ในคฤหาสน์ที่ภายนอกดูหรูหราแต่ทว่าด้านในกลับเหมือนเธอกำลังเดินอยู่ในเมือง มีร้านค้ามากมาย ผู้คนผ่านเดินไปมาบนท้องถนนและบ้านเรือนอีกนับไม่ถ้วน เมืองแห่งนี้ดูเหมือนจะใหญ่มากกว่าเดียลอร์ลซะอีก
เธอก้าวเท้าอย่างช้าๆ แต่ก็ไม่กล้าที่จะจรดฝีเท้าซ้ายลงไปอย่างเต็มแรงเท่าไหร่นัก เฟรย่าค่อยๆ ลงน้ำหนักให้มากยิ่งขึ้นในการก้าวเท้าครั้งต่อไป และเธอพบว่ามันไม่ได้เจ็บ.. เธอหันหน้าไปมองมาร์เซลด้วยความตกใจจนแทบจะเก็บกักเสียงกรีดร้องเอาไว้ไม่ไหวเลยทีเดียว “ที่นี่คือโลกของนักเวทย์ครับ เป็น..เมืองที่คนใช้เวทเท่านั้นที่จะสามารถเข้ามาได้ และมีวงแหวนเทเลพล็อตที่ท่านสามารถเดินทางไปที่ไหนก็ได้ในจักรวรรดิแห่งนี้” เธอไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่ามีเมืองที่น่าเหลือเชื่อเช่นนี้อยู่ เขาจับมือเธอเอาไว้ไม่ปล่อยถึงแม้ว่าเฟรญ่าจะสามารถเดินได้ด้วยขาของตัวเองแล้วก็ตาม มาร์เซลพาเธอมาหยุดที่บ้านหลังหนึ่งซึ่งเป็นบ้านที่มีขนาดไม่ใหญ่เท่าไหร่นัก “นี่เป็นบ้านของข้าเองครับ เสียใจด้วยที่ด้านในนั้นไม่ได้มีครอบครัวของข้าอยู่เลยแม้แต่คนเดียว..” แววตาในยามที่เขาพูดเรื่องเช่นนั้นออกมามันดูเศร้าหมองแบบที่เฟรญ่าอดจะสงสารเขาไม่ได้ “เรื่องนั้นไม่เป็นไรเลยค่ะ เราเข้าไปพูดคุยกันข้างในดีกว่า..” มาร์เซลยกยิ้มขึ้นมาจางๆ “ครับ ข้ารู้ว่าพี่มีเรื่องราวมากมายที่จะถามข้า และข้าก็กำลังอยู่ในช่วงเวลาที่อยากเล่าให้พี่ฟังอยู่พอดีเลย” เมลวิน ชื่อตระกูลที่แสนเก่าแก่มากที่สุดในจักรวรรดิ แม่ของเขาเป็นลูกสาวคนเดียวของท่านตาและท่านยาย แน่นอนว่าท่านแม่ได้รับความกดดันมากทีเดียวในการที่จะต้องมีทายาทเพื่อสืบทอดเชื้อสายที่ศักดิ์สิทธิ์ ท่านพ่อของเขาเป็นคาดินันคนก่อน และนั่นทำให้การแต่งงานที่ไม่ได้เกิดจากความสมัครใจของท่านแม่เกิดขึ้นมา พ่อของเขาอายุสี่สิบปี ในขณะที่ท่านแม่อายุเพียงสิบเจ็ดปีเท่านั้น ตอนที่ท่านแม่คลอดพี่ชายคนแรกของเขาออกมา..เมื่อได้ทายาทสมใจ ท่านตาและท่านยายก็ไม่มาวุ่นวายกับท่านแม่และคาดินันอีก ทว่า..เรื่องราวที่น่าเศร้าคืออาการทางจิตของคาดินันผู้นั้น เขาเป็นพวกนิยมชมชอบความรุนแรง และวิตถารในแบบที่มาร์เซลเองก็ไม่อยากเชื่อ เขาไม่เคยเรียกชายผู้นั้นว่าพ่อ เพราะมันกระดากปากมากเกินไป.. เขาเกิดมาเป็นคนสุดท้าย และมองเห็นท่านแม่ที่อยู่ในอาการหวาดกลัว.. “ท่านแม่ เป็นอะไรครับ?” “เมล..หากว่าลูกโตขึ้น ลูกจะต้องหนีออกไปจากที่นี่เข้าใจรึเปล่า" อาการของท่านแม่แย่ลงเรื่อยๆ ทั้งป่วยกายและป่วยใจจนท่านแม่ของเขาผอมแห้งจนเหลือเพียงหนังหุ้มกระดูก “เมล ไสหัวออกไปจากห้องนี้พ่อมีธุระที่จะต้องคุยกับแม่..” “ฮะ..อึ่ก มะ..ไม่นะ เมล! อย่าไปนะ!..พอสักทีได้ไหมคะ! หยุดทรมานข้าเสียทีเถอะ!!” คาดินันผู้นั้นแสยะยิ้มออกมา “ทรมานอะไรกัน พูดแบบนั้นเดี๋ยวลูกก็เข้าใจผิดหรอก รีบตามมาได้แล้ว บารอนและดยุคเข้ามารอตั้งนานแล้วนะ..” เขายังเด็กมากก็จริง แต่ก็ไม่ได้เด็กถึงขนาดที่จะไม่เข้าใจว่าท่านพ่อลากแม่เขาไปทำอะไรในห้องที่มีบุรุษสองคนนั่งอยู่ เมื่อเสียงปิดประตูดังขึ้นมา เสียงกรีดร้องที่แสนทรมานจากท่านแม่ก็ดังออกมา เขามารู้ทีหลังว่าเหล่าตระกูลต่างๆ ล้วนแล้วแต่อยากได้สายเลือดที่แสนศักดิ์สิทธิ์ของเมลวิน เพราะอย่างนั้นพวกเขาจึงเจรจาขอนอนกับภรรยาของคาดินันผู้วิตถาร เพื่อแลกกับการได้ดูชมการแสดงของภรรยา คาดินันผู้นั้นรีบตอบตกลงในทันที ท่านแม่ดื่มยาห้ามตั้งครรภ์ทุกวันแบบที่ไม่ให้ท่านพ่อล่วงรู้ ส่วนพี่ชายคนโตของเขาที่น่าจะช่วยเหลือท่านแม่ได้ แต่หมอนั่นกลับเลือกจะเมินเฉย “หน้าที่ของข้าคือการปลุกพลังขึ้นมาให้เร็วที่สุด ข้าไม่มีทางทำให้ท่านพ่อไม่พอใจเพราะท่านแม่เป็นแน่..เมล ท่านแม่น่ะ จะตายในเวลาอันใกล้ แต่ข้าจะต้องเติบโตขึ้นไปเป็นเจ้าของหอคอยและโลกแห่งเวทย์ที่แสนยิ่งใหญ่..หากเจ้าสงสารสตรีผู้นั้นมากนักก็ไปช่วยนางเองสิ” มาร์เซลก้มมองมือของตัวเองก็พบว่ามันยังเล็กมาเหลือเกิน แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ใช้มือเล็กๆ ของตัวเองในการโอบกอดและร้องเพลงกล่อมท่านแม่ให้หลับทุกคืน เพลงที่เขาใช้ร้องกล่อมท่านแม่ มันคือเพลงกล่อมเด็กที่เขาเคยได้ฟัง..สุดท้ายเมื่อเขาอายุได้สิบห้าปี เขาก็ส่งจดหมายหาท่านตาและท่านยายเพื่อบอกเล่าเรื่องราวแสนโหดร้ายที่ท่านพ่อทำกับแม่ของเขา..แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีการติดต่อมาจากท่านตาและท่านยาย.. ท่านแม่ในยามนี้ไม่ได้ถูกท่านพ่อทารุณเหมือนแต่ก่อนแล้ว เพราะว่าท่านแม่ของเขาเดินไม่ได้..ทั้งๆ ที่ขาของท่านแม่ไม่ได้บาดเจ็บตรงไหนแต่ท่านแม่ก็ไม่ยอมเดิน และไม่ยอมพูดคุยกับใครเลยรวมถึงเขา มาร์เซลยังคงเข้าไปหาและร้องเพลงกล่อมท่านแม่ในทุกวัน ส่วนท่านพ่อของเขานั้นในยามนี้กลับพาสตรีเข้ามาในคฤหาสน์แห่งนี้ไม่เว้นแต่ละวัน บ้านของเขามันโสมมเกินกว่าจะเรียกว่าเมลวินคือตระกูลที่สืบสายเลือดที่แสนศักดิ์สิทธิ์ “เมล..พ่อว่าจะแต่งตั้งให้พี่ของลูกเป็นคาดินันคนต่อไปนะ ลูกจะโทษพ่อก็ไม่ได้เพราะว่าลูกมันไร้ความสามารถเองนี่” เขาไม่ได้อยากเป็นผู้นำหรือว่าอะไรทั้งนั้นเลย..เขาอยากไปจากที่นี่กับท่านแม่ของเขา “เช่นนั้นลูกพาท่านแม่ออกไปจากที่นี่ได้ไหมครับ ท่านพี่คงจะชอบใจที่ลูกไม่อยู่ที่นี่เพื่อแย่งชิงตำแหน่งของเขา” คาดินันคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะยิ้มชั่วร้ายออกมา “เรื่องนั้นเห็นทีว่าจะเป็นไปได้ยาก แต่หากลูกสามารถเอาชนะพี่ชายทั้งสองคนของลูกได้ในงานประลองครั้งถัดไป พ่อจะยินยอมให้ลูกพาแม่..ออกไปจากที่นี่เอง” มาร์เซลเก็บกักความดีใจเอาไว้แทบไม่อยู่ เขาวิ่งเข้าไปหาท่านแม่ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความลิงโลด “แม่ครับ ชายผู้นั้นบอกว่าจะยอมให้เราทั้งสองคนออกไปที่นี่ด้วยล่ะ..ท่านแม่รอข้าก่อนนะครับ ข้าจะเอาชนะพี่ชายทั้งสองคนมาให้ได้เลย..แล้วข้าจะพาท่านแม่ออกไปจากนรกแห่งนี้..” เรื่องราวมันไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เพราะพี่ชายของเขานำยาไร้สติมาผสมน้ำให้เขากินก่อนการแข่งขัน สุดท้ายไม่เพียงแต่มาร์เซลพ่ายแพ้แต่เขายังเจ็บหนักจนแทบจะลุกไม่ขึ้น คาดินันมองลูกชายคนเล็กของเขาด้วยแววตาที่เบื่อหน่าย ก่อนที่เขาจะเดินเข้าไปหาลูกชายคนโตและลูกชายคนรองเป็นผู้ชนะ การแข่งขันในครั้งนี้ไม่ได้บอกให้สู้ตัวต่อตัว เพราะอย่างนั้นพี่ชายทั้งสองคนก็เลยช่วยกันรุมทำร้ายมาร์เซลจนน้องชายของพวกเขาอาการสาหัสในแบบที่ไม่สามารถพยุงตัวลุกขึ้นมาได้อีกเลยกระดูกแขนและขา ของมาร์เซลในวัยสิบห้านั้นแหลกละเอียดจนเขาไม่สามารถที่จะใช้การมือและขาของตัวเองได้ เขานอนอยู่อย่างนั้นในสนามรบด้วยอาการปางตาย..ในยามนี้มาร์เซลคิดว่าเขาน่าจะตายซะแล้ว เม็ดฝนกระหน่ำตกลงมาอย่างแรง เขาปิดเปลือกตาลงอย่างช้าๆ สิ่งที่เขารับรู้ได้คือความเจ็บปวดจากร่างกายและความเย็นของสายฝนเขาไม่เข้าใจว่าทำไมครอบครัวของเขาจะต้องทรมานมากขนาดนี้ พี่ชายทั้งสองคนทำไมไม่รักและช่วยกันปกป้องท่านแม่ล่ะ ทำไมคนพวกนั้นถึงได้ทำร้ายท่านแม่มากขนาดนั้น แถมยังจงใจเล่นสกปรกกับเขาด้วยการวางยาในน้ำดื่มโชคชะตาที่แสนเลวร้ายของเขา ให้มันจบลงตรงนี้ได้หรือไม่ หากเขาตายไปก็ขออย่าให้ท่านแม่ทรมานอีกเลย หรือว่าการที่จะออกไปจากคฤหาสน์ที่เป็นดั่งนรกหลังนี้ เขาและแม่จะต้องตายก่อน ทำไมพระเจ้าโหดร้ายกับเขาและท่านแม่ผู้ถือครองสายเลือดที่ศักดิ์สิทธิ์มากขนาดนั้น หากชีวิตจะรันทดมากขนาดนี้ เช่นนั้นจะให้เขาและแม่เกิดมาในเมลวินทำไมกันวะ!!“ตู้ม!!”ท่ามกลางสายฝนที่กำลังกระหน่ำโปรยปรายลงมาในคฤหาสน์เมลวิน อยู่ๆ ก็เกิดเสียงระเบิดที่ดังสนั่นขึ้นมาในลานประลอง เสียงที่ดังราวกับฟ้าผ่านั้นมันคืออะไรกันแน่ ผู้คนมากมายต่างสงสั
เราอยู่ใกล้กันจนได้ยินเสียงหัวใจ เมื่ออะไรๆ เข้าที่เข้าทางดีแล้ว เช่นนั้นเฟรญ่าก็อยากจะบอกเล่าเรื่องราวของเธอให้เขาได้รู้“เรื่องที่ข้าจะเล่าต่อไปนี้ข้ารู้ดีว่ามันเชื่อยาก แต่มันคือความจริงนะมาร์เซล..ข้าเคยตายมาแล้วครั้งหนึ่ง”เธอกลั้นใจกล่าวคำนั้นออกมาด้วยท่าทางที่สั่นไหว เธอหวาดกลัวว่าเขาจะแสดงท่าทางตกใจออกมา แต่ในแววตาของมาร์เซลกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย หลังจากที่เธอกล่าวจบ เขาก็รวบเอวของเธอไปตระกองกอดเอาไว้“หากให้ข้าเดา ผู้ที่สังหารเจ้าคงจะเป็น แกรนด์ดยุคสินะ”เธอซบหน้าลงบนไหล่ของเขา ในยามนี้มันเหมือนกับว่าเรากำลังผลัดกันปลอบใจกันและกัน..อาจจะเพราะเรื่องราวที่เราทั้งสองคนพบเจอมามันหนักหนามากพอสมควร ทำให้การที่จะเล่า..ออกมานั้นไม่ได้ทำได้โดยง่าย“ครั้งนี้เจ้าเดาผิดล่ะ เพราะแกรนด์ดยุคไม่ได้เป็นคนสังหารข้า แต่ข้าตัดสินใจปลิดชีพของตัวเองต่างหาก..”คราแรกไม่ได้มีความตกใจในใบหน้าของมาร์เซลเลย จนเธอพูดถึงประโยคสุดท้าย..คนเราจะต้องพบเจอความทรมานมากแค่ไหนกันนะถึงได้เลือกที่จะปลิดชีพของตัวเอง“ข้าถูกทรมานอย่างหนัก จากแม่และน้องสาวของแอชตัน ส่วนเขา..เขาพาสตรีคนใหม่เข้ามาที่คฤหาสน์โดยที่สต
“นายหญิงของเราพึ่งจะออกเดินทางท่องเที่ยวไปเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้เองค่ะ”รอยยิ้มของแอชตันพลันแข็งค้างอยู่บนใบหน้า เขาไม่อยากเชื่อสิ่งที่กำลังได้ยินอยู่เลย เขาคิดว่าสตรีเบื้องหน้าของเขากำลังโกหกอยู่อย่างแน่นอน“เช่นนั้นข้าจะมาพบนางใหม่ในวันหลังก็แล้วกัน..”แอชตันก้มหน้าลงพร้อมกับเดินออกไปจากโรงแรมที่แสนหรูหราของเฟรญ่า ข่าวคราวเรื่องที่เขาสละตำแหน่งแกรนด์ดยุคให้กับน้องเขยนั้นโด่งดังมากทีเดียว แต่คนอื่นจะพูดคุยเช่นไรก็ไม่นับว่าเป็นอะไรหรอก เขามาที่นี่เพราะมีจุดประสงค์เดียวเท่านั้นคือการมาหาเฟรญ่า มารับเธอไปอยู่ด้วยกันกับเขา“ไปหาเฟรมาเหรอครับท่านแกรนด์ดยุค..อ่า ไม่สิท่านแอชตัน”ข่าวเรื่องการสละตำแหน่งของแกรนด์ดยุคโด่งดังมาจนถึงที่นี่ และแน่นอนว่าใครๆ ก็รู้ว่านั่นมันไม่ใช่การสละตำแหน่งแต่เป็นการซื้อขายในราคาที่เหมาะสมต่างหาก เขาอยากจะหัวเราะออกมาให้ดังมากกว่านี้ซะเหลือเกิน เพราะในยามนี้เขาไม่ต้องมานั่งทำความเคารพกับแอชตันที่มีดีแค่ยศที่ใหญ่กว่า..เขาคือเจ้าเมืองแห่งนี้ และเขาไม่ชอบขี้หน้าแกรนด์ดยุคเลยให้ตาย หมอนี่ชอบมองหน้าเฟรญ่าด้วยแววตาที่มันน่าหมั่นไส้แปลกๆ“พี่คะ..คืนนี้เราจะพักที่ไ
เพราะว่าเมืองเดียลอร์ลมันคือเมืองท่องเที่ยวยังไงล่ะ เพราะว่าที่นี่คือเมืองที่จะมีนักเดินทางจำนวนมากหลั่งไหลเข้ามา และเพราะว่าที่นี่คือเมืองที่พ่อของเขาสร้างมาด้วยสองมือของท่าน เขาจะยินยอมให้พวกนักเวทย์ใช้ที่นี่เพื่อเป็นที่ชำระล้างไอขุ่นมัวของปีศาจพวกนี้ได้อย่างไรกัน“ข้าเป็นนักเวทย์ครับ ข้าคือคนของวิหาร..และนี่คือคำแนะนำที่ดีที่สุด หากชาวบ้านถูกไอขุ่นมัวพวกนั้นครอบงำ พวกเขาจะล้มป่วยเหมือนกับชายที่ขึ้นเขาไปหาสมุนไพรก่อนหน้านี้ ในสายตาของท่านเจ้าเมือง ผลประโยชน์มันมีค่ามากกว่าชีวิตของพวกชาวเมืองอย่างนั้นหรือครับ”“นักเวทย์อย่างพวกเจ้าไม่มีทางเข้าใจข้าหรอก ไม่มีทางเข้าใจชาวบ้านที่อาศัยอยู่ที่นี่มาอย่างยาวนาน..อีกทั้งเท่าที่ข้าเห็นมันยังไม่เกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นมาเลยสักนิด ก็แค่มีชาวบ้านล้มป่วยแค่คนเดียวเท่านั้นเอง อย่าทำเป็นแตกตื่นไปหน่อยเลย”ต่อให้ต้องตาย เขาก็ไม่ยอมเสียเดียลอร์ลไปอย่างเด็ดขาด ที่นี่คือบ้านของเขาและมันคือบ้านของประชาชนที่นี่ทุกคนด้วย ในฐานะของเจ้าเมืองหากเขาไม่ยอมซะอย่าง ไม่มีใครหน้าไหนก็ไม่มีสิทธิ์เข้ามาในเดียลอร์ล!!“ท่านจะต้องเสียใจกับการตัดสินใจในครั้งนี้นะครับ ขอให้
บอกตามตรงว่าถึงแม้อีกฝ่ายจะเป็นองค์จักรพรรดิกับดยุคทีเซียส แต่มาร์เซลก็ไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวอะไรเลย เขามาที่นี่เพื่อแสดงความหนักแน่นต่อความรักที่มีกับเฟรญ่า เพราะอย่างนั้นไม่มีอะไรที่จะต้องเป็นกังวลเลยด้วยซ้ำ“ข้าจะไม่ถามหรอกว่าที่ผ่านมา เจ้าและน้องสาวของข้าพบเจอกันได้อย่างไร ข้ารู้ว่าข้าห้ามการคบหากันในครั้งนี้ไม่ได้ มาร์เซล..ในช่วงวัยเด็กเฟรย่าพบเจอกับความลำบากมามากทีเดียว เรื่องนี้เจ้าอาจจะยังไม่รู้..”“ข้าทราบครับท่านดยุค นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เราทั้งสองคนพบกันเลย เฟรญ่ามีเรื่องทุกข์ใจในแบบที่นางบอกกล่าวกับใครไปก็คงจะไม่เข้าใจนาง แต่ข้าสามารถทำความเข้าใจกับเรื่องราวที่มันเหลือเชื่อพวกนั้น และข้าไม่คิดจะเป็นผู้นำหอคอยหรือว่าคาดินัน อะไรทั้งนั้น ข้าจะเป็นแค่ทหารรับจ้างคนหนึ่งที่มีเวลาอยู่กับภรรยาคนสวยของข้ามากกว่าใครทั้งนั้น”คำตอบของมาร์เซลทำให้ทั้งคาเตอร์และมาทอส นิ่งอึ้งไปพร้อมๆ กัน มาทอสต้องการพูดคุยกับมาร์เซลเป็นการส่วนตัว เพราะอย่างนั้นเขาก็เลยให้เจนนีสพาเฟรญ่าออกไปก่อน“แล้วตาแก่ที่วิหารจะยินยอมอย่างนั้นหรือ”“พวกเขาทำอะไรข้าไม่ได้อยู่แล้วครับ ไม่มีใครหน้าไหนมาบัง
เฟรญ่าพอจะรับรู้เรื่องราวคร่าวๆ มาจากปากของพี่ชายแล้ว ดูเหมือนว่าเรื่องราวในเดียลอร์ลจะไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยอย่างที่คิดเอาไว้ และเธออยู่ที่นั่นมานานมากถึงสองปี ผู้คนที่นั่นล้วนแล้วแต่เป็นมิตร เธออยู่ที่นั่นด้วยความสบายใจในแบบที่หาไม่ได้ง่ายๆ ในเมืองอื่น.. ยังไม่มีการการันตีได้เลยว่าหลังจากที่กำจัดไอขุ่นมัวไปหมดแล้วทางพระราชวังจะอนุญาตให้ผู้คนเข้าไปพื้นที่ด้านในเมืองอีกหรือไม่ ในความคิดของเฟรญ่า เหมือนกับว่าเดียลอร์ลจะกลายเป็นเมืองที่ล่มสลายไปแล้ว.. แต่จะทำยังไงได้ ในเมื่อต้องจำกัดไอขุ่นมัวทั้งหมด และต้องปิดประตูของปีศาจไม่ให้มันเปิดออกมาได้ ไม่อย่างนั้นจะไม่ใช่แค่ เดียลอร์ลที่เดียวเท่านั้นที่จะล่มสลาย แต่ทั่วทั้งจักรวรรดิ อาจจะล่มสลายไปตามๆ กันก็ได้ มาร์เซลเดินสำรวจที่คฤหาสน์ของเธอพักใหญ่ๆ ด้วยแววตาที่เป็นประกาย เฟรญ่าอาศัยอยู่คนเดียวในคฤหาสน์หลังเล็กด้านในสุด เธอไม่ได้อยู่ที่คฤหาสน์หลัก เพราะด้วยนิสัยของเฟรญ่าแล้ว เดิมทีเธอคือคนขี้อายที่พูดน้อย..นิสัยเมื่อก่อนน่ะนะ “ในภาพวาดพี่น่ารักมากๆ เลยครับ..ข้าชอบที่นี่นะ มันอบอุ่นและเงียบสงบดี” เฟรญ่าเดินเข้าไปที่ด้านหลังของเขา เธอยกมือ
เฟรญ่านั่งลงบนม้านั่งในสวนของคฤหาสน์ ดวงตาสีครามช้อนขึ้นมามองท้องฟ้าก่อนจะยกแก้วน้ำชาขึ้นมาดื่ม บอกตามตรงว่าตั้งแต่ที่มาร์เซลเดินทางออกไป เธอรู้สึกใจคอไม่ดีเลย แน่นอนว่าเธออยากจะหลบหนีออกไปจากทีเซียส เพื่อตามไปช่วยเหลือเขาและตามไปช่วยเหลือผู้คนในโรงแรมของเธอ แต่ก็มีคำถามเกิดขึ้นในใจว่าเธอทำอะไรได้บ้างล่ะ พลังเวทหรือการต่อสู้ เฟรญ่าก็ล้วนแล้วแต่ไม่เคยเรียนมาก่อน เธอไม่มีความสามารถอะไรสักอย่าง จะไปที่นั่นก็มีแต่ทำให้มาร์เซลต้องเป็นห่วงเพราะอย่างนั้นการรอคอยด้วยความทรมานใจอยู่ที่นี่น่าจะดีกว่า“เฟร..”ลิเวียเดินเข้ามานั่งลงตรงข้ามเฟรญ่าด้วยใบหน้าที่เปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม ไร้วี่แววความกังวลบนใบหน้าของลิเวียจนเฟรญ่าเองก็อดแปลกใจไม่ได้“อย่ามองหน้ากันแบบนั้นสิเฟร สามีออกรบ ภรรยาที่ไหนจะไม่เป็นห่วง เพียงแต่สิ่งที่เจ้าจะต้องมีมันคือความเชื่อมั่น เชื่อมั่นในตัวของคนรักสักหน่อยสิเฟร อีกอย่างเพราะว่าข้าคือจักรพรรดินี เมื่อองค์จักรพรรดิเดินทางไปออกรบ ข้าจะมามัวเสียใจไม่ได้ สิ่งที่ข้าต้องทำมีมากมาย และข้าก็จะต้องเป็นตัวแทนของคาร์เตอร์ในการดูแลเมืองหลวงและพระราชวัง ทั้งเดียลอร์ลและสามีของเรา จะไม่เป็
“เฟรญ่าเป็นเด็กที่น่ารักมากทีเดียว เพียงแต่นางมีความเจ็บปวดกับช่วงเวลาวัยเด็กมากเกินไป ทำให้ไม่ว่านางจะทำอะไรก็ล้วนแล้วแต่ยังคงมีความหวาดกลัว..และยังไม่กล้าตัดสินใจด้วยตัวเองเท่าไหร่นัก” องค์จักรพรรรดิคาเตอร์กล่าวออกมาในช่วงเวลาที่เราพักค้างแรมด้วยกัน ด้วยระยะทางจากเมืองหลวงเดินทางไปยังเดียลอร์ลนั้นต้องใช้เวลามาพอสมควร ทำให้ต้องมีการพักค้างแรมเป็นระยะๆ ต้องพักทั้งคนและม้าด้วย เพราะไม่มีใครรู้ว่าสิ่งที่เราจะพบเจอเมื่อถึงเดียลอร์ลนั้นมีอะไรที่คอยอยู่ “ครับ..แต่ในครั้งแรกที่กระหม่อมพบเจอท่านเฟรญ่า นางมีแววตาที่ไม่ได้แสดงอาการหวาดกลัวออกมาแม้แต่น้อย บนใบหน้างดงามนั้นฉายแววมั่นใจในแบบที่แค่มองเห็นก็สะดุดตาแบบที่เดินหนีออกไม่ได้เลย..กระหม่อมสามารถเรียกการพบเจอของกระหม่อมและเฟรญ่าว่ามันคือรักแรกพบเลยก็ว่าได้” คาร์เตอร์มองเปลวไฟที่กำลังลุกไหม้ขอนไม้ อากาศในยามค่ำคืนเย็นลงเล็กน้อย เขาคิดถึงจักรพรรดินีลิเวียมากทีเดียว แต่หน้าที่ก็ย่อมต้องเป็นหน้าที่ “บอกตามตรงว่าข้าไม่ได้คิดขัดขวางเรื่องความรักของเจ้าหรอกนะ เฟรญ่าเองก็ควรจะมีคนดูแลนางและคอยปกป้องรอยยิ้มของนาง ข้าไม่ได้หวงน้องสาวจนไร้สติเหมื
มาร์เซลพึ่งรู้ว่าการนั่งเรือสำเภามันไม่ใช่เรื่องสนุกเลยแม้แต่นิดเดียว เขาออกเดินทางมายังเมืองทางใต้พร้อมกันกับเฟรญ่า นี่คือการดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ของเราก่อนที่เขาจะกลับไปทำงานในตำแหน่งดยุคอย่างเป็นทางการ เราทั้งคู่เคยพูดเอาไว้ว่าอยากจะล่องเรือมาเที่ยวที่เมืองทางใต้มาชมทะเลที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน และในยามนี้เราก็กำลังอยู่กลางทะเลบนเรือสำเภาที่ค่อนข้างจะเป็นพื้นที่ส่วนตัว เพราะว่าเขาเหมาเรือลำนี้เอาไว้ เพื่อมากับเฟรญ่าเพียงแค่สองคนเท่านั้นแต่เขาอาเจียนไปสิบรอบแล้วเห็นจะได้ เพราะเขาไม่เคยนั่งเรือมาก่อน“ออกมานั่งมองทะเลดูไหม เผื่ออาการของเจ้าจะดีขึ้น”อันที่จริงแค่ได้มองหน้าสวยๆ ของเธอก็ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นแบบมากๆ แล้ว เขาจับมือของเฟรญ่าเอาไว้ก่อนจะซบใบหน้าลงไปบนไหล่ของเธอ“รักนะครับ..รักที่สุดเลย”เฟรญ่าไม่รู้ว่าเพราะอายุที่เขาเด็กกว่ามันเกี่ยวข้องด้วยรึเปล่า แต่เขาทำให้เธอรู้สึกราวกับมีลูกสุนัขตัวใหญ่ที่กำลังออดอ้อนเธอตลอดเวลา มาร์เซลติดการสัมผัสมากๆ เขาจะต้องจับมือหรือไม่ก็กอดและหอมแก้มเธอตลอดเวลา และเธอเองก็ชื่นชอบการแสดงความรักเช่นนั้นมากทีเดียว เฟรญ่าจึงไม่เคยผลักไสหรือว่าดุเขาในเร
บอกตามตรงว่านี่คงจะเป็นงานแต่งที่เจ้าสาวสบายมากที่สุดในจักรวรรดิแห่งนี้ เฟรญ่าแทบไม่ต้องจัดเตรียมอะไรเลยเพราะว่าพี่เจนนีสและลิเวียจัดเตรียมเอาไว้ให้อย่างเรียบร้อยหมดทุกอย่างแล้ว เธอเพียงสวมชุดเจ้าสาวที่แสนงดงามและเข้าร่วมงานแต่งเท่านั้นเองเฟรญ่าหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อมาร์เซลพาเธอออกมาจากงานแต่งที่แสนยิ่งใหญ่ เขาพาเธอมาที่คฤหาสน์ฮอร์ตันที่เราพึ่งได้รับมาเป็นของขวัญแต่งงาน และในห้องนอนก็เต็มไปด้วยกลิ่นหอมของดอกกุหลาบ มันทั้งหอมหวานและเย้ายวนมากทีเดียว“เจ้ากำลังข้ามขั้นพิธีแต่งงานอยู่นะมาร์เซล เราไม่ควรด่วนชิงเข้าหอก่อนที่งานเลี้ยงจะเริ่ม..”เขาส่งยิ้มให้เธอในขณะที่กำลังถอดกระดุมเสื้อของตัวเองออกมา เขาอดทนมานานมากพอสมควร อดทนแล้วอดทนอีกเพราะว่าเฟรญ่าพึ่งจะฟื้นขึ้นมาจากอาการบาดเจ็บ เพราะอย่างนั้นเขาจึงไม่ได้แตะต้องเธอเลย แต่วันนี้เขาอดทนไม่ไหวอีกแล้ว“ไม่เห็นจะต้องสนใจแขกที่เข้ามาร่วมงานเลยนี่ นี่คืองานแต่งของเราและข้าอยากอยู่กับท่าน..เข้าหอเร็วหน่อยคงไม่เป็นไรหรอกครับ หรือว่าพี่กังวล"เฟรญ่าดึงผ้าคลุมหน้าของเธอออกไป เธอไม่ได้ยืนมองมาร์เซลถอดชุดอยู่เฉยๆ แต่เธอเองก็ถอดชุดเดรสแต่งงานออกเช่
บัตรเชิญของงานแต่งเลดี้ทีเซียส วีรสตรีที่ร่วมการกอบกู้เดียลอร์ลนั้นถูกส่งให้แก่ขุนนางมากมายในจักรวรรดิ บอกตามตรงว่าในตอนที่เฟรญ่าเห็นชื่อและรูปวาดของตัวเองเด่นหราอยู่บนหน้าหนังสือพิมพ์เธอค่อนข้างตกใจมากพอสมควร เพราะเธอไม่คิดว่าเรื่องที่มาร์เซลกล่าวออกมานั้นมันจะเป็นเรื่องจริง“ให้ตายเถอะ ข้ารับมือกับคำว่าวีรสตรีอะไรพวกนั้นไม่ไหวจริงๆ”ลิเวียหัวเราะออกมา“เจ้าคู่ควรกับมันนะเฟร เรื่องความรักที่แสนอบอุ่นนี้ก็ด้วย มาร์เซลคือบุรุษที่ดีมากทีเดียว”ลิเวียกล่าวพร้อมกับสวมสร้อยคอที่มีสีเดียวกับดวงตาของเฟรญ่าลงไปบนลำคอยาวระหง เพื่อนเพียงคนเดียวของเธอแต่งงานแล้ว เฟรญ่าคือสตรีที่งดงามมากๆ ในสายตาของลิเวีย เราพบเจอกันเพราะพี่เจนนีสมาทำงานที่ทีเซียสและพี่สาวก็ร้องขอให้เธอมาเป็นเพื่อนกับเฟรญ่า เพราะสงสารที่เฟรญ่าอยู่คนเดียวในคฤหาสน์ที่แสนกว้างใหญ่ และนั่นทำให้ลิเวียได้มาพบเจอกับคาร์เตอร์ จนได้แต่งงานและเป็นจักรพรรดินีทุกวันนี้เพราะความสามารถของเฟรญ่าเลยเธอถึงได้มีความสุขมากๆ ในช่วงเวลาที่เฟรญ่ากำลังจะได้แต่งงาน เพราะมันเหมือนกับว่าครั้งนี้เป็นเธอแล้วนะที่ได้ส่งเฟรญ่าไปให้ถึงฝั่งฝันกับความรักที่ดีงา
มาทอสพาเฟรญ่าและเจนนีสเดินทางกลับมาที่เมืองหลวงพร้อมกันในอีกสองสัปดาห์ต่อมา คาร์เตอร์ตั้งขบวนเพื่อรอรับการกลับมาของเฟรญ่า ทันทีที่เธอเดินลงมาจากรถม้า คาร์เตอร์ก็พุ่งตัวเข้าไปกอดเฟรญ่าเอาไว้มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นมา และหนึ่งในเรื่องราวเหล่านั้นมันกำลังสั่นคลอนพี่ชายที่แสนกล้าหาญของเธออย่างหนักเลยสินะเฟรญ่าพบเจอคาร์เตอร์ในครั้งแรกตอนที่เธออายุสิบสี่ปี เขาคือองค์รัชทายาท ตามสายเลือดแล้วท่านพี่มาทอสคือน้องชายขององค์จักรพรรดิผู้เป็นพ่อของคาร์เตอร์ เราทั้งคู่จึงถูกเลี้ยงดูมาด้วยกันและสนิทสนมกันมากทีเดียว เพราะแผลในใจที่เคยได้รับจากแม่เลี้ยงทำให้เฟรญ่านั้นหวาดกลัวผู้คนเป็นอย่างมาก อีกทั้งท่านพี่มาทอสก็งานยุ่งมากเพราะในช่วงเวลานั้นท่านพี่มาทอสรับตำแหน่งดยุคมาจากท่านพ่อแล้ว ทำให้เขาไม่มีเวลามาคอยดูแลน้องสาวต่างแม่สักเท่าไหร่นัก ผู้ที่ดูแลและสนิทสนมกับเฟรญ่ามากที่สุดคือคาร์เตอร์ ลูกพี่ลูกน้องของเธอ เขาพยายามเข้าหาเธอในทุกวัน ชวนเธอออกไปข้างนอก และเป็นผู้ที่พาเธอก้าวเดินไปยังงานเลี้ยงในแวดวงสังคม“ฟังนะเฟร จะไม่มีใครหน้าไหนกล้าดูถูกเจ้าทั้งนั้น พี่จะปกป้องเจ้าเองเพราะอย่างนั้นไม่ต้องกังวลหรื
เมื่อเฟรญ่าทำท่าไม่เชื่อ มาร์เซลก็หัวเราะออกมาเสียงดัง เขาจับมือเธอพร้อมกับพาเธอวิ่งไปยังงานเทศกาลของเดียลอร์ลที่ในยามนี้มีชาวบ้านมากมายกำลังเต้นรำอยู่ตามท้องถนน บนใบหน้าหล่อเหลานั้นมีรอยยิ้มฉายชัดอยู่ มันเป็นรอยยิ้มที่ทำให้ดวงตาของเฟรญ่านั้นพร่ามัวไปในทันทีราวกับว่ารอยยิ้มของเขามันแฝงไปด้วยเวทมนตร์แค่เขายิ้มก็ทำให้หัวใจของเธออ่อนลงยวบยาบ ฝ่ามือของเราเกาะกุมกันไว้โดยไร้คำพูด มาร์เซลหยุดเดินพร้อมกับหมุนตัวมาหาเธอ เขายกมือขึ้นมาจับเอวของเธอเอาไว้ ก่อนจะยกขึ้นเล็กน้อยแล้วพาเธอหมุนตัวตามจังหวะของเครื่องดนตรีพื้นเมือง เฟรญ่าหยักยิ้มขึ้นมาในทันที หัวใจของเธอมันเต้นผิดจังหวะในทุกครั้งที่อยู่กับเขา มันคือความรักที่ไม่รู้เหมือนกันว่าจะอธิบายเช่นไร แต่ในยามที่เธอมองเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา มันทำให้เธอมีความสุขได้โดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย บางทีความหวังของเธอก็เป็นเรื่องง่ายๆอย่างเช่นการคาดหวังให้มาร์เซลมีความสุขตลอดไป..“เวลาที่ท่านยิ้มออกมามันสวยมากเลยนะครับ..”ในวันที่พบเจอกันครั้งแรก เขาก็เชื่อมั่นในพรหมลิขิตในทันทีว่าคนรักของเขาจะต้องเป็นเธอเท่านั้น บางสิ่งในอกค่อยๆ แผ่ซ่านออกมา หัวใจที่เย็นย
งานเทศกาลในครั้งนี้จัดขึ้นมาในฤดูที่กำลังปลูกพืชผล เมืองเดียลอร์ลนั้นได้รับผลกระทบเป็นวงกว้างเพราะอย่างนั้น บารอนดีแลนจึงหารือกับชาวบ้านจัดงานนี้ขึ้นมา เพื่อให้บรรยากาศในเดียลอร์ลนั้นดีขึ้นมา ก่อนหน้านั้นกับบางคนที่เผชิญหน้ากับความสูญเสีย พวกเขาไม่อยากแม้แต่จะหายใจต่อไปดีแลนรู้สึกผิดกับชาวเมืองมากทีเดียว กับการตัดสินใจที่ผิดพลาดของเขา เพราะอย่างนั้นเขาจึงพยายามที่จะฟื้นฟูเดียลอร์ลขึ้นมาใหม่เพื่อให้ที่นี่กลับมามีบรรยากาศที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขเช่นเดิมเฟรญ่าเดินไปบนถนนหนทางที่เต็มไปด้วยนักเดินทาง ไม่ว่าจะถามเธอสักกี่ครั้ง เฟรญ่าก็ยังคงตอบได้ในทันทีว่าเดียลอร์ลคือเมืองที่เธอชอบมากที่สุด ความธรรมดาของที่แสนพิเศษ“ไม่เจอกันนานเลยนะเฟร..”ดีแลนเดินเข้ามาทักทายเฟรญ่าด้วยใบหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม“อื้ม ที่นี่เหมือนเดิมเลยนะคะ เหมือนเดียลอร์ลที่ข้ารู้จัก”เฟรญ่าจุดยิ้มที่แสนงดงามบนใบหน้าของเธอ เธอคิดว่าดีแลนเองก็คงจะได้รับผลกระทบทางจิตใจเช่นเดียวกัน“ขาของเจ้า..มันหายดีเป็นปกติแล้วสินะ”เฟรญ่าก้มมองเท้าของตัวเอง เธอพ่นลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ถึงแม้จะรู้สึกแปลกๆ อยู่บ้างในยามที่ไ
การรอคอยสำหรับมาร์เซลนั้นถือเป็นความทรมานมากเกินกว่าที่เขาจะคาดคะเนเอาไว้ซะอีก เขาไม่เคยรู้จักความรักมาก่อนเลย ยิ่งไม่เคยรักใครและทุ่มเทกายใจให้ขนาดนี้ เราทั้งคู่ตั้งใจว่าจะแต่งงานกันหลังจากนี้ ตั้งใจอย่างแรงกล้าว่าเฟรญ่าจะเป็นเจ้าสาว ส่วนเขาจะเป็นเจ้าบ่าว ในงานแต่งที่ยิ่งใหญ่มากที่สุดในจักรวรรดิ เขาและเธอจะสร้างครอบครัวเล็กๆ ด้วยกัน พร้อมกับนั้นลูกของเขาคงจะน่ารักมากทีเดียวเพราะว่าเฟรญ่าชอบเด็ก ทว่าในยามนี้ เธอก็ยังไม่ฟื้นขึ้นมาเลย..ในค่ำคืนที่ดวงจันทร์ลอยเด่นบนนภา มาร์เซลจุมพิตลงไปบนหลังฝ่ามือของเฟรญ่า ก่อนที่เขาจะหลับตาลงเพื่อเฝ้าอธิษฐานจากใจจริง“ตื่นขึ้นมาเถอะมา กลับมาเพื่อให้ข้าได้บอกรักเจ้าจะได้รึเปล่า ได้โปรดเถอะ..กลับมาหาข้าอีกครั้ง..”น้ำเสียงของเขามันเต็มไปด้วยความสั่นเครือ หยาดน้ำตาเปียกชุ่มอยู่บนมือของเฟรญ่า ท่ามกลางห้องที่เงียบงัน มีเพียงเสียงสะอื้นของมาร์เซลเท่านั้นที่ดังออกมา“...มาร์เซล อย่าร้อง”ดวงตาของเขาเบิกกว้างออกมาในทันทีที่ได้ยินเสียงที่แสนคิดถึง และเมื่อมาร์เซลเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งเขาก็พบเจอกับดวงตาสีครามที่กำลังจ้องมองใบหน้าของเขาอยู่ บนดวงหน้างามล้ำยิ่งกว่
เฟรญ่านั่งกอดเข่าอยู่บนเตียงตามลำพัง แววตาของเธอสะท้อนความอ้างว้างและโดดเดี่ยวอย่างเห็นได้ชัด ในห้องนี้ไม่มีใครเลยนอกจากเธอเธออยู่ที่นี่มานานแค่ไหนแล้วก็ไม่รู้ รู้เพียงแต่เธอพยายามที่จะเดินออกไปจากห้องนี้มากแค่ไหนก็ไม่สามารถออกไปได้ เป็นห้องโล่งๆ ที่ไม่มีแม้กระทั่งหน้าต่างสักบาน เธอนอนหลับไปและเมื่อตื่นขึ้นมาก็จะพบเจอกับอาหารทั้งสามมื้อที่วางเอาไว้บนโต๊ะ เธอไม่รู้ว่าตัวเองมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน รู้เพียงแต่ว่าเธอจะต้องหาทางออกไปจากที่นี่ให้ได้ ไม่อย่างนั้นมาร์เซลจะต้องกำลังเป็นห่วงเธออย่างแน่นอน ไหนยังจะท่านพี่ของเธออีกจะมามัวอยู่ที่นี่ตลอดไปไม่ได้เพราะอย่างนั้นเฟรญ่าก็เลยคิดแผนการขึ้นมา การที่มีอาหารมาวางเอาไว้ในช่วงที่เธอหลับ นั่นหมายความว่าจะต้องมีคนเดินเข้ามาที่นี่และเธอจะต้องแกล้งหลับ เพื่อที่จะดูว่าคนที่ขังเธอเอาไว้ที่นี่คือใครกันแน่เมื่อคิดได้ดังนั้นเฟรญ่าก็ล้มตัวนอนลงในทันที เธอหลับตาพร้อมกับเผยอปากออกมาเล็กน้อยเพื่อให้ดูสมจริง แล้วก็เป็นอย่างที่คิดเพราะเมื่อเธอล้มตัวนอน เสียงเปิดประตูก็ดังขึ้นมา พร้อมกับฝีเท้าที่ก้าวเดินเข้ามาอย่างช้าๆเฟรญ่าค่อยๆ ปรือตามองอย่างช้าๆ เธอร
คาร์เตอร์มองเฟรญ่าที่กำลังนอนหลับอยู่ เขาอยู่ในสภาพที่บาดเจ็บสาหัสมากพอสมควร ปกติแล้วเรื่องการต่อสู้หรือการออกรบ เขาล้วนแล้วแต่ทำมันได้ดีมากทีเดียวแต่เพราะการสูดดมไอขุ่นมัวเหล่านั้นทำให้เขาหมดแรง ซึ่งมันทรมานมากที่เขารับรู้เรื่องราวต่างๆ มากกว่าแต่ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้เลยแม้แต่นิดเดียวเขามองเห็นว่าเฟรญ่า นางแตกสลายมากแค่ไหนกับการที่นางลงมือจัดการกับต้นตอของเรื่องนี้ เฟรญ่าในสายตาของคาร์เตอร์เหมือนคนที่เผชิญหน้ากับความเจ็บปวดเจียนตาย ทั้งๆ ที่นางควรจะดีใจเมื่อแอชตันตายไป แต่นางก็ยังร้องไห้ออกมาไม่หยุด ในช่วงเวลาที่นางลงมือทำร้ายแอชตันเฟรญ่าก็ยังร้องไห้ออกมามันเป็นเพราะว่าเฟรญ่า น้องสาวของเขานั้นจิตใจดีมากเกินไป นางไม่เคยทำร้ายคนอื่นมาก่อนเลย แล้วไอ้เวรนั่น..ไอ้แอชตันจะต้องทำร้ายเฟรญ่าหนักหนาสาหัสมากแค่ไหน คนที่ไม่เคยทำร้ายคนอื่นแม้แต่ปลายเล็บอย่างเฟรญ่า ถึงได้ลุกขึ้นมาเพื่อจัดการหมอนั่นด้วยความเจ็บปวดมากมายขนาดนั้น“เรื่องนี้ไม่มีใครผิดหรอกพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทอย่าได้วิตกกังวลมากเกินไปเลย”มาร์เซลปลอบใจองค์จักรพรรดิที่กำลังโมโหตัวเองอยู่ เขาพบเจอสภาพของค่ายทหารที่อาบไปด้วยเลือด พร้อมก