เราอยู่ใกล้กันจนได้ยินเสียงหัวใจ เมื่ออะไรๆ เข้าที่เข้าทางดีแล้ว เช่นนั้นเฟรญ่าก็อยากจะบอกเล่าเรื่องราวของเธอให้เขาได้รู้
“เรื่องที่ข้าจะเล่าต่อไปนี้ข้ารู้ดีว่ามันเชื่อยาก แต่มันคือความจริงนะมาร์เซล..ข้าเคยตายมาแล้วครั้งหนึ่ง” เธอกลั้นใจกล่าวคำนั้นออกมาด้วยท่าทางที่สั่นไหว เธอหวาดกลัวว่าเขาจะแสดงท่าทางตกใจออกมา แต่ในแววตาของมาร์เซลกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย หลังจากที่เธอกล่าวจบ เขาก็รวบเอวของเธอไปตระกองกอดเอาไว้ “หากให้ข้าเดา ผู้ที่สังหารเจ้าคงจะเป็น แกรนด์ดยุคสินะ” เธอซบหน้าลงบนไหล่ของเขา ในยามนี้มันเหมือนกับว่าเรากำลังผลัดกันปลอบใจกันและกัน..อาจจะเพราะเรื่องราวที่เราทั้งสองคนพบเจอมามันหนักหนามากพอสมควร ทำให้การที่จะเล่า..ออกมานั้นไม่ได้ทำได้โดยง่าย “ครั้งนี้เจ้าเดาผิดล่ะ เพราะแกรนด์ดยุคไม่ได้เป็นคนสังหารข้า แต่ข้าตัดสินใจปลิดชีพของตัวเองต่างหาก..” คราแรกไม่ได้มีความตกใจในใบหน้าของมาร์เซลเลย จนเธอพูดถึงประโยคสุดท้าย.. คนเราจะต้องพบเจอความทรมานมากแค่ไหนกันนะถึงได้เลือกที่จะปลิดชีพของตัวเอง “ข้าถูกทรมานอย่างหนัก จากแม่และน้องสาวของแอชตัน ส่วนเขา..เขาพาสตรีคนใหม่เข้ามาที่คฤหาสน์โดยที่สตรีผู้นั้นกำลังตั้งครรภ์ ข้าหลบหนีออกมาเพราะหวังว่าจะไปหาคนของทีเซียสแต่ แต่เขาก็ตามมาเจอแล้วจัดการ..ทำลายขาทั้งสองข้าของข้า ข้ามีสภาพที่อยู่ไม่สู้ตาย พวกเขาไม่ยอมให้ข้าตายง่ายๆ เพราะต้องการลายนิ้วมือของข้าไปประทับลงบนหนังสือรับเงิน ในวันที่รอบข้างมืดมิดไปหมดแต่ข้าได้พบเจอบุรุษที่เป็นเหมือนกับแสงสว่าง เขาเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวในคุกใต้ดินกับข้าและเขาชวนข้าหนี แต่ข้าหนีไปไม่ได้หรอกเพราะขาของข้ามันเดินไม่ได้ หากข้าหนีไปกับเขาก็มีแต่จะต้องเป็นตัวถ่วงของเขาเท่านั้น เพราะอย่างนั้นข้าจึงปฏิเสธข้อเสนอนั้น และร้องขอมีดกับเขาเล่มหนึ่งแทน” แค่ได้ฟังมาร์เซลก็เก็บกักความโกรธของเขาเอาไว้แทบไม่มิด หัวไหล่ทั้งสองข้างของเขาสะท้าน เส้นเลือดผุดขึ้นมาบริเวณหน้าผาก “ชายผู้นั้นมีชื่อว่าอะไรกันครับพี่ บางทีเราควรจะขอบคุณเขา..” เฟรญ่ายกมือขึ้นมากอบกุมใบหน้าที่แสนหล่อเหลาของเขา “ข้าไม่รู้ว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญหรืออะไร แต่บนมีดที่เขาส่งให้ข้ามันสลักคำว่ามาร์เซลเอาไว้..” คราวนี้มาร์เซลเป็นฝ่ายนิ่งอึ้งไปเลย เขาหลับตาลงช้าๆ อย่างใช้ความคิด ก่อนที่เขาจะยกมือขึ้นมาเพื่อวาดไปในอากาศ.. มีดสีทองเล่มสั้นปรากฏขึ้นมาในมือของเขา มาร์เซลส่งมีดเล่มนั้นให้กับเฟรญ่า “ชะ..ใช่เล่มนี้รึเปล่าครับ” เธอหลับตาลงในทันที เพราะช่วงเวลาก่อนตายเธอมองไม่เห็นอะไรเลยนอกจากความมืดมิด เฟรญ่าลูบไล้ลงไปบนปลอกมีดด้วยความเบามือ หยาดน้ำตาแววตาเอ่อล้นออกมาจนไหลรินอาบแก้ม เธอร้องไห้ออกมาอย่างหนักในอ้อมแขนของเขา และนั่นทำให้มาร์เซลรับรู้ได้ถึงคำตอบของเธอโดยที่ไม่ต้องเอ่ยถาม เจ้าของมีดเล่มนั้นมันคือเขาเอง.. นี่มันเรื่องน่าเหลือเชื่ออะไรกัน เขารู้ดีว่าพระเจ้าชอบจะเล่นตลกกับจิตใจของคน แต่เขาก็ไม่เคยรู้ว่าในครั้งหนึ่งเราทั้งสองคนจะได้ใกล้ชิดกันถึงเพียงนั้น..แล้วเขาไปทำอะไรในคุกของจามิน ในเมื่อเขาสามารถเปิดเทเลพอทได้ตั้งแต่ตอนที่พลังตื่นขึ้นมา คนเช่นเขาจะยินยอมถูกขังอยู่ในคุกได้อย่างไร... หรือว่าเหตุผลที่เขายินยอมถูกขังอยู่ที่นั่นมันเป็นเพราะเธอ ยิ่งคิดหัวใจก็ยิ่งเต้นแรงจนไม่อาจหาสาเหตุได้ ความทรมานรวดร้าวไปทั่วทั้งอก แต่ถึงอย่างนั้นก็มีความสุขมากจนรู้สึกสับสนไปหมดว่าตกลงแล้วเขาจะเจ็บปวดหรือดีใจกันแน่ “เป็นเจ้าจริงๆ ด้วยสินะ ในคราแรกข้าคิดว่าชื่อของเจ้ามันอาจจะมีการถูกตั้งขึ้นมาซ้ำ” “อันที่จริงชื่อของข้าไม่มีทางถูกตั้งขึ้นมาซ้ำได้หรอก เพราะชื่อของข้ามันมาจากชื่อตระกูลเมลวิน มาร์เซล..เป็นชื่อที่พ้องมาจากบทสวดเพื่อขอพรพระเจ้าด้วย ชายคนนั้นมีความสามารถในการตั้งชื่อน่ะ เขาไม่ยอมให้ลูกชายตัวเองมีชื่อที่ไม่น่าจดจำหรอก” เฟรญ่าหลับตาลงช้าๆ เธอโอบกอดเขาเอาไว้แน่นมากทีเดียวในอ้อมแขน “ในเมื่อเป็นเจ้า เช่นนั้นข้าก็จะบอกเล่าความในใจให้เจ้าได้ฟังว่าข้าอยากจะพบเจอเจ้ามาโดยตลอด เพราะครั้งที่แล้วข้าหลุดพ้นมาจากนรกแห่งนั้นก็เพราะเจ้า ข้าก็เลยพยายามสืบข่าวของคฤหาสน์จามินว่าเขามีนักโทษที่ชื่อมาร์เซลถูกขังอยู่ในนั้นรึเปล่า..แต่ก็ไม่มีเลย ข้าดีใจที่เราได้พบกันแบบนี้นะ..นี่มันเรียกว่าความบังเอิญหรือว่าพรหมลิขิตดีล่ะ” มาร์เซลกดจมูกของเขาลงไปบนแก้มของเธออย่างแรง “ไม่ใช่ทั้งสองอย่างเพราะว่ามันถูกเรียกว่าความรักต่างหากล่ะ หรือว่าพี่จะเถียง ยิ่งรู้ว่าเจ้าของมีดคนนั้นคือข้าในตอนนี้พี่คงจะตกหลุมรักข้าจนหัวปักหัวปำเลยละสิ..” ถะ..เถียงไม่ได้เลยแฮะ “ก่อนที่ข้าจะรู้ว่าเจ้าของมีดคือเจ้า ข้าก็ตกหลุมรักเจ้ามากอยู่แล้วนะ ไม่เชื่องั้นเหรอ อยากจะให้ข้าแสดงให้ดูรึเปล่ามาร์เซล” เขาหรี่ตามองหน้าเธอ “แน่นอนครับ ช่วยเปิดการแสดงให้ข้าได้เห็นหน่อยเถิด ถึงความรักที่อัดแน่นอยู่ในใจของพี่..ข้าอยากจะรู้เหมือนกันว่ามันจะมากมายเหมือนของข้ารึเปล่า..” “จุ๊บ.” เธอหอมแก้มเขาเร็วๆ หนึ่งครั้งก่อนจะสลับไปหอมอีกข้าง ริมฝีปากของเฟรญ่าหว่านพรมไปทั่วทั้งใบหน้าของเขา และจุดสุดท้ายที่เธอประทับริมฝีปากลงไปคือบนริมฝีปากของเขา เท่านี้พอไหมนะ หรือว่าจะต้องไล่จูบลงไปที่ต้นคอของเขาอีกหน่อย เฟรญ่าผละออกจากใบหน้าของมาร์เซลและสิ่งที่เธอเห็นคือใบหน้าของเขาที่มันขึ้นเป็นสีแดงระเรื่อ เขายกมือขึ้นมาปิดบังใบหน้าเอาไว้ “ให้ตายเถอะ พี่ทำแบบนี้ข้าก็อายเป็นนะครับ” แล้วทีเขาทำกับเธอล่ะ นี่ตั้งใจจะให้เธอรักเขาอยู่ฝ่ายเดียวรึไง ไม่ยุติธรรมเอาซะเลย “มาร์เซล นั่นเจ้ากำลังหน้าแดงอยู่งั้นเหรอ เจ้าชอบชมว่าข้าน่ารักแต่พอเอาเข้าจริงฝ่ายที่น่ารักมากกว่าคือเจ้าต่างหากล่ะ เอามือลงแล้วมาให้พี่สาวหอมแก้วเจ้าอีกครั้งหน่อยสิ..” เธอหยอกล้อเขาด้วยการพยายามดึงมือของเขาออก แต่ทว่ามาร์เซลก็ไม่ยินยอมให้เฟรย่าทำเช่นนั้น ในบ้านหลังเล็กที่ดินแดนเวทมนตร์มีเสียงหัวเราะดังเล็ดลอดออกมา ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เสียงที่ดังออกมามันคือเสียงร้องไห้อย่างเจ็บปวด“นายหญิงของเราพึ่งจะออกเดินทางท่องเที่ยวไปเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้เองค่ะ”รอยยิ้มของแอชตันพลันแข็งค้างอยู่บนใบหน้า เขาไม่อยากเชื่อสิ่งที่กำลังได้ยินอยู่เลย เขาคิดว่าสตรีเบื้องหน้าของเขากำลังโกหกอยู่อย่างแน่นอน“เช่นนั้นข้าจะมาพบนางใหม่ในวันหลังก็แล้วกัน..”แอชตันก้มหน้าลงพร้อมกับเดินออกไปจากโรงแรมที่แสนหรูหราของเฟรญ่า ข่าวคราวเรื่องที่เขาสละตำแหน่งแกรนด์ดยุคให้กับน้องเขยนั้นโด่งดังมากทีเดียว แต่คนอื่นจะพูดคุยเช่นไรก็ไม่นับว่าเป็นอะไรหรอก เขามาที่นี่เพราะมีจุดประสงค์เดียวเท่านั้นคือการมาหาเฟรญ่า มารับเธอไปอยู่ด้วยกันกับเขา“ไปหาเฟรมาเหรอครับท่านแกรนด์ดยุค..อ่า ไม่สิท่านแอชตัน”ข่าวเรื่องการสละตำแหน่งของแกรนด์ดยุคโด่งดังมาจนถึงที่นี่ และแน่นอนว่าใครๆ ก็รู้ว่านั่นมันไม่ใช่การสละตำแหน่งแต่เป็นการซื้อขายในราคาที่เหมาะสมต่างหาก เขาอยากจะหัวเราะออกมาให้ดังมากกว่านี้ซะเหลือเกิน เพราะในยามนี้เขาไม่ต้องมานั่งทำความเคารพกับแอชตันที่มีดีแค่ยศที่ใหญ่กว่า..เขาคือเจ้าเมืองแห่งนี้ และเขาไม่ชอบขี้หน้าแกรนด์ดยุคเลยให้ตาย หมอนี่ชอบมองหน้าเฟรญ่าด้วยแววตาที่มันน่าหมั่นไส้แปลกๆ“พี่คะ..คืนนี้เราจะพักที่ไ
เพราะว่าเมืองเดียลอร์ลมันคือเมืองท่องเที่ยวยังไงล่ะ เพราะว่าที่นี่คือเมืองที่จะมีนักเดินทางจำนวนมากหลั่งไหลเข้ามา และเพราะว่าที่นี่คือเมืองที่พ่อของเขาสร้างมาด้วยสองมือของท่าน เขาจะยินยอมให้พวกนักเวทย์ใช้ที่นี่เพื่อเป็นที่ชำระล้างไอขุ่นมัวของปีศาจพวกนี้ได้อย่างไรกัน“ข้าเป็นนักเวทย์ครับ ข้าคือคนของวิหาร..และนี่คือคำแนะนำที่ดีที่สุด หากชาวบ้านถูกไอขุ่นมัวพวกนั้นครอบงำ พวกเขาจะล้มป่วยเหมือนกับชายที่ขึ้นเขาไปหาสมุนไพรก่อนหน้านี้ ในสายตาของท่านเจ้าเมือง ผลประโยชน์มันมีค่ามากกว่าชีวิตของพวกชาวเมืองอย่างนั้นหรือครับ”“นักเวทย์อย่างพวกเจ้าไม่มีทางเข้าใจข้าหรอก ไม่มีทางเข้าใจชาวบ้านที่อาศัยอยู่ที่นี่มาอย่างยาวนาน..อีกทั้งเท่าที่ข้าเห็นมันยังไม่เกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นมาเลยสักนิด ก็แค่มีชาวบ้านล้มป่วยแค่คนเดียวเท่านั้นเอง อย่าทำเป็นแตกตื่นไปหน่อยเลย”ต่อให้ต้องตาย เขาก็ไม่ยอมเสียเดียลอร์ลไปอย่างเด็ดขาด ที่นี่คือบ้านของเขาและมันคือบ้านของประชาชนที่นี่ทุกคนด้วย ในฐานะของเจ้าเมืองหากเขาไม่ยอมซะอย่าง ไม่มีใครหน้าไหนก็ไม่มีสิทธิ์เข้ามาในเดียลอร์ล!!“ท่านจะต้องเสียใจกับการตัดสินใจในครั้งนี้นะครับ ขอให้
บอกตามตรงว่าถึงแม้อีกฝ่ายจะเป็นองค์จักรพรรดิกับดยุคทีเซียส แต่มาร์เซลก็ไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวอะไรเลย เขามาที่นี่เพื่อแสดงความหนักแน่นต่อความรักที่มีกับเฟรญ่า เพราะอย่างนั้นไม่มีอะไรที่จะต้องเป็นกังวลเลยด้วยซ้ำ“ข้าจะไม่ถามหรอกว่าที่ผ่านมา เจ้าและน้องสาวของข้าพบเจอกันได้อย่างไร ข้ารู้ว่าข้าห้ามการคบหากันในครั้งนี้ไม่ได้ มาร์เซล..ในช่วงวัยเด็กเฟรย่าพบเจอกับความลำบากมามากทีเดียว เรื่องนี้เจ้าอาจจะยังไม่รู้..”“ข้าทราบครับท่านดยุค นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เราทั้งสองคนพบกันเลย เฟรญ่ามีเรื่องทุกข์ใจในแบบที่นางบอกกล่าวกับใครไปก็คงจะไม่เข้าใจนาง แต่ข้าสามารถทำความเข้าใจกับเรื่องราวที่มันเหลือเชื่อพวกนั้น และข้าไม่คิดจะเป็นผู้นำหอคอยหรือว่าคาดินัน อะไรทั้งนั้น ข้าจะเป็นแค่ทหารรับจ้างคนหนึ่งที่มีเวลาอยู่กับภรรยาคนสวยของข้ามากกว่าใครทั้งนั้น”คำตอบของมาร์เซลทำให้ทั้งคาเตอร์และมาทอส นิ่งอึ้งไปพร้อมๆ กัน มาทอสต้องการพูดคุยกับมาร์เซลเป็นการส่วนตัว เพราะอย่างนั้นเขาก็เลยให้เจนนีสพาเฟรญ่าออกไปก่อน“แล้วตาแก่ที่วิหารจะยินยอมอย่างนั้นหรือ”“พวกเขาทำอะไรข้าไม่ได้อยู่แล้วครับ ไม่มีใครหน้าไหนมาบัง
เฟรญ่าพอจะรับรู้เรื่องราวคร่าวๆ มาจากปากของพี่ชายแล้ว ดูเหมือนว่าเรื่องราวในเดียลอร์ลจะไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยอย่างที่คิดเอาไว้ และเธออยู่ที่นั่นมานานมากถึงสองปี ผู้คนที่นั่นล้วนแล้วแต่เป็นมิตร เธออยู่ที่นั่นด้วยความสบายใจในแบบที่หาไม่ได้ง่ายๆ ในเมืองอื่น.. ยังไม่มีการการันตีได้เลยว่าหลังจากที่กำจัดไอขุ่นมัวไปหมดแล้วทางพระราชวังจะอนุญาตให้ผู้คนเข้าไปพื้นที่ด้านในเมืองอีกหรือไม่ ในความคิดของเฟรญ่า เหมือนกับว่าเดียลอร์ลจะกลายเป็นเมืองที่ล่มสลายไปแล้ว.. แต่จะทำยังไงได้ ในเมื่อต้องจำกัดไอขุ่นมัวทั้งหมด และต้องปิดประตูของปีศาจไม่ให้มันเปิดออกมาได้ ไม่อย่างนั้นจะไม่ใช่แค่ เดียลอร์ลที่เดียวเท่านั้นที่จะล่มสลาย แต่ทั่วทั้งจักรวรรดิ อาจจะล่มสลายไปตามๆ กันก็ได้ มาร์เซลเดินสำรวจที่คฤหาสน์ของเธอพักใหญ่ๆ ด้วยแววตาที่เป็นประกาย เฟรญ่าอาศัยอยู่คนเดียวในคฤหาสน์หลังเล็กด้านในสุด เธอไม่ได้อยู่ที่คฤหาสน์หลัก เพราะด้วยนิสัยของเฟรญ่าแล้ว เดิมทีเธอคือคนขี้อายที่พูดน้อย..นิสัยเมื่อก่อนน่ะนะ “ในภาพวาดพี่น่ารักมากๆ เลยครับ..ข้าชอบที่นี่นะ มันอบอุ่นและเงียบสงบดี” เฟรญ่าเดินเข้าไปที่ด้านหลังของเขา เธอยกมือ
เฟรญ่านั่งลงบนม้านั่งในสวนของคฤหาสน์ ดวงตาสีครามช้อนขึ้นมามองท้องฟ้าก่อนจะยกแก้วน้ำชาขึ้นมาดื่ม บอกตามตรงว่าตั้งแต่ที่มาร์เซลเดินทางออกไป เธอรู้สึกใจคอไม่ดีเลย แน่นอนว่าเธออยากจะหลบหนีออกไปจากทีเซียส เพื่อตามไปช่วยเหลือเขาและตามไปช่วยเหลือผู้คนในโรงแรมของเธอ แต่ก็มีคำถามเกิดขึ้นในใจว่าเธอทำอะไรได้บ้างล่ะ พลังเวทหรือการต่อสู้ เฟรญ่าก็ล้วนแล้วแต่ไม่เคยเรียนมาก่อน เธอไม่มีความสามารถอะไรสักอย่าง จะไปที่นั่นก็มีแต่ทำให้มาร์เซลต้องเป็นห่วงเพราะอย่างนั้นการรอคอยด้วยความทรมานใจอยู่ที่นี่น่าจะดีกว่า“เฟร..”ลิเวียเดินเข้ามานั่งลงตรงข้ามเฟรญ่าด้วยใบหน้าที่เปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม ไร้วี่แววความกังวลบนใบหน้าของลิเวียจนเฟรญ่าเองก็อดแปลกใจไม่ได้“อย่ามองหน้ากันแบบนั้นสิเฟร สามีออกรบ ภรรยาที่ไหนจะไม่เป็นห่วง เพียงแต่สิ่งที่เจ้าจะต้องมีมันคือความเชื่อมั่น เชื่อมั่นในตัวของคนรักสักหน่อยสิเฟร อีกอย่างเพราะว่าข้าคือจักรพรรดินี เมื่อองค์จักรพรรดิเดินทางไปออกรบ ข้าจะมามัวเสียใจไม่ได้ สิ่งที่ข้าต้องทำมีมากมาย และข้าก็จะต้องเป็นตัวแทนของคาร์เตอร์ในการดูแลเมืองหลวงและพระราชวัง ทั้งเดียลอร์ลและสามีของเรา จะไม่เป็
“เฟรญ่าเป็นเด็กที่น่ารักมากทีเดียว เพียงแต่นางมีความเจ็บปวดกับช่วงเวลาวัยเด็กมากเกินไป ทำให้ไม่ว่านางจะทำอะไรก็ล้วนแล้วแต่ยังคงมีความหวาดกลัว..และยังไม่กล้าตัดสินใจด้วยตัวเองเท่าไหร่นัก” องค์จักรพรรรดิคาเตอร์กล่าวออกมาในช่วงเวลาที่เราพักค้างแรมด้วยกัน ด้วยระยะทางจากเมืองหลวงเดินทางไปยังเดียลอร์ลนั้นต้องใช้เวลามาพอสมควร ทำให้ต้องมีการพักค้างแรมเป็นระยะๆ ต้องพักทั้งคนและม้าด้วย เพราะไม่มีใครรู้ว่าสิ่งที่เราจะพบเจอเมื่อถึงเดียลอร์ลนั้นมีอะไรที่คอยอยู่ “ครับ..แต่ในครั้งแรกที่กระหม่อมพบเจอท่านเฟรญ่า นางมีแววตาที่ไม่ได้แสดงอาการหวาดกลัวออกมาแม้แต่น้อย บนใบหน้างดงามนั้นฉายแววมั่นใจในแบบที่แค่มองเห็นก็สะดุดตาแบบที่เดินหนีออกไม่ได้เลย..กระหม่อมสามารถเรียกการพบเจอของกระหม่อมและเฟรญ่าว่ามันคือรักแรกพบเลยก็ว่าได้” คาร์เตอร์มองเปลวไฟที่กำลังลุกไหม้ขอนไม้ อากาศในยามค่ำคืนเย็นลงเล็กน้อย เขาคิดถึงจักรพรรดินีลิเวียมากทีเดียว แต่หน้าที่ก็ย่อมต้องเป็นหน้าที่ “บอกตามตรงว่าข้าไม่ได้คิดขัดขวางเรื่องความรักของเจ้าหรอกนะ เฟรญ่าเองก็ควรจะมีคนดูแลนางและคอยปกป้องรอยยิ้มของนาง ข้าไม่ได้หวงน้องสาวจนไร้สติเหมื
แครอลลีนยกมือขึ้นมาปิดปากเพื่อเก็บกักเสียงไอ นางมองดูหมู่บ้านที่กำลังถูกควันสีดำปกคลุม ใครจะอยู่ก็อยู่ไปเถอะแต่นางไม่คิดจะอยู่สถานที่เช่นนี้หรอก ในมือของแครอลลีนถือถุงเงินที่ขโมยมาจากพี่ชายเอาไว้ เธอจับมือของท่านแม่เอาไว้แน่นพร้อมกับเร่งฝีเท้าเพื่อที่จะวิ่งหนีออกไปจากที่นี่ท่านพี่แอชตันหายตัวออกจากบ้านหลายวันแล้ว เธอและท่านแม่เป็นห่วงท่านพี่มาก แต่ทว่าอาการเจ็บป่วยของชาวเมืองนั้นเริ่มร้ายแรงมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ เหมือนกับโรคระบาดที่ท่านแม่เคยเล่าให้ฟัง เราสองแม่ลูกตัดสินใจอยู่นานก่อนจะพากันหลบหนีออกมา“นี่เรา..ไม่ได้ทำผิดใช่ไหมแคลร์ แอชตันไปไหนก็ไม่รู้ บางทีพี่ชายของเจ้าอาจจะยังอยู่ที่เดียลอร์ลก็ได้”“ท่านแม่ เราทำถูกแล้วค่ะท่านไม่ต้องเป็นกังวลไป พี่อาจจะทิ้งเราแล้วหลบหนีไปก่อนหน้านั้นก็ได้ ไม่ว่าจะเรื่องไหนพี่ก็มักนึกถึงเราสองคนเป็นเรื่องสุดท้ายอยู่แล้วนี่ เงินพวกนี้ก็เหลือไม่ถึงครึ่งที่ขายบรรดาศักดิ์ไปด้วยซ้ำ มันคือเงินในจำนวนที่เราสองคนควรจะได้นี่คะ อย่ามัวพูดมากอยู่เลย เราทั้งสองคนควรจะรีบวิ่งให้เร็วมากกว่านี้อีกไม่ไกลจะถึงถนนแล้ว อาจจะมีรถม้าวิ่งผ่านมา เราเดินทางไปที่เมืองหลวงกันเถ
เฟรญ่าเดินทางไปที่วิหารศักดิ์สิทธิ์ เธอได้พบเจอกับคาดินันไมเลสที่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ชื่นชอบเธอเท่าไหร่นัก“สวัสดีครับเลดี้ทีเซียส”เฟรญ่าย่อตัวลงเล็กน้อย“ข้าต้องการพูดคุยกับท่านค่ะ แน่นอนว่าข้ามีเรื่องสงสัยมากมายที่กำลังพยายามหาคำตอบอยู่ และหวังอย่างยิ่งว่าท่านคาดินันจะช่วยเหลือ..”คาดินันวัยชราถอนหายใจเล็กน้อย“บอกตามตรงว่าข้าไม่ได้อยากพูดคุยกับเลดี้เลยครับ แต่เพราะว่าข้าคือคาดินันและหน้าที่ของข้าคือผู้รับใช้พระเจ้า..”เขาพ่นลมหายใจออกมาเสียงดัง“เช่นนั้นก็ตามข้ามาเลยครับ”เฟรญ่าคิดเอาไว้แล้วว่าเธอจะไม่ได้รับการต้อนรับที่ดีเท่าไหร่นัก แต่การต้อนรับเช่นนี้มันเกินไปหน่อย“ข้าคือทีเซียสค่ะ ข้าอยากให้คาดินันมองข้าใหม่ และปฏิบัติกับข้าด้วยความมีมารยาทมากกว่านี้ ข้ามาที่นี่เพราะคิดว่าท่านจะให้ความช่วยเหลือมาร์เซลได้ แต่การกระทำของท่านทำให้ข้าอยากจะเดินออกไปจากที่นี่แล้วไปยังหอคอยเวทมนตร์เพื่อร้องขอพวกนักเวท ที่นั่นน่าจะต้อนรับข้าได้ดีมากกว่าที่วิหารศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้..”คาดินันไมเลสกำมือแน่น เขาไม่ชอบสตรีผู้นี้เพราะว่านางไม่มีอะไรเลยที่เหมาะสมกับคนอย่างท่านมาร์เซลที่เชิดหน้าได้อยู่ก็เพร
มาร์เซลพึ่งรู้ว่าการนั่งเรือสำเภามันไม่ใช่เรื่องสนุกเลยแม้แต่นิดเดียว เขาออกเดินทางมายังเมืองทางใต้พร้อมกันกับเฟรญ่า นี่คือการดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ของเราก่อนที่เขาจะกลับไปทำงานในตำแหน่งดยุคอย่างเป็นทางการ เราทั้งคู่เคยพูดเอาไว้ว่าอยากจะล่องเรือมาเที่ยวที่เมืองทางใต้มาชมทะเลที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน และในยามนี้เราก็กำลังอยู่กลางทะเลบนเรือสำเภาที่ค่อนข้างจะเป็นพื้นที่ส่วนตัว เพราะว่าเขาเหมาเรือลำนี้เอาไว้ เพื่อมากับเฟรญ่าเพียงแค่สองคนเท่านั้นแต่เขาอาเจียนไปสิบรอบแล้วเห็นจะได้ เพราะเขาไม่เคยนั่งเรือมาก่อน“ออกมานั่งมองทะเลดูไหม เผื่ออาการของเจ้าจะดีขึ้น”อันที่จริงแค่ได้มองหน้าสวยๆ ของเธอก็ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นแบบมากๆ แล้ว เขาจับมือของเฟรญ่าเอาไว้ก่อนจะซบใบหน้าลงไปบนไหล่ของเธอ“รักนะครับ..รักที่สุดเลย”เฟรญ่าไม่รู้ว่าเพราะอายุที่เขาเด็กกว่ามันเกี่ยวข้องด้วยรึเปล่า แต่เขาทำให้เธอรู้สึกราวกับมีลูกสุนัขตัวใหญ่ที่กำลังออดอ้อนเธอตลอดเวลา มาร์เซลติดการสัมผัสมากๆ เขาจะต้องจับมือหรือไม่ก็กอดและหอมแก้มเธอตลอดเวลา และเธอเองก็ชื่นชอบการแสดงความรักเช่นนั้นมากทีเดียว เฟรญ่าจึงไม่เคยผลักไสหรือว่าดุเขาในเร
บอกตามตรงว่านี่คงจะเป็นงานแต่งที่เจ้าสาวสบายมากที่สุดในจักรวรรดิแห่งนี้ เฟรญ่าแทบไม่ต้องจัดเตรียมอะไรเลยเพราะว่าพี่เจนนีสและลิเวียจัดเตรียมเอาไว้ให้อย่างเรียบร้อยหมดทุกอย่างแล้ว เธอเพียงสวมชุดเจ้าสาวที่แสนงดงามและเข้าร่วมงานแต่งเท่านั้นเองเฟรญ่าหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อมาร์เซลพาเธอออกมาจากงานแต่งที่แสนยิ่งใหญ่ เขาพาเธอมาที่คฤหาสน์ฮอร์ตันที่เราพึ่งได้รับมาเป็นของขวัญแต่งงาน และในห้องนอนก็เต็มไปด้วยกลิ่นหอมของดอกกุหลาบ มันทั้งหอมหวานและเย้ายวนมากทีเดียว“เจ้ากำลังข้ามขั้นพิธีแต่งงานอยู่นะมาร์เซล เราไม่ควรด่วนชิงเข้าหอก่อนที่งานเลี้ยงจะเริ่ม..”เขาส่งยิ้มให้เธอในขณะที่กำลังถอดกระดุมเสื้อของตัวเองออกมา เขาอดทนมานานมากพอสมควร อดทนแล้วอดทนอีกเพราะว่าเฟรญ่าพึ่งจะฟื้นขึ้นมาจากอาการบาดเจ็บ เพราะอย่างนั้นเขาจึงไม่ได้แตะต้องเธอเลย แต่วันนี้เขาอดทนไม่ไหวอีกแล้ว“ไม่เห็นจะต้องสนใจแขกที่เข้ามาร่วมงานเลยนี่ นี่คืองานแต่งของเราและข้าอยากอยู่กับท่าน..เข้าหอเร็วหน่อยคงไม่เป็นไรหรอกครับ หรือว่าพี่กังวล"เฟรญ่าดึงผ้าคลุมหน้าของเธอออกไป เธอไม่ได้ยืนมองมาร์เซลถอดชุดอยู่เฉยๆ แต่เธอเองก็ถอดชุดเดรสแต่งงานออกเช่
บัตรเชิญของงานแต่งเลดี้ทีเซียส วีรสตรีที่ร่วมการกอบกู้เดียลอร์ลนั้นถูกส่งให้แก่ขุนนางมากมายในจักรวรรดิ บอกตามตรงว่าในตอนที่เฟรญ่าเห็นชื่อและรูปวาดของตัวเองเด่นหราอยู่บนหน้าหนังสือพิมพ์เธอค่อนข้างตกใจมากพอสมควร เพราะเธอไม่คิดว่าเรื่องที่มาร์เซลกล่าวออกมานั้นมันจะเป็นเรื่องจริง“ให้ตายเถอะ ข้ารับมือกับคำว่าวีรสตรีอะไรพวกนั้นไม่ไหวจริงๆ”ลิเวียหัวเราะออกมา“เจ้าคู่ควรกับมันนะเฟร เรื่องความรักที่แสนอบอุ่นนี้ก็ด้วย มาร์เซลคือบุรุษที่ดีมากทีเดียว”ลิเวียกล่าวพร้อมกับสวมสร้อยคอที่มีสีเดียวกับดวงตาของเฟรญ่าลงไปบนลำคอยาวระหง เพื่อนเพียงคนเดียวของเธอแต่งงานแล้ว เฟรญ่าคือสตรีที่งดงามมากๆ ในสายตาของลิเวีย เราพบเจอกันเพราะพี่เจนนีสมาทำงานที่ทีเซียสและพี่สาวก็ร้องขอให้เธอมาเป็นเพื่อนกับเฟรญ่า เพราะสงสารที่เฟรญ่าอยู่คนเดียวในคฤหาสน์ที่แสนกว้างใหญ่ และนั่นทำให้ลิเวียได้มาพบเจอกับคาร์เตอร์ จนได้แต่งงานและเป็นจักรพรรดินีทุกวันนี้เพราะความสามารถของเฟรญ่าเลยเธอถึงได้มีความสุขมากๆ ในช่วงเวลาที่เฟรญ่ากำลังจะได้แต่งงาน เพราะมันเหมือนกับว่าครั้งนี้เป็นเธอแล้วนะที่ได้ส่งเฟรญ่าไปให้ถึงฝั่งฝันกับความรักที่ดีงา
มาทอสพาเฟรญ่าและเจนนีสเดินทางกลับมาที่เมืองหลวงพร้อมกันในอีกสองสัปดาห์ต่อมา คาร์เตอร์ตั้งขบวนเพื่อรอรับการกลับมาของเฟรญ่า ทันทีที่เธอเดินลงมาจากรถม้า คาร์เตอร์ก็พุ่งตัวเข้าไปกอดเฟรญ่าเอาไว้มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นมา และหนึ่งในเรื่องราวเหล่านั้นมันกำลังสั่นคลอนพี่ชายที่แสนกล้าหาญของเธออย่างหนักเลยสินะเฟรญ่าพบเจอคาร์เตอร์ในครั้งแรกตอนที่เธออายุสิบสี่ปี เขาคือองค์รัชทายาท ตามสายเลือดแล้วท่านพี่มาทอสคือน้องชายขององค์จักรพรรดิผู้เป็นพ่อของคาร์เตอร์ เราทั้งคู่จึงถูกเลี้ยงดูมาด้วยกันและสนิทสนมกันมากทีเดียว เพราะแผลในใจที่เคยได้รับจากแม่เลี้ยงทำให้เฟรญ่านั้นหวาดกลัวผู้คนเป็นอย่างมาก อีกทั้งท่านพี่มาทอสก็งานยุ่งมากเพราะในช่วงเวลานั้นท่านพี่มาทอสรับตำแหน่งดยุคมาจากท่านพ่อแล้ว ทำให้เขาไม่มีเวลามาคอยดูแลน้องสาวต่างแม่สักเท่าไหร่นัก ผู้ที่ดูแลและสนิทสนมกับเฟรญ่ามากที่สุดคือคาร์เตอร์ ลูกพี่ลูกน้องของเธอ เขาพยายามเข้าหาเธอในทุกวัน ชวนเธอออกไปข้างนอก และเป็นผู้ที่พาเธอก้าวเดินไปยังงานเลี้ยงในแวดวงสังคม“ฟังนะเฟร จะไม่มีใครหน้าไหนกล้าดูถูกเจ้าทั้งนั้น พี่จะปกป้องเจ้าเองเพราะอย่างนั้นไม่ต้องกังวลหรื
เมื่อเฟรญ่าทำท่าไม่เชื่อ มาร์เซลก็หัวเราะออกมาเสียงดัง เขาจับมือเธอพร้อมกับพาเธอวิ่งไปยังงานเทศกาลของเดียลอร์ลที่ในยามนี้มีชาวบ้านมากมายกำลังเต้นรำอยู่ตามท้องถนน บนใบหน้าหล่อเหลานั้นมีรอยยิ้มฉายชัดอยู่ มันเป็นรอยยิ้มที่ทำให้ดวงตาของเฟรญ่านั้นพร่ามัวไปในทันทีราวกับว่ารอยยิ้มของเขามันแฝงไปด้วยเวทมนตร์แค่เขายิ้มก็ทำให้หัวใจของเธออ่อนลงยวบยาบ ฝ่ามือของเราเกาะกุมกันไว้โดยไร้คำพูด มาร์เซลหยุดเดินพร้อมกับหมุนตัวมาหาเธอ เขายกมือขึ้นมาจับเอวของเธอเอาไว้ ก่อนจะยกขึ้นเล็กน้อยแล้วพาเธอหมุนตัวตามจังหวะของเครื่องดนตรีพื้นเมือง เฟรญ่าหยักยิ้มขึ้นมาในทันที หัวใจของเธอมันเต้นผิดจังหวะในทุกครั้งที่อยู่กับเขา มันคือความรักที่ไม่รู้เหมือนกันว่าจะอธิบายเช่นไร แต่ในยามที่เธอมองเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา มันทำให้เธอมีความสุขได้โดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย บางทีความหวังของเธอก็เป็นเรื่องง่ายๆอย่างเช่นการคาดหวังให้มาร์เซลมีความสุขตลอดไป..“เวลาที่ท่านยิ้มออกมามันสวยมากเลยนะครับ..”ในวันที่พบเจอกันครั้งแรก เขาก็เชื่อมั่นในพรหมลิขิตในทันทีว่าคนรักของเขาจะต้องเป็นเธอเท่านั้น บางสิ่งในอกค่อยๆ แผ่ซ่านออกมา หัวใจที่เย็นย
งานเทศกาลในครั้งนี้จัดขึ้นมาในฤดูที่กำลังปลูกพืชผล เมืองเดียลอร์ลนั้นได้รับผลกระทบเป็นวงกว้างเพราะอย่างนั้น บารอนดีแลนจึงหารือกับชาวบ้านจัดงานนี้ขึ้นมา เพื่อให้บรรยากาศในเดียลอร์ลนั้นดีขึ้นมา ก่อนหน้านั้นกับบางคนที่เผชิญหน้ากับความสูญเสีย พวกเขาไม่อยากแม้แต่จะหายใจต่อไปดีแลนรู้สึกผิดกับชาวเมืองมากทีเดียว กับการตัดสินใจที่ผิดพลาดของเขา เพราะอย่างนั้นเขาจึงพยายามที่จะฟื้นฟูเดียลอร์ลขึ้นมาใหม่เพื่อให้ที่นี่กลับมามีบรรยากาศที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขเช่นเดิมเฟรญ่าเดินไปบนถนนหนทางที่เต็มไปด้วยนักเดินทาง ไม่ว่าจะถามเธอสักกี่ครั้ง เฟรญ่าก็ยังคงตอบได้ในทันทีว่าเดียลอร์ลคือเมืองที่เธอชอบมากที่สุด ความธรรมดาของที่แสนพิเศษ“ไม่เจอกันนานเลยนะเฟร..”ดีแลนเดินเข้ามาทักทายเฟรญ่าด้วยใบหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม“อื้ม ที่นี่เหมือนเดิมเลยนะคะ เหมือนเดียลอร์ลที่ข้ารู้จัก”เฟรญ่าจุดยิ้มที่แสนงดงามบนใบหน้าของเธอ เธอคิดว่าดีแลนเองก็คงจะได้รับผลกระทบทางจิตใจเช่นเดียวกัน“ขาของเจ้า..มันหายดีเป็นปกติแล้วสินะ”เฟรญ่าก้มมองเท้าของตัวเอง เธอพ่นลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ถึงแม้จะรู้สึกแปลกๆ อยู่บ้างในยามที่ไ
การรอคอยสำหรับมาร์เซลนั้นถือเป็นความทรมานมากเกินกว่าที่เขาจะคาดคะเนเอาไว้ซะอีก เขาไม่เคยรู้จักความรักมาก่อนเลย ยิ่งไม่เคยรักใครและทุ่มเทกายใจให้ขนาดนี้ เราทั้งคู่ตั้งใจว่าจะแต่งงานกันหลังจากนี้ ตั้งใจอย่างแรงกล้าว่าเฟรญ่าจะเป็นเจ้าสาว ส่วนเขาจะเป็นเจ้าบ่าว ในงานแต่งที่ยิ่งใหญ่มากที่สุดในจักรวรรดิ เขาและเธอจะสร้างครอบครัวเล็กๆ ด้วยกัน พร้อมกับนั้นลูกของเขาคงจะน่ารักมากทีเดียวเพราะว่าเฟรญ่าชอบเด็ก ทว่าในยามนี้ เธอก็ยังไม่ฟื้นขึ้นมาเลย..ในค่ำคืนที่ดวงจันทร์ลอยเด่นบนนภา มาร์เซลจุมพิตลงไปบนหลังฝ่ามือของเฟรญ่า ก่อนที่เขาจะหลับตาลงเพื่อเฝ้าอธิษฐานจากใจจริง“ตื่นขึ้นมาเถอะมา กลับมาเพื่อให้ข้าได้บอกรักเจ้าจะได้รึเปล่า ได้โปรดเถอะ..กลับมาหาข้าอีกครั้ง..”น้ำเสียงของเขามันเต็มไปด้วยความสั่นเครือ หยาดน้ำตาเปียกชุ่มอยู่บนมือของเฟรญ่า ท่ามกลางห้องที่เงียบงัน มีเพียงเสียงสะอื้นของมาร์เซลเท่านั้นที่ดังออกมา“...มาร์เซล อย่าร้อง”ดวงตาของเขาเบิกกว้างออกมาในทันทีที่ได้ยินเสียงที่แสนคิดถึง และเมื่อมาร์เซลเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งเขาก็พบเจอกับดวงตาสีครามที่กำลังจ้องมองใบหน้าของเขาอยู่ บนดวงหน้างามล้ำยิ่งกว่
เฟรญ่านั่งกอดเข่าอยู่บนเตียงตามลำพัง แววตาของเธอสะท้อนความอ้างว้างและโดดเดี่ยวอย่างเห็นได้ชัด ในห้องนี้ไม่มีใครเลยนอกจากเธอเธออยู่ที่นี่มานานแค่ไหนแล้วก็ไม่รู้ รู้เพียงแต่เธอพยายามที่จะเดินออกไปจากห้องนี้มากแค่ไหนก็ไม่สามารถออกไปได้ เป็นห้องโล่งๆ ที่ไม่มีแม้กระทั่งหน้าต่างสักบาน เธอนอนหลับไปและเมื่อตื่นขึ้นมาก็จะพบเจอกับอาหารทั้งสามมื้อที่วางเอาไว้บนโต๊ะ เธอไม่รู้ว่าตัวเองมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน รู้เพียงแต่ว่าเธอจะต้องหาทางออกไปจากที่นี่ให้ได้ ไม่อย่างนั้นมาร์เซลจะต้องกำลังเป็นห่วงเธออย่างแน่นอน ไหนยังจะท่านพี่ของเธออีกจะมามัวอยู่ที่นี่ตลอดไปไม่ได้เพราะอย่างนั้นเฟรญ่าก็เลยคิดแผนการขึ้นมา การที่มีอาหารมาวางเอาไว้ในช่วงที่เธอหลับ นั่นหมายความว่าจะต้องมีคนเดินเข้ามาที่นี่และเธอจะต้องแกล้งหลับ เพื่อที่จะดูว่าคนที่ขังเธอเอาไว้ที่นี่คือใครกันแน่เมื่อคิดได้ดังนั้นเฟรญ่าก็ล้มตัวนอนลงในทันที เธอหลับตาพร้อมกับเผยอปากออกมาเล็กน้อยเพื่อให้ดูสมจริง แล้วก็เป็นอย่างที่คิดเพราะเมื่อเธอล้มตัวนอน เสียงเปิดประตูก็ดังขึ้นมา พร้อมกับฝีเท้าที่ก้าวเดินเข้ามาอย่างช้าๆเฟรญ่าค่อยๆ ปรือตามองอย่างช้าๆ เธอร
คาร์เตอร์มองเฟรญ่าที่กำลังนอนหลับอยู่ เขาอยู่ในสภาพที่บาดเจ็บสาหัสมากพอสมควร ปกติแล้วเรื่องการต่อสู้หรือการออกรบ เขาล้วนแล้วแต่ทำมันได้ดีมากทีเดียวแต่เพราะการสูดดมไอขุ่นมัวเหล่านั้นทำให้เขาหมดแรง ซึ่งมันทรมานมากที่เขารับรู้เรื่องราวต่างๆ มากกว่าแต่ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้เลยแม้แต่นิดเดียวเขามองเห็นว่าเฟรญ่า นางแตกสลายมากแค่ไหนกับการที่นางลงมือจัดการกับต้นตอของเรื่องนี้ เฟรญ่าในสายตาของคาร์เตอร์เหมือนคนที่เผชิญหน้ากับความเจ็บปวดเจียนตาย ทั้งๆ ที่นางควรจะดีใจเมื่อแอชตันตายไป แต่นางก็ยังร้องไห้ออกมาไม่หยุด ในช่วงเวลาที่นางลงมือทำร้ายแอชตันเฟรญ่าก็ยังร้องไห้ออกมามันเป็นเพราะว่าเฟรญ่า น้องสาวของเขานั้นจิตใจดีมากเกินไป นางไม่เคยทำร้ายคนอื่นมาก่อนเลย แล้วไอ้เวรนั่น..ไอ้แอชตันจะต้องทำร้ายเฟรญ่าหนักหนาสาหัสมากแค่ไหน คนที่ไม่เคยทำร้ายคนอื่นแม้แต่ปลายเล็บอย่างเฟรญ่า ถึงได้ลุกขึ้นมาเพื่อจัดการหมอนั่นด้วยความเจ็บปวดมากมายขนาดนั้น“เรื่องนี้ไม่มีใครผิดหรอกพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทอย่าได้วิตกกังวลมากเกินไปเลย”มาร์เซลปลอบใจองค์จักรพรรดิที่กำลังโมโหตัวเองอยู่ เขาพบเจอสภาพของค่ายทหารที่อาบไปด้วยเลือด พร้อมก