แอชตันยืนอยู่ที่ด้านหน้าบ้านของเฟรญ่า เมื่อวานเขาเห็นเธออยู่ที่นี่ ถึงแม้จะอยู่กับ..เด็กหนุ่มหน้าละอ่อนนั่นก็ตามที
เท่าที่ถามเรื่องราวของเฟรญ่ามาจากบารอนดีแลน เธอคือเจ้าของโรงแรมแห่งหนึ่งที่นี่ และอยู่ที่เดียลอร์ลมาสองปีแล้ว แสดงว่าหลังจากที่ดยุคทีเซียสส่งจดหมายมาถอนหมั้น เฟรญ่าก็ออกเดินทางเลยอย่างนั้นสินะ เขาคิดว่าเธออยู่ที่เมืองหลวงแล้วหลีกเลี่ยงการพบเจอเขาซะอีก ที่ไหนได้เธอหลบหนีเขาออกมาจากเมืองหลวง แล้วมามีคนรักใหม่เป็นเด็กหนุ่มท่าทางไม่รู้เรื่องผู้นั้น จะโง่ก็ให้มันมีขอบเขตหน่อยสิ! นี่เธอทิ้งเขา ทิ้งแกรนด์ ดยุคไปหาเด็กหนุ่มที่เป็นทหารรับจ้างเนี่ยนะ เขาไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ แอชตันเดินวนไปมาที่ด้านหน้าบ้านของเฟรญ่า ทว่าในระหว่างนั้นก็มีพนักงานที่โรงแรมเดินไปไขกุญแจที่บ้านหลังนั้น “อ่า..เฟรญ่านางอยู่ที่ไหนอย่างนั้นหรือ” ดีน่าก้มหน้าลงเล็กน้อย เมื่อวานเธออยู่ร่วมงานเทศกาลเก็บเกี่ยว แล้วท่านเจ้าเมืองก็แนะนำแกรนด์ดยุคที่มาช่วยในการดูแลเมืองเป็นการชั่วคราว ทำให้เธอรู้จักใบหน้าของชายผู้นี้ “เมื่อคืนนายหญิงนอนค้างที่โรงแรมค่ะ ช่วงนี้งานที่โรงแรมเยอะมากพอสมควร นายหญิงคงจะไม่ได้กลับบ้านอีกพักใหญ่ๆ เลย” แอชตันพยักหน้าเบาๆ “เข้าใจแล้ว เดี๋ยวข้าจะไปหานางที่โรงแรมเอง” ดีน่าไม่ได้กล่าวคำใด เธอเดินเข้าไปในนั้นก่อนจะนำเสื้อผ้าชุดใหม่ของนายหญิงออกมาสองสามชุด ว่าไปแล้ว แกรนด์ดยุคต้องการพบเจอนายหญิงของเธอทำไมกันนะ ดีน่ากลับมาที่โรงแรมหลังจากนั้นก็นำชุดขึ้นไปให้นายหญิงที่ชั้นสอง และเมื่อเธอเปิดประตูเข้าไปก็พบกับห้องนอนที่เหมือนกับมีการต่อสู้เกิดขึ้น มาร์เซลส่งเหรียญทองให้กับดีน่า “ลำบากเจ้าแล้ว ข้าเปลี่ยนผ้าปูเตียงไปแล้ว เพราะอย่างนั้นแค่ทำความสะอาดบนพื้นและในห้องอาบน้ำก็พอ” ดีน่าอ้าปากค้างในทันที หนุ่มสุดหล่อผู้นี้คือใครกัน? แต่ถึงแม้จะตกใจจนพูดไม่ออก เธอก็ยื่นมือไปรับเหรียญทองที่ชายเบื้องหน้าส่งให้พร้อมกับกล่าวขอบคุณ มาร์เซลยกแก้วน้ำชาขึ้นมาดื่ม เขาปรายตามองออกไปที่ด้านนอกหน้าต่าง งานเทศกาลเก็บเกี่ยวที่แสนอบอุ่น และเมืองเล็กๆ ที่ผู้คนยิ้มแย้มกันอย่างมีความสุข..เมืองที่ชื่อว่าเดียลอร์ล “....” เขาต้องทำลายที่นี่ ไม่อย่างนั้นสิ่งที่เขาอยากได้ จะไม่มีวันได้ครอบครองมันอีก ทว่าเฟรญ่านางคงโกรธมากหากว่าเขาทำลายที่นี่ มาร์เซลเคาะโต๊ะอย่างใช้ความคิด เขาพ่นลายหายใจออกมายาวเหยียด ทว่าหลังจากที่เขาเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง สาวใช้ผู้นั้นก็ทำความสะอาดห้องนี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว นี่เขาจมอยู่กับความคิดนานมากขนาดนั้นเลยงั้นหรือ “ข้าไม่รบกวนแล้วนะคะ อาหารเช้าข้าจะวางเอาไว้ที่ด้านหน้าห้อง แต่ปกตินายหญิงไม่ค่อยทานมื้อเช้าสักเท่าไหร่นัก เดี๋ยวข้าจะขึ้นมาอีกครั้งในตอนบ่าย..” ไม่ค่อยทานมื้อเช้าอย่างนั้นหรือ แต่ในยามที่เขาทำให้ทาน เธอก็ยินยอมกินเข้าไปแต่โดยดีนี่นา.. มาร์เซลยิ้มออกมาด้วยความพึงพอใจ เขาวางแก้วน้ำชาที่ถือเอาไว้ลงบนโต๊ะ ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องนอน เธอนอนอยู่บนนั้นด้วยท่าทีหมดแรง ก็แน่ล่ะ เพราะเราทำกันจนถึงเช้าเลยนี่ และเขาที่ไม่ได้นอนมาสองวันแล้ว ในยามนี้รู้สึกง่วงนอนมากเหลือเกิน มาร์เซลขยับเข้าไปใกล้ๆ เฟรญ่า เขารวบเธอเข้ามาในอ้อมแขนก่อนจะหลับตาลงอย่างช้าๆ .. เฟรญ่าปรือตาขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อเธอเหลือบมองนาฬิกาก็พบว่านี่เป็นเวลาสามโมงเย็นแล้ว.. “....” และท้องของเธอกำลังส่งเสียงน่าอายออกมา เธอกำลังหิวอย่างมาก ทว่าสิ่งที่เป็นปัญหาในยามนี้คืออ้อมแขนของมาร์เซลที่กำลังโอบกอดเธอเอาไว้.. นี่เป็นครั้งแรกเลยรึเปล่าที่เธอมีโอกาสได้มองเห็นใบหน้าของเขาในยามหลับ ที่ผ่านมามีแต่เขาตื่นก่อนตลอดเลย รอยยิ้มฉายชัดบนใบหน้าของเธอ ถึงแม้ว่าเมื่อนึกถึงเรื่องเมื่อคืนมันจะทำให้ใบหน้าเธอเห่อร้อนออกมาก็เถอะ เฟรญ่ายกมือขึ้นมาพัดไปมาเพื่อปัดเรื่องลามกที่เกิดขึ้นมาในหัว เขาอ่อนโยน..และมีความรุนแรงในแบบที่คาดไม่ถึงเหมือนกัน แต่เธอชอบนะ ทั้งความอ่อนโยนและรุนแรงที่เขาส่งมอบให้.. เฟรญ่าลุกขึ้นจากเตียงอย่างเบาที่สุดเพื่อไม่ให้ไปรบกวนการนอนของมาร์เซล เธอเดินเข้าไปในห้องอาบน้ำ น้ำอุ่นถูกเตรียมเอาไว้พร้อมกับเสื้อผ้าชุดใหม่ และในทันทีที่เธอนั่งลงในอ่างอาบน้ำ ความรู้สึกเจ็บแสบก็ถาโถมเข้ามาจนเฟรญ่านิ่วหน้า เธอหลับตาลงช้าๆ และเมื่อมองร่างกายที่เต็มไปด้วยรอยกุหลาบที่มาร์เซลทิ้งเอาไว้ เฟรญ่าก็กรีดร้องออกมาในใจ .............. “วะ..ว่ายังไงนะคะ ท่านต้องการคฤหาสน์และแกรนด์ดัชชีของเราอย่างนั้นหรือ?” ลาน่านึกว่าตัวเองหูเพี้ยนไป แต่เมื่อเธอได้ฟังคำยืนยันของเคาน์ผู้หนึ่งที่เดินทางเข้ามาในคฤหาสน์จามิน ดวงตาของลาน่าก็เบิกกว้างขึ้นมา คฤหาสน์หลังใหญ่ของเธอนั่นมันมีดีแค่หลังใหญ่เท่านั้น แต่ภายในกลวงโบ๋จนไม่หลงเหลือเงินสักแดงเดียว ลูกชายที่พยายามทำทุกอย่างเพื่อให้จามินกลับมามีชื่อเสียงอีกครั้ง แต่ลาน่าก็รู้ว่าแอชตันเองก็ลำบาก ทั้งที่ในยามนี้แอชตันควรจะได้แต่งงานกับนังเด็กตระกูลทีเซียสไปแล้ว แต่ก็ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้นังเด็กนั่นถอนหมั้นก็ไม่รู้ ไม่อย่างนั้นป่านนี้เธอคงไม่ต้องมานั่งลังเลกับยอดเงินที่ท่านเคาน์เสนอมาให้หรอก “ข้าให้เวลาท่านหนึ่งสัปดาห์ หากว่าท่านไม่ตกลงข้าก็คงจะต้องไปหาคฤหาสน์และแกรนด์ดัชชีการปกครองใหม่” “ใจเย็นๆ สิคะ ท่านก็รู้ว่าลูกชายของข้าในยามนี้ไม่ได้อยู่ที่นี่ ข้าจะตัดสินใจด้วยตัวเองก็ไม่ได้ เพราะว่านี่เป็นเรื่องใหญ่มาก” ฝ่ายตรงข้ามเงียบไปเล็กน้อย “เช่นนั้นข้าจะเพิ่มเวลาให้ท่านเป็นสิบวัน..ข้าจะต้องได้คำตอบนะครับ และข้าค่อนข้างคาดหวังกับคำตอบนั้นมากทีเดียว” “นะ..แน่นอนค่ะท่านเคาน์” ลาน่ายกมือขึ้นมานวดขมับเบาๆ เมื่อท่านเคาน์ผู้นั้นเดินออกไปจากห้องนี้ เป็นจังหวะเดียวกันกับที่แครอลรีนเดินเข้ามา “ท่านแม่ ข้าแอบฟังอยู่ข้างนอก ข้าคิดว่าท่านจะตกลงซะอีก” ลาน่ายกมือขึ้นมาตีลูกสาวเบาๆ “เงินขนาดนั้นใครจะไม่อยากได้กันแคลร์ เพียงแต่การซื้อขายยศนั้นมันจะทำให้เราไม่ได้เป็นชนชั้นสูงแล้วนะ เจ้าและแม่จะเป็นแค่สาวชาวบ้านธรรมดาๆ เท่านั้น เส้นทางการแต่งงานของเจ้าก็จะยากขึ้นไปอีก” แครอลรีนถอนหายใจด้วยความเบื่อหน่าย “แล้วชีวิตที่เรามีอยู่นี้มันมีความสุขแล้วเหรอท่านแม่ ในยามที่เราไปออกงานข้าจะต้องสวมขุดเดรสชุดเก่าๆ เลดี้พวกนั้นไม่มีใครมาพูดคุยอะไรกับข้าเลยเพราะว่าอะไรกันล่ะท่านแม่ เพราะว่าจามินของเรามันจนไม่ใช่รึไง ท่านจะห่วงยศศักดิ์พวกนั้นทำไมกัน เราจะต้องเอาเงินมาสิท่านแม่..เพราะหากเรามีเงิน ชีวิตของเราก็จะดีขึ้นมาเอง”เหมือนหยาดฝนชุ่มฉ่ำตกลงมากระทบหัวใจที่แห้งแล้ง เมื่อมาร์เซลลืมตาขึ้นมา สิ่งที่เขามองเห็นคือใบหน้าที่แสนตั้งอกตั้งใจในการทำงานของเฟรญ่าเสียงของปากกาขนนกที่กระทบลงไปบนกระดาษทำให้เขารู้สึกเพลิดเพลินกับมันราวกับว่านั่นคือเพลงกล่อมนอน กลิ่นหอมฟุ้งกระจายออกมาจากช่อดอกไม้ที่ประดับเอาไว้ในแจกัน และเมื่อเขาเบนสายตาไปมองก็พบว่าดอกไม้ในแจกันพวกนั้นมันค่อนข้างจะคุ้นตามากทีเดียว มันคือดอกไม้ที่บารอนดีแลนนำมามอบให้เฟรญ่าเมื่อวานนี้ เพียงแค่คิดถึงตรงนั้นบรรยากาศผ่อนคลายรอบๆ ตัวของมาร์เซลก็พลันตึงเครียดขึ้นมาในทันทีเฟรญ่าเงยหน้าขึ้นมาเมื่อเธอได้ยินเสียงฝีเท้า และก็เป็นอย่างที่คิด มาร์เซลตื่นแล้วและเขากำลังจะลุกออกจากเตียง“อรุณสวัสดิ์ครับ..ดูเหมือนว่าข้าจะบอกช้าไปหน่อย หรือจะต้องพูดว่าสายันต์สวัสดิ์แทนดี”เพราะในยามนี้เป็นเวลาห้าโมงเย็นแล้ว ที่ด้านล่างงานเทศกาลยังคงครึกครื้นเหมือนเดิม“หิวไหมคะ ขออภัยด้วยที่ข้าทำอาหารไม่เป็น แต่ดีน่าพึ่งจะยกมื้อเย็นมาให้เมื่อครู่นี้เอง”มาร์เซลจุมพิตลงไปบนหน้าผากของเธอเบาๆ“ทานด้วยกันไหมครับ”เฟรญ่าส่งยิ้มให้เขา“ข้าก็ยังไม่ได้ทานเหมือนกันค่ะ ได้นั่งทานมื้อเย็นพร้อ
กล้ามเนื้อบนใบหน้าของแอชตันเกร็งขึ้นมาเล็กน้อย เขาหลับตาลงเพื่อหลบหนีบรรยากาศที่แสนอึดอัดนี้“..เฟร ทำไมเจ้าถึงคิดว่าข้าจะทนไม่ได้ล่ะ เจ้ารู้หรือไม่ว่าในยามนี้ข้ายังไม่ได้ส่งหนังสือถอนหมั้นให้แก่ดยุคทีเซียสเลย ถึงแม้ว่าเขาจะยึดสิทธิ์ในการถือครองเหมืองเพชรของข้าไป แต่ข้าก็ยินยอมเพื่อให้สัญญาหมั้นหมายของเรามันยังอยู่ ถึงแม้ว่าเจ้าจะยังไม่ได้เขียนชื่อลงไปก็ตาม ข้ามาที่นี่เพราะจามินลำบากมาก ประชาชนที่นั่นไม่มีเงิน และข้ามาที่นี่เพื่อหาเงินกลับไปฟื้นฟูแกรนด์ดัชชีของข้า ทั้งๆ ที่หากข้าเขียนชื่อตัวเองลงไปบนหนังสือถอนหมั้นข้าก็จะได้เงินปันผลจากเหมืองเพชร ถึงแม้ว่ามันจะไม่มากมายแต่มันก็เพียงพอต่อประชาชนทุกคนของข้า เฟร..ข้าเสียอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่เจ้า”คำหวานที่อาบเคลือบด้วยยาพิษฤทธิ์ร้อนแรง แค่เพียงเธอยื่นมือไปสัมผัสทั่วทั้งร่างกายของเธอก็จะทรมานจากพิษที่แสนร้ายแรงนั้นจนตาย“แอชตัน เจ้ากับข้ามันจบไปแล้ว และข้ามีคนรักใหม่เรียบร้อยแล้ว เรื่องที่เจ้ากำลังทำมันไร้สาระ ข้าไม่สนใจชีวิตของประชาชนในแกรนด์ดัชชีของเจ้าหรอก ไม่ต้องหยิบยกเรื่องนั้นขึ้นมาพูดคุย ในตอนนี้เอาเป็นว่าข้าไม่คิดจะกลับไปคบหากับท่าน.
หลังสิ้นสุดงานเทศกาลเก็บเกี่ยวแล้วอากาศก็เย็นลงอย่างเห็นได้ชัด เฟรญ่าเหม่อมองออกไปด้านนอกหน้าต่าง เธอกระชับผ้าคลุมไหล่เอาไว้เพราะว่าอากาศในค่อนข้างหนาวเหน็บมากพอสมควร เธอหลับตาลงพร้อมกับถอนหายใจเฮือกใหม่ เพราะทหารมากมายของจามินกำลังถอนกำลังกลับไปยังแกรนด์ดัชชี และตัวของแอชตันเองก็กำลังเดินทางกลับไปที่นั่นเธอจะไม่ต้องพบเจอเขาที่นี่อีกแล้ว มือที่กระชับผ้าคลุมไหล่พลันกำแน่นมากกว่าเดิมด้วยความโกรธเคือง..แต่เธอจะไม่ยอมให้เขาได้อยู่อย่างสุขสบายอีกแล้วล่ะ เธอแค้นเคืองและเกลียดชังจามินแต่ประชาชนทุกคนของที่นั่นไม่ได้เกี่ยวข้องด้วยเพราะอย่างนั้นเธอจะต้องกันทุกคนออก..ให้การแก้แค้นในครั้งนี้มีผลกับแค่แอชตันและครอบครัวของเขาก็พอ“นายหญิงครับ เรื่องที่ท่านให้ข้าไปจัดการ เราได้รับการตอบตกลงว่าจะขายคฤหาสน์แล้วครับ”ริมฝีปากบางแย้มยิ้มออกมาด้วยความพึงพอใจ“เช่นนั้นก็ไปจัดเตรียมเงินให้พร้อมเถิด บอกให้พวกเขาขนของออกไปให้หมดภายในหนึ่งสัปดาห์ แล้วก็นำจดหมายที่วางอยู่บนโต๊ะไปส่งให้พี่ชายของข้าด้วย”“ครับนายหญิง..”เบนก้มหน้าลงพร้อมกับนำจดหมายที่วางเอาไว้ถือออกไปด้วย เธอพบเบนโดยบังเอิญเมื่อฤดูหนาวปีแล้ว
รถม้าเคลื่อนตัวอย่างช้าๆ เพื่อเดินทางออกจากเมืองเล็กๆ ในหุบเขาอย่างเดียลอร์ล กระเป๋าของเฟรญ่ามันมีขนาดเล็กมากกว่าที่มาร์เซลคิดเอาไว้เยอะมากพอสมควรเลย เขาคิดว่าสัมภาระของเธอจะมากมายกว่านี้ซะอีก แต่ปรากฏว่ามีกระเป๋าเสื้อผ้าขนาดเล็กหนึ่งใบและกระเป๋าใส่เครื่องประดับอีกหนึ่งใบ..บนใบหน้างามแย้มยิ้มออกมาด้วยความยินดี เธอดีใจที่ได้กลับมาทำในสิ่งที่อยากทำอีกครั้ง นั่นคือการเดินทางท่องเที่ยวไปเรื่อยๆ“บ้านของเจ้าอยู่ไกลจากเมืองหลวงมากรึเปล่ามาร์เซล”เขายกมือขึ้นมาลูบผมของเธอเบาๆ ก่อนจะจุมพิตลงไปบนหน้าผากขาวเนียนด้วยความรักใคร่“ไม่ไกลจากเมืองหลวงมากเท่าไหร่ครับ หลังจากที่ไปบ้านของข้าแล้ว เราเดินทางไปทางใต้ดีหรือไม่ ข้ายังไม่เคยพบเห็นทะเลด้วยสายตาตัวเองมาก่อนเลย..”เธอจับมือของเขาแนบแน่นยิ่งกว่าครั้งไหนๆ หัวใจของเฟรญ่าสั่นไหวอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน.. ความอบอุ่นกระทบเข้ามายังก้นบึ้งของหัวใจ คงจะมีเพียงคนผู้นี้คนเดียวเท่านั้นที่เธออยากจะฝากชีวิตน้อยๆ ของเธอเอาไว้กับเขา“ป่านนี้น้ำในทะเลคงจะเป็นน้ำแข็งหมดแล้ว ข้าคิดว่าหากบ้านของเจ้าไม่ไกลจากเมืองหลวงมากนัก เช่นนั้นไปที่บ้านของข้าด้วยดีหรือไม่ พ
เธอดีใจที่เขาบอกว่าอยากจะสร้างครอบครัวกับเธอ ส่วนเรื่องการแต่งงานเฟรญ่าไม่คิดว่าสิ่งนั้นจะเป็นเรื่องที่จำเป็น..“ข้าไม่เคยคิดเรื่องการแต่งงานมาก่อนเลย เอาจริงๆ ข้ามองว่ามันไม่ได้สำคัญอะไรเท่ากับสิ่งที่อยู่หลังจากนั้น..นั่นคือการช่วยกันสร้างครอบครัวของเรา”มาร์เซลค่อนข้างแปลกใจมากทีเดียวกับคำตอบที่แปลกใหม่ของเธอ เรื่องการแต่งงานสำหรับสตรีมันคือสิ่งที่ทุกคนต้องการ แต่กับพี่สาวคนสวยของเขา นางกลับไม่ได้ต้องการมัน..หรือนางคิดว่าเขาไม่มีเงิน?มาร์เซลยกมือขึ้นมาปิดปากเอาไว้เพื่อเก็บกลั้นเสียงหัวเราะ“ดูเหมือนพี่จะข้ามขั้นตอนไปหน่อย เพราะเรื่องที่อยู่หลังจากการแต่งงานมันคือเรื่องการเข้าหอต่างหากล่ะ..”ปลายนิ้วร้อนลูบไล้ไปมาอยู่บนเรียวขาของซ้ายของเฟรญ่า“ไม่ได้เจ็บขาแล้วใช่ไหมครับ”น้ำหนักจากมือของเขาให้ความรู้สึกดีเกินไป และมันเริ่มไล้ขึ้นไปด้านบนเรื่อยๆ จนถึงโคนขาอ่อน เฟรญ่าหันหน้าหนีในทันที เพื่อหลบซ่อนใบหน้าที่แดงซ่านของตัวเอง แต่ถึงอย่างนั้นใบหน้าของมาร์เซลก็กำลังไล่ตามใบหน้าของเธอไป เพื่อที่เขาจะส่งมอบจุมพิตแสนหวานล้ำเหล่านั้นให้เธอเฟรญ่ายกมือขึ้นมาจับเข้าที่ไหล่ของมาร์เซล“มาร์เซล..แต่
ถึงแม้ว่ามาร์เซลจะอยากให้เฟรญ่านอนนานมากกว่านี้อีกสักหน่อย ทว่าเรามีกำหนดการที่จะต้องเดินทางกันต่อ“พี่ครับ..ต้องลุกแล้วนะ ไม่อย่างนั้นคงจะไปถึงที่บ้านของข้าช้ามากแน่ๆ”เมื่อวานเราไม่ได้พูดคุยอะไรกันเลย เขาและเธอใช้เพียงร่างกายเท่านั้นในการพูดคุยกัน อาจจะเพราะริมฝีปากของเรานั้นแนบชิดกันแทบจะตลอดเวลา ส่วนหนึ่งมาจากเขาด้วยที่ไม่อยากให้เธอมีโอกาสได้ซักถาม เพราะอย่างนั้นแผนการในใจของเขาคือการทรมานเฟรญ่าจนกว่านางจะหลับ..และแผนการของเขามันก็ได้ผลดีเกินคาดทีเดียว เธอหมดแรงและหลับไปตั้งแต่ตอนนั้นยันเวลานี้เฟรญ่าปรือตาขึ้นมามองหน้าของมาร์เซลที่กำลังยิ้ม เขาใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นในการเช็ดหน้าและเช็ดตามร่างกายให้เธออ่า..นี่เขากำลังทำให้เธอกลายเป็นคนที่ขาดเขาไม่ได้อยู่ใช่ไหมนะ เฟรญ่าเป็นพวกแพ้การเอาใจใส่เล็กๆ น้อยๆ อย่างมากเลยล่ะและมาร์เซลก็ดันเป็นคนแบบนั้นอยู่พอดี เป็นคนที่ขยันเอาใจใส่ในทุกการกระทำของเธอ เขาลอบมองที่ขาข้างซ้ายของเธอแทบจะตลอดเวลาเพื่อมองดูว่าเธอเจ็บปวดอยู่หรือไม่..และในยามนี้เขากำลังสวมเสื้อผ้าให้เธออยู่ เนื่องจากอากาศที่แสนเหน็บหนาวทำให้เราต้องสวมใส่เสื้อผ้าหลายชั้นมากกว่าเดิม เข
วันนี้มันวันอะไรกัน เฟรญ่ายกแก้วน้ำชาขึ้นมาดื่มด้วยมือทั้งสองข้างของเธอ เธอใช้มืออังข้างแก้วเพื่อรับไออุ่นจากน้ำชาในถ้วยก่อนจะยกขึ้นมาดื่ม กลิ่นหวานอมฝาดของชากระจายอยู่ทั่วในปาก ทั้งๆ ที่ช่วงเวลาในการดื่มชาคือช่วงเวลาที่เธอผ่อนคลายมากที่สุด ทว่าในวันนั้นไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลยสักนิดเดียว เพราะคาดินันไมเลสกำลังมองหน้าเธอ ราวกับจะสำรวจไปให้ลึกถึงด้านในจิตใจว่าเธอกำลังล่อลวงหลานชายของเขาอยู่รึเปล่ามาร์เซลถูกนักบุญพาไปอีกที่หนึ่ง เพราะว่าเขาจะต้องเข้ารับการชำระล้างร่างกายเสียก่อน ซึ่งเธอเองก็ไม่รู้ว่ามันคือพิธีอะไร แต่ที่เธอรู้คือในยามนี้คาดินันกำลังมีเรื่องมากมายที่จะพูดคุยกับเธอ“เรื่องการแต่งงานและสัญญาเวทมนตร์มันเป็นเรื่องที่ไม่มีใครล่วงรู้นอกจากเลดี้และเมลใช่ไหมครับ”เฟรญ่าพยักหน้า“เรื่องนั้นไม่มีใครรู้ค่ะ แต่หากเป็นเรื่องที่ข้าและมาร์เซลคบกัน มีผู้คนที่เดียลอร์ลรับรู้อยู่บ้าง”ไมเลสพ่นลมหายใจออกมายาวเหยียด เขาค่อนข้างเบื่อหน่ายกับเรื่องตรงหน้ามากทีเดียว ถึงแม้ว่าจะเป็นเลดี้ของตระกูลทีเซียส แต่ก็ยังนับว่าไม่คู่ควรกับเมลอยู่ดี แถมบนร่างกายของเธอก็มีตำหนิ จะยืนเคียงข้างเมลอย่างสมเกียรต
ในคฤหาสน์ที่ภายนอกดูหรูหราแต่ทว่าด้านในกลับเหมือนเธอกำลังเดินอยู่ในเมือง มีร้านค้ามากมาย ผู้คนผ่านเดินไปมาบนท้องถนนและบ้านเรือนอีกนับไม่ถ้วน เมืองแห่งนี้ดูเหมือนจะใหญ่มากกว่าเดียลอร์ลซะอีกเธอก้าวเท้าอย่างช้าๆ แต่ก็ไม่กล้าที่จะจรดฝีเท้าซ้ายลงไปอย่างเต็มแรงเท่าไหร่นัก เฟรย่าค่อยๆ ลงน้ำหนักให้มากยิ่งขึ้นในการก้าวเท้าครั้งต่อไป และเธอพบว่ามันไม่ได้เจ็บ..เธอหันหน้าไปมองมาร์เซลด้วยความตกใจจนแทบจะเก็บกักเสียงกรีดร้องเอาไว้ไม่ไหวเลยทีเดียว“ที่นี่คือโลกของนักเวทย์ครับ เป็น..เมืองที่คนใช้เวทเท่านั้นที่จะสามารถเข้ามาได้ และมีวงแหวนเทเลพล็อตที่ท่านสามารถเดินทางไปที่ไหนก็ได้ในจักรวรรดิแห่งนี้”เธอไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่ามีเมืองที่น่าเหลือเชื่อเช่นนี้อยู่ เขาจับมือเธอเอาไว้ไม่ปล่อยถึงแม้ว่าเฟรญ่าจะสามารถเดินได้ด้วยขาของตัวเองแล้วก็ตามมาร์เซลพาเธอมาหยุดที่บ้านหลังหนึ่งซึ่งเป็นบ้านที่มีขนาดไม่ใหญ่เท่าไหร่นัก“นี่เป็นบ้านของข้าเองครับ เสียใจด้วยที่ด้านในนั้นไม่ได้มีครอบครัวของข้าอยู่เลยแม้แต่คนเดียว..”แววตาในยามที่เขาพูดเรื่องเช่นนั้นออกมามันดูเศร้าหมองแบบที่เฟรญ่าอดจะสงสารเขาไม่ได้“เรื่องนั้นไม่เป
มาร์เซลพึ่งรู้ว่าการนั่งเรือสำเภามันไม่ใช่เรื่องสนุกเลยแม้แต่นิดเดียว เขาออกเดินทางมายังเมืองทางใต้พร้อมกันกับเฟรญ่า นี่คือการดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ของเราก่อนที่เขาจะกลับไปทำงานในตำแหน่งดยุคอย่างเป็นทางการ เราทั้งคู่เคยพูดเอาไว้ว่าอยากจะล่องเรือมาเที่ยวที่เมืองทางใต้มาชมทะเลที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน และในยามนี้เราก็กำลังอยู่กลางทะเลบนเรือสำเภาที่ค่อนข้างจะเป็นพื้นที่ส่วนตัว เพราะว่าเขาเหมาเรือลำนี้เอาไว้ เพื่อมากับเฟรญ่าเพียงแค่สองคนเท่านั้นแต่เขาอาเจียนไปสิบรอบแล้วเห็นจะได้ เพราะเขาไม่เคยนั่งเรือมาก่อน“ออกมานั่งมองทะเลดูไหม เผื่ออาการของเจ้าจะดีขึ้น”อันที่จริงแค่ได้มองหน้าสวยๆ ของเธอก็ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นแบบมากๆ แล้ว เขาจับมือของเฟรญ่าเอาไว้ก่อนจะซบใบหน้าลงไปบนไหล่ของเธอ“รักนะครับ..รักที่สุดเลย”เฟรญ่าไม่รู้ว่าเพราะอายุที่เขาเด็กกว่ามันเกี่ยวข้องด้วยรึเปล่า แต่เขาทำให้เธอรู้สึกราวกับมีลูกสุนัขตัวใหญ่ที่กำลังออดอ้อนเธอตลอดเวลา มาร์เซลติดการสัมผัสมากๆ เขาจะต้องจับมือหรือไม่ก็กอดและหอมแก้มเธอตลอดเวลา และเธอเองก็ชื่นชอบการแสดงความรักเช่นนั้นมากทีเดียว เฟรญ่าจึงไม่เคยผลักไสหรือว่าดุเขาในเร
บอกตามตรงว่านี่คงจะเป็นงานแต่งที่เจ้าสาวสบายมากที่สุดในจักรวรรดิแห่งนี้ เฟรญ่าแทบไม่ต้องจัดเตรียมอะไรเลยเพราะว่าพี่เจนนีสและลิเวียจัดเตรียมเอาไว้ให้อย่างเรียบร้อยหมดทุกอย่างแล้ว เธอเพียงสวมชุดเจ้าสาวที่แสนงดงามและเข้าร่วมงานแต่งเท่านั้นเองเฟรญ่าหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อมาร์เซลพาเธอออกมาจากงานแต่งที่แสนยิ่งใหญ่ เขาพาเธอมาที่คฤหาสน์ฮอร์ตันที่เราพึ่งได้รับมาเป็นของขวัญแต่งงาน และในห้องนอนก็เต็มไปด้วยกลิ่นหอมของดอกกุหลาบ มันทั้งหอมหวานและเย้ายวนมากทีเดียว“เจ้ากำลังข้ามขั้นพิธีแต่งงานอยู่นะมาร์เซล เราไม่ควรด่วนชิงเข้าหอก่อนที่งานเลี้ยงจะเริ่ม..”เขาส่งยิ้มให้เธอในขณะที่กำลังถอดกระดุมเสื้อของตัวเองออกมา เขาอดทนมานานมากพอสมควร อดทนแล้วอดทนอีกเพราะว่าเฟรญ่าพึ่งจะฟื้นขึ้นมาจากอาการบาดเจ็บ เพราะอย่างนั้นเขาจึงไม่ได้แตะต้องเธอเลย แต่วันนี้เขาอดทนไม่ไหวอีกแล้ว“ไม่เห็นจะต้องสนใจแขกที่เข้ามาร่วมงานเลยนี่ นี่คืองานแต่งของเราและข้าอยากอยู่กับท่าน..เข้าหอเร็วหน่อยคงไม่เป็นไรหรอกครับ หรือว่าพี่กังวล"เฟรญ่าดึงผ้าคลุมหน้าของเธอออกไป เธอไม่ได้ยืนมองมาร์เซลถอดชุดอยู่เฉยๆ แต่เธอเองก็ถอดชุดเดรสแต่งงานออกเช่
บัตรเชิญของงานแต่งเลดี้ทีเซียส วีรสตรีที่ร่วมการกอบกู้เดียลอร์ลนั้นถูกส่งให้แก่ขุนนางมากมายในจักรวรรดิ บอกตามตรงว่าในตอนที่เฟรญ่าเห็นชื่อและรูปวาดของตัวเองเด่นหราอยู่บนหน้าหนังสือพิมพ์เธอค่อนข้างตกใจมากพอสมควร เพราะเธอไม่คิดว่าเรื่องที่มาร์เซลกล่าวออกมานั้นมันจะเป็นเรื่องจริง“ให้ตายเถอะ ข้ารับมือกับคำว่าวีรสตรีอะไรพวกนั้นไม่ไหวจริงๆ”ลิเวียหัวเราะออกมา“เจ้าคู่ควรกับมันนะเฟร เรื่องความรักที่แสนอบอุ่นนี้ก็ด้วย มาร์เซลคือบุรุษที่ดีมากทีเดียว”ลิเวียกล่าวพร้อมกับสวมสร้อยคอที่มีสีเดียวกับดวงตาของเฟรญ่าลงไปบนลำคอยาวระหง เพื่อนเพียงคนเดียวของเธอแต่งงานแล้ว เฟรญ่าคือสตรีที่งดงามมากๆ ในสายตาของลิเวีย เราพบเจอกันเพราะพี่เจนนีสมาทำงานที่ทีเซียสและพี่สาวก็ร้องขอให้เธอมาเป็นเพื่อนกับเฟรญ่า เพราะสงสารที่เฟรญ่าอยู่คนเดียวในคฤหาสน์ที่แสนกว้างใหญ่ และนั่นทำให้ลิเวียได้มาพบเจอกับคาร์เตอร์ จนได้แต่งงานและเป็นจักรพรรดินีทุกวันนี้เพราะความสามารถของเฟรญ่าเลยเธอถึงได้มีความสุขมากๆ ในช่วงเวลาที่เฟรญ่ากำลังจะได้แต่งงาน เพราะมันเหมือนกับว่าครั้งนี้เป็นเธอแล้วนะที่ได้ส่งเฟรญ่าไปให้ถึงฝั่งฝันกับความรักที่ดีงา
มาทอสพาเฟรญ่าและเจนนีสเดินทางกลับมาที่เมืองหลวงพร้อมกันในอีกสองสัปดาห์ต่อมา คาร์เตอร์ตั้งขบวนเพื่อรอรับการกลับมาของเฟรญ่า ทันทีที่เธอเดินลงมาจากรถม้า คาร์เตอร์ก็พุ่งตัวเข้าไปกอดเฟรญ่าเอาไว้มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นมา และหนึ่งในเรื่องราวเหล่านั้นมันกำลังสั่นคลอนพี่ชายที่แสนกล้าหาญของเธออย่างหนักเลยสินะเฟรญ่าพบเจอคาร์เตอร์ในครั้งแรกตอนที่เธออายุสิบสี่ปี เขาคือองค์รัชทายาท ตามสายเลือดแล้วท่านพี่มาทอสคือน้องชายขององค์จักรพรรดิผู้เป็นพ่อของคาร์เตอร์ เราทั้งคู่จึงถูกเลี้ยงดูมาด้วยกันและสนิทสนมกันมากทีเดียว เพราะแผลในใจที่เคยได้รับจากแม่เลี้ยงทำให้เฟรญ่านั้นหวาดกลัวผู้คนเป็นอย่างมาก อีกทั้งท่านพี่มาทอสก็งานยุ่งมากเพราะในช่วงเวลานั้นท่านพี่มาทอสรับตำแหน่งดยุคมาจากท่านพ่อแล้ว ทำให้เขาไม่มีเวลามาคอยดูแลน้องสาวต่างแม่สักเท่าไหร่นัก ผู้ที่ดูแลและสนิทสนมกับเฟรญ่ามากที่สุดคือคาร์เตอร์ ลูกพี่ลูกน้องของเธอ เขาพยายามเข้าหาเธอในทุกวัน ชวนเธอออกไปข้างนอก และเป็นผู้ที่พาเธอก้าวเดินไปยังงานเลี้ยงในแวดวงสังคม“ฟังนะเฟร จะไม่มีใครหน้าไหนกล้าดูถูกเจ้าทั้งนั้น พี่จะปกป้องเจ้าเองเพราะอย่างนั้นไม่ต้องกังวลหรื
เมื่อเฟรญ่าทำท่าไม่เชื่อ มาร์เซลก็หัวเราะออกมาเสียงดัง เขาจับมือเธอพร้อมกับพาเธอวิ่งไปยังงานเทศกาลของเดียลอร์ลที่ในยามนี้มีชาวบ้านมากมายกำลังเต้นรำอยู่ตามท้องถนน บนใบหน้าหล่อเหลานั้นมีรอยยิ้มฉายชัดอยู่ มันเป็นรอยยิ้มที่ทำให้ดวงตาของเฟรญ่านั้นพร่ามัวไปในทันทีราวกับว่ารอยยิ้มของเขามันแฝงไปด้วยเวทมนตร์แค่เขายิ้มก็ทำให้หัวใจของเธออ่อนลงยวบยาบ ฝ่ามือของเราเกาะกุมกันไว้โดยไร้คำพูด มาร์เซลหยุดเดินพร้อมกับหมุนตัวมาหาเธอ เขายกมือขึ้นมาจับเอวของเธอเอาไว้ ก่อนจะยกขึ้นเล็กน้อยแล้วพาเธอหมุนตัวตามจังหวะของเครื่องดนตรีพื้นเมือง เฟรญ่าหยักยิ้มขึ้นมาในทันที หัวใจของเธอมันเต้นผิดจังหวะในทุกครั้งที่อยู่กับเขา มันคือความรักที่ไม่รู้เหมือนกันว่าจะอธิบายเช่นไร แต่ในยามที่เธอมองเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา มันทำให้เธอมีความสุขได้โดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย บางทีความหวังของเธอก็เป็นเรื่องง่ายๆอย่างเช่นการคาดหวังให้มาร์เซลมีความสุขตลอดไป..“เวลาที่ท่านยิ้มออกมามันสวยมากเลยนะครับ..”ในวันที่พบเจอกันครั้งแรก เขาก็เชื่อมั่นในพรหมลิขิตในทันทีว่าคนรักของเขาจะต้องเป็นเธอเท่านั้น บางสิ่งในอกค่อยๆ แผ่ซ่านออกมา หัวใจที่เย็นย
งานเทศกาลในครั้งนี้จัดขึ้นมาในฤดูที่กำลังปลูกพืชผล เมืองเดียลอร์ลนั้นได้รับผลกระทบเป็นวงกว้างเพราะอย่างนั้น บารอนดีแลนจึงหารือกับชาวบ้านจัดงานนี้ขึ้นมา เพื่อให้บรรยากาศในเดียลอร์ลนั้นดีขึ้นมา ก่อนหน้านั้นกับบางคนที่เผชิญหน้ากับความสูญเสีย พวกเขาไม่อยากแม้แต่จะหายใจต่อไปดีแลนรู้สึกผิดกับชาวเมืองมากทีเดียว กับการตัดสินใจที่ผิดพลาดของเขา เพราะอย่างนั้นเขาจึงพยายามที่จะฟื้นฟูเดียลอร์ลขึ้นมาใหม่เพื่อให้ที่นี่กลับมามีบรรยากาศที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขเช่นเดิมเฟรญ่าเดินไปบนถนนหนทางที่เต็มไปด้วยนักเดินทาง ไม่ว่าจะถามเธอสักกี่ครั้ง เฟรญ่าก็ยังคงตอบได้ในทันทีว่าเดียลอร์ลคือเมืองที่เธอชอบมากที่สุด ความธรรมดาของที่แสนพิเศษ“ไม่เจอกันนานเลยนะเฟร..”ดีแลนเดินเข้ามาทักทายเฟรญ่าด้วยใบหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม“อื้ม ที่นี่เหมือนเดิมเลยนะคะ เหมือนเดียลอร์ลที่ข้ารู้จัก”เฟรญ่าจุดยิ้มที่แสนงดงามบนใบหน้าของเธอ เธอคิดว่าดีแลนเองก็คงจะได้รับผลกระทบทางจิตใจเช่นเดียวกัน“ขาของเจ้า..มันหายดีเป็นปกติแล้วสินะ”เฟรญ่าก้มมองเท้าของตัวเอง เธอพ่นลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ถึงแม้จะรู้สึกแปลกๆ อยู่บ้างในยามที่ไ
การรอคอยสำหรับมาร์เซลนั้นถือเป็นความทรมานมากเกินกว่าที่เขาจะคาดคะเนเอาไว้ซะอีก เขาไม่เคยรู้จักความรักมาก่อนเลย ยิ่งไม่เคยรักใครและทุ่มเทกายใจให้ขนาดนี้ เราทั้งคู่ตั้งใจว่าจะแต่งงานกันหลังจากนี้ ตั้งใจอย่างแรงกล้าว่าเฟรญ่าจะเป็นเจ้าสาว ส่วนเขาจะเป็นเจ้าบ่าว ในงานแต่งที่ยิ่งใหญ่มากที่สุดในจักรวรรดิ เขาและเธอจะสร้างครอบครัวเล็กๆ ด้วยกัน พร้อมกับนั้นลูกของเขาคงจะน่ารักมากทีเดียวเพราะว่าเฟรญ่าชอบเด็ก ทว่าในยามนี้ เธอก็ยังไม่ฟื้นขึ้นมาเลย..ในค่ำคืนที่ดวงจันทร์ลอยเด่นบนนภา มาร์เซลจุมพิตลงไปบนหลังฝ่ามือของเฟรญ่า ก่อนที่เขาจะหลับตาลงเพื่อเฝ้าอธิษฐานจากใจจริง“ตื่นขึ้นมาเถอะมา กลับมาเพื่อให้ข้าได้บอกรักเจ้าจะได้รึเปล่า ได้โปรดเถอะ..กลับมาหาข้าอีกครั้ง..”น้ำเสียงของเขามันเต็มไปด้วยความสั่นเครือ หยาดน้ำตาเปียกชุ่มอยู่บนมือของเฟรญ่า ท่ามกลางห้องที่เงียบงัน มีเพียงเสียงสะอื้นของมาร์เซลเท่านั้นที่ดังออกมา“...มาร์เซล อย่าร้อง”ดวงตาของเขาเบิกกว้างออกมาในทันทีที่ได้ยินเสียงที่แสนคิดถึง และเมื่อมาร์เซลเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งเขาก็พบเจอกับดวงตาสีครามที่กำลังจ้องมองใบหน้าของเขาอยู่ บนดวงหน้างามล้ำยิ่งกว่
เฟรญ่านั่งกอดเข่าอยู่บนเตียงตามลำพัง แววตาของเธอสะท้อนความอ้างว้างและโดดเดี่ยวอย่างเห็นได้ชัด ในห้องนี้ไม่มีใครเลยนอกจากเธอเธออยู่ที่นี่มานานแค่ไหนแล้วก็ไม่รู้ รู้เพียงแต่เธอพยายามที่จะเดินออกไปจากห้องนี้มากแค่ไหนก็ไม่สามารถออกไปได้ เป็นห้องโล่งๆ ที่ไม่มีแม้กระทั่งหน้าต่างสักบาน เธอนอนหลับไปและเมื่อตื่นขึ้นมาก็จะพบเจอกับอาหารทั้งสามมื้อที่วางเอาไว้บนโต๊ะ เธอไม่รู้ว่าตัวเองมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน รู้เพียงแต่ว่าเธอจะต้องหาทางออกไปจากที่นี่ให้ได้ ไม่อย่างนั้นมาร์เซลจะต้องกำลังเป็นห่วงเธออย่างแน่นอน ไหนยังจะท่านพี่ของเธออีกจะมามัวอยู่ที่นี่ตลอดไปไม่ได้เพราะอย่างนั้นเฟรญ่าก็เลยคิดแผนการขึ้นมา การที่มีอาหารมาวางเอาไว้ในช่วงที่เธอหลับ นั่นหมายความว่าจะต้องมีคนเดินเข้ามาที่นี่และเธอจะต้องแกล้งหลับ เพื่อที่จะดูว่าคนที่ขังเธอเอาไว้ที่นี่คือใครกันแน่เมื่อคิดได้ดังนั้นเฟรญ่าก็ล้มตัวนอนลงในทันที เธอหลับตาพร้อมกับเผยอปากออกมาเล็กน้อยเพื่อให้ดูสมจริง แล้วก็เป็นอย่างที่คิดเพราะเมื่อเธอล้มตัวนอน เสียงเปิดประตูก็ดังขึ้นมา พร้อมกับฝีเท้าที่ก้าวเดินเข้ามาอย่างช้าๆเฟรญ่าค่อยๆ ปรือตามองอย่างช้าๆ เธอร
คาร์เตอร์มองเฟรญ่าที่กำลังนอนหลับอยู่ เขาอยู่ในสภาพที่บาดเจ็บสาหัสมากพอสมควร ปกติแล้วเรื่องการต่อสู้หรือการออกรบ เขาล้วนแล้วแต่ทำมันได้ดีมากทีเดียวแต่เพราะการสูดดมไอขุ่นมัวเหล่านั้นทำให้เขาหมดแรง ซึ่งมันทรมานมากที่เขารับรู้เรื่องราวต่างๆ มากกว่าแต่ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้เลยแม้แต่นิดเดียวเขามองเห็นว่าเฟรญ่า นางแตกสลายมากแค่ไหนกับการที่นางลงมือจัดการกับต้นตอของเรื่องนี้ เฟรญ่าในสายตาของคาร์เตอร์เหมือนคนที่เผชิญหน้ากับความเจ็บปวดเจียนตาย ทั้งๆ ที่นางควรจะดีใจเมื่อแอชตันตายไป แต่นางก็ยังร้องไห้ออกมาไม่หยุด ในช่วงเวลาที่นางลงมือทำร้ายแอชตันเฟรญ่าก็ยังร้องไห้ออกมามันเป็นเพราะว่าเฟรญ่า น้องสาวของเขานั้นจิตใจดีมากเกินไป นางไม่เคยทำร้ายคนอื่นมาก่อนเลย แล้วไอ้เวรนั่น..ไอ้แอชตันจะต้องทำร้ายเฟรญ่าหนักหนาสาหัสมากแค่ไหน คนที่ไม่เคยทำร้ายคนอื่นแม้แต่ปลายเล็บอย่างเฟรญ่า ถึงได้ลุกขึ้นมาเพื่อจัดการหมอนั่นด้วยความเจ็บปวดมากมายขนาดนั้น“เรื่องนี้ไม่มีใครผิดหรอกพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทอย่าได้วิตกกังวลมากเกินไปเลย”มาร์เซลปลอบใจองค์จักรพรรดิที่กำลังโมโหตัวเองอยู่ เขาพบเจอสภาพของค่ายทหารที่อาบไปด้วยเลือด พร้อมก