เหมือนหยาดฝนชุ่มฉ่ำตกลงมากระทบหัวใจที่แห้งแล้ง เมื่อมาร์เซลลืมตาขึ้นมา สิ่งที่เขามองเห็นคือใบหน้าที่แสนตั้งอกตั้งใจในการทำงานของเฟรญ่า
เสียงของปากกาขนนกที่กระทบลงไปบนกระดาษทำให้เขารู้สึกเพลิดเพลินกับมันราวกับว่านั่นคือเพลงกล่อมนอน กลิ่นหอมฟุ้งกระจายออกมาจากช่อดอกไม้ที่ประดับเอาไว้ในแจกัน และเมื่อเขาเบนสายตาไปมองก็พบว่าดอกไม้ในแจกันพวกนั้นมันค่อนข้างจะคุ้นตามากทีเดียว มันคือดอกไม้ที่บารอนดีแลนนำมามอบให้เฟรญ่าเมื่อวานนี้ เพียงแค่คิดถึงตรงนั้นบรรยากาศผ่อนคลายรอบๆ ตัวของมาร์เซลก็พลันตึงเครียดขึ้นมาในทันที เฟรญ่าเงยหน้าขึ้นมาเมื่อเธอได้ยินเสียงฝีเท้า และก็เป็นอย่างที่คิด มาร์เซลตื่นแล้วและเขากำลังจะลุกออกจากเตียง “อรุณสวัสดิ์ครับ..ดูเหมือนว่าข้าจะบอกช้าไปหน่อย หรือจะต้องพูดว่าสายันต์สวัสดิ์แทนดี” เพราะในยามนี้เป็นเวลาห้าโมงเย็นแล้ว ที่ด้านล่างงานเทศกาลยังคงครึกครื้นเหมือนเดิม “หิวไหมคะ ขออภัยด้วยที่ข้าทำอาหารไม่เป็น แต่ดีน่าพึ่งจะยกมื้อเย็นมาให้เมื่อครู่นี้เอง” มาร์เซลจุมพิตลงไปบนหน้าผากของเธอเบาๆ “ทานด้วยกันไหมครับ” เฟรญ่าส่งยิ้มให้เขา “ข้าก็ยังไม่ได้ทานเหมือนกันค่ะ ได้นั่งทานมื้อเย็นพร้อมกัน..เป็นความคิดที่ไม่เลวเท่าไหร่นัก” ความธรรมดาที่แสนพิเศษเหล่านี้ค่อยๆ ซึมลึกลงไปในหัวใจของเธออย่างช้าๆ เฟรญ่ารู้สึกว่าช่วงเวลาเช่นนี้นั้นมีความสุขมากทีเดียว ชีวิตประจำวันของเธอกลับมามีสีสันมากยิ่งขึ้นเมื่อได้พบเจอมาร์เซล ทว่าเรื่องครอบครัวของเรา..ต่างฝ่ายต่างยังไม่รู้ถึงครอบครัวของอีกฝ่าย เขาชอบเธอมากก็จริงแต่คนในครอบครัวของเขาล่ะ จะชอบผู้หญิงมีตำหนิแบบเธออย่างนั้นหรือ “เจ้ามีพี่ชายรึเปล่า..อ่า หากว่ามันเป็นคำถามที่ละเมิดความเป็นส่วนตัวมากเกินไปก็ไม่ต้องตอบก็ได้ค่ะ ไม่เป็นไร” เธอส่งยิ้มให้เขา ในยามที่มองเห็นแววตาที่วูบไหวราวกับเปลวเทียนของมาร์เซลยามที่เธอเอ่ยถามเรื่องครอบครัว “มันก็ไม่ใช่ความลับอะไรเลยครับ ข้าเคยมีพี่ชายสองคน เพียงแต่ทั้งสองคนเสียไปหมดแล้ว” เมื่อได้ยินคำตอบเช่นนั้นเฟรญ่าก็รู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองไปสะกิดแผลในใจของเขาเลย “ขอโทษด้วยนะคะ..ข้าไม่ควรถามมันออกมาเลย” “เรื่องมันผ่านมาแล้ว ข้าไม่ได้คิดมากหรอกครับ เอาไว้ในวันข้างหน้าหากมีโอกาส ข้าจะพาพี่ไปหาครอบครัวของข้านะ” ริมฝีปากบางของเฟรญ่าผลิบานออกมา เธอส่งยิ้มให้เขาก่อนจะก้มหน้าลงเพื่อทานมื้อเย็นต่อ “นายหญิงคะ มีแขกมาขอพบท่านค่ะ” เกรซเดินเข้ามาด้านในห้องทำงานของเฟรญ่าพร้อมกับก้มหน้าลง เธอวางช้อนเอาในทันทีที่เกรซบอกกล่าวกับเธอว่ามีแขกมาขอพบ..และแขกคนนั้นจะเป็นใครไปได้หากไม่ใช่แอชตัน เธอรู้ตั้งแต่วินาทีที่เห็นเขาหน้าบ้านของเธอแล้วว่าเธอหลบหนีเขาไม่ได้ แอชตันจะต้องคอยตามติดเธอไปเรื่อยๆ .. “ขอโทษด้วยนะที่ต้องปล่อยให้เจ้าทานมื้อเย็นคนเดียว ข้าคงจะต้องขอตัวก่อน” มาร์เซลมองหน้าของเฟรญ่านิ่งๆ “ครับ..” เขามองตามแผ่นหลังของเธอไปจนลับตา ก่อนจะเดินออกมาจากห้องทำงานของเฟรญ่าและขึ้นบันไดไปยังชั้นบนสุดของโรงแรมนี้ ซึ่งนั่นก็คือห้องนอนของเขา เดม่อนกำลังทำงานแทนเขาอยู่บนโต๊ะทำงาน “หัวหน้า..ในที่สุดท่านก็มาสักที..มีจดหมายถูกส่งมาจากท่านไมเลส..” “เจ้าลงไปข้างล่างแล้วไปแอบดูให้หน่อยสิว่าแขกที่มาพบเฟรญ่าคือแกรนด์ดยุคใช่รึเปล่า หากว่าใช่ให้เจ้าแอบฟังให้ทีว่าทั้งสองคนพูดคุยเรื่องอะไรกัน” เดม่อนแทบจะทรุดอยู่ตรงนั้น เขารีบเร่งเดินทางไปที่วิหารศักดิ์สิทธิ์แบบไม่ได้หลับไม่ได้นอน พอกลับมาที่นี่ก็พบเจองานกองเท่าภูเขาอยู่บนโต๊ะ เขามานั่งทำงานตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงตอนนี้ นี่เท่ากับเขาไม่ได้นอนมาสองวันแล้ว.. หัวหน้าของเขาใช้แรงงานเขามากเกินไปแล้ว “หลังจากมารายงานข้าเรื่องแขกที่มาพบเจอกับเฟรญ่า ข้าจะอนุญาตให้เจ้าได้พักผ่อน เพราะอย่างนั้นฟังมาให้ครบทุกคำ แบบไม่ให้ตกหล่นแม้แต่คำเดียวเข้าใจหรือไม่เดม่อน” แล้วเขาจะตอบอะไรได้นอกจากคำว่า “ครับ..หัวหน้า” ................. เมื่อเกรซเปิดประตูห้องรับรองให้เฟรญ่า ก็เป็นไปตามที่เธอคิด เพราะแขกที่มาพบเธอคือแอชตันจริงๆ เฟรญ่าพ่นลมหายใจยาวเหยียดออกมา เธอนั่งลงบนโซฟาตัวยาวพร้อมกับกำไม้เท้าเอาไว้แน่นมากทีเดียว จะแสดงออกว่าหวาดกลัวเขาไม่ได้อย่างเด็ดขาด ไม่ว่าจะอย่างไรเธอก็จะต้องไม่ทำให้เขาเห็นเธอไม่สภาพเช่นนั้น “ข้าอยากคุยกับเจ้ามาโดยตลอด แต่เจ้าก็เอาแต่หลบหนี เฟร..ทำไมกันล่ะ ทำไมในวันนั้นเจ้าถึงไม่ลงนามในหนังสือหมั้นของเรา แล้วทำไมถึงหนีข้ามาไกลมากขนาดนี้..” เขาจะถามเรื่องราวในอดีตให้มันได้อะไรขึ้นมากัน “ทั้งๆ ที่ข้าคิดว่าการกระทำของตัวเองชัดเจนมากพอสมควร ที่ข้าไม่ลงนามในหนังสือการหมั้นก็เพราะว่าข้าไม่ต้องการหมั้นหมายกับท่านยังไงล่ะ และที่ข้าหนีมาก็เพราะข้าไม่อยากพบเจอท่าน มันเดายากตรงไหนกันแอชตัน ความสัมพันธ์ของเรามันจบไปแล้ว และข้าไม่คิดรื้อฟื้นมันขึ้นมาด้วย เจ้ามาตามติด มาหาข้าและมองข้าด้วยสายตาเช่นนั้นมีแต่จะทำให้ข้ารู้สึกอึดอัด..แอชตันจากนี้ไปอย่ามาพบเจอข้าอีกเลยนะ เรื่องระหว่างเรามันจบลงแล้ว..” ถึงแม้ว่าจะพอเดาได้ แต่เมื่อมาได้ยินจริงๆ เรื่องที่เธอไม่รักเขา ภายในใจก็รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ “ทั้งที่ก่อนหน้านั้น เราทั้งสองคนรักกันมากขนาดนั้นเนี่ยนะ..ก่อนที่จะถึงวันหมั้น เจ้าและข้าเราทั้งสองคนยังไปเที่ยวที่จัตุรัสด้วยกัน เจ้าชอบนั่งเรือเพราะอย่างนั้นข้าก็เลยพายเรือรอบๆ ทะเลสาบกับเจ้า เรายังหยอกล้อพูดถึงเรื่องที่เจ้าคือภรรยาและข้าคือสามี..เฟร เจ้าลืมช่วงเวลาดีๆ เช่นนั้นไปได้อย่างไรกัน ทั้งๆ ที่ข้าไม่เคยลืมเลย” เขารู้ได้อย่างไรว่าเธอลืม ช่วงเวลาดีๆ เหล่านั้นมันทำให้เธอกัดฟันทนถึงแม้ว่าจะถูกแม่และน้องสาวของเขาทรมานมากแค่ไหน เธอก็คิดถึงแต่หน้าของเขาเพื่อหวังว่าเมื่อเขากลับมาทุกอย่างจะดีเอง แต่เขากลับพาสตรีอื่นกลับมาและนางกำลังตั้งครรภ์ลูกของเขา ทั้งที่เราไม่เคยนอนร่วมเตียงด้วยซ้ำ “แอชตัน ข้าในยามนี้ไม่ได้เป็นเลดี้ทีเซียสแล้ว ข้าเป็นแค่เจ้าของโรงแรมเล็กที่เดียลอร์ลเท่านั้นเอง ท่านลองถามตัวเองไหมว่าหากข้าไม่มีอะไรเลย ข้ามีแค่ตัวและขาข้างนี้ที่มันใช้การไม่ค่อยได้ ท่านจะยังรักข้าอยู่ไหม จะยอมลำบากไปกับสตรีที่พิการเช่นข้าหรือไม่ ท่านทนได้หรือกับเสียงนินทาว่าแกรนด์ดัชเชสของท่านขาเป๋บ้างล่ะ พิการบ้างล่ะ ท่านทนได้คำพวกนั้น..ได้จริงๆ นะหรือ?”กล้ามเนื้อบนใบหน้าของแอชตันเกร็งขึ้นมาเล็กน้อย เขาหลับตาลงเพื่อหลบหนีบรรยากาศที่แสนอึดอัดนี้“..เฟร ทำไมเจ้าถึงคิดว่าข้าจะทนไม่ได้ล่ะ เจ้ารู้หรือไม่ว่าในยามนี้ข้ายังไม่ได้ส่งหนังสือถอนหมั้นให้แก่ดยุคทีเซียสเลย ถึงแม้ว่าเขาจะยึดสิทธิ์ในการถือครองเหมืองเพชรของข้าไป แต่ข้าก็ยินยอมเพื่อให้สัญญาหมั้นหมายของเรามันยังอยู่ ถึงแม้ว่าเจ้าจะยังไม่ได้เขียนชื่อลงไปก็ตาม ข้ามาที่นี่เพราะจามินลำบากมาก ประชาชนที่นั่นไม่มีเงิน และข้ามาที่นี่เพื่อหาเงินกลับไปฟื้นฟูแกรนด์ดัชชีของข้า ทั้งๆ ที่หากข้าเขียนชื่อตัวเองลงไปบนหนังสือถอนหมั้นข้าก็จะได้เงินปันผลจากเหมืองเพชร ถึงแม้ว่ามันจะไม่มากมายแต่มันก็เพียงพอต่อประชาชนทุกคนของข้า เฟร..ข้าเสียอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่เจ้า”คำหวานที่อาบเคลือบด้วยยาพิษฤทธิ์ร้อนแรง แค่เพียงเธอยื่นมือไปสัมผัสทั่วทั้งร่างกายของเธอก็จะทรมานจากพิษที่แสนร้ายแรงนั้นจนตาย“แอชตัน เจ้ากับข้ามันจบไปแล้ว และข้ามีคนรักใหม่เรียบร้อยแล้ว เรื่องที่เจ้ากำลังทำมันไร้สาระ ข้าไม่สนใจชีวิตของประชาชนในแกรนด์ดัชชีของเจ้าหรอก ไม่ต้องหยิบยกเรื่องนั้นขึ้นมาพูดคุย ในตอนนี้เอาเป็นว่าข้าไม่คิดจะกลับไปคบหากับท่าน.
หลังสิ้นสุดงานเทศกาลเก็บเกี่ยวแล้วอากาศก็เย็นลงอย่างเห็นได้ชัด เฟรญ่าเหม่อมองออกไปด้านนอกหน้าต่าง เธอกระชับผ้าคลุมไหล่เอาไว้เพราะว่าอากาศในค่อนข้างหนาวเหน็บมากพอสมควร เธอหลับตาลงพร้อมกับถอนหายใจเฮือกใหม่ เพราะทหารมากมายของจามินกำลังถอนกำลังกลับไปยังแกรนด์ดัชชี และตัวของแอชตันเองก็กำลังเดินทางกลับไปที่นั่นเธอจะไม่ต้องพบเจอเขาที่นี่อีกแล้ว มือที่กระชับผ้าคลุมไหล่พลันกำแน่นมากกว่าเดิมด้วยความโกรธเคือง..แต่เธอจะไม่ยอมให้เขาได้อยู่อย่างสุขสบายอีกแล้วล่ะ เธอแค้นเคืองและเกลียดชังจามินแต่ประชาชนทุกคนของที่นั่นไม่ได้เกี่ยวข้องด้วยเพราะอย่างนั้นเธอจะต้องกันทุกคนออก..ให้การแก้แค้นในครั้งนี้มีผลกับแค่แอชตันและครอบครัวของเขาก็พอ“นายหญิงครับ เรื่องที่ท่านให้ข้าไปจัดการ เราได้รับการตอบตกลงว่าจะขายคฤหาสน์แล้วครับ”ริมฝีปากบางแย้มยิ้มออกมาด้วยความพึงพอใจ“เช่นนั้นก็ไปจัดเตรียมเงินให้พร้อมเถิด บอกให้พวกเขาขนของออกไปให้หมดภายในหนึ่งสัปดาห์ แล้วก็นำจดหมายที่วางอยู่บนโต๊ะไปส่งให้พี่ชายของข้าด้วย”“ครับนายหญิง..”เบนก้มหน้าลงพร้อมกับนำจดหมายที่วางเอาไว้ถือออกไปด้วย เธอพบเบนโดยบังเอิญเมื่อฤดูหนาวปีแล้ว
รถม้าเคลื่อนตัวอย่างช้าๆ เพื่อเดินทางออกจากเมืองเล็กๆ ในหุบเขาอย่างเดียลอร์ล กระเป๋าของเฟรญ่ามันมีขนาดเล็กมากกว่าที่มาร์เซลคิดเอาไว้เยอะมากพอสมควรเลย เขาคิดว่าสัมภาระของเธอจะมากมายกว่านี้ซะอีก แต่ปรากฏว่ามีกระเป๋าเสื้อผ้าขนาดเล็กหนึ่งใบและกระเป๋าใส่เครื่องประดับอีกหนึ่งใบ..บนใบหน้างามแย้มยิ้มออกมาด้วยความยินดี เธอดีใจที่ได้กลับมาทำในสิ่งที่อยากทำอีกครั้ง นั่นคือการเดินทางท่องเที่ยวไปเรื่อยๆ“บ้านของเจ้าอยู่ไกลจากเมืองหลวงมากรึเปล่ามาร์เซล”เขายกมือขึ้นมาลูบผมของเธอเบาๆ ก่อนจะจุมพิตลงไปบนหน้าผากขาวเนียนด้วยความรักใคร่“ไม่ไกลจากเมืองหลวงมากเท่าไหร่ครับ หลังจากที่ไปบ้านของข้าแล้ว เราเดินทางไปทางใต้ดีหรือไม่ ข้ายังไม่เคยพบเห็นทะเลด้วยสายตาตัวเองมาก่อนเลย..”เธอจับมือของเขาแนบแน่นยิ่งกว่าครั้งไหนๆ หัวใจของเฟรญ่าสั่นไหวอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน.. ความอบอุ่นกระทบเข้ามายังก้นบึ้งของหัวใจ คงจะมีเพียงคนผู้นี้คนเดียวเท่านั้นที่เธออยากจะฝากชีวิตน้อยๆ ของเธอเอาไว้กับเขา“ป่านนี้น้ำในทะเลคงจะเป็นน้ำแข็งหมดแล้ว ข้าคิดว่าหากบ้านของเจ้าไม่ไกลจากเมืองหลวงมากนัก เช่นนั้นไปที่บ้านของข้าด้วยดีหรือไม่ พ
เธอดีใจที่เขาบอกว่าอยากจะสร้างครอบครัวกับเธอ ส่วนเรื่องการแต่งงานเฟรญ่าไม่คิดว่าสิ่งนั้นจะเป็นเรื่องที่จำเป็น..“ข้าไม่เคยคิดเรื่องการแต่งงานมาก่อนเลย เอาจริงๆ ข้ามองว่ามันไม่ได้สำคัญอะไรเท่ากับสิ่งที่อยู่หลังจากนั้น..นั่นคือการช่วยกันสร้างครอบครัวของเรา”มาร์เซลค่อนข้างแปลกใจมากทีเดียวกับคำตอบที่แปลกใหม่ของเธอ เรื่องการแต่งงานสำหรับสตรีมันคือสิ่งที่ทุกคนต้องการ แต่กับพี่สาวคนสวยของเขา นางกลับไม่ได้ต้องการมัน..หรือนางคิดว่าเขาไม่มีเงิน?มาร์เซลยกมือขึ้นมาปิดปากเอาไว้เพื่อเก็บกลั้นเสียงหัวเราะ“ดูเหมือนพี่จะข้ามขั้นตอนไปหน่อย เพราะเรื่องที่อยู่หลังจากการแต่งงานมันคือเรื่องการเข้าหอต่างหากล่ะ..”ปลายนิ้วร้อนลูบไล้ไปมาอยู่บนเรียวขาของซ้ายของเฟรญ่า“ไม่ได้เจ็บขาแล้วใช่ไหมครับ”น้ำหนักจากมือของเขาให้ความรู้สึกดีเกินไป และมันเริ่มไล้ขึ้นไปด้านบนเรื่อยๆ จนถึงโคนขาอ่อน เฟรญ่าหันหน้าหนีในทันที เพื่อหลบซ่อนใบหน้าที่แดงซ่านของตัวเอง แต่ถึงอย่างนั้นใบหน้าของมาร์เซลก็กำลังไล่ตามใบหน้าของเธอไป เพื่อที่เขาจะส่งมอบจุมพิตแสนหวานล้ำเหล่านั้นให้เธอเฟรญ่ายกมือขึ้นมาจับเข้าที่ไหล่ของมาร์เซล“มาร์เซล..แต่
ถึงแม้ว่ามาร์เซลจะอยากให้เฟรญ่านอนนานมากกว่านี้อีกสักหน่อย ทว่าเรามีกำหนดการที่จะต้องเดินทางกันต่อ“พี่ครับ..ต้องลุกแล้วนะ ไม่อย่างนั้นคงจะไปถึงที่บ้านของข้าช้ามากแน่ๆ”เมื่อวานเราไม่ได้พูดคุยอะไรกันเลย เขาและเธอใช้เพียงร่างกายเท่านั้นในการพูดคุยกัน อาจจะเพราะริมฝีปากของเรานั้นแนบชิดกันแทบจะตลอดเวลา ส่วนหนึ่งมาจากเขาด้วยที่ไม่อยากให้เธอมีโอกาสได้ซักถาม เพราะอย่างนั้นแผนการในใจของเขาคือการทรมานเฟรญ่าจนกว่านางจะหลับ..และแผนการของเขามันก็ได้ผลดีเกินคาดทีเดียว เธอหมดแรงและหลับไปตั้งแต่ตอนนั้นยันเวลานี้เฟรญ่าปรือตาขึ้นมามองหน้าของมาร์เซลที่กำลังยิ้ม เขาใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นในการเช็ดหน้าและเช็ดตามร่างกายให้เธออ่า..นี่เขากำลังทำให้เธอกลายเป็นคนที่ขาดเขาไม่ได้อยู่ใช่ไหมนะ เฟรญ่าเป็นพวกแพ้การเอาใจใส่เล็กๆ น้อยๆ อย่างมากเลยล่ะและมาร์เซลก็ดันเป็นคนแบบนั้นอยู่พอดี เป็นคนที่ขยันเอาใจใส่ในทุกการกระทำของเธอ เขาลอบมองที่ขาข้างซ้ายของเธอแทบจะตลอดเวลาเพื่อมองดูว่าเธอเจ็บปวดอยู่หรือไม่..และในยามนี้เขากำลังสวมเสื้อผ้าให้เธออยู่ เนื่องจากอากาศที่แสนเหน็บหนาวทำให้เราต้องสวมใส่เสื้อผ้าหลายชั้นมากกว่าเดิม เข
วันนี้มันวันอะไรกัน เฟรญ่ายกแก้วน้ำชาขึ้นมาดื่มด้วยมือทั้งสองข้างของเธอ เธอใช้มืออังข้างแก้วเพื่อรับไออุ่นจากน้ำชาในถ้วยก่อนจะยกขึ้นมาดื่ม กลิ่นหวานอมฝาดของชากระจายอยู่ทั่วในปาก ทั้งๆ ที่ช่วงเวลาในการดื่มชาคือช่วงเวลาที่เธอผ่อนคลายมากที่สุด ทว่าในวันนั้นไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลยสักนิดเดียว เพราะคาดินันไมเลสกำลังมองหน้าเธอ ราวกับจะสำรวจไปให้ลึกถึงด้านในจิตใจว่าเธอกำลังล่อลวงหลานชายของเขาอยู่รึเปล่ามาร์เซลถูกนักบุญพาไปอีกที่หนึ่ง เพราะว่าเขาจะต้องเข้ารับการชำระล้างร่างกายเสียก่อน ซึ่งเธอเองก็ไม่รู้ว่ามันคือพิธีอะไร แต่ที่เธอรู้คือในยามนี้คาดินันกำลังมีเรื่องมากมายที่จะพูดคุยกับเธอ“เรื่องการแต่งงานและสัญญาเวทมนตร์มันเป็นเรื่องที่ไม่มีใครล่วงรู้นอกจากเลดี้และเมลใช่ไหมครับ”เฟรญ่าพยักหน้า“เรื่องนั้นไม่มีใครรู้ค่ะ แต่หากเป็นเรื่องที่ข้าและมาร์เซลคบกัน มีผู้คนที่เดียลอร์ลรับรู้อยู่บ้าง”ไมเลสพ่นลมหายใจออกมายาวเหยียด เขาค่อนข้างเบื่อหน่ายกับเรื่องตรงหน้ามากทีเดียว ถึงแม้ว่าจะเป็นเลดี้ของตระกูลทีเซียส แต่ก็ยังนับว่าไม่คู่ควรกับเมลอยู่ดี แถมบนร่างกายของเธอก็มีตำหนิ จะยืนเคียงข้างเมลอย่างสมเกียรต
ในคฤหาสน์ที่ภายนอกดูหรูหราแต่ทว่าด้านในกลับเหมือนเธอกำลังเดินอยู่ในเมือง มีร้านค้ามากมาย ผู้คนผ่านเดินไปมาบนท้องถนนและบ้านเรือนอีกนับไม่ถ้วน เมืองแห่งนี้ดูเหมือนจะใหญ่มากกว่าเดียลอร์ลซะอีกเธอก้าวเท้าอย่างช้าๆ แต่ก็ไม่กล้าที่จะจรดฝีเท้าซ้ายลงไปอย่างเต็มแรงเท่าไหร่นัก เฟรย่าค่อยๆ ลงน้ำหนักให้มากยิ่งขึ้นในการก้าวเท้าครั้งต่อไป และเธอพบว่ามันไม่ได้เจ็บ..เธอหันหน้าไปมองมาร์เซลด้วยความตกใจจนแทบจะเก็บกักเสียงกรีดร้องเอาไว้ไม่ไหวเลยทีเดียว“ที่นี่คือโลกของนักเวทย์ครับ เป็น..เมืองที่คนใช้เวทเท่านั้นที่จะสามารถเข้ามาได้ และมีวงแหวนเทเลพล็อตที่ท่านสามารถเดินทางไปที่ไหนก็ได้ในจักรวรรดิแห่งนี้”เธอไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่ามีเมืองที่น่าเหลือเชื่อเช่นนี้อยู่ เขาจับมือเธอเอาไว้ไม่ปล่อยถึงแม้ว่าเฟรญ่าจะสามารถเดินได้ด้วยขาของตัวเองแล้วก็ตามมาร์เซลพาเธอมาหยุดที่บ้านหลังหนึ่งซึ่งเป็นบ้านที่มีขนาดไม่ใหญ่เท่าไหร่นัก“นี่เป็นบ้านของข้าเองครับ เสียใจด้วยที่ด้านในนั้นไม่ได้มีครอบครัวของข้าอยู่เลยแม้แต่คนเดียว..”แววตาในยามที่เขาพูดเรื่องเช่นนั้นออกมามันดูเศร้าหมองแบบที่เฟรญ่าอดจะสงสารเขาไม่ได้“เรื่องนั้นไม่เป
กระดูกแขนและขา ของมาร์เซลในวัยสิบห้านั้นแหลกละเอียดจนเขาไม่สามารถที่จะใช้การมือและขาของตัวเองได้ เขานอนอยู่อย่างนั้นในสนามรบด้วยอาการปางตาย..ในยามนี้มาร์เซลคิดว่าเขาน่าจะตายซะแล้ว เม็ดฝนกระหน่ำตกลงมาอย่างแรง เขาปิดเปลือกตาลงอย่างช้าๆ สิ่งที่เขารับรู้ได้คือความเจ็บปวดจากร่างกายและความเย็นของสายฝนเขาไม่เข้าใจว่าทำไมครอบครัวของเขาจะต้องทรมานมากขนาดนี้ พี่ชายทั้งสองคนทำไมไม่รักและช่วยกันปกป้องท่านแม่ล่ะ ทำไมคนพวกนั้นถึงได้ทำร้ายท่านแม่มากขนาดนั้น แถมยังจงใจเล่นสกปรกกับเขาด้วยการวางยาในน้ำดื่มโชคชะตาที่แสนเลวร้ายของเขา ให้มันจบลงตรงนี้ได้หรือไม่ หากเขาตายไปก็ขออย่าให้ท่านแม่ทรมานอีกเลย หรือว่าการที่จะออกไปจากคฤหาสน์ที่เป็นดั่งนรกหลังนี้ เขาและแม่จะต้องตายก่อน ทำไมพระเจ้าโหดร้ายกับเขาและท่านแม่ผู้ถือครองสายเลือดที่ศักดิ์สิทธิ์มากขนาดนั้น หากชีวิตจะรันทดมากขนาดนี้ เช่นนั้นจะให้เขาและแม่เกิดมาในเมลวินทำไมกันวะ!!“ตู้ม!!”ท่ามกลางสายฝนที่กำลังกระหน่ำโปรยปรายลงมาในคฤหาสน์เมลวิน อยู่ๆ ก็เกิดเสียงระเบิดที่ดังสนั่นขึ้นมาในลานประลอง เสียงที่ดังราวกับฟ้าผ่านั้นมันคืออะไรกันแน่ ผู้คนมากมายต่างสงสั
มาร์เซลพึ่งรู้ว่าการนั่งเรือสำเภามันไม่ใช่เรื่องสนุกเลยแม้แต่นิดเดียว เขาออกเดินทางมายังเมืองทางใต้พร้อมกันกับเฟรญ่า นี่คือการดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ของเราก่อนที่เขาจะกลับไปทำงานในตำแหน่งดยุคอย่างเป็นทางการ เราทั้งคู่เคยพูดเอาไว้ว่าอยากจะล่องเรือมาเที่ยวที่เมืองทางใต้มาชมทะเลที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน และในยามนี้เราก็กำลังอยู่กลางทะเลบนเรือสำเภาที่ค่อนข้างจะเป็นพื้นที่ส่วนตัว เพราะว่าเขาเหมาเรือลำนี้เอาไว้ เพื่อมากับเฟรญ่าเพียงแค่สองคนเท่านั้นแต่เขาอาเจียนไปสิบรอบแล้วเห็นจะได้ เพราะเขาไม่เคยนั่งเรือมาก่อน“ออกมานั่งมองทะเลดูไหม เผื่ออาการของเจ้าจะดีขึ้น”อันที่จริงแค่ได้มองหน้าสวยๆ ของเธอก็ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นแบบมากๆ แล้ว เขาจับมือของเฟรญ่าเอาไว้ก่อนจะซบใบหน้าลงไปบนไหล่ของเธอ“รักนะครับ..รักที่สุดเลย”เฟรญ่าไม่รู้ว่าเพราะอายุที่เขาเด็กกว่ามันเกี่ยวข้องด้วยรึเปล่า แต่เขาทำให้เธอรู้สึกราวกับมีลูกสุนัขตัวใหญ่ที่กำลังออดอ้อนเธอตลอดเวลา มาร์เซลติดการสัมผัสมากๆ เขาจะต้องจับมือหรือไม่ก็กอดและหอมแก้มเธอตลอดเวลา และเธอเองก็ชื่นชอบการแสดงความรักเช่นนั้นมากทีเดียว เฟรญ่าจึงไม่เคยผลักไสหรือว่าดุเขาในเร
บอกตามตรงว่านี่คงจะเป็นงานแต่งที่เจ้าสาวสบายมากที่สุดในจักรวรรดิแห่งนี้ เฟรญ่าแทบไม่ต้องจัดเตรียมอะไรเลยเพราะว่าพี่เจนนีสและลิเวียจัดเตรียมเอาไว้ให้อย่างเรียบร้อยหมดทุกอย่างแล้ว เธอเพียงสวมชุดเจ้าสาวที่แสนงดงามและเข้าร่วมงานแต่งเท่านั้นเองเฟรญ่าหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อมาร์เซลพาเธอออกมาจากงานแต่งที่แสนยิ่งใหญ่ เขาพาเธอมาที่คฤหาสน์ฮอร์ตันที่เราพึ่งได้รับมาเป็นของขวัญแต่งงาน และในห้องนอนก็เต็มไปด้วยกลิ่นหอมของดอกกุหลาบ มันทั้งหอมหวานและเย้ายวนมากทีเดียว“เจ้ากำลังข้ามขั้นพิธีแต่งงานอยู่นะมาร์เซล เราไม่ควรด่วนชิงเข้าหอก่อนที่งานเลี้ยงจะเริ่ม..”เขาส่งยิ้มให้เธอในขณะที่กำลังถอดกระดุมเสื้อของตัวเองออกมา เขาอดทนมานานมากพอสมควร อดทนแล้วอดทนอีกเพราะว่าเฟรญ่าพึ่งจะฟื้นขึ้นมาจากอาการบาดเจ็บ เพราะอย่างนั้นเขาจึงไม่ได้แตะต้องเธอเลย แต่วันนี้เขาอดทนไม่ไหวอีกแล้ว“ไม่เห็นจะต้องสนใจแขกที่เข้ามาร่วมงานเลยนี่ นี่คืองานแต่งของเราและข้าอยากอยู่กับท่าน..เข้าหอเร็วหน่อยคงไม่เป็นไรหรอกครับ หรือว่าพี่กังวล"เฟรญ่าดึงผ้าคลุมหน้าของเธอออกไป เธอไม่ได้ยืนมองมาร์เซลถอดชุดอยู่เฉยๆ แต่เธอเองก็ถอดชุดเดรสแต่งงานออกเช่
บัตรเชิญของงานแต่งเลดี้ทีเซียส วีรสตรีที่ร่วมการกอบกู้เดียลอร์ลนั้นถูกส่งให้แก่ขุนนางมากมายในจักรวรรดิ บอกตามตรงว่าในตอนที่เฟรญ่าเห็นชื่อและรูปวาดของตัวเองเด่นหราอยู่บนหน้าหนังสือพิมพ์เธอค่อนข้างตกใจมากพอสมควร เพราะเธอไม่คิดว่าเรื่องที่มาร์เซลกล่าวออกมานั้นมันจะเป็นเรื่องจริง“ให้ตายเถอะ ข้ารับมือกับคำว่าวีรสตรีอะไรพวกนั้นไม่ไหวจริงๆ”ลิเวียหัวเราะออกมา“เจ้าคู่ควรกับมันนะเฟร เรื่องความรักที่แสนอบอุ่นนี้ก็ด้วย มาร์เซลคือบุรุษที่ดีมากทีเดียว”ลิเวียกล่าวพร้อมกับสวมสร้อยคอที่มีสีเดียวกับดวงตาของเฟรญ่าลงไปบนลำคอยาวระหง เพื่อนเพียงคนเดียวของเธอแต่งงานแล้ว เฟรญ่าคือสตรีที่งดงามมากๆ ในสายตาของลิเวีย เราพบเจอกันเพราะพี่เจนนีสมาทำงานที่ทีเซียสและพี่สาวก็ร้องขอให้เธอมาเป็นเพื่อนกับเฟรญ่า เพราะสงสารที่เฟรญ่าอยู่คนเดียวในคฤหาสน์ที่แสนกว้างใหญ่ และนั่นทำให้ลิเวียได้มาพบเจอกับคาร์เตอร์ จนได้แต่งงานและเป็นจักรพรรดินีทุกวันนี้เพราะความสามารถของเฟรญ่าเลยเธอถึงได้มีความสุขมากๆ ในช่วงเวลาที่เฟรญ่ากำลังจะได้แต่งงาน เพราะมันเหมือนกับว่าครั้งนี้เป็นเธอแล้วนะที่ได้ส่งเฟรญ่าไปให้ถึงฝั่งฝันกับความรักที่ดีงา
มาทอสพาเฟรญ่าและเจนนีสเดินทางกลับมาที่เมืองหลวงพร้อมกันในอีกสองสัปดาห์ต่อมา คาร์เตอร์ตั้งขบวนเพื่อรอรับการกลับมาของเฟรญ่า ทันทีที่เธอเดินลงมาจากรถม้า คาร์เตอร์ก็พุ่งตัวเข้าไปกอดเฟรญ่าเอาไว้มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นมา และหนึ่งในเรื่องราวเหล่านั้นมันกำลังสั่นคลอนพี่ชายที่แสนกล้าหาญของเธออย่างหนักเลยสินะเฟรญ่าพบเจอคาร์เตอร์ในครั้งแรกตอนที่เธออายุสิบสี่ปี เขาคือองค์รัชทายาท ตามสายเลือดแล้วท่านพี่มาทอสคือน้องชายขององค์จักรพรรดิผู้เป็นพ่อของคาร์เตอร์ เราทั้งคู่จึงถูกเลี้ยงดูมาด้วยกันและสนิทสนมกันมากทีเดียว เพราะแผลในใจที่เคยได้รับจากแม่เลี้ยงทำให้เฟรญ่านั้นหวาดกลัวผู้คนเป็นอย่างมาก อีกทั้งท่านพี่มาทอสก็งานยุ่งมากเพราะในช่วงเวลานั้นท่านพี่มาทอสรับตำแหน่งดยุคมาจากท่านพ่อแล้ว ทำให้เขาไม่มีเวลามาคอยดูแลน้องสาวต่างแม่สักเท่าไหร่นัก ผู้ที่ดูแลและสนิทสนมกับเฟรญ่ามากที่สุดคือคาร์เตอร์ ลูกพี่ลูกน้องของเธอ เขาพยายามเข้าหาเธอในทุกวัน ชวนเธอออกไปข้างนอก และเป็นผู้ที่พาเธอก้าวเดินไปยังงานเลี้ยงในแวดวงสังคม“ฟังนะเฟร จะไม่มีใครหน้าไหนกล้าดูถูกเจ้าทั้งนั้น พี่จะปกป้องเจ้าเองเพราะอย่างนั้นไม่ต้องกังวลหรื
เมื่อเฟรญ่าทำท่าไม่เชื่อ มาร์เซลก็หัวเราะออกมาเสียงดัง เขาจับมือเธอพร้อมกับพาเธอวิ่งไปยังงานเทศกาลของเดียลอร์ลที่ในยามนี้มีชาวบ้านมากมายกำลังเต้นรำอยู่ตามท้องถนน บนใบหน้าหล่อเหลานั้นมีรอยยิ้มฉายชัดอยู่ มันเป็นรอยยิ้มที่ทำให้ดวงตาของเฟรญ่านั้นพร่ามัวไปในทันทีราวกับว่ารอยยิ้มของเขามันแฝงไปด้วยเวทมนตร์แค่เขายิ้มก็ทำให้หัวใจของเธออ่อนลงยวบยาบ ฝ่ามือของเราเกาะกุมกันไว้โดยไร้คำพูด มาร์เซลหยุดเดินพร้อมกับหมุนตัวมาหาเธอ เขายกมือขึ้นมาจับเอวของเธอเอาไว้ ก่อนจะยกขึ้นเล็กน้อยแล้วพาเธอหมุนตัวตามจังหวะของเครื่องดนตรีพื้นเมือง เฟรญ่าหยักยิ้มขึ้นมาในทันที หัวใจของเธอมันเต้นผิดจังหวะในทุกครั้งที่อยู่กับเขา มันคือความรักที่ไม่รู้เหมือนกันว่าจะอธิบายเช่นไร แต่ในยามที่เธอมองเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา มันทำให้เธอมีความสุขได้โดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย บางทีความหวังของเธอก็เป็นเรื่องง่ายๆอย่างเช่นการคาดหวังให้มาร์เซลมีความสุขตลอดไป..“เวลาที่ท่านยิ้มออกมามันสวยมากเลยนะครับ..”ในวันที่พบเจอกันครั้งแรก เขาก็เชื่อมั่นในพรหมลิขิตในทันทีว่าคนรักของเขาจะต้องเป็นเธอเท่านั้น บางสิ่งในอกค่อยๆ แผ่ซ่านออกมา หัวใจที่เย็นย
งานเทศกาลในครั้งนี้จัดขึ้นมาในฤดูที่กำลังปลูกพืชผล เมืองเดียลอร์ลนั้นได้รับผลกระทบเป็นวงกว้างเพราะอย่างนั้น บารอนดีแลนจึงหารือกับชาวบ้านจัดงานนี้ขึ้นมา เพื่อให้บรรยากาศในเดียลอร์ลนั้นดีขึ้นมา ก่อนหน้านั้นกับบางคนที่เผชิญหน้ากับความสูญเสีย พวกเขาไม่อยากแม้แต่จะหายใจต่อไปดีแลนรู้สึกผิดกับชาวเมืองมากทีเดียว กับการตัดสินใจที่ผิดพลาดของเขา เพราะอย่างนั้นเขาจึงพยายามที่จะฟื้นฟูเดียลอร์ลขึ้นมาใหม่เพื่อให้ที่นี่กลับมามีบรรยากาศที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขเช่นเดิมเฟรญ่าเดินไปบนถนนหนทางที่เต็มไปด้วยนักเดินทาง ไม่ว่าจะถามเธอสักกี่ครั้ง เฟรญ่าก็ยังคงตอบได้ในทันทีว่าเดียลอร์ลคือเมืองที่เธอชอบมากที่สุด ความธรรมดาของที่แสนพิเศษ“ไม่เจอกันนานเลยนะเฟร..”ดีแลนเดินเข้ามาทักทายเฟรญ่าด้วยใบหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม“อื้ม ที่นี่เหมือนเดิมเลยนะคะ เหมือนเดียลอร์ลที่ข้ารู้จัก”เฟรญ่าจุดยิ้มที่แสนงดงามบนใบหน้าของเธอ เธอคิดว่าดีแลนเองก็คงจะได้รับผลกระทบทางจิตใจเช่นเดียวกัน“ขาของเจ้า..มันหายดีเป็นปกติแล้วสินะ”เฟรญ่าก้มมองเท้าของตัวเอง เธอพ่นลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ถึงแม้จะรู้สึกแปลกๆ อยู่บ้างในยามที่ไ
การรอคอยสำหรับมาร์เซลนั้นถือเป็นความทรมานมากเกินกว่าที่เขาจะคาดคะเนเอาไว้ซะอีก เขาไม่เคยรู้จักความรักมาก่อนเลย ยิ่งไม่เคยรักใครและทุ่มเทกายใจให้ขนาดนี้ เราทั้งคู่ตั้งใจว่าจะแต่งงานกันหลังจากนี้ ตั้งใจอย่างแรงกล้าว่าเฟรญ่าจะเป็นเจ้าสาว ส่วนเขาจะเป็นเจ้าบ่าว ในงานแต่งที่ยิ่งใหญ่มากที่สุดในจักรวรรดิ เขาและเธอจะสร้างครอบครัวเล็กๆ ด้วยกัน พร้อมกับนั้นลูกของเขาคงจะน่ารักมากทีเดียวเพราะว่าเฟรญ่าชอบเด็ก ทว่าในยามนี้ เธอก็ยังไม่ฟื้นขึ้นมาเลย..ในค่ำคืนที่ดวงจันทร์ลอยเด่นบนนภา มาร์เซลจุมพิตลงไปบนหลังฝ่ามือของเฟรญ่า ก่อนที่เขาจะหลับตาลงเพื่อเฝ้าอธิษฐานจากใจจริง“ตื่นขึ้นมาเถอะมา กลับมาเพื่อให้ข้าได้บอกรักเจ้าจะได้รึเปล่า ได้โปรดเถอะ..กลับมาหาข้าอีกครั้ง..”น้ำเสียงของเขามันเต็มไปด้วยความสั่นเครือ หยาดน้ำตาเปียกชุ่มอยู่บนมือของเฟรญ่า ท่ามกลางห้องที่เงียบงัน มีเพียงเสียงสะอื้นของมาร์เซลเท่านั้นที่ดังออกมา“...มาร์เซล อย่าร้อง”ดวงตาของเขาเบิกกว้างออกมาในทันทีที่ได้ยินเสียงที่แสนคิดถึง และเมื่อมาร์เซลเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งเขาก็พบเจอกับดวงตาสีครามที่กำลังจ้องมองใบหน้าของเขาอยู่ บนดวงหน้างามล้ำยิ่งกว่
เฟรญ่านั่งกอดเข่าอยู่บนเตียงตามลำพัง แววตาของเธอสะท้อนความอ้างว้างและโดดเดี่ยวอย่างเห็นได้ชัด ในห้องนี้ไม่มีใครเลยนอกจากเธอเธออยู่ที่นี่มานานแค่ไหนแล้วก็ไม่รู้ รู้เพียงแต่เธอพยายามที่จะเดินออกไปจากห้องนี้มากแค่ไหนก็ไม่สามารถออกไปได้ เป็นห้องโล่งๆ ที่ไม่มีแม้กระทั่งหน้าต่างสักบาน เธอนอนหลับไปและเมื่อตื่นขึ้นมาก็จะพบเจอกับอาหารทั้งสามมื้อที่วางเอาไว้บนโต๊ะ เธอไม่รู้ว่าตัวเองมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน รู้เพียงแต่ว่าเธอจะต้องหาทางออกไปจากที่นี่ให้ได้ ไม่อย่างนั้นมาร์เซลจะต้องกำลังเป็นห่วงเธออย่างแน่นอน ไหนยังจะท่านพี่ของเธออีกจะมามัวอยู่ที่นี่ตลอดไปไม่ได้เพราะอย่างนั้นเฟรญ่าก็เลยคิดแผนการขึ้นมา การที่มีอาหารมาวางเอาไว้ในช่วงที่เธอหลับ นั่นหมายความว่าจะต้องมีคนเดินเข้ามาที่นี่และเธอจะต้องแกล้งหลับ เพื่อที่จะดูว่าคนที่ขังเธอเอาไว้ที่นี่คือใครกันแน่เมื่อคิดได้ดังนั้นเฟรญ่าก็ล้มตัวนอนลงในทันที เธอหลับตาพร้อมกับเผยอปากออกมาเล็กน้อยเพื่อให้ดูสมจริง แล้วก็เป็นอย่างที่คิดเพราะเมื่อเธอล้มตัวนอน เสียงเปิดประตูก็ดังขึ้นมา พร้อมกับฝีเท้าที่ก้าวเดินเข้ามาอย่างช้าๆเฟรญ่าค่อยๆ ปรือตามองอย่างช้าๆ เธอร
คาร์เตอร์มองเฟรญ่าที่กำลังนอนหลับอยู่ เขาอยู่ในสภาพที่บาดเจ็บสาหัสมากพอสมควร ปกติแล้วเรื่องการต่อสู้หรือการออกรบ เขาล้วนแล้วแต่ทำมันได้ดีมากทีเดียวแต่เพราะการสูดดมไอขุ่นมัวเหล่านั้นทำให้เขาหมดแรง ซึ่งมันทรมานมากที่เขารับรู้เรื่องราวต่างๆ มากกว่าแต่ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้เลยแม้แต่นิดเดียวเขามองเห็นว่าเฟรญ่า นางแตกสลายมากแค่ไหนกับการที่นางลงมือจัดการกับต้นตอของเรื่องนี้ เฟรญ่าในสายตาของคาร์เตอร์เหมือนคนที่เผชิญหน้ากับความเจ็บปวดเจียนตาย ทั้งๆ ที่นางควรจะดีใจเมื่อแอชตันตายไป แต่นางก็ยังร้องไห้ออกมาไม่หยุด ในช่วงเวลาที่นางลงมือทำร้ายแอชตันเฟรญ่าก็ยังร้องไห้ออกมามันเป็นเพราะว่าเฟรญ่า น้องสาวของเขานั้นจิตใจดีมากเกินไป นางไม่เคยทำร้ายคนอื่นมาก่อนเลย แล้วไอ้เวรนั่น..ไอ้แอชตันจะต้องทำร้ายเฟรญ่าหนักหนาสาหัสมากแค่ไหน คนที่ไม่เคยทำร้ายคนอื่นแม้แต่ปลายเล็บอย่างเฟรญ่า ถึงได้ลุกขึ้นมาเพื่อจัดการหมอนั่นด้วยความเจ็บปวดมากมายขนาดนั้น“เรื่องนี้ไม่มีใครผิดหรอกพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทอย่าได้วิตกกังวลมากเกินไปเลย”มาร์เซลปลอบใจองค์จักรพรรดิที่กำลังโมโหตัวเองอยู่ เขาพบเจอสภาพของค่ายทหารที่อาบไปด้วยเลือด พร้อมก