สองเท้าของมาร์เซลวิ่งแบบไม่คิดชีวิตเพื่อไปยังหมู่บ้าน ไอเดนกำลังร่ายเวทเพื่อไม่ให้แรงระเบิดเล็ดลอดออกมาจากหมู่บ้าน และเพื่อไม่ให้มีเสียงระเบิดดังขึ้นมา
“นายท่านครับ..รออีกสักพักเมื่อไอขุ่นมัวลดลงเราก็จะเดินทางขึ้นไปด้านบนได้..” “รอนานขนาดนั้นไม่ได้หรอกวิน เจ้าและไอเดนตามข้ามาส่วนเดม่อน เจ้ากลับไปที่ค่ายทหารเพื่อปกป้องเฟรญ่าเอาไว้ เราจะต้องรีบจัดการปิดประตูปีศาจต้องรีบทำให้เรื่องราวทุกอย่างจบสิ้นอย่างรวดเร็วมากที่สุด” เดม่อนก้มหน้าลงเล็กน้อยเพื่อรับคำสั่ง เขารีบวิ่งกลับไปที่ค่ายทหารแต่ก็พบเจอท่านเฟรญ่าที่กำลังถูกแอชตันโอบกอดเอาไว้ เขาวิ่งเข้าไปหาองค์จักรพรรดิก่อนจะช่วยพยุงพระองค์ที่อยู่ในสภาพปางตายขึ้นมา อีกฝ่ายคือร่างที่เป็นภาชนะของปีศาจเพราะอย่างนั้น นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายที่มนุษย์จะรับมือกับการโจมตีของปีศาจได้ “น่าเสียดายนะ เพราะแม้แต่เรี่ยวแรงครั้งสุดท้ายของเจ้าก็ไม่อาจทำอันตรายข้าได้เลยเฟร..เจ้ายอมรับเถอะว่าเจ้าสู้ข้าไม่ได้ และหากเจ้าต้องการให้ข้ารื้อฟื้นความหลังของเจ้า ให้ข้าจัดการทำให้ขาของเจ้าเดินไม่ได้เหมือนเดิมดีหรือไม่” เดม่อนพุ่งตัวเข้าไปด้วยความรวดเร็วก่อนที่เขาจะแย่งชิงท่านเฟรญ่ามาจากอ้อมแขนของจอมมาร “จิ๊! มีตัวเกะกะมาอีกแล้ว..” “อยู่ตรงนี้นะครับ” เขาวางเฟรญ่าลงข้างๆ กับองค์จักรพรรดิ ก่อนจะพุ่งตัวเข้าไปหาภาชนะของปีศาจ ถึงแม้ว่าพลังเวทของเขาจะไม่ได้มากมายดังเช่นพลังของท่านมาร์เซล แต่เขาจะต้องถ่วงเวลาเอาไว้ให้ได้ หากภาชนะปีศาจกลับไปที่บนเขา การปิดประตูของนายท่านก็จะทำได้ลำบาก หรือไม่บางทีเรื่องที่เราทำมาจนถึงตอนนี้อาจจะล้มเหลวไปเลยก็ได้ เพราะอย่างนั้นต่อให้ต้องเดิมพันด้วยชีวิตเขาก็จะถ่วงเวลาเอาไว้ให้จงได้! ทหารบางคนที่พอจะลุกไหว ลุกขึ้นมาเพื่อช่วยเดม่อนในการต่อสู้ เฟรญ่าไอออกมาเป็นเลือดเพราะว่าเธอสูดดมควันพวกนั้นมากเกินไป..เธอรู้สึกเหนื่อยและอยากหลับมาทีเดียว แต่เธอหลับไม่ได้ ไม่อย่างนั้นครั้งนี้ก็จะถือว่าเธอพ่ายแพ้ให้กับเขาอีกแล้ว พ่ายแพ้ให้กับแอชตัน.. เฟรญ่าประสานมือกับหน้าอก เธอกำลังนึกถึงพระเจ้าที่ช่วยเหลือให้เธอได้กลับมามีชีวิตอีกครั้งหนึ่ง ได้โปรด..ช่วยลูกอีกสักครั้ง ขอให้เราทุกคนผ่านสถานการณ์ที่เลวร้ายในครั้งนี้ไปให้ได้ด้วยนะคะ เพราะสภาพในยามนี้เราทุกคนต่างสิ้นหวังกับศัตรูที่ฆ่าไม่ตายและแทงไม่เข้า ท่านพี่คาร์เตอร์แทบจะจับดาบเอาไว้ไม่ได้แล้ว แต่ถึงอย่างนั้นท่านก็ยังยืนหยัดต่อสู้กับเหล่าทหารกล้า เธอไม่อยากเป็นเช่นนี้ ไม่อยากจะเป็นตัวไร้ประโยชน์ที่คอยมองคนอื่นตายไปทีละคนสองคน ไหนๆ ท่านก็ให้ข้าย้อนเวลากลับมาอีกครั้งแล้ว ให้ข้ามีพลังอะไรสักอย่างไม่ได้รึไง ได้โปรด..ขอให้ปาฏิหาริย์เกิดขึ้นด้วยเถิด ................. “หากไม่ส่งนักบุญไปช่วย ข้าจะถล่มที่นี่ให้ราบเป็นหน้ากลองเลย..นี่คือโอกาสสุดท้ายของพวกท่านแล้วท่านนักบุญผู้สูงส่ง” มาทอสกล่าวออกมาพร้อมกับทหารมากมายและชาวบ้านที่ยืนอออยู่ที่ด้านหน้าของวิหาร ข่าวลือแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วว่าเดียลอร์ลกำลังพบเจอกับวิกฤติ และองค์จักรพรรดิทรงต่อสู้เพื่อยืนหยัดปกป้องชาวเมือง ทว่าวิหารที่พวกชาวบ้านศรัทธากับปฏิเสธว่าจะช่วยเหลือ ทั้งๆ ที่นี่คือเรื่องที่ทางวิหารต้องส่งคนไปช่วยอย่างเร่งด่วนที่สุด “ท่านดยุค ท่านทำเช่นนี้กับวิหารของพวกเราไม่ได้ อีกทั้งข้าส่งท่านมาร์เซลไปช่วยแล้วตั้งแต่แรก จะว่าไม่ส่งไปได้อย่างไรกัน” มาทอสยกดาบขึ้นมาก่อนที่เขาจะวางเอาไว้บนคอของคาดินันไมเลส “เพราะว่ามาร์เซลคือว่าที่สามีของน้องสาวข้า ทั้งมาร์เซลและองค์จักรพรรดิกำลังต่อสู้อยู่เพื่อปกป้องเดียลอร์ล แต่ถึงอย่างนั้นสถานการณ์ก็ยังคงย่ำแย่ หากวันนี้ทางวิหารไม่ส่งนักบุญไปช่วย ข้า ทหารของทีเซียส และชาวเมืองทุกคนของจักรวรรดิจะจัดการถล่มที่นี่ซะ ในเมื่อไม่มีประโยชน์เช่นนั้นก็อย่ามาใช้พื้นที่ของจักรวรรดิอีกเลย” เสียงโห่ร้องของชาวบ้านดังขึ้นมา พวกเขาพร้อมที่จะทำตามคำสั่งของท่านดยุค หากทางวิหารจะใจร้ายเช่นนั้นพวกเขาก็ไม่ขอนับถือวิหารอีกแล้ว “ท่านคาดินัน..เราส่งนักบุญไปกันเถอะครับ ลำพังนักบุญที่อยู่ที่นี่ไม่สามารถต้านทานกำลังของชาวเมืองนับพันได้หรอก เราอย่าฝืนโชคชะตาอยู่เลย” คาดินันไมเลสกำมือแน่น เขาเกลียดชังพวกชนชั้นสูงที่คอยมาสั่งซะเหลือเกิน “ตกลงครับท่านดยุค ข้าจะส่งนักบุญไปที่เดียลอร์ลในทันที” มาทอสหรี่ตามองหน้าของคาดินัน “จำนวนกี่คน แจ้งมาให้ชัดสิ เพราะถ้าเกิดว่าเจ้าส่งนักบุญไปที่นั่นคนหนึ่งหรือว่าสองคนข้าจะได้ให้ชาวบ้านรุมกระทืบคนที่เหลือซะ เพราะถือว่ามันผู้นั้นคือคนที่ไร้ประโยชน์” คาดินันไมเลสก้มหน้าลง “ทั้งหมดครับ นักบุญทุกคน..จะเดินทางไปที่เดียลอร์ลในทันที” มาทอสแสยะยิ้มออกมาก่อนที่เขาจะชูดาบขึ้น “ยินดีด้วยคาดินัน เจ้ายังมีชีวิตรอดไปอีกวัน แต่หากวันข้างหน้าเจ้ากล้าทำกิริยามารยาทที่ต่ำทรามกับน้องสาวของข้าอีก รับรองได้เลยว่าลิ้นของเจ้ามันจะไม่มีโอกาสได้อยู่ในปากอีก..ไหนๆ ก็แก่มาได้ขนาดนี้แล้ว สู้ทำตัวดีๆ แล้วรอวันที่จะแก่ตายไปน่าจะดีกว่า ไม่น่าจะต้องถูกข้าจัดการสังหารท่านหรอกจริงไหม..” มาทอสกล่าวออกมาพร้อมกับส่งยิ้มให้กับประชาชนทุกคนของจักรวรรดิ “ทางวิหารยังคงมีน้ำใจ เพราะอย่างนั้นวันนี้ข้าขอสั่งให้ชาวบ้านทุกคนที่อยู่ที่นี่แยกย้ายกันไปก่อน ช่วยกันสวดภาวนาให้องค์จักรพรรดิของเรานั้นปลอดภัย และให้เดียลอร์ล..กลับมาเป็นปกติได้ในเร็ววัน” มาทอสกล่าวพร้อมกับยกยิ้มขึ้นมา เมื่อเจนนิสได้รับรายงานเรื่องที่สามีของเธอบุกไปที่วิหารพร้อมกับขู่ว่าจะทำลายที่นั่นเธอก็หัวเราะออกมาเสียงดัง “มีอะไรน่าขำกันค่ะ ข้าคิดว่าท่านดยุคนั้นเท่มากๆ เลยต่างหาก” เจนนิสยกมือขึ้นมาลูบผมของลิเวียเบาๆ “ทั้งคาร์เตอร์ เฟรญ่าและมาร์เซล พวกเขาทุกคนจะกลับมาที่นี่อย่างปลอดภัย สิ่งที่เราทั้งสองทำได้ในตอนนี้เราก็ทำไปแล้วเพราะอย่างนั้นหลังจากนี้เราได้แต่ภาวนาด้วยความตั้งใจที่แรงกล้า..” ลิเวียพยักหน้า เพราะเธอเป็นจักรพรรดินี เพราะอยู่ในตำแหน่งที่สูงส่งเช่นนี้จึงไม่สามารถร้องไห้ออกมาให้คนอื่นเห็นได้ ยิ่งไม่มีคาร์เตอร์เธอจะต้องยิ่งเข้มแข็ง “วันพรุ่งนี้จะมีงานเลี้ยงนี่คะ เป็นงานพิธีบรรลุนิติภาวะของเลดี้เรนอล..และข้าได้รับรายงานว่าสองแม่ลูกของจามินจะเข้าร่วมงานด้วย พี่สนใจจะไปหาอะไรทำเพื่อเป็นการคลายความเครียดบ้างไหมคะ” แค่มองหน้าของน้องสาวเจนนีสก็รู้แล้วว่าลิเวียคิดจะทำอะไร “เอาสิ..ไปร่วมงานเลี้ยงของตระกูลเรนอนบ้างน่าจะดี”สองเท้าของมาร์เซลกำลังวิ่งขึ้นไปยังยอดเขา ที่นี่มีควันสีดำมากเกินไปทำให้ไม่สามารถใช้เวทมนตร์ได้ เพราะอย่างนั้นเขาถึงไม่สามารถใช้เทเลพอทในการเดินทางได้เลย มันทรมานและไอขุ่นมัวเหล่านี้ทำให้รู้สึกสะอิดสะเอียนและทำท่าจะหมดแรงลงไป เขาต้องร่ายเวทป้องกันตลอด และเมื่อเขาเดินทางมาถึงที่ยอดเขาแห่งนี้ เมื่อเขามองเห็นประตูสีดำที่กำลังเปิดอยู่ มาร์เซลก็พ่นลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก เขามองหน้ากับวินเพื่อให้คนของเขาแยกย้ายไปกันยืนล้อมรอบประตูที่กำลังมีควันสีดำพวยพุ่งออกมาต้องทำให้เดียลอร์ลถูกปกคลุมไปด้วยกลุ่มควันสีดำซะก่อน ราชาปีศาจถึงจะพาพวกพ้องออกมาและยึดเอาเดียลอร์ลแปรเปลี่ยนเป็นเมืองปีศาจอย่างนั้นสินะ“นายท่านครับ..”ไอเดนเรียกเขาด้วยความเป็นห่วงเมื่อหมอนั่นมองเห็นเลือดกำเดาที่กำลังไหลออกมาอย่างช้าๆมาร์เซลยกมือขึ้นมาเพื่อเช็ดเลือดเหล่านั้นอย่างลวกๆ หากไม่ทำการปิดประตูนี้ลง จักรวรรดิจะมีภัยอย่างแน่นอน มันจะไม่มีโอกาสให้สอง สาม หรือสี่ให้กับเขา มีแต่ต้องทำให้สำเร็จเท่านั้นแรงระเบิดทำให้กลุ่มควันจางหายก็จริง แต่ในระยะเวลาไม่นานควันสีดำก็พวงพุ่งออกมาจากประตูบานนั้น พร้อมกับปกคลุมท้องฟ้าใหม่อีกครั้ง
“ข้าจะยินยอมส่งมอบร่างกายให้แก่ท่าน ทว่าข้าจะไม่ยินยอมส่งมอบจิตวิญญาณนี้ให้ท่าน การแลกเปลี่ยนของเรา..คือการที่ท่านจะไม่สามารถบังคับหรือว่าควบคุมจิตใจของข้าได้”กลุ่มควันสีดำเหล่านั้นพวยพุ่งผ่านร่างกายของแอชตันไป พร้อมกับเสียงหัวเราะที่ดังขึ้นมาทั่วบริเวณ“แอชตันมีคำกล่าวว่ามนุษย์นั้นโง่เขลา ข้าไม่เชื่อจนได้พบเจอด้วยสายตาของตัวเอง ในเมื่อเจ้ามีความทรงจำตั้งแต่ชีวิตครั้งที่แล้วของเจ้า แล้วทำไมเจ้าไม่ทำให้สตรีผู้นั้นยินยอมสยบแทบเท้าเจ้าดังเช่นช่วงเวลาที่ผ่านมาเล่า การใช้กำลังนั้นถือเป็นการกระทำที่ดีที่สุดไม่ใช่หรือ บังคับให้นางมาเป็นของเจ้าน่าจะดีกว่าการร้องขอ..”แววตาของแอชตันสะท้อนถึงความอ้างว้างและโดดเดี่ยว ทันทีที่เขาได้รับความทรงจำกลับคืนมา เขากลับรู้สึกขยะแขยงตัวเองเหลือทน เขากระทำเรื่องสารเลวมากมายกับสตรีที่เขารักเขาอย่างสุดหัวใจเฟรญ่าหลงรักและเทิดทูนบูชาเขาราวว่าเขาคือพระเจ้าของนาง นางส่งมอบทุกอย่างให้แก่เขาเพื่อที่จะทำให้เขาสุขสบายมากยิ่งขึ้น..แอชตันไม่คิดโทษใคร เขาไม่คิดโกรธเคืองหรือว่าเกลียดชังใครทั้งนั้น นอกจากตัวของเขาเองและเขาต้องการให้เฟรญ่ามาอยู่เคียงข้างเขาอีกครั้ง เพ
คาร์เตอร์มองเฟรญ่าที่กำลังนอนหลับอยู่ เขาอยู่ในสภาพที่บาดเจ็บสาหัสมากพอสมควร ปกติแล้วเรื่องการต่อสู้หรือการออกรบ เขาล้วนแล้วแต่ทำมันได้ดีมากทีเดียวแต่เพราะการสูดดมไอขุ่นมัวเหล่านั้นทำให้เขาหมดแรง ซึ่งมันทรมานมากที่เขารับรู้เรื่องราวต่างๆ มากกว่าแต่ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้เลยแม้แต่นิดเดียวเขามองเห็นว่าเฟรญ่า นางแตกสลายมากแค่ไหนกับการที่นางลงมือจัดการกับต้นตอของเรื่องนี้ เฟรญ่าในสายตาของคาร์เตอร์เหมือนคนที่เผชิญหน้ากับความเจ็บปวดเจียนตาย ทั้งๆ ที่นางควรจะดีใจเมื่อแอชตันตายไป แต่นางก็ยังร้องไห้ออกมาไม่หยุด ในช่วงเวลาที่นางลงมือทำร้ายแอชตันเฟรญ่าก็ยังร้องไห้ออกมามันเป็นเพราะว่าเฟรญ่า น้องสาวของเขานั้นจิตใจดีมากเกินไป นางไม่เคยทำร้ายคนอื่นมาก่อนเลย แล้วไอ้เวรนั่น..ไอ้แอชตันจะต้องทำร้ายเฟรญ่าหนักหนาสาหัสมากแค่ไหน คนที่ไม่เคยทำร้ายคนอื่นแม้แต่ปลายเล็บอย่างเฟรญ่า ถึงได้ลุกขึ้นมาเพื่อจัดการหมอนั่นด้วยความเจ็บปวดมากมายขนาดนั้น“เรื่องนี้ไม่มีใครผิดหรอกพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทอย่าได้วิตกกังวลมากเกินไปเลย”มาร์เซลปลอบใจองค์จักรพรรดิที่กำลังโมโหตัวเองอยู่ เขาพบเจอสภาพของค่ายทหารที่อาบไปด้วยเลือด พร้อมก
เฟรญ่านั่งกอดเข่าอยู่บนเตียงตามลำพัง แววตาของเธอสะท้อนความอ้างว้างและโดดเดี่ยวอย่างเห็นได้ชัด ในห้องนี้ไม่มีใครเลยนอกจากเธอเธออยู่ที่นี่มานานแค่ไหนแล้วก็ไม่รู้ รู้เพียงแต่เธอพยายามที่จะเดินออกไปจากห้องนี้มากแค่ไหนก็ไม่สามารถออกไปได้ เป็นห้องโล่งๆ ที่ไม่มีแม้กระทั่งหน้าต่างสักบาน เธอนอนหลับไปและเมื่อตื่นขึ้นมาก็จะพบเจอกับอาหารทั้งสามมื้อที่วางเอาไว้บนโต๊ะ เธอไม่รู้ว่าตัวเองมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน รู้เพียงแต่ว่าเธอจะต้องหาทางออกไปจากที่นี่ให้ได้ ไม่อย่างนั้นมาร์เซลจะต้องกำลังเป็นห่วงเธออย่างแน่นอน ไหนยังจะท่านพี่ของเธออีกจะมามัวอยู่ที่นี่ตลอดไปไม่ได้เพราะอย่างนั้นเฟรญ่าก็เลยคิดแผนการขึ้นมา การที่มีอาหารมาวางเอาไว้ในช่วงที่เธอหลับ นั่นหมายความว่าจะต้องมีคนเดินเข้ามาที่นี่และเธอจะต้องแกล้งหลับ เพื่อที่จะดูว่าคนที่ขังเธอเอาไว้ที่นี่คือใครกันแน่เมื่อคิดได้ดังนั้นเฟรญ่าก็ล้มตัวนอนลงในทันที เธอหลับตาพร้อมกับเผยอปากออกมาเล็กน้อยเพื่อให้ดูสมจริง แล้วก็เป็นอย่างที่คิดเพราะเมื่อเธอล้มตัวนอน เสียงเปิดประตูก็ดังขึ้นมา พร้อมกับฝีเท้าที่ก้าวเดินเข้ามาอย่างช้าๆเฟรญ่าค่อยๆ ปรือตามองอย่างช้าๆ เธอร
การรอคอยสำหรับมาร์เซลนั้นถือเป็นความทรมานมากเกินกว่าที่เขาจะคาดคะเนเอาไว้ซะอีก เขาไม่เคยรู้จักความรักมาก่อนเลย ยิ่งไม่เคยรักใครและทุ่มเทกายใจให้ขนาดนี้ เราทั้งคู่ตั้งใจว่าจะแต่งงานกันหลังจากนี้ ตั้งใจอย่างแรงกล้าว่าเฟรญ่าจะเป็นเจ้าสาว ส่วนเขาจะเป็นเจ้าบ่าว ในงานแต่งที่ยิ่งใหญ่มากที่สุดในจักรวรรดิ เขาและเธอจะสร้างครอบครัวเล็กๆ ด้วยกัน พร้อมกับนั้นลูกของเขาคงจะน่ารักมากทีเดียวเพราะว่าเฟรญ่าชอบเด็ก ทว่าในยามนี้ เธอก็ยังไม่ฟื้นขึ้นมาเลย..ในค่ำคืนที่ดวงจันทร์ลอยเด่นบนนภา มาร์เซลจุมพิตลงไปบนหลังฝ่ามือของเฟรญ่า ก่อนที่เขาจะหลับตาลงเพื่อเฝ้าอธิษฐานจากใจจริง“ตื่นขึ้นมาเถอะมา กลับมาเพื่อให้ข้าได้บอกรักเจ้าจะได้รึเปล่า ได้โปรดเถอะ..กลับมาหาข้าอีกครั้ง..”น้ำเสียงของเขามันเต็มไปด้วยความสั่นเครือ หยาดน้ำตาเปียกชุ่มอยู่บนมือของเฟรญ่า ท่ามกลางห้องที่เงียบงัน มีเพียงเสียงสะอื้นของมาร์เซลเท่านั้นที่ดังออกมา“...มาร์เซล อย่าร้อง”ดวงตาของเขาเบิกกว้างออกมาในทันทีที่ได้ยินเสียงที่แสนคิดถึง และเมื่อมาร์เซลเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งเขาก็พบเจอกับดวงตาสีครามที่กำลังจ้องมองใบหน้าของเขาอยู่ บนดวงหน้างามล้ำยิ่งกว่
งานเทศกาลในครั้งนี้จัดขึ้นมาในฤดูที่กำลังปลูกพืชผล เมืองเดียลอร์ลนั้นได้รับผลกระทบเป็นวงกว้างเพราะอย่างนั้น บารอนดีแลนจึงหารือกับชาวบ้านจัดงานนี้ขึ้นมา เพื่อให้บรรยากาศในเดียลอร์ลนั้นดีขึ้นมา ก่อนหน้านั้นกับบางคนที่เผชิญหน้ากับความสูญเสีย พวกเขาไม่อยากแม้แต่จะหายใจต่อไปดีแลนรู้สึกผิดกับชาวเมืองมากทีเดียว กับการตัดสินใจที่ผิดพลาดของเขา เพราะอย่างนั้นเขาจึงพยายามที่จะฟื้นฟูเดียลอร์ลขึ้นมาใหม่เพื่อให้ที่นี่กลับมามีบรรยากาศที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขเช่นเดิมเฟรญ่าเดินไปบนถนนหนทางที่เต็มไปด้วยนักเดินทาง ไม่ว่าจะถามเธอสักกี่ครั้ง เฟรญ่าก็ยังคงตอบได้ในทันทีว่าเดียลอร์ลคือเมืองที่เธอชอบมากที่สุด ความธรรมดาของที่แสนพิเศษ“ไม่เจอกันนานเลยนะเฟร..”ดีแลนเดินเข้ามาทักทายเฟรญ่าด้วยใบหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม“อื้ม ที่นี่เหมือนเดิมเลยนะคะ เหมือนเดียลอร์ลที่ข้ารู้จัก”เฟรญ่าจุดยิ้มที่แสนงดงามบนใบหน้าของเธอ เธอคิดว่าดีแลนเองก็คงจะได้รับผลกระทบทางจิตใจเช่นเดียวกัน“ขาของเจ้า..มันหายดีเป็นปกติแล้วสินะ”เฟรญ่าก้มมองเท้าของตัวเอง เธอพ่นลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ถึงแม้จะรู้สึกแปลกๆ อยู่บ้างในยามที่ไ
เมื่อเฟรญ่าทำท่าไม่เชื่อ มาร์เซลก็หัวเราะออกมาเสียงดัง เขาจับมือเธอพร้อมกับพาเธอวิ่งไปยังงานเทศกาลของเดียลอร์ลที่ในยามนี้มีชาวบ้านมากมายกำลังเต้นรำอยู่ตามท้องถนน บนใบหน้าหล่อเหลานั้นมีรอยยิ้มฉายชัดอยู่ มันเป็นรอยยิ้มที่ทำให้ดวงตาของเฟรญ่านั้นพร่ามัวไปในทันทีราวกับว่ารอยยิ้มของเขามันแฝงไปด้วยเวทมนตร์แค่เขายิ้มก็ทำให้หัวใจของเธออ่อนลงยวบยาบ ฝ่ามือของเราเกาะกุมกันไว้โดยไร้คำพูด มาร์เซลหยุดเดินพร้อมกับหมุนตัวมาหาเธอ เขายกมือขึ้นมาจับเอวของเธอเอาไว้ ก่อนจะยกขึ้นเล็กน้อยแล้วพาเธอหมุนตัวตามจังหวะของเครื่องดนตรีพื้นเมือง เฟรญ่าหยักยิ้มขึ้นมาในทันที หัวใจของเธอมันเต้นผิดจังหวะในทุกครั้งที่อยู่กับเขา มันคือความรักที่ไม่รู้เหมือนกันว่าจะอธิบายเช่นไร แต่ในยามที่เธอมองเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา มันทำให้เธอมีความสุขได้โดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย บางทีความหวังของเธอก็เป็นเรื่องง่ายๆอย่างเช่นการคาดหวังให้มาร์เซลมีความสุขตลอดไป..“เวลาที่ท่านยิ้มออกมามันสวยมากเลยนะครับ..”ในวันที่พบเจอกันครั้งแรก เขาก็เชื่อมั่นในพรหมลิขิตในทันทีว่าคนรักของเขาจะต้องเป็นเธอเท่านั้น บางสิ่งในอกค่อยๆ แผ่ซ่านออกมา หัวใจที่เย็นย
มาทอสพาเฟรญ่าและเจนนีสเดินทางกลับมาที่เมืองหลวงพร้อมกันในอีกสองสัปดาห์ต่อมา คาร์เตอร์ตั้งขบวนเพื่อรอรับการกลับมาของเฟรญ่า ทันทีที่เธอเดินลงมาจากรถม้า คาร์เตอร์ก็พุ่งตัวเข้าไปกอดเฟรญ่าเอาไว้มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นมา และหนึ่งในเรื่องราวเหล่านั้นมันกำลังสั่นคลอนพี่ชายที่แสนกล้าหาญของเธออย่างหนักเลยสินะเฟรญ่าพบเจอคาร์เตอร์ในครั้งแรกตอนที่เธออายุสิบสี่ปี เขาคือองค์รัชทายาท ตามสายเลือดแล้วท่านพี่มาทอสคือน้องชายขององค์จักรพรรดิผู้เป็นพ่อของคาร์เตอร์ เราทั้งคู่จึงถูกเลี้ยงดูมาด้วยกันและสนิทสนมกันมากทีเดียว เพราะแผลในใจที่เคยได้รับจากแม่เลี้ยงทำให้เฟรญ่านั้นหวาดกลัวผู้คนเป็นอย่างมาก อีกทั้งท่านพี่มาทอสก็งานยุ่งมากเพราะในช่วงเวลานั้นท่านพี่มาทอสรับตำแหน่งดยุคมาจากท่านพ่อแล้ว ทำให้เขาไม่มีเวลามาคอยดูแลน้องสาวต่างแม่สักเท่าไหร่นัก ผู้ที่ดูแลและสนิทสนมกับเฟรญ่ามากที่สุดคือคาร์เตอร์ ลูกพี่ลูกน้องของเธอ เขาพยายามเข้าหาเธอในทุกวัน ชวนเธอออกไปข้างนอก และเป็นผู้ที่พาเธอก้าวเดินไปยังงานเลี้ยงในแวดวงสังคม“ฟังนะเฟร จะไม่มีใครหน้าไหนกล้าดูถูกเจ้าทั้งนั้น พี่จะปกป้องเจ้าเองเพราะอย่างนั้นไม่ต้องกังวลหรื
มาร์เซลพึ่งรู้ว่าการนั่งเรือสำเภามันไม่ใช่เรื่องสนุกเลยแม้แต่นิดเดียว เขาออกเดินทางมายังเมืองทางใต้พร้อมกันกับเฟรญ่า นี่คือการดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ของเราก่อนที่เขาจะกลับไปทำงานในตำแหน่งดยุคอย่างเป็นทางการ เราทั้งคู่เคยพูดเอาไว้ว่าอยากจะล่องเรือมาเที่ยวที่เมืองทางใต้มาชมทะเลที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน และในยามนี้เราก็กำลังอยู่กลางทะเลบนเรือสำเภาที่ค่อนข้างจะเป็นพื้นที่ส่วนตัว เพราะว่าเขาเหมาเรือลำนี้เอาไว้ เพื่อมากับเฟรญ่าเพียงแค่สองคนเท่านั้นแต่เขาอาเจียนไปสิบรอบแล้วเห็นจะได้ เพราะเขาไม่เคยนั่งเรือมาก่อน“ออกมานั่งมองทะเลดูไหม เผื่ออาการของเจ้าจะดีขึ้น”อันที่จริงแค่ได้มองหน้าสวยๆ ของเธอก็ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นแบบมากๆ แล้ว เขาจับมือของเฟรญ่าเอาไว้ก่อนจะซบใบหน้าลงไปบนไหล่ของเธอ“รักนะครับ..รักที่สุดเลย”เฟรญ่าไม่รู้ว่าเพราะอายุที่เขาเด็กกว่ามันเกี่ยวข้องด้วยรึเปล่า แต่เขาทำให้เธอรู้สึกราวกับมีลูกสุนัขตัวใหญ่ที่กำลังออดอ้อนเธอตลอดเวลา มาร์เซลติดการสัมผัสมากๆ เขาจะต้องจับมือหรือไม่ก็กอดและหอมแก้มเธอตลอดเวลา และเธอเองก็ชื่นชอบการแสดงความรักเช่นนั้นมากทีเดียว เฟรญ่าจึงไม่เคยผลักไสหรือว่าดุเขาในเร
บอกตามตรงว่านี่คงจะเป็นงานแต่งที่เจ้าสาวสบายมากที่สุดในจักรวรรดิแห่งนี้ เฟรญ่าแทบไม่ต้องจัดเตรียมอะไรเลยเพราะว่าพี่เจนนีสและลิเวียจัดเตรียมเอาไว้ให้อย่างเรียบร้อยหมดทุกอย่างแล้ว เธอเพียงสวมชุดเจ้าสาวที่แสนงดงามและเข้าร่วมงานแต่งเท่านั้นเองเฟรญ่าหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อมาร์เซลพาเธอออกมาจากงานแต่งที่แสนยิ่งใหญ่ เขาพาเธอมาที่คฤหาสน์ฮอร์ตันที่เราพึ่งได้รับมาเป็นของขวัญแต่งงาน และในห้องนอนก็เต็มไปด้วยกลิ่นหอมของดอกกุหลาบ มันทั้งหอมหวานและเย้ายวนมากทีเดียว“เจ้ากำลังข้ามขั้นพิธีแต่งงานอยู่นะมาร์เซล เราไม่ควรด่วนชิงเข้าหอก่อนที่งานเลี้ยงจะเริ่ม..”เขาส่งยิ้มให้เธอในขณะที่กำลังถอดกระดุมเสื้อของตัวเองออกมา เขาอดทนมานานมากพอสมควร อดทนแล้วอดทนอีกเพราะว่าเฟรญ่าพึ่งจะฟื้นขึ้นมาจากอาการบาดเจ็บ เพราะอย่างนั้นเขาจึงไม่ได้แตะต้องเธอเลย แต่วันนี้เขาอดทนไม่ไหวอีกแล้ว“ไม่เห็นจะต้องสนใจแขกที่เข้ามาร่วมงานเลยนี่ นี่คืองานแต่งของเราและข้าอยากอยู่กับท่าน..เข้าหอเร็วหน่อยคงไม่เป็นไรหรอกครับ หรือว่าพี่กังวล"เฟรญ่าดึงผ้าคลุมหน้าของเธอออกไป เธอไม่ได้ยืนมองมาร์เซลถอดชุดอยู่เฉยๆ แต่เธอเองก็ถอดชุดเดรสแต่งงานออกเช่
บัตรเชิญของงานแต่งเลดี้ทีเซียส วีรสตรีที่ร่วมการกอบกู้เดียลอร์ลนั้นถูกส่งให้แก่ขุนนางมากมายในจักรวรรดิ บอกตามตรงว่าในตอนที่เฟรญ่าเห็นชื่อและรูปวาดของตัวเองเด่นหราอยู่บนหน้าหนังสือพิมพ์เธอค่อนข้างตกใจมากพอสมควร เพราะเธอไม่คิดว่าเรื่องที่มาร์เซลกล่าวออกมานั้นมันจะเป็นเรื่องจริง“ให้ตายเถอะ ข้ารับมือกับคำว่าวีรสตรีอะไรพวกนั้นไม่ไหวจริงๆ”ลิเวียหัวเราะออกมา“เจ้าคู่ควรกับมันนะเฟร เรื่องความรักที่แสนอบอุ่นนี้ก็ด้วย มาร์เซลคือบุรุษที่ดีมากทีเดียว”ลิเวียกล่าวพร้อมกับสวมสร้อยคอที่มีสีเดียวกับดวงตาของเฟรญ่าลงไปบนลำคอยาวระหง เพื่อนเพียงคนเดียวของเธอแต่งงานแล้ว เฟรญ่าคือสตรีที่งดงามมากๆ ในสายตาของลิเวีย เราพบเจอกันเพราะพี่เจนนีสมาทำงานที่ทีเซียสและพี่สาวก็ร้องขอให้เธอมาเป็นเพื่อนกับเฟรญ่า เพราะสงสารที่เฟรญ่าอยู่คนเดียวในคฤหาสน์ที่แสนกว้างใหญ่ และนั่นทำให้ลิเวียได้มาพบเจอกับคาร์เตอร์ จนได้แต่งงานและเป็นจักรพรรดินีทุกวันนี้เพราะความสามารถของเฟรญ่าเลยเธอถึงได้มีความสุขมากๆ ในช่วงเวลาที่เฟรญ่ากำลังจะได้แต่งงาน เพราะมันเหมือนกับว่าครั้งนี้เป็นเธอแล้วนะที่ได้ส่งเฟรญ่าไปให้ถึงฝั่งฝันกับความรักที่ดีงา
มาทอสพาเฟรญ่าและเจนนีสเดินทางกลับมาที่เมืองหลวงพร้อมกันในอีกสองสัปดาห์ต่อมา คาร์เตอร์ตั้งขบวนเพื่อรอรับการกลับมาของเฟรญ่า ทันทีที่เธอเดินลงมาจากรถม้า คาร์เตอร์ก็พุ่งตัวเข้าไปกอดเฟรญ่าเอาไว้มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นมา และหนึ่งในเรื่องราวเหล่านั้นมันกำลังสั่นคลอนพี่ชายที่แสนกล้าหาญของเธออย่างหนักเลยสินะเฟรญ่าพบเจอคาร์เตอร์ในครั้งแรกตอนที่เธออายุสิบสี่ปี เขาคือองค์รัชทายาท ตามสายเลือดแล้วท่านพี่มาทอสคือน้องชายขององค์จักรพรรดิผู้เป็นพ่อของคาร์เตอร์ เราทั้งคู่จึงถูกเลี้ยงดูมาด้วยกันและสนิทสนมกันมากทีเดียว เพราะแผลในใจที่เคยได้รับจากแม่เลี้ยงทำให้เฟรญ่านั้นหวาดกลัวผู้คนเป็นอย่างมาก อีกทั้งท่านพี่มาทอสก็งานยุ่งมากเพราะในช่วงเวลานั้นท่านพี่มาทอสรับตำแหน่งดยุคมาจากท่านพ่อแล้ว ทำให้เขาไม่มีเวลามาคอยดูแลน้องสาวต่างแม่สักเท่าไหร่นัก ผู้ที่ดูแลและสนิทสนมกับเฟรญ่ามากที่สุดคือคาร์เตอร์ ลูกพี่ลูกน้องของเธอ เขาพยายามเข้าหาเธอในทุกวัน ชวนเธอออกไปข้างนอก และเป็นผู้ที่พาเธอก้าวเดินไปยังงานเลี้ยงในแวดวงสังคม“ฟังนะเฟร จะไม่มีใครหน้าไหนกล้าดูถูกเจ้าทั้งนั้น พี่จะปกป้องเจ้าเองเพราะอย่างนั้นไม่ต้องกังวลหรื
เมื่อเฟรญ่าทำท่าไม่เชื่อ มาร์เซลก็หัวเราะออกมาเสียงดัง เขาจับมือเธอพร้อมกับพาเธอวิ่งไปยังงานเทศกาลของเดียลอร์ลที่ในยามนี้มีชาวบ้านมากมายกำลังเต้นรำอยู่ตามท้องถนน บนใบหน้าหล่อเหลานั้นมีรอยยิ้มฉายชัดอยู่ มันเป็นรอยยิ้มที่ทำให้ดวงตาของเฟรญ่านั้นพร่ามัวไปในทันทีราวกับว่ารอยยิ้มของเขามันแฝงไปด้วยเวทมนตร์แค่เขายิ้มก็ทำให้หัวใจของเธออ่อนลงยวบยาบ ฝ่ามือของเราเกาะกุมกันไว้โดยไร้คำพูด มาร์เซลหยุดเดินพร้อมกับหมุนตัวมาหาเธอ เขายกมือขึ้นมาจับเอวของเธอเอาไว้ ก่อนจะยกขึ้นเล็กน้อยแล้วพาเธอหมุนตัวตามจังหวะของเครื่องดนตรีพื้นเมือง เฟรญ่าหยักยิ้มขึ้นมาในทันที หัวใจของเธอมันเต้นผิดจังหวะในทุกครั้งที่อยู่กับเขา มันคือความรักที่ไม่รู้เหมือนกันว่าจะอธิบายเช่นไร แต่ในยามที่เธอมองเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา มันทำให้เธอมีความสุขได้โดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย บางทีความหวังของเธอก็เป็นเรื่องง่ายๆอย่างเช่นการคาดหวังให้มาร์เซลมีความสุขตลอดไป..“เวลาที่ท่านยิ้มออกมามันสวยมากเลยนะครับ..”ในวันที่พบเจอกันครั้งแรก เขาก็เชื่อมั่นในพรหมลิขิตในทันทีว่าคนรักของเขาจะต้องเป็นเธอเท่านั้น บางสิ่งในอกค่อยๆ แผ่ซ่านออกมา หัวใจที่เย็นย
งานเทศกาลในครั้งนี้จัดขึ้นมาในฤดูที่กำลังปลูกพืชผล เมืองเดียลอร์ลนั้นได้รับผลกระทบเป็นวงกว้างเพราะอย่างนั้น บารอนดีแลนจึงหารือกับชาวบ้านจัดงานนี้ขึ้นมา เพื่อให้บรรยากาศในเดียลอร์ลนั้นดีขึ้นมา ก่อนหน้านั้นกับบางคนที่เผชิญหน้ากับความสูญเสีย พวกเขาไม่อยากแม้แต่จะหายใจต่อไปดีแลนรู้สึกผิดกับชาวเมืองมากทีเดียว กับการตัดสินใจที่ผิดพลาดของเขา เพราะอย่างนั้นเขาจึงพยายามที่จะฟื้นฟูเดียลอร์ลขึ้นมาใหม่เพื่อให้ที่นี่กลับมามีบรรยากาศที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขเช่นเดิมเฟรญ่าเดินไปบนถนนหนทางที่เต็มไปด้วยนักเดินทาง ไม่ว่าจะถามเธอสักกี่ครั้ง เฟรญ่าก็ยังคงตอบได้ในทันทีว่าเดียลอร์ลคือเมืองที่เธอชอบมากที่สุด ความธรรมดาของที่แสนพิเศษ“ไม่เจอกันนานเลยนะเฟร..”ดีแลนเดินเข้ามาทักทายเฟรญ่าด้วยใบหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม“อื้ม ที่นี่เหมือนเดิมเลยนะคะ เหมือนเดียลอร์ลที่ข้ารู้จัก”เฟรญ่าจุดยิ้มที่แสนงดงามบนใบหน้าของเธอ เธอคิดว่าดีแลนเองก็คงจะได้รับผลกระทบทางจิตใจเช่นเดียวกัน“ขาของเจ้า..มันหายดีเป็นปกติแล้วสินะ”เฟรญ่าก้มมองเท้าของตัวเอง เธอพ่นลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ถึงแม้จะรู้สึกแปลกๆ อยู่บ้างในยามที่ไ
การรอคอยสำหรับมาร์เซลนั้นถือเป็นความทรมานมากเกินกว่าที่เขาจะคาดคะเนเอาไว้ซะอีก เขาไม่เคยรู้จักความรักมาก่อนเลย ยิ่งไม่เคยรักใครและทุ่มเทกายใจให้ขนาดนี้ เราทั้งคู่ตั้งใจว่าจะแต่งงานกันหลังจากนี้ ตั้งใจอย่างแรงกล้าว่าเฟรญ่าจะเป็นเจ้าสาว ส่วนเขาจะเป็นเจ้าบ่าว ในงานแต่งที่ยิ่งใหญ่มากที่สุดในจักรวรรดิ เขาและเธอจะสร้างครอบครัวเล็กๆ ด้วยกัน พร้อมกับนั้นลูกของเขาคงจะน่ารักมากทีเดียวเพราะว่าเฟรญ่าชอบเด็ก ทว่าในยามนี้ เธอก็ยังไม่ฟื้นขึ้นมาเลย..ในค่ำคืนที่ดวงจันทร์ลอยเด่นบนนภา มาร์เซลจุมพิตลงไปบนหลังฝ่ามือของเฟรญ่า ก่อนที่เขาจะหลับตาลงเพื่อเฝ้าอธิษฐานจากใจจริง“ตื่นขึ้นมาเถอะมา กลับมาเพื่อให้ข้าได้บอกรักเจ้าจะได้รึเปล่า ได้โปรดเถอะ..กลับมาหาข้าอีกครั้ง..”น้ำเสียงของเขามันเต็มไปด้วยความสั่นเครือ หยาดน้ำตาเปียกชุ่มอยู่บนมือของเฟรญ่า ท่ามกลางห้องที่เงียบงัน มีเพียงเสียงสะอื้นของมาร์เซลเท่านั้นที่ดังออกมา“...มาร์เซล อย่าร้อง”ดวงตาของเขาเบิกกว้างออกมาในทันทีที่ได้ยินเสียงที่แสนคิดถึง และเมื่อมาร์เซลเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งเขาก็พบเจอกับดวงตาสีครามที่กำลังจ้องมองใบหน้าของเขาอยู่ บนดวงหน้างามล้ำยิ่งกว่
เฟรญ่านั่งกอดเข่าอยู่บนเตียงตามลำพัง แววตาของเธอสะท้อนความอ้างว้างและโดดเดี่ยวอย่างเห็นได้ชัด ในห้องนี้ไม่มีใครเลยนอกจากเธอเธออยู่ที่นี่มานานแค่ไหนแล้วก็ไม่รู้ รู้เพียงแต่เธอพยายามที่จะเดินออกไปจากห้องนี้มากแค่ไหนก็ไม่สามารถออกไปได้ เป็นห้องโล่งๆ ที่ไม่มีแม้กระทั่งหน้าต่างสักบาน เธอนอนหลับไปและเมื่อตื่นขึ้นมาก็จะพบเจอกับอาหารทั้งสามมื้อที่วางเอาไว้บนโต๊ะ เธอไม่รู้ว่าตัวเองมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน รู้เพียงแต่ว่าเธอจะต้องหาทางออกไปจากที่นี่ให้ได้ ไม่อย่างนั้นมาร์เซลจะต้องกำลังเป็นห่วงเธออย่างแน่นอน ไหนยังจะท่านพี่ของเธออีกจะมามัวอยู่ที่นี่ตลอดไปไม่ได้เพราะอย่างนั้นเฟรญ่าก็เลยคิดแผนการขึ้นมา การที่มีอาหารมาวางเอาไว้ในช่วงที่เธอหลับ นั่นหมายความว่าจะต้องมีคนเดินเข้ามาที่นี่และเธอจะต้องแกล้งหลับ เพื่อที่จะดูว่าคนที่ขังเธอเอาไว้ที่นี่คือใครกันแน่เมื่อคิดได้ดังนั้นเฟรญ่าก็ล้มตัวนอนลงในทันที เธอหลับตาพร้อมกับเผยอปากออกมาเล็กน้อยเพื่อให้ดูสมจริง แล้วก็เป็นอย่างที่คิดเพราะเมื่อเธอล้มตัวนอน เสียงเปิดประตูก็ดังขึ้นมา พร้อมกับฝีเท้าที่ก้าวเดินเข้ามาอย่างช้าๆเฟรญ่าค่อยๆ ปรือตามองอย่างช้าๆ เธอร
คาร์เตอร์มองเฟรญ่าที่กำลังนอนหลับอยู่ เขาอยู่ในสภาพที่บาดเจ็บสาหัสมากพอสมควร ปกติแล้วเรื่องการต่อสู้หรือการออกรบ เขาล้วนแล้วแต่ทำมันได้ดีมากทีเดียวแต่เพราะการสูดดมไอขุ่นมัวเหล่านั้นทำให้เขาหมดแรง ซึ่งมันทรมานมากที่เขารับรู้เรื่องราวต่างๆ มากกว่าแต่ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้เลยแม้แต่นิดเดียวเขามองเห็นว่าเฟรญ่า นางแตกสลายมากแค่ไหนกับการที่นางลงมือจัดการกับต้นตอของเรื่องนี้ เฟรญ่าในสายตาของคาร์เตอร์เหมือนคนที่เผชิญหน้ากับความเจ็บปวดเจียนตาย ทั้งๆ ที่นางควรจะดีใจเมื่อแอชตันตายไป แต่นางก็ยังร้องไห้ออกมาไม่หยุด ในช่วงเวลาที่นางลงมือทำร้ายแอชตันเฟรญ่าก็ยังร้องไห้ออกมามันเป็นเพราะว่าเฟรญ่า น้องสาวของเขานั้นจิตใจดีมากเกินไป นางไม่เคยทำร้ายคนอื่นมาก่อนเลย แล้วไอ้เวรนั่น..ไอ้แอชตันจะต้องทำร้ายเฟรญ่าหนักหนาสาหัสมากแค่ไหน คนที่ไม่เคยทำร้ายคนอื่นแม้แต่ปลายเล็บอย่างเฟรญ่า ถึงได้ลุกขึ้นมาเพื่อจัดการหมอนั่นด้วยความเจ็บปวดมากมายขนาดนั้น“เรื่องนี้ไม่มีใครผิดหรอกพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทอย่าได้วิตกกังวลมากเกินไปเลย”มาร์เซลปลอบใจองค์จักรพรรดิที่กำลังโมโหตัวเองอยู่ เขาพบเจอสภาพของค่ายทหารที่อาบไปด้วยเลือด พร้อมก