มือของเฟรญ่านั้นสั่นเทาเล็กน้อย แน่นอนว่าเธอไม่เคยแกะกระดุมของผู้อื่นมาก่อนและจากมุมนี้ยิ่งไม่เคยทำใหญ่เลย เขาอุ้มเธอไปที่เตียง ฝ่ามือของเราเกาะกุมกันเอาไว้โดยไร้คำพูด มีเพียงเสียงของหัวใจที่เต้นแรงและเสียงของลมหายใจที่ถี่กระชั้น..
ชุดที่เธอสวมหลุดร่วงออกจากร่างกาย ความเขินอายเข้าครอบงำใบหน้า เฟรญ่ายกมือขึ้นมาเพื่อปิดบังร่างกายของเธอเอาไว้ด้วยความไม่มั่นใจ ถึงแม้ว่าในห้องนี้จะมืด ทว่าแสงจันทร์ที่ส่องประกายอยู่ด้านนอกกำลังส่องสว่างเล็ดลอดเข้ามาในห้องนี้ผ่านทางหน้าต่าง เธอมองเห็นใบหน้าและร่างกายของเขาอย่างชัดเจน เพราะอย่างนั้นเฟรญ่าก็เลยมั่นใจว่าตัวเขาเองก็น่าจะมองเห็นร่างกายที่มันมีตำหนิของเธอเช่นกัน.. เขาไม่ได้กล่าวคำใด มาร์เซลจับมือของเธอที่กำลังปิดบังเรือนร่างของตัวเองออกมา ยอดอกอวบอิ่มปรากฏขึ้นมาเบื้องหน้าของเขา เขาไม่ได้มองร่องรอยตามร่างกายนั้นว่ามันคือตำหนิ แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นเธอมันทำให้เขาหลงใหลไม่รู้จักจบสิ้น เกลียวลิ้นร้อนไล่เลียไปตามบริเวณแผลเป็นบนหน้าท้อง “อื้อ..” เธอหลับตาลงในทันทีพร้อมกับช่องท้องที่หดเกร็งเมื่อเกลียวลิ้นของเขาสัมผัสลงบนร่างกายเธอ..สัมผัสโอ้โลมทั่วกายส่งผลให้อารมณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนพลุ่งพล่านไปมาทั่วทั้งร่าง เธอไม่เคยมีความปรารถนาที่แรงกล้าเช่นนี้มาก่อนเลย ไม่เคยอยากจะโอบกอดบุรุษผู้ใดเท่านี้มาก่อน.. เขาทำให้เธอรู้สึกว่าตัวเองนั้นพิเศษมากกว่าใคร ถึงแม้เธอจะถูกตราหน้าว่าเธอเชื่อคนง่าย แต่ถึงอย่างนั้นเธอยังคงยินยอมเชื่อเขา เชื่อในทุกคำที่เขาพูดออกมาและเชื่อถือในทุกการกระทำที่เขาแสดงออก อุณหภูมิในร่างไต่ระดับขึ้นมาตามแรงกระตุ้น จนรู้สึกร้อนวูบวาบขึ้นสมอง ไม่ว่าปลายนิ้วของเขาจะลากไล้ผ่านตำแหน่งใดของเรือนร่างก็คล้ายมีเปลวไฟลุกโชนขึ้นมา ความนุ่มนวลและความร้อนของผิวกายอันเปลือยเปล่าที่กำลังสัมผัสกันปลุกเร้าความรู้สึกซาบซ่านขึ้นมาอย่างน่าประหลาด “ไม่เห็นจำได้เลยว่าในคืนนั้นเรากระทำเรื่องเช่นนี้กันด้วย..” มาร์เซลเกือบจะหลุดขำออกมา เขาจุมพิตลงไปบนแก้มนวลเบาๆ ด้วยความอ่อนโยน “เพราะว่าพี่จำไม่ได้ ข้าถึงกำลังพยายามรื้อฟื้นความทรงจำของพี่อยู่นี่ไง..ไม่ต้องรีบร้อนหรอกครับ เพราะถึงคราวที่แล้วพี่จะจำไม่ได้แต่ครั้งนี้พี่จะจำได้อย่างแน่นอน” นี่เป็นครั้งแรกที่ร่างกายของเธอถูกผู้อื่นสำรวจเช่นนี้ ปลายนิ้วลูบไล้ปากทางเข้าก่อนจะแทรกเข้ามาตรงส่วนที่เปียกชื้นและอ่อนนุ่ม “อึ่ก..อา” “แค่สัมผัสก็เปียกแฉะขนาดนี้แล้วงั้นเหรอครับ..ให้ตายสิ พี่นี่ชอบมีเรื่องให้ข้าแปลกใจอยู่เรื่อยเลย” นิ้วที่สอดเข้ามายังส่วนที่หดเกร็งขยี้ซ้ำๆ ตรงจุดที่ไวต่อสัมผัส ราวกับว่าเขาต้องการกลั่นแกล้งทำให้ร่างกายของเธอสั่นสะท้านขึ้นมายังไงอย่างนั้น ความเจ็บปวดเจือปนอยู่ในความสุขสมที่ฉายชัดออกมาทางดวงตา เมื่อเธอเลิกกังวลก็ดูเหมือนว่าเขาจะสามารถนำพาให้ร่างกายนี้มีความสุขในแบบที่เธอไม่เคยคาดคิดมาก่อน ปลายนิ้วขยับเป็นวงกลมจากนั้นจึงเพิ่มจำนวนแล้วเสียดสีตรงจุดเดิมซ้ำๆ เขาพูดออกไปไม่ได้ว่าจะต้องทำให้ตรงนี้พร้อมมากกว่านี้อีกหน่อย เพื่อที่ในยามที่เรากระทำขั้นต่อไป ความเจ็บปวดจะได้ไม่ทรมานเธอมากเกินไป เขาอ่อนโยนและเอาใจใส่เธอถึงเพียงนี้ เพราะฉะนั้น..ไม่ว่าจากนี้ไปต่อให้จะเกิดอะไรขึ้น เฟรญ่าคือภรรยาของเขาแต่เพียงผู้เดียว “อ่า..มาร์เซล มัน..อื้อ! หยุดก่อนได้ไหม” เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย “ทำไมกันครับ พี่ไม่ชอบให้ข้าทำแบบนี้งั้นเหรอ?” เฟรญ่าช้อนสายตามองหน้าเขา “มะ..ไม่ใช่แบบนั้น คือข้ารู้สึกดีมากเสียจนคิดว่าตัวเองกำลังเอาเปรียบเจ้าอยู่รึเปล่า..” “....” เขาอ้าปากออกมาเล็กน้อย ก่อนจะแสยะยิ้มขึ้นมาบนมุมปาก มาร์เซลใช้มืออีกข้างที่ยังว่างอยู่เสยผมของตัวเองขึ้นมา ในขณะที่เรียวนิ้วยังคงฝังแน่นอยู่ในกาย นี่เธอตั้งใจจะทำให้เขาหลงใหลเธอไปถึงไหนกันนะ ทำไมถึงได้..มีความสามารถทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงมากขนาดนั้น ดูเหมือนว่าเฟรญ่าจะทำให้เขารู้สึกสนุกมาก อย่างที่คิดเอาไว้จริงๆ ด้วย เฟรญ่าเบิกตากว้างเล็กน้อยเมื่อเธอมองเห็นเลือดที่รินไหลออกมาทางจมูกของเขา “มาร์เซล..ละ..เลือด!!” เขาใช้หลังมือเช็ดเลือดกำเดาอย่างไม่ใส่ใจเท่าไหร่นัก แววตาสีทับทิมเบิกกว้างขึ้นมาด้วยความรู้สึกตื่นเต้นจนไม่อาจหักห้ามใจได้ เฟรญ่ายันตัวเองเพื่อให้เธอสามารถลุกจากที่นอน ก่อนที่เธอจะใช้ปลายนิ้วเช็ดเลือดให้เขา “มาร์เซล..เจ้าจะพักก่อนไหม” เขาจ้องมองใบหน้าของเธอก่อนที่มาร์เซลจะดันให้ร่างกายของเฟรญ่าล้มลงไปบนที่นอน เขาจับพลิกให้เธอนอนคว่ำ ก่อนจะยกสะโพกของเธอให้ลอยเด่นขึ้นมา “ไม่มีการพักหรือว่าอะไรทั้งนั้นหรอกนะครับพี่..ที่ข้าเป็นเช่นนี้เพราะว่าข้าต้องการพี่มากต่างหาก ถ้าพี่อยากให้ข้าดีขึ้นก็ช่วย..ทำให้ตรงนี้มันเปียกมากยิ่งขึ้นกว่าเดิมหน่อยสิครับ” “อะ..อ๊า” เสียงเปียกลื่นจากของเหลวบนเรียวนิ้วที่ถูไถกับช่องทางรัก ฟังแล้วช่างลามกอย่างบอกไม่ถูก ก้านนิ้วของเขาเคลื่อนไหวเบาๆ เข้าออกในร่างกายราวกับต้องการปั่นหัวเธอเล่น เฟรญ่าซบใบหน้าลงบนหมอนใบใหญ่ มือทั้งสองข้างจิกปลายนิ้วลงไปบนนั้นเพื่อระบายความเสียดเสียวที่ได้รับ เขาดึงนิ้วที่เปียกชุ่มไปด้วยน้ำหวานออกมา ก่อนจะมองดูช่องทางรักที่โอบรัดอากาศเบาๆ ราวกับกำลังต้องการบางสิ่งเข้ามาเติมเต็ม ยังไม่ใช่ตอนนี้.. มาร์เซลจุมพิตลงไปบนสะโพกขาวเนียนก่อนจะซุกใบหน้าเข้าไปโลมเลียกลีบรักสีหวาน เกลียวลิ้นร้อนไล่เลียไปตามรอยแยกของร่างกาย ก่อนจะกดลึกลงไปยังช่องทางชุ่มน้ำ “อื้อ..มาร์เซล..ตรงนั้นมัน อ๊า..มาร์เซล..” เธอทำได้แค่เรียกชื่อเขาเท่านั้น สองแขนแกร่งโอบกอดสะโพกของเธอแน่นเพื่อไม่ให้มีโอกาสได้หลบหนี เสียงเฉอะแฉะดังขึ้นพร้อมๆ กับความเคลื่อนไหวของลิ้นตรงปากทางเข้า เฟรญ่ารู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองกำลังจะหายใจไม่ออก สัมผัสที่เขาส่งมอบให้ส่งผลให้ด้านในช่องท้องหดเกร็งซ้ำๆ อย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดยั้ง ทรมาน..แต่ทว่าก็รู้สึกสุขสมอย่างที่ไม่เคยพบเจอมาก่อนเลย ดวงตาพร่าเลือนจนมองอะไรเบื้องหน้าไม่เห็น มันขาวโพลนไปหมดก่อนที่คลื่นความสุขจะสาดซัดเข้ามาในร่าง.. เธอกระตุกเกร็งซ้ำๆ พร้อมกับน้ำหวานที่เอ่อล้นออกมาจนเปียกหน้าขา แต่ถึงเฟรญ่าจะเสร็จสมไปแล้วแต่มาร์เซลยังไม่ยินยอมผละใบหน้าของเขาไปจากตรงส่วนนั้นเลย เขาดูดซดทุกหยดหยาดที่รินไหลออกมาราวกับว่ามันอร่อยนักหนายังไงอย่างนั้นใบหน้าหวานแดงซ่านด้วยความรู้สึกมากมายที่ถาโถมเข้ามา ริมฝีปากสั่นระริกเช่นเดียวกันกับต้นขาที่กำลังสั่นไหว ริมฝีปากของมาร์เซลหว่านพรมไปตามแผ่นหลังที่เปลือยเปล่าของเธออย่างไม่นึกรังเกียจ เขาจุมพิตลงไปบนแผลเป็นเหล่านั้นเพื่อจะบอกกล่าวกับเธอว่าร่างกายของเธอไม่ได้เป็นปัญหาเลยสักนิดเดียวเฟรญ่าสะดุ้งเฮือกเมื่อท่อนขาของเขาขยับมาเรียงตัวซ้อนกัน เขาถ่างขาเธอออกเล็กน้อยเพื่อให้ดวงตาสีทับทิมของเขาจ้องมองให้เห็นชัด ก่อนจะจับยัดส่วนนั้นเข้าไปในช่องทางสีชมพูระเรื่อนั่นเบาๆ“อะ..อึ่ก มาร์เซล อ๊า!!..”เธอกรีดร้องออกมาด้วยความทรมานในวินาทีที่ส่วนนั้นของเขาแทรกผ่านร่างกาย มันเหมือนกับร่างกายของเธอถูกฉีกทึ้งออกจากกัน เขาขยับเอวเบาๆ เพื่อดันให้มันสอดลึกเข้ามาตามที่ใจของเขาต้องการทว่าในใจของเขาก็อดสงสารเฟรญ่าไม่ได้ ไหล่ทั้งสองข้างของเธอสั่นระริกและหากเขาเดาไม่ผิดนางคงกำลังเจ็บปวดจนร้องไห้ออกมา ให้ตายเถอะเขาเคยภูมิอกภูมิใจที่ส่วนนั้นใหญ่โตมากกว่าใคร แต่ในวันนี้ในใจของมาร์เซลเขาอยากจะให้มันย่อขนาดได้เหลือเกินเพราะส่วนนั้นของเธอมันคับแคบมากเกินทำให้ความเจ็บปวดหลั่งไหลออกมาเป็นสายเลือดสีจางๆ จากจุดที่เชื่อมต
แอชตันยืนอยู่ที่ด้านหน้าบ้านของเฟรญ่า เมื่อวานเขาเห็นเธออยู่ที่นี่ ถึงแม้จะอยู่กับ..เด็กหนุ่มหน้าละอ่อนนั่นก็ตามทีเท่าที่ถามเรื่องราวของเฟรญ่ามาจากบารอนดีแลน เธอคือเจ้าของโรงแรมแห่งหนึ่งที่นี่ และอยู่ที่เดียลอร์ลมาสองปีแล้ว แสดงว่าหลังจากที่ดยุคทีเซียสส่งจดหมายมาถอนหมั้น เฟรญ่าก็ออกเดินทางเลยอย่างนั้นสินะ เขาคิดว่าเธออยู่ที่เมืองหลวงแล้วหลีกเลี่ยงการพบเจอเขาซะอีก ที่ไหนได้เธอหลบหนีเขาออกมาจากเมืองหลวง แล้วมามีคนรักใหม่เป็นเด็กหนุ่มท่าทางไม่รู้เรื่องผู้นั้นจะโง่ก็ให้มันมีขอบเขตหน่อยสิ! นี่เธอทิ้งเขา ทิ้งแกรนด์ ดยุคไปหาเด็กหนุ่มที่เป็นทหารรับจ้างเนี่ยนะ เขาไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆแอชตันเดินวนไปมาที่ด้านหน้าบ้านของเฟรญ่า ทว่าในระหว่างนั้นก็มีพนักงานที่โรงแรมเดินไปไขกุญแจที่บ้านหลังนั้น“อ่า..เฟรญ่านางอยู่ที่ไหนอย่างนั้นหรือ”ดีน่าก้มหน้าลงเล็กน้อย เมื่อวานเธออยู่ร่วมงานเทศกาลเก็บเกี่ยว แล้วท่านเจ้าเมืองก็แนะนำแกรนด์ดยุคที่มาช่วยในการดูแลเมืองเป็นการชั่วคราว ทำให้เธอรู้จักใบหน้าของชายผู้นี้“เมื่อคืนนายหญิงนอนค้างที่โรงแรมค่ะ ช่วงนี้งานที่โรงแรมเยอะมากพอสมควร นายหญิงคงจะไม่ได้กลับบ้านอีก
เหมือนหยาดฝนชุ่มฉ่ำตกลงมากระทบหัวใจที่แห้งแล้ง เมื่อมาร์เซลลืมตาขึ้นมา สิ่งที่เขามองเห็นคือใบหน้าที่แสนตั้งอกตั้งใจในการทำงานของเฟรญ่าเสียงของปากกาขนนกที่กระทบลงไปบนกระดาษทำให้เขารู้สึกเพลิดเพลินกับมันราวกับว่านั่นคือเพลงกล่อมนอน กลิ่นหอมฟุ้งกระจายออกมาจากช่อดอกไม้ที่ประดับเอาไว้ในแจกัน และเมื่อเขาเบนสายตาไปมองก็พบว่าดอกไม้ในแจกันพวกนั้นมันค่อนข้างจะคุ้นตามากทีเดียว มันคือดอกไม้ที่บารอนดีแลนนำมามอบให้เฟรญ่าเมื่อวานนี้ เพียงแค่คิดถึงตรงนั้นบรรยากาศผ่อนคลายรอบๆ ตัวของมาร์เซลก็พลันตึงเครียดขึ้นมาในทันทีเฟรญ่าเงยหน้าขึ้นมาเมื่อเธอได้ยินเสียงฝีเท้า และก็เป็นอย่างที่คิด มาร์เซลตื่นแล้วและเขากำลังจะลุกออกจากเตียง“อรุณสวัสดิ์ครับ..ดูเหมือนว่าข้าจะบอกช้าไปหน่อย หรือจะต้องพูดว่าสายันต์สวัสดิ์แทนดี”เพราะในยามนี้เป็นเวลาห้าโมงเย็นแล้ว ที่ด้านล่างงานเทศกาลยังคงครึกครื้นเหมือนเดิม“หิวไหมคะ ขออภัยด้วยที่ข้าทำอาหารไม่เป็น แต่ดีน่าพึ่งจะยกมื้อเย็นมาให้เมื่อครู่นี้เอง”มาร์เซลจุมพิตลงไปบนหน้าผากของเธอเบาๆ“ทานด้วยกันไหมครับ”เฟรญ่าส่งยิ้มให้เขา“ข้าก็ยังไม่ได้ทานเหมือนกันค่ะ ได้นั่งทานมื้อเย็นพร้อ
กล้ามเนื้อบนใบหน้าของแอชตันเกร็งขึ้นมาเล็กน้อย เขาหลับตาลงเพื่อหลบหนีบรรยากาศที่แสนอึดอัดนี้“..เฟร ทำไมเจ้าถึงคิดว่าข้าจะทนไม่ได้ล่ะ เจ้ารู้หรือไม่ว่าในยามนี้ข้ายังไม่ได้ส่งหนังสือถอนหมั้นให้แก่ดยุคทีเซียสเลย ถึงแม้ว่าเขาจะยึดสิทธิ์ในการถือครองเหมืองเพชรของข้าไป แต่ข้าก็ยินยอมเพื่อให้สัญญาหมั้นหมายของเรามันยังอยู่ ถึงแม้ว่าเจ้าจะยังไม่ได้เขียนชื่อลงไปก็ตาม ข้ามาที่นี่เพราะจามินลำบากมาก ประชาชนที่นั่นไม่มีเงิน และข้ามาที่นี่เพื่อหาเงินกลับไปฟื้นฟูแกรนด์ดัชชีของข้า ทั้งๆ ที่หากข้าเขียนชื่อตัวเองลงไปบนหนังสือถอนหมั้นข้าก็จะได้เงินปันผลจากเหมืองเพชร ถึงแม้ว่ามันจะไม่มากมายแต่มันก็เพียงพอต่อประชาชนทุกคนของข้า เฟร..ข้าเสียอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่เจ้า”คำหวานที่อาบเคลือบด้วยยาพิษฤทธิ์ร้อนแรง แค่เพียงเธอยื่นมือไปสัมผัสทั่วทั้งร่างกายของเธอก็จะทรมานจากพิษที่แสนร้ายแรงนั้นจนตาย“แอชตัน เจ้ากับข้ามันจบไปแล้ว และข้ามีคนรักใหม่เรียบร้อยแล้ว เรื่องที่เจ้ากำลังทำมันไร้สาระ ข้าไม่สนใจชีวิตของประชาชนในแกรนด์ดัชชีของเจ้าหรอก ไม่ต้องหยิบยกเรื่องนั้นขึ้นมาพูดคุย ในตอนนี้เอาเป็นว่าข้าไม่คิดจะกลับไปคบหากับท่าน.
หลังสิ้นสุดงานเทศกาลเก็บเกี่ยวแล้วอากาศก็เย็นลงอย่างเห็นได้ชัด เฟรญ่าเหม่อมองออกไปด้านนอกหน้าต่าง เธอกระชับผ้าคลุมไหล่เอาไว้เพราะว่าอากาศในค่อนข้างหนาวเหน็บมากพอสมควร เธอหลับตาลงพร้อมกับถอนหายใจเฮือกใหม่ เพราะทหารมากมายของจามินกำลังถอนกำลังกลับไปยังแกรนด์ดัชชี และตัวของแอชตันเองก็กำลังเดินทางกลับไปที่นั่นเธอจะไม่ต้องพบเจอเขาที่นี่อีกแล้ว มือที่กระชับผ้าคลุมไหล่พลันกำแน่นมากกว่าเดิมด้วยความโกรธเคือง..แต่เธอจะไม่ยอมให้เขาได้อยู่อย่างสุขสบายอีกแล้วล่ะ เธอแค้นเคืองและเกลียดชังจามินแต่ประชาชนทุกคนของที่นั่นไม่ได้เกี่ยวข้องด้วยเพราะอย่างนั้นเธอจะต้องกันทุกคนออก..ให้การแก้แค้นในครั้งนี้มีผลกับแค่แอชตันและครอบครัวของเขาก็พอ“นายหญิงครับ เรื่องที่ท่านให้ข้าไปจัดการ เราได้รับการตอบตกลงว่าจะขายคฤหาสน์แล้วครับ”ริมฝีปากบางแย้มยิ้มออกมาด้วยความพึงพอใจ“เช่นนั้นก็ไปจัดเตรียมเงินให้พร้อมเถิด บอกให้พวกเขาขนของออกไปให้หมดภายในหนึ่งสัปดาห์ แล้วก็นำจดหมายที่วางอยู่บนโต๊ะไปส่งให้พี่ชายของข้าด้วย”“ครับนายหญิง..”เบนก้มหน้าลงพร้อมกับนำจดหมายที่วางเอาไว้ถือออกไปด้วย เธอพบเบนโดยบังเอิญเมื่อฤดูหนาวปีแล้ว
รถม้าเคลื่อนตัวอย่างช้าๆ เพื่อเดินทางออกจากเมืองเล็กๆ ในหุบเขาอย่างเดียลอร์ล กระเป๋าของเฟรญ่ามันมีขนาดเล็กมากกว่าที่มาร์เซลคิดเอาไว้เยอะมากพอสมควรเลย เขาคิดว่าสัมภาระของเธอจะมากมายกว่านี้ซะอีก แต่ปรากฏว่ามีกระเป๋าเสื้อผ้าขนาดเล็กหนึ่งใบและกระเป๋าใส่เครื่องประดับอีกหนึ่งใบ..บนใบหน้างามแย้มยิ้มออกมาด้วยความยินดี เธอดีใจที่ได้กลับมาทำในสิ่งที่อยากทำอีกครั้ง นั่นคือการเดินทางท่องเที่ยวไปเรื่อยๆ“บ้านของเจ้าอยู่ไกลจากเมืองหลวงมากรึเปล่ามาร์เซล”เขายกมือขึ้นมาลูบผมของเธอเบาๆ ก่อนจะจุมพิตลงไปบนหน้าผากขาวเนียนด้วยความรักใคร่“ไม่ไกลจากเมืองหลวงมากเท่าไหร่ครับ หลังจากที่ไปบ้านของข้าแล้ว เราเดินทางไปทางใต้ดีหรือไม่ ข้ายังไม่เคยพบเห็นทะเลด้วยสายตาตัวเองมาก่อนเลย..”เธอจับมือของเขาแนบแน่นยิ่งกว่าครั้งไหนๆ หัวใจของเฟรญ่าสั่นไหวอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน.. ความอบอุ่นกระทบเข้ามายังก้นบึ้งของหัวใจ คงจะมีเพียงคนผู้นี้คนเดียวเท่านั้นที่เธออยากจะฝากชีวิตน้อยๆ ของเธอเอาไว้กับเขา“ป่านนี้น้ำในทะเลคงจะเป็นน้ำแข็งหมดแล้ว ข้าคิดว่าหากบ้านของเจ้าไม่ไกลจากเมืองหลวงมากนัก เช่นนั้นไปที่บ้านของข้าด้วยดีหรือไม่ พ
เธอดีใจที่เขาบอกว่าอยากจะสร้างครอบครัวกับเธอ ส่วนเรื่องการแต่งงานเฟรญ่าไม่คิดว่าสิ่งนั้นจะเป็นเรื่องที่จำเป็น..“ข้าไม่เคยคิดเรื่องการแต่งงานมาก่อนเลย เอาจริงๆ ข้ามองว่ามันไม่ได้สำคัญอะไรเท่ากับสิ่งที่อยู่หลังจากนั้น..นั่นคือการช่วยกันสร้างครอบครัวของเรา”มาร์เซลค่อนข้างแปลกใจมากทีเดียวกับคำตอบที่แปลกใหม่ของเธอ เรื่องการแต่งงานสำหรับสตรีมันคือสิ่งที่ทุกคนต้องการ แต่กับพี่สาวคนสวยของเขา นางกลับไม่ได้ต้องการมัน..หรือนางคิดว่าเขาไม่มีเงิน?มาร์เซลยกมือขึ้นมาปิดปากเอาไว้เพื่อเก็บกลั้นเสียงหัวเราะ“ดูเหมือนพี่จะข้ามขั้นตอนไปหน่อย เพราะเรื่องที่อยู่หลังจากการแต่งงานมันคือเรื่องการเข้าหอต่างหากล่ะ..”ปลายนิ้วร้อนลูบไล้ไปมาอยู่บนเรียวขาของซ้ายของเฟรญ่า“ไม่ได้เจ็บขาแล้วใช่ไหมครับ”น้ำหนักจากมือของเขาให้ความรู้สึกดีเกินไป และมันเริ่มไล้ขึ้นไปด้านบนเรื่อยๆ จนถึงโคนขาอ่อน เฟรญ่าหันหน้าหนีในทันที เพื่อหลบซ่อนใบหน้าที่แดงซ่านของตัวเอง แต่ถึงอย่างนั้นใบหน้าของมาร์เซลก็กำลังไล่ตามใบหน้าของเธอไป เพื่อที่เขาจะส่งมอบจุมพิตแสนหวานล้ำเหล่านั้นให้เธอเฟรญ่ายกมือขึ้นมาจับเข้าที่ไหล่ของมาร์เซล“มาร์เซล..แต่
ถึงแม้ว่ามาร์เซลจะอยากให้เฟรญ่านอนนานมากกว่านี้อีกสักหน่อย ทว่าเรามีกำหนดการที่จะต้องเดินทางกันต่อ“พี่ครับ..ต้องลุกแล้วนะ ไม่อย่างนั้นคงจะไปถึงที่บ้านของข้าช้ามากแน่ๆ”เมื่อวานเราไม่ได้พูดคุยอะไรกันเลย เขาและเธอใช้เพียงร่างกายเท่านั้นในการพูดคุยกัน อาจจะเพราะริมฝีปากของเรานั้นแนบชิดกันแทบจะตลอดเวลา ส่วนหนึ่งมาจากเขาด้วยที่ไม่อยากให้เธอมีโอกาสได้ซักถาม เพราะอย่างนั้นแผนการในใจของเขาคือการทรมานเฟรญ่าจนกว่านางจะหลับ..และแผนการของเขามันก็ได้ผลดีเกินคาดทีเดียว เธอหมดแรงและหลับไปตั้งแต่ตอนนั้นยันเวลานี้เฟรญ่าปรือตาขึ้นมามองหน้าของมาร์เซลที่กำลังยิ้ม เขาใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นในการเช็ดหน้าและเช็ดตามร่างกายให้เธออ่า..นี่เขากำลังทำให้เธอกลายเป็นคนที่ขาดเขาไม่ได้อยู่ใช่ไหมนะ เฟรญ่าเป็นพวกแพ้การเอาใจใส่เล็กๆ น้อยๆ อย่างมากเลยล่ะและมาร์เซลก็ดันเป็นคนแบบนั้นอยู่พอดี เป็นคนที่ขยันเอาใจใส่ในทุกการกระทำของเธอ เขาลอบมองที่ขาข้างซ้ายของเธอแทบจะตลอดเวลาเพื่อมองดูว่าเธอเจ็บปวดอยู่หรือไม่..และในยามนี้เขากำลังสวมเสื้อผ้าให้เธออยู่ เนื่องจากอากาศที่แสนเหน็บหนาวทำให้เราต้องสวมใส่เสื้อผ้าหลายชั้นมากกว่าเดิม เข
มาร์เซลพึ่งรู้ว่าการนั่งเรือสำเภามันไม่ใช่เรื่องสนุกเลยแม้แต่นิดเดียว เขาออกเดินทางมายังเมืองทางใต้พร้อมกันกับเฟรญ่า นี่คือการดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ของเราก่อนที่เขาจะกลับไปทำงานในตำแหน่งดยุคอย่างเป็นทางการ เราทั้งคู่เคยพูดเอาไว้ว่าอยากจะล่องเรือมาเที่ยวที่เมืองทางใต้มาชมทะเลที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน และในยามนี้เราก็กำลังอยู่กลางทะเลบนเรือสำเภาที่ค่อนข้างจะเป็นพื้นที่ส่วนตัว เพราะว่าเขาเหมาเรือลำนี้เอาไว้ เพื่อมากับเฟรญ่าเพียงแค่สองคนเท่านั้นแต่เขาอาเจียนไปสิบรอบแล้วเห็นจะได้ เพราะเขาไม่เคยนั่งเรือมาก่อน“ออกมานั่งมองทะเลดูไหม เผื่ออาการของเจ้าจะดีขึ้น”อันที่จริงแค่ได้มองหน้าสวยๆ ของเธอก็ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นแบบมากๆ แล้ว เขาจับมือของเฟรญ่าเอาไว้ก่อนจะซบใบหน้าลงไปบนไหล่ของเธอ“รักนะครับ..รักที่สุดเลย”เฟรญ่าไม่รู้ว่าเพราะอายุที่เขาเด็กกว่ามันเกี่ยวข้องด้วยรึเปล่า แต่เขาทำให้เธอรู้สึกราวกับมีลูกสุนัขตัวใหญ่ที่กำลังออดอ้อนเธอตลอดเวลา มาร์เซลติดการสัมผัสมากๆ เขาจะต้องจับมือหรือไม่ก็กอดและหอมแก้มเธอตลอดเวลา และเธอเองก็ชื่นชอบการแสดงความรักเช่นนั้นมากทีเดียว เฟรญ่าจึงไม่เคยผลักไสหรือว่าดุเขาในเร
บอกตามตรงว่านี่คงจะเป็นงานแต่งที่เจ้าสาวสบายมากที่สุดในจักรวรรดิแห่งนี้ เฟรญ่าแทบไม่ต้องจัดเตรียมอะไรเลยเพราะว่าพี่เจนนีสและลิเวียจัดเตรียมเอาไว้ให้อย่างเรียบร้อยหมดทุกอย่างแล้ว เธอเพียงสวมชุดเจ้าสาวที่แสนงดงามและเข้าร่วมงานแต่งเท่านั้นเองเฟรญ่าหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อมาร์เซลพาเธอออกมาจากงานแต่งที่แสนยิ่งใหญ่ เขาพาเธอมาที่คฤหาสน์ฮอร์ตันที่เราพึ่งได้รับมาเป็นของขวัญแต่งงาน และในห้องนอนก็เต็มไปด้วยกลิ่นหอมของดอกกุหลาบ มันทั้งหอมหวานและเย้ายวนมากทีเดียว“เจ้ากำลังข้ามขั้นพิธีแต่งงานอยู่นะมาร์เซล เราไม่ควรด่วนชิงเข้าหอก่อนที่งานเลี้ยงจะเริ่ม..”เขาส่งยิ้มให้เธอในขณะที่กำลังถอดกระดุมเสื้อของตัวเองออกมา เขาอดทนมานานมากพอสมควร อดทนแล้วอดทนอีกเพราะว่าเฟรญ่าพึ่งจะฟื้นขึ้นมาจากอาการบาดเจ็บ เพราะอย่างนั้นเขาจึงไม่ได้แตะต้องเธอเลย แต่วันนี้เขาอดทนไม่ไหวอีกแล้ว“ไม่เห็นจะต้องสนใจแขกที่เข้ามาร่วมงานเลยนี่ นี่คืองานแต่งของเราและข้าอยากอยู่กับท่าน..เข้าหอเร็วหน่อยคงไม่เป็นไรหรอกครับ หรือว่าพี่กังวล"เฟรญ่าดึงผ้าคลุมหน้าของเธอออกไป เธอไม่ได้ยืนมองมาร์เซลถอดชุดอยู่เฉยๆ แต่เธอเองก็ถอดชุดเดรสแต่งงานออกเช่
บัตรเชิญของงานแต่งเลดี้ทีเซียส วีรสตรีที่ร่วมการกอบกู้เดียลอร์ลนั้นถูกส่งให้แก่ขุนนางมากมายในจักรวรรดิ บอกตามตรงว่าในตอนที่เฟรญ่าเห็นชื่อและรูปวาดของตัวเองเด่นหราอยู่บนหน้าหนังสือพิมพ์เธอค่อนข้างตกใจมากพอสมควร เพราะเธอไม่คิดว่าเรื่องที่มาร์เซลกล่าวออกมานั้นมันจะเป็นเรื่องจริง“ให้ตายเถอะ ข้ารับมือกับคำว่าวีรสตรีอะไรพวกนั้นไม่ไหวจริงๆ”ลิเวียหัวเราะออกมา“เจ้าคู่ควรกับมันนะเฟร เรื่องความรักที่แสนอบอุ่นนี้ก็ด้วย มาร์เซลคือบุรุษที่ดีมากทีเดียว”ลิเวียกล่าวพร้อมกับสวมสร้อยคอที่มีสีเดียวกับดวงตาของเฟรญ่าลงไปบนลำคอยาวระหง เพื่อนเพียงคนเดียวของเธอแต่งงานแล้ว เฟรญ่าคือสตรีที่งดงามมากๆ ในสายตาของลิเวีย เราพบเจอกันเพราะพี่เจนนีสมาทำงานที่ทีเซียสและพี่สาวก็ร้องขอให้เธอมาเป็นเพื่อนกับเฟรญ่า เพราะสงสารที่เฟรญ่าอยู่คนเดียวในคฤหาสน์ที่แสนกว้างใหญ่ และนั่นทำให้ลิเวียได้มาพบเจอกับคาร์เตอร์ จนได้แต่งงานและเป็นจักรพรรดินีทุกวันนี้เพราะความสามารถของเฟรญ่าเลยเธอถึงได้มีความสุขมากๆ ในช่วงเวลาที่เฟรญ่ากำลังจะได้แต่งงาน เพราะมันเหมือนกับว่าครั้งนี้เป็นเธอแล้วนะที่ได้ส่งเฟรญ่าไปให้ถึงฝั่งฝันกับความรักที่ดีงา
มาทอสพาเฟรญ่าและเจนนีสเดินทางกลับมาที่เมืองหลวงพร้อมกันในอีกสองสัปดาห์ต่อมา คาร์เตอร์ตั้งขบวนเพื่อรอรับการกลับมาของเฟรญ่า ทันทีที่เธอเดินลงมาจากรถม้า คาร์เตอร์ก็พุ่งตัวเข้าไปกอดเฟรญ่าเอาไว้มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นมา และหนึ่งในเรื่องราวเหล่านั้นมันกำลังสั่นคลอนพี่ชายที่แสนกล้าหาญของเธออย่างหนักเลยสินะเฟรญ่าพบเจอคาร์เตอร์ในครั้งแรกตอนที่เธออายุสิบสี่ปี เขาคือองค์รัชทายาท ตามสายเลือดแล้วท่านพี่มาทอสคือน้องชายขององค์จักรพรรดิผู้เป็นพ่อของคาร์เตอร์ เราทั้งคู่จึงถูกเลี้ยงดูมาด้วยกันและสนิทสนมกันมากทีเดียว เพราะแผลในใจที่เคยได้รับจากแม่เลี้ยงทำให้เฟรญ่านั้นหวาดกลัวผู้คนเป็นอย่างมาก อีกทั้งท่านพี่มาทอสก็งานยุ่งมากเพราะในช่วงเวลานั้นท่านพี่มาทอสรับตำแหน่งดยุคมาจากท่านพ่อแล้ว ทำให้เขาไม่มีเวลามาคอยดูแลน้องสาวต่างแม่สักเท่าไหร่นัก ผู้ที่ดูแลและสนิทสนมกับเฟรญ่ามากที่สุดคือคาร์เตอร์ ลูกพี่ลูกน้องของเธอ เขาพยายามเข้าหาเธอในทุกวัน ชวนเธอออกไปข้างนอก และเป็นผู้ที่พาเธอก้าวเดินไปยังงานเลี้ยงในแวดวงสังคม“ฟังนะเฟร จะไม่มีใครหน้าไหนกล้าดูถูกเจ้าทั้งนั้น พี่จะปกป้องเจ้าเองเพราะอย่างนั้นไม่ต้องกังวลหรื
เมื่อเฟรญ่าทำท่าไม่เชื่อ มาร์เซลก็หัวเราะออกมาเสียงดัง เขาจับมือเธอพร้อมกับพาเธอวิ่งไปยังงานเทศกาลของเดียลอร์ลที่ในยามนี้มีชาวบ้านมากมายกำลังเต้นรำอยู่ตามท้องถนน บนใบหน้าหล่อเหลานั้นมีรอยยิ้มฉายชัดอยู่ มันเป็นรอยยิ้มที่ทำให้ดวงตาของเฟรญ่านั้นพร่ามัวไปในทันทีราวกับว่ารอยยิ้มของเขามันแฝงไปด้วยเวทมนตร์แค่เขายิ้มก็ทำให้หัวใจของเธออ่อนลงยวบยาบ ฝ่ามือของเราเกาะกุมกันไว้โดยไร้คำพูด มาร์เซลหยุดเดินพร้อมกับหมุนตัวมาหาเธอ เขายกมือขึ้นมาจับเอวของเธอเอาไว้ ก่อนจะยกขึ้นเล็กน้อยแล้วพาเธอหมุนตัวตามจังหวะของเครื่องดนตรีพื้นเมือง เฟรญ่าหยักยิ้มขึ้นมาในทันที หัวใจของเธอมันเต้นผิดจังหวะในทุกครั้งที่อยู่กับเขา มันคือความรักที่ไม่รู้เหมือนกันว่าจะอธิบายเช่นไร แต่ในยามที่เธอมองเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา มันทำให้เธอมีความสุขได้โดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย บางทีความหวังของเธอก็เป็นเรื่องง่ายๆอย่างเช่นการคาดหวังให้มาร์เซลมีความสุขตลอดไป..“เวลาที่ท่านยิ้มออกมามันสวยมากเลยนะครับ..”ในวันที่พบเจอกันครั้งแรก เขาก็เชื่อมั่นในพรหมลิขิตในทันทีว่าคนรักของเขาจะต้องเป็นเธอเท่านั้น บางสิ่งในอกค่อยๆ แผ่ซ่านออกมา หัวใจที่เย็นย
งานเทศกาลในครั้งนี้จัดขึ้นมาในฤดูที่กำลังปลูกพืชผล เมืองเดียลอร์ลนั้นได้รับผลกระทบเป็นวงกว้างเพราะอย่างนั้น บารอนดีแลนจึงหารือกับชาวบ้านจัดงานนี้ขึ้นมา เพื่อให้บรรยากาศในเดียลอร์ลนั้นดีขึ้นมา ก่อนหน้านั้นกับบางคนที่เผชิญหน้ากับความสูญเสีย พวกเขาไม่อยากแม้แต่จะหายใจต่อไปดีแลนรู้สึกผิดกับชาวเมืองมากทีเดียว กับการตัดสินใจที่ผิดพลาดของเขา เพราะอย่างนั้นเขาจึงพยายามที่จะฟื้นฟูเดียลอร์ลขึ้นมาใหม่เพื่อให้ที่นี่กลับมามีบรรยากาศที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขเช่นเดิมเฟรญ่าเดินไปบนถนนหนทางที่เต็มไปด้วยนักเดินทาง ไม่ว่าจะถามเธอสักกี่ครั้ง เฟรญ่าก็ยังคงตอบได้ในทันทีว่าเดียลอร์ลคือเมืองที่เธอชอบมากที่สุด ความธรรมดาของที่แสนพิเศษ“ไม่เจอกันนานเลยนะเฟร..”ดีแลนเดินเข้ามาทักทายเฟรญ่าด้วยใบหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม“อื้ม ที่นี่เหมือนเดิมเลยนะคะ เหมือนเดียลอร์ลที่ข้ารู้จัก”เฟรญ่าจุดยิ้มที่แสนงดงามบนใบหน้าของเธอ เธอคิดว่าดีแลนเองก็คงจะได้รับผลกระทบทางจิตใจเช่นเดียวกัน“ขาของเจ้า..มันหายดีเป็นปกติแล้วสินะ”เฟรญ่าก้มมองเท้าของตัวเอง เธอพ่นลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ถึงแม้จะรู้สึกแปลกๆ อยู่บ้างในยามที่ไ
การรอคอยสำหรับมาร์เซลนั้นถือเป็นความทรมานมากเกินกว่าที่เขาจะคาดคะเนเอาไว้ซะอีก เขาไม่เคยรู้จักความรักมาก่อนเลย ยิ่งไม่เคยรักใครและทุ่มเทกายใจให้ขนาดนี้ เราทั้งคู่ตั้งใจว่าจะแต่งงานกันหลังจากนี้ ตั้งใจอย่างแรงกล้าว่าเฟรญ่าจะเป็นเจ้าสาว ส่วนเขาจะเป็นเจ้าบ่าว ในงานแต่งที่ยิ่งใหญ่มากที่สุดในจักรวรรดิ เขาและเธอจะสร้างครอบครัวเล็กๆ ด้วยกัน พร้อมกับนั้นลูกของเขาคงจะน่ารักมากทีเดียวเพราะว่าเฟรญ่าชอบเด็ก ทว่าในยามนี้ เธอก็ยังไม่ฟื้นขึ้นมาเลย..ในค่ำคืนที่ดวงจันทร์ลอยเด่นบนนภา มาร์เซลจุมพิตลงไปบนหลังฝ่ามือของเฟรญ่า ก่อนที่เขาจะหลับตาลงเพื่อเฝ้าอธิษฐานจากใจจริง“ตื่นขึ้นมาเถอะมา กลับมาเพื่อให้ข้าได้บอกรักเจ้าจะได้รึเปล่า ได้โปรดเถอะ..กลับมาหาข้าอีกครั้ง..”น้ำเสียงของเขามันเต็มไปด้วยความสั่นเครือ หยาดน้ำตาเปียกชุ่มอยู่บนมือของเฟรญ่า ท่ามกลางห้องที่เงียบงัน มีเพียงเสียงสะอื้นของมาร์เซลเท่านั้นที่ดังออกมา“...มาร์เซล อย่าร้อง”ดวงตาของเขาเบิกกว้างออกมาในทันทีที่ได้ยินเสียงที่แสนคิดถึง และเมื่อมาร์เซลเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งเขาก็พบเจอกับดวงตาสีครามที่กำลังจ้องมองใบหน้าของเขาอยู่ บนดวงหน้างามล้ำยิ่งกว่
เฟรญ่านั่งกอดเข่าอยู่บนเตียงตามลำพัง แววตาของเธอสะท้อนความอ้างว้างและโดดเดี่ยวอย่างเห็นได้ชัด ในห้องนี้ไม่มีใครเลยนอกจากเธอเธออยู่ที่นี่มานานแค่ไหนแล้วก็ไม่รู้ รู้เพียงแต่เธอพยายามที่จะเดินออกไปจากห้องนี้มากแค่ไหนก็ไม่สามารถออกไปได้ เป็นห้องโล่งๆ ที่ไม่มีแม้กระทั่งหน้าต่างสักบาน เธอนอนหลับไปและเมื่อตื่นขึ้นมาก็จะพบเจอกับอาหารทั้งสามมื้อที่วางเอาไว้บนโต๊ะ เธอไม่รู้ว่าตัวเองมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน รู้เพียงแต่ว่าเธอจะต้องหาทางออกไปจากที่นี่ให้ได้ ไม่อย่างนั้นมาร์เซลจะต้องกำลังเป็นห่วงเธออย่างแน่นอน ไหนยังจะท่านพี่ของเธออีกจะมามัวอยู่ที่นี่ตลอดไปไม่ได้เพราะอย่างนั้นเฟรญ่าก็เลยคิดแผนการขึ้นมา การที่มีอาหารมาวางเอาไว้ในช่วงที่เธอหลับ นั่นหมายความว่าจะต้องมีคนเดินเข้ามาที่นี่และเธอจะต้องแกล้งหลับ เพื่อที่จะดูว่าคนที่ขังเธอเอาไว้ที่นี่คือใครกันแน่เมื่อคิดได้ดังนั้นเฟรญ่าก็ล้มตัวนอนลงในทันที เธอหลับตาพร้อมกับเผยอปากออกมาเล็กน้อยเพื่อให้ดูสมจริง แล้วก็เป็นอย่างที่คิดเพราะเมื่อเธอล้มตัวนอน เสียงเปิดประตูก็ดังขึ้นมา พร้อมกับฝีเท้าที่ก้าวเดินเข้ามาอย่างช้าๆเฟรญ่าค่อยๆ ปรือตามองอย่างช้าๆ เธอร
คาร์เตอร์มองเฟรญ่าที่กำลังนอนหลับอยู่ เขาอยู่ในสภาพที่บาดเจ็บสาหัสมากพอสมควร ปกติแล้วเรื่องการต่อสู้หรือการออกรบ เขาล้วนแล้วแต่ทำมันได้ดีมากทีเดียวแต่เพราะการสูดดมไอขุ่นมัวเหล่านั้นทำให้เขาหมดแรง ซึ่งมันทรมานมากที่เขารับรู้เรื่องราวต่างๆ มากกว่าแต่ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้เลยแม้แต่นิดเดียวเขามองเห็นว่าเฟรญ่า นางแตกสลายมากแค่ไหนกับการที่นางลงมือจัดการกับต้นตอของเรื่องนี้ เฟรญ่าในสายตาของคาร์เตอร์เหมือนคนที่เผชิญหน้ากับความเจ็บปวดเจียนตาย ทั้งๆ ที่นางควรจะดีใจเมื่อแอชตันตายไป แต่นางก็ยังร้องไห้ออกมาไม่หยุด ในช่วงเวลาที่นางลงมือทำร้ายแอชตันเฟรญ่าก็ยังร้องไห้ออกมามันเป็นเพราะว่าเฟรญ่า น้องสาวของเขานั้นจิตใจดีมากเกินไป นางไม่เคยทำร้ายคนอื่นมาก่อนเลย แล้วไอ้เวรนั่น..ไอ้แอชตันจะต้องทำร้ายเฟรญ่าหนักหนาสาหัสมากแค่ไหน คนที่ไม่เคยทำร้ายคนอื่นแม้แต่ปลายเล็บอย่างเฟรญ่า ถึงได้ลุกขึ้นมาเพื่อจัดการหมอนั่นด้วยความเจ็บปวดมากมายขนาดนั้น“เรื่องนี้ไม่มีใครผิดหรอกพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทอย่าได้วิตกกังวลมากเกินไปเลย”มาร์เซลปลอบใจองค์จักรพรรดิที่กำลังโมโหตัวเองอยู่ เขาพบเจอสภาพของค่ายทหารที่อาบไปด้วยเลือด พร้อมก