เธอชอบที่ตัวเองได้เดินทางไปเรื่อยๆ และหากว่าดีแลนไม่แนะนำให้เธอซื้อโรงแรมที่นี่ ในบางทีเธออาจจะท่องเที่ยวไปไกลมากกว่านี้แล้วก็ได้ริมฝีปากบางแย้มยิ้มราวกับกลีบดอกไม้ที่ผลิบาน“หากว่าเรื่องต่างๆ เสร็จเรียบร้อยแล้ว เจ้ายังอยากอยู่กับข้าอยู่ เรา..ไปเป็นนักเดินทางด้วยกันก็ได้”ต้องแบบนี้สิ ต้องพาเธอออกไปจากที่นี่ ให้ไกลมากที่สุดเพื่อที่เขาจะได้ทำลายเมืองนี้ให้สิ้นซาก..และเฟรญ่าจะต้องไม่รู้เรื่องนั้น“ข้ามั่นใจว่าข้าไม่มีวันที่จะไม่ชอบพี่หรอก อีกทั้งในทางกฎหมาย พี่ถือเป็นภรรยาของข้าแล้วนะครับ ข้าจะไม่ชอบภรรยาตัวเองได้ยังไง”เมื่อเขาพูดเรื่องทะเบียนสมรสออกมา เฟรญ่าได้แต่หันมองไปทางอื่น แต่ที่มุมปากของเธอยังยกขึ้นสูงด้วยความเขินอาย เมื่อถึงโรงแรมแน่นอนว่าบรรยาก
ดีแลนกล่าวถ้อยคำเหล่านั้นออกมาด้วยใบหน้าที่เปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม เขายื่นมือมาเพื่อหวังตั้งใจมาจับมือของเฟรญ่าทว่าเธอดึงมือกลับทันทีเพื่อไม่ให้เขาได้สัมผัสหรือว่าแตะต้องมือของเธอ กับดีแลน..เฟรญ่าระมัดระวังเสมอในความสัมพันธ์เรา เธอไม่อยากให้คนอื่นมองเธอและเจ้าเมืองของเดียลอร์ลในทางที่ไม่ดี ถึงแม้ว่าบ่อยครั้งที่เขาจะพยายามเข้าหา แต่เฟรญ่าเองก็พยายามหลีกเลี่ยงตลอด“เรื่องนั้น ข้าเข้าใจความหวังดีของเจ้านะดีแลน แต่ข้าชอบมาร์เซลจริงๆ ไม่ต้องห่วงหรอกเพราะถึงแม้ว่าข้าจะมีคนรักแต่เรื่องความเป็นเพื่อนของเรายังคงเหมือนเดิม”การโดนปฏิเสธอย่างชัดเจนเช่นนี้เป็นอะไรที่ช่างทรมานมากเหลือเกิน ดีแลนรู้สึกเจ็บแน่นกลางหน้าอกอย่างบอกไม่ถูก แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ฝืนยิ้มออกมาให้เธอ“เช่นนั้น..ก็ดีแล้ว”หลังจากที่เราคุยกันจบ มาร์เซลก็เดินถือไวน์อุ่นๆ มาพอดี เขาส่งยิ้มให้กับเฟรญ่าก่อนจะนั่งลงข้างๆ เธอ“ระวังด้วยนะครับ ไวน์นี่ร้อนมากเลยนะ หรือว่าพี่ต้องการให้ข้าเป่าให้ก่อนไหม”มือของดีแลนพลันกำแน่นขึ้นมา เขาไม่ชอบขี้หน้าไอ้เด็กนี่เลยให้ตายเถอะ“ข้าขอตัวก่อนนะเฟร พอดีวันนี้ต้องเข้าไปตรวจตราในงานเทศกาลต่อน่ะ”เฟรญ่าพ
ทำไมเขาจะต้องทนในเรื่องพวกนั้นด้วยล่ะ หากว่ามีใครมามองเธอด้วยสายตาดูถูกหรือมาพูดดูแคลนเธอให้เขาได้ยิน ก็จัดการฆ่าคนพวกนั้นซะก็สิ้นเรื่อง..แต่ในอีกแง่มุมมันทำให้มาร์เซลมองเห็นความกังวลใจของเฟรญ่าได้อย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น เขาไม่ได้มองว่าเธอมีข้อผิดพลาดตรงไหนเลย เรื่องขาข้างซ้ายของเธอ หากว่าเธอเดินไม่สะดวก เช่นนั้นเขาอุ้มเธอเดินก็ได้นี่..“ข้าไม่สนใจคำพูดของคนอื่นและไม่สนใจในความหมายของสายตาที่คนพวกนั้นจะมองมาที่ท่านอยู่แล้ว..อ่า ไม่สิข้าสนใจหากว่าคนพวกนั้นมองพี่ในแบบที่พวกเขามีอาการตกหลุมรักน่ะ”เฟรญ่าไม่รู้จะดีใจหรือว่าเสียใจกับคำตอบนั้นของมาร์เซลดี เธอก้มหน้าลงเล็กน้อยและพยายามเบนสายตามองไปทางอื่น“มีคนที่..ดูถูกเรื่องขาของพี่อย่างงั้นเหรอครับ บอกข้ามาได้ไหมว่ามันผู้นั้นเป็นใครที่ทำให้พี่ไม่มั่นใจในตัวเองขนาดนี้”เธอจะบอกเขาได้อย่างไรกันว่าคนที่ทำให้เธอสูญเสียความมั่นใจคือแม่และน้องสาวของแอชตัน เพราะว่ามันเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นมาในก่อนที่เธอจะได้ย้อนเวลามานี่“ข้าไม่ได้มีสภาพเช่นนี้มาตั้งแต่เด็ก ในตอนที่รถม้าประสบอุบัติเหตุ หมอบอกว่าขาของข้ามันอาจจะกลับมาเดินไม่ได้ด้วยซ้ำ..และข้าดี
มือของเฟรญ่านั้นสั่นเทาเล็กน้อย แน่นอนว่าเธอไม่เคยแกะกระดุมของผู้อื่นมาก่อนและจากมุมนี้ยิ่งไม่เคยทำใหญ่เลย เขาอุ้มเธอไปที่เตียง ฝ่ามือของเราเกาะกุมกันเอาไว้โดยไร้คำพูด มีเพียงเสียงของหัวใจที่เต้นแรงและเสียงของลมหายใจที่ถี่กระชั้น..ชุดที่เธอสวมหลุดร่วงออกจากร่างกาย ความเขินอายเข้าครอบงำใบหน้า เฟรญ่ายกมือขึ้นมาเพื่อปิดบังร่างกายของเธอเอาไว้ด้วยความไม่มั่นใจ ถึงแม้ว่าในห้องนี้จะมืด ทว่าแสงจันทร์ที่ส่องประกายอยู่ด้านนอกกำลังส่องสว่างเล็ดลอดเข้ามาในห้องนี้ผ่านทางหน้าต่าง เธอมองเห็นใบหน้าและร่างกายของเขาอย่างชัดเจน เพราะอย่างนั้นเฟรญ่าก็เลยมั่นใจว่าตัวเขาเองก็น่าจะมองเห็นร่างกายที่มันมีตำหนิของเธอเช่นกัน..เขาไม่ได้กล่าวคำใด มาร์เซลจับมือของเธอที่กำลังปิดบังเรือนร่างของตัวเองออกมา ยอดอกอวบอิ่มปรากฏขึ้นมาเบื้องหน้าของเขา เขาไม่ได้มองร่องรอยตามร่างกายนั้นว่ามันคือตำหนิ แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นเธอมันทำให้เขาหลงใหลไม่รู้จักจบสิ้นเกลียวลิ้นร้อนไล่เลียไปตามบริเวณแผลเป็นบนหน้าท้อง“อื้อ..”เธอหลับตาลงในทันทีพร้อมกับช่องท้องที่หดเกร็งเมื่อเกลียวลิ้นของเขาสัมผัสลงบนร่างกายเธอ..สัมผัสโอ้โลมทั่วกาย
ใบหน้าหวานแดงซ่านด้วยความรู้สึกมากมายที่ถาโถมเข้ามา ริมฝีปากสั่นระริกเช่นเดียวกันกับต้นขาที่กำลังสั่นไหว ริมฝีปากของมาร์เซลหว่านพรมไปตามแผ่นหลังที่เปลือยเปล่าของเธออย่างไม่นึกรังเกียจ เขาจุมพิตลงไปบนแผลเป็นเหล่านั้นเพื่อจะบอกกล่าวกับเธอว่าร่างกายของเธอไม่ได้เป็นปัญหาเลยสักนิดเดียวเฟรญ่าสะดุ้งเฮือกเมื่อท่อนขาของเขาขยับมาเรียงตัวซ้อนกัน เขาถ่างขาเธอออกเล็กน้อยเพื่อให้ดวงตาสีทับทิมของเขาจ้องมองให้เห็นชัด ก่อนจะจับยัดส่วนนั้นเข้าไปในช่องทางสีชมพูระเรื่อนั่นเบาๆ“อะ..อึ่ก มาร์เซล อ๊า!!..”เธอกรีดร้องออกมาด้วยความทรมานในวินาทีที่ส่วนนั้นของเขาแทรกผ่านร่างกาย มันเหมือนกับร่างกายของเธอถูกฉีกทึ้งออกจากกัน เขาขยับเอวเบาๆ เพื่อดันให้มันสอดลึกเข้ามาตามที่ใจของเขาต้องการทว่าในใจของเขาก็อดสงสารเฟรญ่าไม่ได้ ไหล่ทั้งสองข้างของเธอสั่นระริกและหากเขาเดาไม่ผิดนางคงกำลังเจ็บปวดจนร้องไห้ออกมา ให้ตายเถอะเขาเคยภูมิอกภูมิใจที่ส่วนนั้นใหญ่โตมากกว่าใคร แต่ในวันนี้ในใจของมาร์เซลเขาอยากจะให้มันย่อขนาดได้เหลือเกินเพราะส่วนนั้นของเธอมันคับแคบมากเกินทำให้ความเจ็บปวดหลั่งไหลออกมาเป็นสายเลือดสีจางๆ จากจุดที่เชื่อมต
แอชตันยืนอยู่ที่ด้านหน้าบ้านของเฟรญ่า เมื่อวานเขาเห็นเธออยู่ที่นี่ ถึงแม้จะอยู่กับ..เด็กหนุ่มหน้าละอ่อนนั่นก็ตามทีเท่าที่ถามเรื่องราวของเฟรญ่ามาจากบารอนดีแลน เธอคือเจ้าของโรงแรมแห่งหนึ่งที่นี่ และอยู่ที่เดียลอร์ลมาสองปีแล้ว แสดงว่าหลังจากที่ดยุคทีเซียสส่งจดหมายมาถอนหมั้น เฟรญ่าก็ออกเดินทางเลยอย่างนั้นสินะ เขาคิดว่าเธออยู่ที่เมืองหลวงแล้วหลีกเลี่ยงการพบเจอเขาซะอีก ที่ไหนได้เธอหลบหนีเขาออกมาจากเมืองหลวง แล้วมามีคนรักใหม่เป็นเด็กหนุ่มท่าทางไม่รู้เรื่องผู้นั้นจะโง่ก็ให้มันมีขอบเขตหน่อยสิ! นี่เธอทิ้งเขา ทิ้งแกรนด์ ดยุคไปหาเด็กหนุ่มที่เป็นทหารรับจ้างเนี่ยนะ เขาไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆแอชตันเดินวนไปมาที่ด้านหน้าบ้านของเฟรญ่า ทว่าในระหว่างนั้นก็มีพนักงานที่โรงแรมเดินไปไขกุญแจที่บ้านหลังนั้น“อ่า..เฟรญ่านางอยู่ที่ไหนอย่างนั้นหรือ”ดีน่าก้มหน้าลงเล็กน้อย เมื่อวานเธออยู่ร่วมงานเทศกาลเก็บเกี่ยว แล้วท่านเจ้าเมืองก็แนะนำแกรนด์ดยุคที่มาช่วยในการดูแลเมืองเป็นการชั่วคราว ทำให้เธอรู้จักใบหน้าของชายผู้นี้“เมื่อคืนนายหญิงนอนค้างที่โรงแรมค่ะ ช่วงนี้งานที่โรงแรมเยอะมากพอสมควร นายหญิงคงจะไม่ได้กลับบ้านอีก
เหมือนหยาดฝนชุ่มฉ่ำตกลงมากระทบหัวใจที่แห้งแล้ง เมื่อมาร์เซลลืมตาขึ้นมา สิ่งที่เขามองเห็นคือใบหน้าที่แสนตั้งอกตั้งใจในการทำงานของเฟรญ่าเสียงของปากกาขนนกที่กระทบลงไปบนกระดาษทำให้เขารู้สึกเพลิดเพลินกับมันราวกับว่านั่นคือเพลงกล่อมนอน กลิ่นหอมฟุ้งกระจายออกมาจากช่อดอกไม้ที่ประดับเอาไว้ในแจกัน และเมื่อเขาเบนสายตาไปมองก็พบว่าดอกไม้ในแจกันพวกนั้นมันค่อนข้างจะคุ้นตามากทีเดียว มันคือดอกไม้ที่บารอนดีแลนนำมามอบให้เฟรญ่าเมื่อวานนี้ เพียงแค่คิดถึงตรงนั้นบรรยากาศผ่อนคลายรอบๆ ตัวของมาร์เซลก็พลันตึงเครียดขึ้นมาในทันทีเฟรญ่าเงยหน้าขึ้นมาเมื่อเธอได้ยินเสียงฝีเท้า และก็เป็นอย่างที่คิด มาร์เซลตื่นแล้วและเขากำลังจะลุกออกจากเตียง“อรุณสวัสดิ์ครับ..ดูเหมือนว่าข้าจะบอกช้าไปหน่อย หรือจะต้องพูดว่าสายันต์สวัสดิ์แทนดี”เพราะในยามนี้เป็นเวลาห้าโมงเย็นแล้ว ที่ด้านล่างงานเทศกาลยังคงครึกครื้นเหมือนเดิม“หิวไหมคะ ขออภัยด้วยที่ข้าทำอาหารไม่เป็น แต่ดีน่าพึ่งจะยกมื้อเย็นมาให้เมื่อครู่นี้เอง”มาร์เซลจุมพิตลงไปบนหน้าผากของเธอเบาๆ“ทานด้วยกันไหมครับ”เฟรญ่าส่งยิ้มให้เขา“ข้าก็ยังไม่ได้ทานเหมือนกันค่ะ ได้นั่งทานมื้อเย็นพร้อ
มาร์เซลพึ่งรู้ว่าการนั่งเรือสำเภามันไม่ใช่เรื่องสนุกเลยแม้แต่นิดเดียว เขาออกเดินทางมายังเมืองทางใต้พร้อมกันกับเฟรญ่า นี่คือการดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ของเราก่อนที่เขาจะกลับไปทำงานในตำแหน่งดยุคอย่างเป็นทางการ เราทั้งคู่เคยพูดเอาไว้ว่าอยากจะล่องเรือมาเที่ยวที่เมืองทางใต้มาชมทะเลที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน และในยามนี้เราก็กำลังอยู่กลางทะเลบนเรือสำเภาที่ค่อนข้างจะเป็นพื้นที่ส่วนตัว เพราะว่าเขาเหมาเรือลำนี้เอาไว้ เพื่อมากับเฟรญ่าเพียงแค่สองคนเท่านั้นแต่เขาอาเจียนไปสิบรอบแล้วเห็นจะได้ เพราะเขาไม่เคยนั่งเรือมาก่อน“ออกมานั่งมองทะเลดูไหม เผื่ออาการของเจ้าจะดีขึ้น”อันที่จริงแค่ได้มองหน้าสวยๆ ของเธอก็ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นแบบมากๆ แล้ว เขาจับมือของเฟรญ่าเอาไว้ก่อนจะซบใบหน้าลงไปบนไหล่ของเธอ“รักนะครับ..รักที่สุดเลย”เฟรญ่าไม่รู้ว่าเพราะอายุที่เขาเด็กกว่ามันเกี่ยวข้องด้วยรึเปล่า แต่เขาทำให้เธอรู้สึกราวกับมีลูกสุนัขตัวใหญ่ที่กำลังออดอ้อนเธอตลอดเวลา มาร์เซลติดการสัมผัสมากๆ เขาจะต้องจับมือหรือไม่ก็กอดและหอมแก้มเธอตลอดเวลา และเธอเองก็ชื่นชอบการแสดงความรักเช่นนั้นมากทีเดียว เฟรญ่าจึงไม่เคยผลักไสหรือว่าดุเขาในเร
บอกตามตรงว่านี่คงจะเป็นงานแต่งที่เจ้าสาวสบายมากที่สุดในจักรวรรดิแห่งนี้ เฟรญ่าแทบไม่ต้องจัดเตรียมอะไรเลยเพราะว่าพี่เจนนีสและลิเวียจัดเตรียมเอาไว้ให้อย่างเรียบร้อยหมดทุกอย่างแล้ว เธอเพียงสวมชุดเจ้าสาวที่แสนงดงามและเข้าร่วมงานแต่งเท่านั้นเองเฟรญ่าหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อมาร์เซลพาเธอออกมาจากงานแต่งที่แสนยิ่งใหญ่ เขาพาเธอมาที่คฤหาสน์ฮอร์ตันที่เราพึ่งได้รับมาเป็นของขวัญแต่งงาน และในห้องนอนก็เต็มไปด้วยกลิ่นหอมของดอกกุหลาบ มันทั้งหอมหวานและเย้ายวนมากทีเดียว“เจ้ากำลังข้ามขั้นพิธีแต่งงานอยู่นะมาร์เซล เราไม่ควรด่วนชิงเข้าหอก่อนที่งานเลี้ยงจะเริ่ม..”เขาส่งยิ้มให้เธอในขณะที่กำลังถอดกระดุมเสื้อของตัวเองออกมา เขาอดทนมานานมากพอสมควร อดทนแล้วอดทนอีกเพราะว่าเฟรญ่าพึ่งจะฟื้นขึ้นมาจากอาการบาดเจ็บ เพราะอย่างนั้นเขาจึงไม่ได้แตะต้องเธอเลย แต่วันนี้เขาอดทนไม่ไหวอีกแล้ว“ไม่เห็นจะต้องสนใจแขกที่เข้ามาร่วมงานเลยนี่ นี่คืองานแต่งของเราและข้าอยากอยู่กับท่าน..เข้าหอเร็วหน่อยคงไม่เป็นไรหรอกครับ หรือว่าพี่กังวล"เฟรญ่าดึงผ้าคลุมหน้าของเธอออกไป เธอไม่ได้ยืนมองมาร์เซลถอดชุดอยู่เฉยๆ แต่เธอเองก็ถอดชุดเดรสแต่งงานออกเช่
บัตรเชิญของงานแต่งเลดี้ทีเซียส วีรสตรีที่ร่วมการกอบกู้เดียลอร์ลนั้นถูกส่งให้แก่ขุนนางมากมายในจักรวรรดิ บอกตามตรงว่าในตอนที่เฟรญ่าเห็นชื่อและรูปวาดของตัวเองเด่นหราอยู่บนหน้าหนังสือพิมพ์เธอค่อนข้างตกใจมากพอสมควร เพราะเธอไม่คิดว่าเรื่องที่มาร์เซลกล่าวออกมานั้นมันจะเป็นเรื่องจริง“ให้ตายเถอะ ข้ารับมือกับคำว่าวีรสตรีอะไรพวกนั้นไม่ไหวจริงๆ”ลิเวียหัวเราะออกมา“เจ้าคู่ควรกับมันนะเฟร เรื่องความรักที่แสนอบอุ่นนี้ก็ด้วย มาร์เซลคือบุรุษที่ดีมากทีเดียว”ลิเวียกล่าวพร้อมกับสวมสร้อยคอที่มีสีเดียวกับดวงตาของเฟรญ่าลงไปบนลำคอยาวระหง เพื่อนเพียงคนเดียวของเธอแต่งงานแล้ว เฟรญ่าคือสตรีที่งดงามมากๆ ในสายตาของลิเวีย เราพบเจอกันเพราะพี่เจนนีสมาทำงานที่ทีเซียสและพี่สาวก็ร้องขอให้เธอมาเป็นเพื่อนกับเฟรญ่า เพราะสงสารที่เฟรญ่าอยู่คนเดียวในคฤหาสน์ที่แสนกว้างใหญ่ และนั่นทำให้ลิเวียได้มาพบเจอกับคาร์เตอร์ จนได้แต่งงานและเป็นจักรพรรดินีทุกวันนี้เพราะความสามารถของเฟรญ่าเลยเธอถึงได้มีความสุขมากๆ ในช่วงเวลาที่เฟรญ่ากำลังจะได้แต่งงาน เพราะมันเหมือนกับว่าครั้งนี้เป็นเธอแล้วนะที่ได้ส่งเฟรญ่าไปให้ถึงฝั่งฝันกับความรักที่ดีงา
มาทอสพาเฟรญ่าและเจนนีสเดินทางกลับมาที่เมืองหลวงพร้อมกันในอีกสองสัปดาห์ต่อมา คาร์เตอร์ตั้งขบวนเพื่อรอรับการกลับมาของเฟรญ่า ทันทีที่เธอเดินลงมาจากรถม้า คาร์เตอร์ก็พุ่งตัวเข้าไปกอดเฟรญ่าเอาไว้มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นมา และหนึ่งในเรื่องราวเหล่านั้นมันกำลังสั่นคลอนพี่ชายที่แสนกล้าหาญของเธออย่างหนักเลยสินะเฟรญ่าพบเจอคาร์เตอร์ในครั้งแรกตอนที่เธออายุสิบสี่ปี เขาคือองค์รัชทายาท ตามสายเลือดแล้วท่านพี่มาทอสคือน้องชายขององค์จักรพรรดิผู้เป็นพ่อของคาร์เตอร์ เราทั้งคู่จึงถูกเลี้ยงดูมาด้วยกันและสนิทสนมกันมากทีเดียว เพราะแผลในใจที่เคยได้รับจากแม่เลี้ยงทำให้เฟรญ่านั้นหวาดกลัวผู้คนเป็นอย่างมาก อีกทั้งท่านพี่มาทอสก็งานยุ่งมากเพราะในช่วงเวลานั้นท่านพี่มาทอสรับตำแหน่งดยุคมาจากท่านพ่อแล้ว ทำให้เขาไม่มีเวลามาคอยดูแลน้องสาวต่างแม่สักเท่าไหร่นัก ผู้ที่ดูแลและสนิทสนมกับเฟรญ่ามากที่สุดคือคาร์เตอร์ ลูกพี่ลูกน้องของเธอ เขาพยายามเข้าหาเธอในทุกวัน ชวนเธอออกไปข้างนอก และเป็นผู้ที่พาเธอก้าวเดินไปยังงานเลี้ยงในแวดวงสังคม“ฟังนะเฟร จะไม่มีใครหน้าไหนกล้าดูถูกเจ้าทั้งนั้น พี่จะปกป้องเจ้าเองเพราะอย่างนั้นไม่ต้องกังวลหรื
เมื่อเฟรญ่าทำท่าไม่เชื่อ มาร์เซลก็หัวเราะออกมาเสียงดัง เขาจับมือเธอพร้อมกับพาเธอวิ่งไปยังงานเทศกาลของเดียลอร์ลที่ในยามนี้มีชาวบ้านมากมายกำลังเต้นรำอยู่ตามท้องถนน บนใบหน้าหล่อเหลานั้นมีรอยยิ้มฉายชัดอยู่ มันเป็นรอยยิ้มที่ทำให้ดวงตาของเฟรญ่านั้นพร่ามัวไปในทันทีราวกับว่ารอยยิ้มของเขามันแฝงไปด้วยเวทมนตร์แค่เขายิ้มก็ทำให้หัวใจของเธออ่อนลงยวบยาบ ฝ่ามือของเราเกาะกุมกันไว้โดยไร้คำพูด มาร์เซลหยุดเดินพร้อมกับหมุนตัวมาหาเธอ เขายกมือขึ้นมาจับเอวของเธอเอาไว้ ก่อนจะยกขึ้นเล็กน้อยแล้วพาเธอหมุนตัวตามจังหวะของเครื่องดนตรีพื้นเมือง เฟรญ่าหยักยิ้มขึ้นมาในทันที หัวใจของเธอมันเต้นผิดจังหวะในทุกครั้งที่อยู่กับเขา มันคือความรักที่ไม่รู้เหมือนกันว่าจะอธิบายเช่นไร แต่ในยามที่เธอมองเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา มันทำให้เธอมีความสุขได้โดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย บางทีความหวังของเธอก็เป็นเรื่องง่ายๆอย่างเช่นการคาดหวังให้มาร์เซลมีความสุขตลอดไป..“เวลาที่ท่านยิ้มออกมามันสวยมากเลยนะครับ..”ในวันที่พบเจอกันครั้งแรก เขาก็เชื่อมั่นในพรหมลิขิตในทันทีว่าคนรักของเขาจะต้องเป็นเธอเท่านั้น บางสิ่งในอกค่อยๆ แผ่ซ่านออกมา หัวใจที่เย็นย
งานเทศกาลในครั้งนี้จัดขึ้นมาในฤดูที่กำลังปลูกพืชผล เมืองเดียลอร์ลนั้นได้รับผลกระทบเป็นวงกว้างเพราะอย่างนั้น บารอนดีแลนจึงหารือกับชาวบ้านจัดงานนี้ขึ้นมา เพื่อให้บรรยากาศในเดียลอร์ลนั้นดีขึ้นมา ก่อนหน้านั้นกับบางคนที่เผชิญหน้ากับความสูญเสีย พวกเขาไม่อยากแม้แต่จะหายใจต่อไปดีแลนรู้สึกผิดกับชาวเมืองมากทีเดียว กับการตัดสินใจที่ผิดพลาดของเขา เพราะอย่างนั้นเขาจึงพยายามที่จะฟื้นฟูเดียลอร์ลขึ้นมาใหม่เพื่อให้ที่นี่กลับมามีบรรยากาศที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขเช่นเดิมเฟรญ่าเดินไปบนถนนหนทางที่เต็มไปด้วยนักเดินทาง ไม่ว่าจะถามเธอสักกี่ครั้ง เฟรญ่าก็ยังคงตอบได้ในทันทีว่าเดียลอร์ลคือเมืองที่เธอชอบมากที่สุด ความธรรมดาของที่แสนพิเศษ“ไม่เจอกันนานเลยนะเฟร..”ดีแลนเดินเข้ามาทักทายเฟรญ่าด้วยใบหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม“อื้ม ที่นี่เหมือนเดิมเลยนะคะ เหมือนเดียลอร์ลที่ข้ารู้จัก”เฟรญ่าจุดยิ้มที่แสนงดงามบนใบหน้าของเธอ เธอคิดว่าดีแลนเองก็คงจะได้รับผลกระทบทางจิตใจเช่นเดียวกัน“ขาของเจ้า..มันหายดีเป็นปกติแล้วสินะ”เฟรญ่าก้มมองเท้าของตัวเอง เธอพ่นลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ถึงแม้จะรู้สึกแปลกๆ อยู่บ้างในยามที่ไ
การรอคอยสำหรับมาร์เซลนั้นถือเป็นความทรมานมากเกินกว่าที่เขาจะคาดคะเนเอาไว้ซะอีก เขาไม่เคยรู้จักความรักมาก่อนเลย ยิ่งไม่เคยรักใครและทุ่มเทกายใจให้ขนาดนี้ เราทั้งคู่ตั้งใจว่าจะแต่งงานกันหลังจากนี้ ตั้งใจอย่างแรงกล้าว่าเฟรญ่าจะเป็นเจ้าสาว ส่วนเขาจะเป็นเจ้าบ่าว ในงานแต่งที่ยิ่งใหญ่มากที่สุดในจักรวรรดิ เขาและเธอจะสร้างครอบครัวเล็กๆ ด้วยกัน พร้อมกับนั้นลูกของเขาคงจะน่ารักมากทีเดียวเพราะว่าเฟรญ่าชอบเด็ก ทว่าในยามนี้ เธอก็ยังไม่ฟื้นขึ้นมาเลย..ในค่ำคืนที่ดวงจันทร์ลอยเด่นบนนภา มาร์เซลจุมพิตลงไปบนหลังฝ่ามือของเฟรญ่า ก่อนที่เขาจะหลับตาลงเพื่อเฝ้าอธิษฐานจากใจจริง“ตื่นขึ้นมาเถอะมา กลับมาเพื่อให้ข้าได้บอกรักเจ้าจะได้รึเปล่า ได้โปรดเถอะ..กลับมาหาข้าอีกครั้ง..”น้ำเสียงของเขามันเต็มไปด้วยความสั่นเครือ หยาดน้ำตาเปียกชุ่มอยู่บนมือของเฟรญ่า ท่ามกลางห้องที่เงียบงัน มีเพียงเสียงสะอื้นของมาร์เซลเท่านั้นที่ดังออกมา“...มาร์เซล อย่าร้อง”ดวงตาของเขาเบิกกว้างออกมาในทันทีที่ได้ยินเสียงที่แสนคิดถึง และเมื่อมาร์เซลเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งเขาก็พบเจอกับดวงตาสีครามที่กำลังจ้องมองใบหน้าของเขาอยู่ บนดวงหน้างามล้ำยิ่งกว่
เฟรญ่านั่งกอดเข่าอยู่บนเตียงตามลำพัง แววตาของเธอสะท้อนความอ้างว้างและโดดเดี่ยวอย่างเห็นได้ชัด ในห้องนี้ไม่มีใครเลยนอกจากเธอเธออยู่ที่นี่มานานแค่ไหนแล้วก็ไม่รู้ รู้เพียงแต่เธอพยายามที่จะเดินออกไปจากห้องนี้มากแค่ไหนก็ไม่สามารถออกไปได้ เป็นห้องโล่งๆ ที่ไม่มีแม้กระทั่งหน้าต่างสักบาน เธอนอนหลับไปและเมื่อตื่นขึ้นมาก็จะพบเจอกับอาหารทั้งสามมื้อที่วางเอาไว้บนโต๊ะ เธอไม่รู้ว่าตัวเองมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน รู้เพียงแต่ว่าเธอจะต้องหาทางออกไปจากที่นี่ให้ได้ ไม่อย่างนั้นมาร์เซลจะต้องกำลังเป็นห่วงเธออย่างแน่นอน ไหนยังจะท่านพี่ของเธออีกจะมามัวอยู่ที่นี่ตลอดไปไม่ได้เพราะอย่างนั้นเฟรญ่าก็เลยคิดแผนการขึ้นมา การที่มีอาหารมาวางเอาไว้ในช่วงที่เธอหลับ นั่นหมายความว่าจะต้องมีคนเดินเข้ามาที่นี่และเธอจะต้องแกล้งหลับ เพื่อที่จะดูว่าคนที่ขังเธอเอาไว้ที่นี่คือใครกันแน่เมื่อคิดได้ดังนั้นเฟรญ่าก็ล้มตัวนอนลงในทันที เธอหลับตาพร้อมกับเผยอปากออกมาเล็กน้อยเพื่อให้ดูสมจริง แล้วก็เป็นอย่างที่คิดเพราะเมื่อเธอล้มตัวนอน เสียงเปิดประตูก็ดังขึ้นมา พร้อมกับฝีเท้าที่ก้าวเดินเข้ามาอย่างช้าๆเฟรญ่าค่อยๆ ปรือตามองอย่างช้าๆ เธอร
คาร์เตอร์มองเฟรญ่าที่กำลังนอนหลับอยู่ เขาอยู่ในสภาพที่บาดเจ็บสาหัสมากพอสมควร ปกติแล้วเรื่องการต่อสู้หรือการออกรบ เขาล้วนแล้วแต่ทำมันได้ดีมากทีเดียวแต่เพราะการสูดดมไอขุ่นมัวเหล่านั้นทำให้เขาหมดแรง ซึ่งมันทรมานมากที่เขารับรู้เรื่องราวต่างๆ มากกว่าแต่ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้เลยแม้แต่นิดเดียวเขามองเห็นว่าเฟรญ่า นางแตกสลายมากแค่ไหนกับการที่นางลงมือจัดการกับต้นตอของเรื่องนี้ เฟรญ่าในสายตาของคาร์เตอร์เหมือนคนที่เผชิญหน้ากับความเจ็บปวดเจียนตาย ทั้งๆ ที่นางควรจะดีใจเมื่อแอชตันตายไป แต่นางก็ยังร้องไห้ออกมาไม่หยุด ในช่วงเวลาที่นางลงมือทำร้ายแอชตันเฟรญ่าก็ยังร้องไห้ออกมามันเป็นเพราะว่าเฟรญ่า น้องสาวของเขานั้นจิตใจดีมากเกินไป นางไม่เคยทำร้ายคนอื่นมาก่อนเลย แล้วไอ้เวรนั่น..ไอ้แอชตันจะต้องทำร้ายเฟรญ่าหนักหนาสาหัสมากแค่ไหน คนที่ไม่เคยทำร้ายคนอื่นแม้แต่ปลายเล็บอย่างเฟรญ่า ถึงได้ลุกขึ้นมาเพื่อจัดการหมอนั่นด้วยความเจ็บปวดมากมายขนาดนั้น“เรื่องนี้ไม่มีใครผิดหรอกพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทอย่าได้วิตกกังวลมากเกินไปเลย”มาร์เซลปลอบใจองค์จักรพรรดิที่กำลังโมโหตัวเองอยู่ เขาพบเจอสภาพของค่ายทหารที่อาบไปด้วยเลือด พร้อมก