วันนี้คือวันที่ทุกอย่างเตรียมพร้อมสำหรับการระเบิดเดียลอร์ลเพื่อให้ไอขุ่นมัวจางหายไป หลังจากนั้นแผนการในชั้นต่อไป มาร์เซลและคนของเขาจะบุกขึ้นไปบนเขา ทหารบางส่วนจะมาคุ้มกันและส่งพวกเขาไปให้ถึงบนเขา ที่ที่ประตูของเผ่าปีศาจเปิดออกมา แล้วหลังจากนั้นมาร์เซลจะทำการปิดประตูนั้น
ทว่าในระหว่างที่เรากำลังจะทำการระเบิดเดียลอร์ล มาร์เซลก็หายตัวไปพร้อมกับใบหน้าที่ตื่นตระหนก เขาและทหารที่ใจคอไม่ดีรีบกลับมาที่ค่ายของเราเพื่อมาตรวจตราหาสิ่งที่ทำให้มาร์เซลไม่ปกติ เท้าทั้งสองข้างของคาร์เตอร์หยุดลงตรงหน้ากระโจมที่พักของมาร์เซล เขารู้เรื่องที่เฟรญ่าเดินทางมาที่นี่แล้ว และเขาก็ค่อนข้างเคารพการตัดสินใจของมาร์เซลเป็นอย่างดี แต่ต่อให้มองเห็นด้วยสายตาของตัวเอง คาร์เตอร์ก็ไม่อยากจะเชื่อสายตาว่าอดีตแกรนด์ ดยุคจามินและไอขุ่นมัวพวกนั้นจะหลอมรวมร่างกายเป็นหนึ่งเดียวกัน “ไม่ยักรู้ว่าองค์จักรพรรดิก็ทรงอยู่ที่นี่ด้วย ไม่พบเจอกันนานมากเลยนะพ่ะย่ะค่ะ” “ข้าไม่ต้องการรับคำทักทายจากต้นเหตุที่ทำให้เดียลอร์ลอยู่ในสภาพเช่นนี้หรอกนะ” ...เขาไม่ได้ทำสักหน่อย ไอขุ่นมัวพวกนั้นปกคลุมเดียลอร์ลเอาไว้ก่อนที่เขาจะยกร่างกายนี้ให้ปีศาจซะอีก “เรามาเจรจาเพื่อหาทางออกอย่างสันติดีหรือไม่ เพราะอย่างที่ฝ่าบาทเห็น กระหม่อมมีชีวิตที่เป็นอมตะ ทรงสังหารกระหม่อมไม่ได้หรอกพ่ะย่ะค่ะ หากว่าเราตกลงกันได้ รับรองได้เลยว่าจะไม่มีใครต้องตาย..” “มันตกลงกันไม่ได้ตั้งแต่ที่ชาวบ้านล้มป่วยเพราะไอขุ่นมัวพวกนั้นแล้ว หากสังหารเจ้าไม่ได้ จับเจ้าไปขังเอาไว้ซะก็สิ้นเรื่อง” คาร์เตอร์ชี้ปลายดาบไปที่แอชตันด้วยแววตาที่ไร้วี่แววของความหวาดกลัว เฟรญ่ามองคาร์เตอร์ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความชื่นชม เธอไม่เคยเห็นพี่คาร์เตอร์ในช่วงเวลาที่เขาเอาจริงเอาจังเช่นนี้มาก่อนเลย “ทำไมกันนะ ทั้งๆ ที่มีทางเลือกให้แท้ๆ แต่พวกท่านกลับไม่เลือก..” กลุ่มควันสีดำลอยมาเรื่อยๆ และก่อตัวขึ้นราวกับพายุลูกใหญ่ มาร์เซลยกมือขึ้นมาร่ายเวทเพื่อปกป้องค่ายทหารเอาไว้ เขายังคงจับมือของเฟรญ่าเอาไว้แนบแน่นเหมือนเดิมไม่ยอมปล่อยมือ ก่อนที่จะมองหน้าของไอเดนทหารคนสนิท มาร์เซลพยักหน้าเพื่อบอกกล่าวกับไอเดนว่าให้จุดระเบิดเลยในทันที อย่างที่เห็นเราไม่สามารถสังหารแอชตันได้เพราะว่าหมอนี่มีร่างกายที่เป็นหนึ่งเดียวกับกลุ่มควัน มีแต่ต้องเร่งช่วงเวลาสำคัญเข้ามาอีกหน่อยเพื่อที่จะจบเรื่องราวนี้ลง ไอเดนมองหน้าของวิน พร้อมกับวิ่งออกไปอีกทางเพื่อบอกกล่าวกับทหารขององค์จักรพรรดิถึงแผนการที่ย่นระยะเวลาเข้ามา เมื่อคาร์เตอร์มองเห็นการเคลี่อนไหวของลูกน้องมาร์เซล เขาก็รู้ในทันทีว่าแผนการของเรามันเริ่มต้นขึ้นมาแล้ว และเขาในยามนี้จะต้องถ่วงเวลาของแอชตันเอาไว้ให้นานมากที่สุด “ไปกับข้า..” เฟรญ่าปล่อยมือออกจากการเกาะกุมของมาร์เซล เธอไม่รู้ว่าแผนการของพวกเขาเป็นเช่นไรแต่ดูเหมือนว่าพี่คาร์เตอร์จะต้องยืนหยัดและต่อสู้อยู่ที่นี่กับแอชตัน และหากเป็นเช่นนั้นก็มองได้ง่ายว่านั่นมันคือการถ่วงเวลา.. ยังไม่ทันที่เฟรญ่าจะได้กล่าวคำใด คาร์เตอร์ก็พุ่งตัวเข้าไปหาแอชตันในทันทีโดยไม่รั้งรอให้เขาได้ตั้งตัว “ไร้ประโยชน์น่าฝ่าบาท.” ควันสีดำพุ่งผ่านร่างของคาร์เตอร์ไปในทันที ก่อนที่คาร์เตอร์จะกระอักเลือดออกมาคำโต “เห็นไหมว่าเราแตกต่างกัน ท่านเจ็บปวดในขณะที่ข้าเพียงสัมผัสเท่านั้น องค์จักรพรรดิข้ายังยืนยันคำเดิมว่าเราตกลงกันได้..” “ใครอยากจะตกลงกับเจ้ากัน” สู้ไม่ได้แต่ก็ต้องยืนหยัดเพื่อต่อสู้ เฟรญ่ารีบจับมือของมาร์เซลในทันทีเพื่อเรียกให้เขาตั้งสติ “เจ้าต้องไป จัดการตามแผนการที่เจ้าวางเอาไว้ มาร์เซลเจ้าพาข้าไปไม่ได้เพราะทันทีที่ข้าไป แอชตันจะตามไปด้วย ข้าจะถ่วงเวลาอยู่ที่นี่..เพราะอย่างนั้นอีกเดี๋ยวเราค่อยกลับมาพบเจอกันที่นี่หลังจากที่ทุกอย่างจบแล้ว.." มาร์เซลกำมือแน่น ที่ที่ปลอดภัยที่สุดคือที่ไหนอย่างนั้นหรือ คือข้างกายของเขาไงล่ะ แต่ทว่าเขาพาเฟรญ่าไปด้วยไม่ได้อีกทั้งยังต้องทิ้งเธอเอาไว้ที่นี่เพื่อถ่วงเวลาของแอชตัน ไม่มีทางเลือกอื่นให้เขาเลย.. “ข้าจะกลับมาหาท่าน หลังจากปิดประตูปีศาจเสร็จสิ้น” เฟรญ่าพยักหน้า เธอกำไม้เท้าแน่นเมื่อมองเห็นแผ่นหลังของมาร์เซลไกลขึ้นเรื่อยๆ ท่านพี่คาร์เตอร์สู้ไม่ได้และทหารมากมายพวกนั้นก็ล้มลงในทันทีที่กลุ่มควันวิ่งผ่าน เธอจัดการดึงด้ามของไม้เท้าออก ปรากฏเป็นดาบเล่มยาวขึ้นมา ตลอดระยะเวลาที่เธอได้มีโอกาสกลับมามีชีวิตอีกครั้ง เธอปรารถนาที่จะเห็นวันนี้มาโดยตลอด วันที่เธอสามารถสังหารแอชตันได้ “ไม่เอาน่าเฟรญ่า แค่เดินยังลำบากแล้วเจ้าจะแทงดาบมาที่ข้าได้อย่างไรกัน อย่าทำอะไรที่มันไม่เข้าท่าเลย เสียเวลาเปล่า” จริงอย่างที่เขาพูดแต่คนอย่างเธอนี่แหละ คนอ่อนแออย่างเธอนี่แหละที่เขาจะประมาท “แอชตัน ในเมื่อความทรงจำทั้งหมดของเจ้ามันกลับมาแล้ว ข้าก็อยากจะถามเจ้าเหมือนกัน ว่าในชีวิตครั้งที่แล้วของเรานั้น เจ้าเคย..รักข้าบ้างรึเปล่า” เธอเดินเข้าไปหาเขาด้วยสองเท้าที่ขยับได้อย่างลำบาก เฟรญ่ารู้ว่าเขาจะสั่นไหวในทุกครั้งที่เธอเอ่ยเรื่องนั้นออกมา แอชตันอาจจะไม่ได้รักเธอ เขาแค่อยากจะครอบครองเธอเท่านั้นเอง ต้องการแค่ให้เธอเป็นของเขาอย่างที่ควรจะเป็น แล้วหลังจากที่เขาได้เธอไป เขาก็จะเบื่อหน่ายและทอดทิ้งเธออีกครั้งหนึ่ง “เฟร..ข้าย่อมรักเจ้าสิ ไม่อย่างนั้นข้าจะแต่งงานกับเจ้าทำไมกัน ข้าชอบที่เจ้ามองโลกนี้ในแง่ดีเสมอ ชอบที่เจ้าส่งมอบสิ่งที่ข้าและครอบครัวของข้าต้องการให้ได้ทุกอย่าง ชอบที่เจ้าทำงานเพื่อแกรนด์ดัชชีที่เราร่วมสร้างมาด้วยกัน..แต่เพราะครั้งที่แล้วเจ้าปฏิเสธข้าในทุกทาง เจ้าไม่ให้ข้าร่วมเตียงทั้งๆ ที่เราแต่งงานกันมานาน ข้าไม่ได้มีความอดทนมากมายขนาดนั้น แต่ก็ยังอดทนและรอคอยจนกว่าเจ้าจะพร้อม..” เฟรญ่ายื่นมือของเธอไปสัมผัสบนใบหน้าของแอชตัน ครั้งนี้เขาไม่ใช่กลุ่มควันอีกแล้วแต่เป็นร่างกายที่มีเลือดเนื้อ “ที่เจ้าไม่ให้ข้าสัมผัสเจ้าเพราะว่าเจ้าไม่ได้รักข้าเลยอย่างนั้นหรือ” เฟรญ่าแค่นหัวเราะออกมา “เพราะว่าข้ารักท่านมากเกินไปต่างหาก จนไม่อยากให้ท่านมองเห็นร่องรอยการทุกทรมานบนร่างกายของข้า แอชตันข้ารู้ว่าข้าผิดที่ไม่ทำหน้าที่ภรรยาให้ดี แต่นั่นมันคือเหตุผลที่ท่านจะทำเลวทรามและทำร้ายร่างกายของข้าได้อย่างนั้นหรือ ชีวิตนี้มันเป็นของข้ากล้าดียังไงมาหักขาไม่ให้ข้าเดิน! ท่านทำให้ข้าอยู่ในสภาพที่อยู่ไม่สู้ตาย พอถึงเดือนก็มาหาข้าเพื่อเอาลายนิ้วมือของข้าไปรับเงินกับท่านพี่..คนสารเลวเช่นเจ้ายังมีหน้ามาบอกว่ารักข้าอีกงั้นเรอะ!!” “ฉึ่ก!!” เรี่ยวแรงทั้งหมดที่เธอมี เฟรญ่าใช้มันไปกับการยกดาบของเธอขึ้นมาแล้วแทงไปที่หน้าอกของแอชตันสองเท้าของมาร์เซลวิ่งแบบไม่คิดชีวิตเพื่อไปยังหมู่บ้าน ไอเดนกำลังร่ายเวทเพื่อไม่ให้แรงระเบิดเล็ดลอดออกมาจากหมู่บ้าน และเพื่อไม่ให้มีเสียงระเบิดดังขึ้นมา“นายท่านครับ..รออีกสักพักเมื่อไอขุ่นมัวลดลงเราก็จะเดินทางขึ้นไปด้านบนได้..”“รอนานขนาดนั้นไม่ได้หรอกวิน เจ้าและไอเดนตามข้ามาส่วนเดม่อน เจ้ากลับไปที่ค่ายทหารเพื่อปกป้องเฟรญ่าเอาไว้ เราจะต้องรีบจัดการปิดประตูปีศาจต้องรีบทำให้เรื่องราวทุกอย่างจบสิ้นอย่างรวดเร็วมากที่สุด”เดม่อนก้มหน้าลงเล็กน้อยเพื่อรับคำสั่ง เขารีบวิ่งกลับไปที่ค่ายทหารแต่ก็พบเจอท่านเฟรญ่าที่กำลังถูกแอชตันโอบกอดเอาไว้ เขาวิ่งเข้าไปหาองค์จักรพรรดิก่อนจะช่วยพยุงพระองค์ที่อยู่ในสภาพปางตายขึ้นมา อีกฝ่ายคือร่างที่เป็นภาชนะของปีศาจเพราะอย่างนั้น นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายที่มนุษย์จะรับมือกับการโจมตีของปีศาจได้“น่าเสียดายนะ เพราะแม้แต่เรี่ยวแรงครั้งสุดท้ายของเจ้าก็ไม่อาจทำอันตรายข้าได้เลยเฟร..เจ้ายอมรับเถอะว่าเจ้าสู้ข้าไม่ได้ และหากเจ้าต้องการให้ข้ารื้อฟื้นความหลังของเจ้า ให้ข้าจัดการทำให้ขาของเจ้าเดินไม่ได้เหมือนเดิมดีหรือไม่”เดม่อนพุ่งตัวเข้าไปด้วยความรวดเร็วก่อนที่เขาจะแย่งชิงท่านเ
สองเท้าของมาร์เซลกำลังวิ่งขึ้นไปยังยอดเขา ที่นี่มีควันสีดำมากเกินไปทำให้ไม่สามารถใช้เวทมนตร์ได้ เพราะอย่างนั้นเขาถึงไม่สามารถใช้เทเลพอทในการเดินทางได้เลย มันทรมานและไอขุ่นมัวเหล่านี้ทำให้รู้สึกสะอิดสะเอียนและทำท่าจะหมดแรงลงไป เขาต้องร่ายเวทป้องกันตลอด และเมื่อเขาเดินทางมาถึงที่ยอดเขาแห่งนี้ เมื่อเขามองเห็นประตูสีดำที่กำลังเปิดอยู่ มาร์เซลก็พ่นลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก เขามองหน้ากับวินเพื่อให้คนของเขาแยกย้ายไปกันยืนล้อมรอบประตูที่กำลังมีควันสีดำพวยพุ่งออกมาต้องทำให้เดียลอร์ลถูกปกคลุมไปด้วยกลุ่มควันสีดำซะก่อน ราชาปีศาจถึงจะพาพวกพ้องออกมาและยึดเอาเดียลอร์ลแปรเปลี่ยนเป็นเมืองปีศาจอย่างนั้นสินะ“นายท่านครับ..”ไอเดนเรียกเขาด้วยความเป็นห่วงเมื่อหมอนั่นมองเห็นเลือดกำเดาที่กำลังไหลออกมาอย่างช้าๆมาร์เซลยกมือขึ้นมาเพื่อเช็ดเลือดเหล่านั้นอย่างลวกๆ หากไม่ทำการปิดประตูนี้ลง จักรวรรดิจะมีภัยอย่างแน่นอน มันจะไม่มีโอกาสให้สอง สาม หรือสี่ให้กับเขา มีแต่ต้องทำให้สำเร็จเท่านั้นแรงระเบิดทำให้กลุ่มควันจางหายก็จริง แต่ในระยะเวลาไม่นานควันสีดำก็พวงพุ่งออกมาจากประตูบานนั้น พร้อมกับปกคลุมท้องฟ้าใหม่อีกครั้ง
“ข้าจะยินยอมส่งมอบร่างกายให้แก่ท่าน ทว่าข้าจะไม่ยินยอมส่งมอบจิตวิญญาณนี้ให้ท่าน การแลกเปลี่ยนของเรา..คือการที่ท่านจะไม่สามารถบังคับหรือว่าควบคุมจิตใจของข้าได้”กลุ่มควันสีดำเหล่านั้นพวยพุ่งผ่านร่างกายของแอชตันไป พร้อมกับเสียงหัวเราะที่ดังขึ้นมาทั่วบริเวณ“แอชตันมีคำกล่าวว่ามนุษย์นั้นโง่เขลา ข้าไม่เชื่อจนได้พบเจอด้วยสายตาของตัวเอง ในเมื่อเจ้ามีความทรงจำตั้งแต่ชีวิตครั้งที่แล้วของเจ้า แล้วทำไมเจ้าไม่ทำให้สตรีผู้นั้นยินยอมสยบแทบเท้าเจ้าดังเช่นช่วงเวลาที่ผ่านมาเล่า การใช้กำลังนั้นถือเป็นการกระทำที่ดีที่สุดไม่ใช่หรือ บังคับให้นางมาเป็นของเจ้าน่าจะดีกว่าการร้องขอ..”แววตาของแอชตันสะท้อนถึงความอ้างว้างและโดดเดี่ยว ทันทีที่เขาได้รับความทรงจำกลับคืนมา เขากลับรู้สึกขยะแขยงตัวเองเหลือทน เขากระทำเรื่องสารเลวมากมายกับสตรีที่เขารักเขาอย่างสุดหัวใจเฟรญ่าหลงรักและเทิดทูนบูชาเขาราวว่าเขาคือพระเจ้าของนาง นางส่งมอบทุกอย่างให้แก่เขาเพื่อที่จะทำให้เขาสุขสบายมากยิ่งขึ้น..แอชตันไม่คิดโทษใคร เขาไม่คิดโกรธเคืองหรือว่าเกลียดชังใครทั้งนั้น นอกจากตัวของเขาเองและเขาต้องการให้เฟรญ่ามาอยู่เคียงข้างเขาอีกครั้ง เพ
คาร์เตอร์มองเฟรญ่าที่กำลังนอนหลับอยู่ เขาอยู่ในสภาพที่บาดเจ็บสาหัสมากพอสมควร ปกติแล้วเรื่องการต่อสู้หรือการออกรบ เขาล้วนแล้วแต่ทำมันได้ดีมากทีเดียวแต่เพราะการสูดดมไอขุ่นมัวเหล่านั้นทำให้เขาหมดแรง ซึ่งมันทรมานมากที่เขารับรู้เรื่องราวต่างๆ มากกว่าแต่ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้เลยแม้แต่นิดเดียวเขามองเห็นว่าเฟรญ่า นางแตกสลายมากแค่ไหนกับการที่นางลงมือจัดการกับต้นตอของเรื่องนี้ เฟรญ่าในสายตาของคาร์เตอร์เหมือนคนที่เผชิญหน้ากับความเจ็บปวดเจียนตาย ทั้งๆ ที่นางควรจะดีใจเมื่อแอชตันตายไป แต่นางก็ยังร้องไห้ออกมาไม่หยุด ในช่วงเวลาที่นางลงมือทำร้ายแอชตันเฟรญ่าก็ยังร้องไห้ออกมามันเป็นเพราะว่าเฟรญ่า น้องสาวของเขานั้นจิตใจดีมากเกินไป นางไม่เคยทำร้ายคนอื่นมาก่อนเลย แล้วไอ้เวรนั่น..ไอ้แอชตันจะต้องทำร้ายเฟรญ่าหนักหนาสาหัสมากแค่ไหน คนที่ไม่เคยทำร้ายคนอื่นแม้แต่ปลายเล็บอย่างเฟรญ่า ถึงได้ลุกขึ้นมาเพื่อจัดการหมอนั่นด้วยความเจ็บปวดมากมายขนาดนั้น“เรื่องนี้ไม่มีใครผิดหรอกพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทอย่าได้วิตกกังวลมากเกินไปเลย”มาร์เซลปลอบใจองค์จักรพรรดิที่กำลังโมโหตัวเองอยู่ เขาพบเจอสภาพของค่ายทหารที่อาบไปด้วยเลือด พร้อมก
เฟรญ่านั่งกอดเข่าอยู่บนเตียงตามลำพัง แววตาของเธอสะท้อนความอ้างว้างและโดดเดี่ยวอย่างเห็นได้ชัด ในห้องนี้ไม่มีใครเลยนอกจากเธอเธออยู่ที่นี่มานานแค่ไหนแล้วก็ไม่รู้ รู้เพียงแต่เธอพยายามที่จะเดินออกไปจากห้องนี้มากแค่ไหนก็ไม่สามารถออกไปได้ เป็นห้องโล่งๆ ที่ไม่มีแม้กระทั่งหน้าต่างสักบาน เธอนอนหลับไปและเมื่อตื่นขึ้นมาก็จะพบเจอกับอาหารทั้งสามมื้อที่วางเอาไว้บนโต๊ะ เธอไม่รู้ว่าตัวเองมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน รู้เพียงแต่ว่าเธอจะต้องหาทางออกไปจากที่นี่ให้ได้ ไม่อย่างนั้นมาร์เซลจะต้องกำลังเป็นห่วงเธออย่างแน่นอน ไหนยังจะท่านพี่ของเธออีกจะมามัวอยู่ที่นี่ตลอดไปไม่ได้เพราะอย่างนั้นเฟรญ่าก็เลยคิดแผนการขึ้นมา การที่มีอาหารมาวางเอาไว้ในช่วงที่เธอหลับ นั่นหมายความว่าจะต้องมีคนเดินเข้ามาที่นี่และเธอจะต้องแกล้งหลับ เพื่อที่จะดูว่าคนที่ขังเธอเอาไว้ที่นี่คือใครกันแน่เมื่อคิดได้ดังนั้นเฟรญ่าก็ล้มตัวนอนลงในทันที เธอหลับตาพร้อมกับเผยอปากออกมาเล็กน้อยเพื่อให้ดูสมจริง แล้วก็เป็นอย่างที่คิดเพราะเมื่อเธอล้มตัวนอน เสียงเปิดประตูก็ดังขึ้นมา พร้อมกับฝีเท้าที่ก้าวเดินเข้ามาอย่างช้าๆเฟรญ่าค่อยๆ ปรือตามองอย่างช้าๆ เธอร
การรอคอยสำหรับมาร์เซลนั้นถือเป็นความทรมานมากเกินกว่าที่เขาจะคาดคะเนเอาไว้ซะอีก เขาไม่เคยรู้จักความรักมาก่อนเลย ยิ่งไม่เคยรักใครและทุ่มเทกายใจให้ขนาดนี้ เราทั้งคู่ตั้งใจว่าจะแต่งงานกันหลังจากนี้ ตั้งใจอย่างแรงกล้าว่าเฟรญ่าจะเป็นเจ้าสาว ส่วนเขาจะเป็นเจ้าบ่าว ในงานแต่งที่ยิ่งใหญ่มากที่สุดในจักรวรรดิ เขาและเธอจะสร้างครอบครัวเล็กๆ ด้วยกัน พร้อมกับนั้นลูกของเขาคงจะน่ารักมากทีเดียวเพราะว่าเฟรญ่าชอบเด็ก ทว่าในยามนี้ เธอก็ยังไม่ฟื้นขึ้นมาเลย..ในค่ำคืนที่ดวงจันทร์ลอยเด่นบนนภา มาร์เซลจุมพิตลงไปบนหลังฝ่ามือของเฟรญ่า ก่อนที่เขาจะหลับตาลงเพื่อเฝ้าอธิษฐานจากใจจริง“ตื่นขึ้นมาเถอะมา กลับมาเพื่อให้ข้าได้บอกรักเจ้าจะได้รึเปล่า ได้โปรดเถอะ..กลับมาหาข้าอีกครั้ง..”น้ำเสียงของเขามันเต็มไปด้วยความสั่นเครือ หยาดน้ำตาเปียกชุ่มอยู่บนมือของเฟรญ่า ท่ามกลางห้องที่เงียบงัน มีเพียงเสียงสะอื้นของมาร์เซลเท่านั้นที่ดังออกมา“...มาร์เซล อย่าร้อง”ดวงตาของเขาเบิกกว้างออกมาในทันทีที่ได้ยินเสียงที่แสนคิดถึง และเมื่อมาร์เซลเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งเขาก็พบเจอกับดวงตาสีครามที่กำลังจ้องมองใบหน้าของเขาอยู่ บนดวงหน้างามล้ำยิ่งกว่
งานเทศกาลในครั้งนี้จัดขึ้นมาในฤดูที่กำลังปลูกพืชผล เมืองเดียลอร์ลนั้นได้รับผลกระทบเป็นวงกว้างเพราะอย่างนั้น บารอนดีแลนจึงหารือกับชาวบ้านจัดงานนี้ขึ้นมา เพื่อให้บรรยากาศในเดียลอร์ลนั้นดีขึ้นมา ก่อนหน้านั้นกับบางคนที่เผชิญหน้ากับความสูญเสีย พวกเขาไม่อยากแม้แต่จะหายใจต่อไปดีแลนรู้สึกผิดกับชาวเมืองมากทีเดียว กับการตัดสินใจที่ผิดพลาดของเขา เพราะอย่างนั้นเขาจึงพยายามที่จะฟื้นฟูเดียลอร์ลขึ้นมาใหม่เพื่อให้ที่นี่กลับมามีบรรยากาศที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขเช่นเดิมเฟรญ่าเดินไปบนถนนหนทางที่เต็มไปด้วยนักเดินทาง ไม่ว่าจะถามเธอสักกี่ครั้ง เฟรญ่าก็ยังคงตอบได้ในทันทีว่าเดียลอร์ลคือเมืองที่เธอชอบมากที่สุด ความธรรมดาของที่แสนพิเศษ“ไม่เจอกันนานเลยนะเฟร..”ดีแลนเดินเข้ามาทักทายเฟรญ่าด้วยใบหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม“อื้ม ที่นี่เหมือนเดิมเลยนะคะ เหมือนเดียลอร์ลที่ข้ารู้จัก”เฟรญ่าจุดยิ้มที่แสนงดงามบนใบหน้าของเธอ เธอคิดว่าดีแลนเองก็คงจะได้รับผลกระทบทางจิตใจเช่นเดียวกัน“ขาของเจ้า..มันหายดีเป็นปกติแล้วสินะ”เฟรญ่าก้มมองเท้าของตัวเอง เธอพ่นลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ถึงแม้จะรู้สึกแปลกๆ อยู่บ้างในยามที่ไ
เมื่อเฟรญ่าทำท่าไม่เชื่อ มาร์เซลก็หัวเราะออกมาเสียงดัง เขาจับมือเธอพร้อมกับพาเธอวิ่งไปยังงานเทศกาลของเดียลอร์ลที่ในยามนี้มีชาวบ้านมากมายกำลังเต้นรำอยู่ตามท้องถนน บนใบหน้าหล่อเหลานั้นมีรอยยิ้มฉายชัดอยู่ มันเป็นรอยยิ้มที่ทำให้ดวงตาของเฟรญ่านั้นพร่ามัวไปในทันทีราวกับว่ารอยยิ้มของเขามันแฝงไปด้วยเวทมนตร์แค่เขายิ้มก็ทำให้หัวใจของเธออ่อนลงยวบยาบ ฝ่ามือของเราเกาะกุมกันไว้โดยไร้คำพูด มาร์เซลหยุดเดินพร้อมกับหมุนตัวมาหาเธอ เขายกมือขึ้นมาจับเอวของเธอเอาไว้ ก่อนจะยกขึ้นเล็กน้อยแล้วพาเธอหมุนตัวตามจังหวะของเครื่องดนตรีพื้นเมือง เฟรญ่าหยักยิ้มขึ้นมาในทันที หัวใจของเธอมันเต้นผิดจังหวะในทุกครั้งที่อยู่กับเขา มันคือความรักที่ไม่รู้เหมือนกันว่าจะอธิบายเช่นไร แต่ในยามที่เธอมองเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา มันทำให้เธอมีความสุขได้โดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย บางทีความหวังของเธอก็เป็นเรื่องง่ายๆอย่างเช่นการคาดหวังให้มาร์เซลมีความสุขตลอดไป..“เวลาที่ท่านยิ้มออกมามันสวยมากเลยนะครับ..”ในวันที่พบเจอกันครั้งแรก เขาก็เชื่อมั่นในพรหมลิขิตในทันทีว่าคนรักของเขาจะต้องเป็นเธอเท่านั้น บางสิ่งในอกค่อยๆ แผ่ซ่านออกมา หัวใจที่เย็นย
มาร์เซลพึ่งรู้ว่าการนั่งเรือสำเภามันไม่ใช่เรื่องสนุกเลยแม้แต่นิดเดียว เขาออกเดินทางมายังเมืองทางใต้พร้อมกันกับเฟรญ่า นี่คือการดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ของเราก่อนที่เขาจะกลับไปทำงานในตำแหน่งดยุคอย่างเป็นทางการ เราทั้งคู่เคยพูดเอาไว้ว่าอยากจะล่องเรือมาเที่ยวที่เมืองทางใต้มาชมทะเลที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน และในยามนี้เราก็กำลังอยู่กลางทะเลบนเรือสำเภาที่ค่อนข้างจะเป็นพื้นที่ส่วนตัว เพราะว่าเขาเหมาเรือลำนี้เอาไว้ เพื่อมากับเฟรญ่าเพียงแค่สองคนเท่านั้นแต่เขาอาเจียนไปสิบรอบแล้วเห็นจะได้ เพราะเขาไม่เคยนั่งเรือมาก่อน“ออกมานั่งมองทะเลดูไหม เผื่ออาการของเจ้าจะดีขึ้น”อันที่จริงแค่ได้มองหน้าสวยๆ ของเธอก็ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นแบบมากๆ แล้ว เขาจับมือของเฟรญ่าเอาไว้ก่อนจะซบใบหน้าลงไปบนไหล่ของเธอ“รักนะครับ..รักที่สุดเลย”เฟรญ่าไม่รู้ว่าเพราะอายุที่เขาเด็กกว่ามันเกี่ยวข้องด้วยรึเปล่า แต่เขาทำให้เธอรู้สึกราวกับมีลูกสุนัขตัวใหญ่ที่กำลังออดอ้อนเธอตลอดเวลา มาร์เซลติดการสัมผัสมากๆ เขาจะต้องจับมือหรือไม่ก็กอดและหอมแก้มเธอตลอดเวลา และเธอเองก็ชื่นชอบการแสดงความรักเช่นนั้นมากทีเดียว เฟรญ่าจึงไม่เคยผลักไสหรือว่าดุเขาในเร
บอกตามตรงว่านี่คงจะเป็นงานแต่งที่เจ้าสาวสบายมากที่สุดในจักรวรรดิแห่งนี้ เฟรญ่าแทบไม่ต้องจัดเตรียมอะไรเลยเพราะว่าพี่เจนนีสและลิเวียจัดเตรียมเอาไว้ให้อย่างเรียบร้อยหมดทุกอย่างแล้ว เธอเพียงสวมชุดเจ้าสาวที่แสนงดงามและเข้าร่วมงานแต่งเท่านั้นเองเฟรญ่าหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อมาร์เซลพาเธอออกมาจากงานแต่งที่แสนยิ่งใหญ่ เขาพาเธอมาที่คฤหาสน์ฮอร์ตันที่เราพึ่งได้รับมาเป็นของขวัญแต่งงาน และในห้องนอนก็เต็มไปด้วยกลิ่นหอมของดอกกุหลาบ มันทั้งหอมหวานและเย้ายวนมากทีเดียว“เจ้ากำลังข้ามขั้นพิธีแต่งงานอยู่นะมาร์เซล เราไม่ควรด่วนชิงเข้าหอก่อนที่งานเลี้ยงจะเริ่ม..”เขาส่งยิ้มให้เธอในขณะที่กำลังถอดกระดุมเสื้อของตัวเองออกมา เขาอดทนมานานมากพอสมควร อดทนแล้วอดทนอีกเพราะว่าเฟรญ่าพึ่งจะฟื้นขึ้นมาจากอาการบาดเจ็บ เพราะอย่างนั้นเขาจึงไม่ได้แตะต้องเธอเลย แต่วันนี้เขาอดทนไม่ไหวอีกแล้ว“ไม่เห็นจะต้องสนใจแขกที่เข้ามาร่วมงานเลยนี่ นี่คืองานแต่งของเราและข้าอยากอยู่กับท่าน..เข้าหอเร็วหน่อยคงไม่เป็นไรหรอกครับ หรือว่าพี่กังวล"เฟรญ่าดึงผ้าคลุมหน้าของเธอออกไป เธอไม่ได้ยืนมองมาร์เซลถอดชุดอยู่เฉยๆ แต่เธอเองก็ถอดชุดเดรสแต่งงานออกเช่
บัตรเชิญของงานแต่งเลดี้ทีเซียส วีรสตรีที่ร่วมการกอบกู้เดียลอร์ลนั้นถูกส่งให้แก่ขุนนางมากมายในจักรวรรดิ บอกตามตรงว่าในตอนที่เฟรญ่าเห็นชื่อและรูปวาดของตัวเองเด่นหราอยู่บนหน้าหนังสือพิมพ์เธอค่อนข้างตกใจมากพอสมควร เพราะเธอไม่คิดว่าเรื่องที่มาร์เซลกล่าวออกมานั้นมันจะเป็นเรื่องจริง“ให้ตายเถอะ ข้ารับมือกับคำว่าวีรสตรีอะไรพวกนั้นไม่ไหวจริงๆ”ลิเวียหัวเราะออกมา“เจ้าคู่ควรกับมันนะเฟร เรื่องความรักที่แสนอบอุ่นนี้ก็ด้วย มาร์เซลคือบุรุษที่ดีมากทีเดียว”ลิเวียกล่าวพร้อมกับสวมสร้อยคอที่มีสีเดียวกับดวงตาของเฟรญ่าลงไปบนลำคอยาวระหง เพื่อนเพียงคนเดียวของเธอแต่งงานแล้ว เฟรญ่าคือสตรีที่งดงามมากๆ ในสายตาของลิเวีย เราพบเจอกันเพราะพี่เจนนีสมาทำงานที่ทีเซียสและพี่สาวก็ร้องขอให้เธอมาเป็นเพื่อนกับเฟรญ่า เพราะสงสารที่เฟรญ่าอยู่คนเดียวในคฤหาสน์ที่แสนกว้างใหญ่ และนั่นทำให้ลิเวียได้มาพบเจอกับคาร์เตอร์ จนได้แต่งงานและเป็นจักรพรรดินีทุกวันนี้เพราะความสามารถของเฟรญ่าเลยเธอถึงได้มีความสุขมากๆ ในช่วงเวลาที่เฟรญ่ากำลังจะได้แต่งงาน เพราะมันเหมือนกับว่าครั้งนี้เป็นเธอแล้วนะที่ได้ส่งเฟรญ่าไปให้ถึงฝั่งฝันกับความรักที่ดีงา
มาทอสพาเฟรญ่าและเจนนีสเดินทางกลับมาที่เมืองหลวงพร้อมกันในอีกสองสัปดาห์ต่อมา คาร์เตอร์ตั้งขบวนเพื่อรอรับการกลับมาของเฟรญ่า ทันทีที่เธอเดินลงมาจากรถม้า คาร์เตอร์ก็พุ่งตัวเข้าไปกอดเฟรญ่าเอาไว้มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นมา และหนึ่งในเรื่องราวเหล่านั้นมันกำลังสั่นคลอนพี่ชายที่แสนกล้าหาญของเธออย่างหนักเลยสินะเฟรญ่าพบเจอคาร์เตอร์ในครั้งแรกตอนที่เธออายุสิบสี่ปี เขาคือองค์รัชทายาท ตามสายเลือดแล้วท่านพี่มาทอสคือน้องชายขององค์จักรพรรดิผู้เป็นพ่อของคาร์เตอร์ เราทั้งคู่จึงถูกเลี้ยงดูมาด้วยกันและสนิทสนมกันมากทีเดียว เพราะแผลในใจที่เคยได้รับจากแม่เลี้ยงทำให้เฟรญ่านั้นหวาดกลัวผู้คนเป็นอย่างมาก อีกทั้งท่านพี่มาทอสก็งานยุ่งมากเพราะในช่วงเวลานั้นท่านพี่มาทอสรับตำแหน่งดยุคมาจากท่านพ่อแล้ว ทำให้เขาไม่มีเวลามาคอยดูแลน้องสาวต่างแม่สักเท่าไหร่นัก ผู้ที่ดูแลและสนิทสนมกับเฟรญ่ามากที่สุดคือคาร์เตอร์ ลูกพี่ลูกน้องของเธอ เขาพยายามเข้าหาเธอในทุกวัน ชวนเธอออกไปข้างนอก และเป็นผู้ที่พาเธอก้าวเดินไปยังงานเลี้ยงในแวดวงสังคม“ฟังนะเฟร จะไม่มีใครหน้าไหนกล้าดูถูกเจ้าทั้งนั้น พี่จะปกป้องเจ้าเองเพราะอย่างนั้นไม่ต้องกังวลหรื
เมื่อเฟรญ่าทำท่าไม่เชื่อ มาร์เซลก็หัวเราะออกมาเสียงดัง เขาจับมือเธอพร้อมกับพาเธอวิ่งไปยังงานเทศกาลของเดียลอร์ลที่ในยามนี้มีชาวบ้านมากมายกำลังเต้นรำอยู่ตามท้องถนน บนใบหน้าหล่อเหลานั้นมีรอยยิ้มฉายชัดอยู่ มันเป็นรอยยิ้มที่ทำให้ดวงตาของเฟรญ่านั้นพร่ามัวไปในทันทีราวกับว่ารอยยิ้มของเขามันแฝงไปด้วยเวทมนตร์แค่เขายิ้มก็ทำให้หัวใจของเธออ่อนลงยวบยาบ ฝ่ามือของเราเกาะกุมกันไว้โดยไร้คำพูด มาร์เซลหยุดเดินพร้อมกับหมุนตัวมาหาเธอ เขายกมือขึ้นมาจับเอวของเธอเอาไว้ ก่อนจะยกขึ้นเล็กน้อยแล้วพาเธอหมุนตัวตามจังหวะของเครื่องดนตรีพื้นเมือง เฟรญ่าหยักยิ้มขึ้นมาในทันที หัวใจของเธอมันเต้นผิดจังหวะในทุกครั้งที่อยู่กับเขา มันคือความรักที่ไม่รู้เหมือนกันว่าจะอธิบายเช่นไร แต่ในยามที่เธอมองเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา มันทำให้เธอมีความสุขได้โดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย บางทีความหวังของเธอก็เป็นเรื่องง่ายๆอย่างเช่นการคาดหวังให้มาร์เซลมีความสุขตลอดไป..“เวลาที่ท่านยิ้มออกมามันสวยมากเลยนะครับ..”ในวันที่พบเจอกันครั้งแรก เขาก็เชื่อมั่นในพรหมลิขิตในทันทีว่าคนรักของเขาจะต้องเป็นเธอเท่านั้น บางสิ่งในอกค่อยๆ แผ่ซ่านออกมา หัวใจที่เย็นย
งานเทศกาลในครั้งนี้จัดขึ้นมาในฤดูที่กำลังปลูกพืชผล เมืองเดียลอร์ลนั้นได้รับผลกระทบเป็นวงกว้างเพราะอย่างนั้น บารอนดีแลนจึงหารือกับชาวบ้านจัดงานนี้ขึ้นมา เพื่อให้บรรยากาศในเดียลอร์ลนั้นดีขึ้นมา ก่อนหน้านั้นกับบางคนที่เผชิญหน้ากับความสูญเสีย พวกเขาไม่อยากแม้แต่จะหายใจต่อไปดีแลนรู้สึกผิดกับชาวเมืองมากทีเดียว กับการตัดสินใจที่ผิดพลาดของเขา เพราะอย่างนั้นเขาจึงพยายามที่จะฟื้นฟูเดียลอร์ลขึ้นมาใหม่เพื่อให้ที่นี่กลับมามีบรรยากาศที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขเช่นเดิมเฟรญ่าเดินไปบนถนนหนทางที่เต็มไปด้วยนักเดินทาง ไม่ว่าจะถามเธอสักกี่ครั้ง เฟรญ่าก็ยังคงตอบได้ในทันทีว่าเดียลอร์ลคือเมืองที่เธอชอบมากที่สุด ความธรรมดาของที่แสนพิเศษ“ไม่เจอกันนานเลยนะเฟร..”ดีแลนเดินเข้ามาทักทายเฟรญ่าด้วยใบหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม“อื้ม ที่นี่เหมือนเดิมเลยนะคะ เหมือนเดียลอร์ลที่ข้ารู้จัก”เฟรญ่าจุดยิ้มที่แสนงดงามบนใบหน้าของเธอ เธอคิดว่าดีแลนเองก็คงจะได้รับผลกระทบทางจิตใจเช่นเดียวกัน“ขาของเจ้า..มันหายดีเป็นปกติแล้วสินะ”เฟรญ่าก้มมองเท้าของตัวเอง เธอพ่นลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ถึงแม้จะรู้สึกแปลกๆ อยู่บ้างในยามที่ไ
การรอคอยสำหรับมาร์เซลนั้นถือเป็นความทรมานมากเกินกว่าที่เขาจะคาดคะเนเอาไว้ซะอีก เขาไม่เคยรู้จักความรักมาก่อนเลย ยิ่งไม่เคยรักใครและทุ่มเทกายใจให้ขนาดนี้ เราทั้งคู่ตั้งใจว่าจะแต่งงานกันหลังจากนี้ ตั้งใจอย่างแรงกล้าว่าเฟรญ่าจะเป็นเจ้าสาว ส่วนเขาจะเป็นเจ้าบ่าว ในงานแต่งที่ยิ่งใหญ่มากที่สุดในจักรวรรดิ เขาและเธอจะสร้างครอบครัวเล็กๆ ด้วยกัน พร้อมกับนั้นลูกของเขาคงจะน่ารักมากทีเดียวเพราะว่าเฟรญ่าชอบเด็ก ทว่าในยามนี้ เธอก็ยังไม่ฟื้นขึ้นมาเลย..ในค่ำคืนที่ดวงจันทร์ลอยเด่นบนนภา มาร์เซลจุมพิตลงไปบนหลังฝ่ามือของเฟรญ่า ก่อนที่เขาจะหลับตาลงเพื่อเฝ้าอธิษฐานจากใจจริง“ตื่นขึ้นมาเถอะมา กลับมาเพื่อให้ข้าได้บอกรักเจ้าจะได้รึเปล่า ได้โปรดเถอะ..กลับมาหาข้าอีกครั้ง..”น้ำเสียงของเขามันเต็มไปด้วยความสั่นเครือ หยาดน้ำตาเปียกชุ่มอยู่บนมือของเฟรญ่า ท่ามกลางห้องที่เงียบงัน มีเพียงเสียงสะอื้นของมาร์เซลเท่านั้นที่ดังออกมา“...มาร์เซล อย่าร้อง”ดวงตาของเขาเบิกกว้างออกมาในทันทีที่ได้ยินเสียงที่แสนคิดถึง และเมื่อมาร์เซลเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งเขาก็พบเจอกับดวงตาสีครามที่กำลังจ้องมองใบหน้าของเขาอยู่ บนดวงหน้างามล้ำยิ่งกว่
เฟรญ่านั่งกอดเข่าอยู่บนเตียงตามลำพัง แววตาของเธอสะท้อนความอ้างว้างและโดดเดี่ยวอย่างเห็นได้ชัด ในห้องนี้ไม่มีใครเลยนอกจากเธอเธออยู่ที่นี่มานานแค่ไหนแล้วก็ไม่รู้ รู้เพียงแต่เธอพยายามที่จะเดินออกไปจากห้องนี้มากแค่ไหนก็ไม่สามารถออกไปได้ เป็นห้องโล่งๆ ที่ไม่มีแม้กระทั่งหน้าต่างสักบาน เธอนอนหลับไปและเมื่อตื่นขึ้นมาก็จะพบเจอกับอาหารทั้งสามมื้อที่วางเอาไว้บนโต๊ะ เธอไม่รู้ว่าตัวเองมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน รู้เพียงแต่ว่าเธอจะต้องหาทางออกไปจากที่นี่ให้ได้ ไม่อย่างนั้นมาร์เซลจะต้องกำลังเป็นห่วงเธออย่างแน่นอน ไหนยังจะท่านพี่ของเธออีกจะมามัวอยู่ที่นี่ตลอดไปไม่ได้เพราะอย่างนั้นเฟรญ่าก็เลยคิดแผนการขึ้นมา การที่มีอาหารมาวางเอาไว้ในช่วงที่เธอหลับ นั่นหมายความว่าจะต้องมีคนเดินเข้ามาที่นี่และเธอจะต้องแกล้งหลับ เพื่อที่จะดูว่าคนที่ขังเธอเอาไว้ที่นี่คือใครกันแน่เมื่อคิดได้ดังนั้นเฟรญ่าก็ล้มตัวนอนลงในทันที เธอหลับตาพร้อมกับเผยอปากออกมาเล็กน้อยเพื่อให้ดูสมจริง แล้วก็เป็นอย่างที่คิดเพราะเมื่อเธอล้มตัวนอน เสียงเปิดประตูก็ดังขึ้นมา พร้อมกับฝีเท้าที่ก้าวเดินเข้ามาอย่างช้าๆเฟรญ่าค่อยๆ ปรือตามองอย่างช้าๆ เธอร
คาร์เตอร์มองเฟรญ่าที่กำลังนอนหลับอยู่ เขาอยู่ในสภาพที่บาดเจ็บสาหัสมากพอสมควร ปกติแล้วเรื่องการต่อสู้หรือการออกรบ เขาล้วนแล้วแต่ทำมันได้ดีมากทีเดียวแต่เพราะการสูดดมไอขุ่นมัวเหล่านั้นทำให้เขาหมดแรง ซึ่งมันทรมานมากที่เขารับรู้เรื่องราวต่างๆ มากกว่าแต่ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้เลยแม้แต่นิดเดียวเขามองเห็นว่าเฟรญ่า นางแตกสลายมากแค่ไหนกับการที่นางลงมือจัดการกับต้นตอของเรื่องนี้ เฟรญ่าในสายตาของคาร์เตอร์เหมือนคนที่เผชิญหน้ากับความเจ็บปวดเจียนตาย ทั้งๆ ที่นางควรจะดีใจเมื่อแอชตันตายไป แต่นางก็ยังร้องไห้ออกมาไม่หยุด ในช่วงเวลาที่นางลงมือทำร้ายแอชตันเฟรญ่าก็ยังร้องไห้ออกมามันเป็นเพราะว่าเฟรญ่า น้องสาวของเขานั้นจิตใจดีมากเกินไป นางไม่เคยทำร้ายคนอื่นมาก่อนเลย แล้วไอ้เวรนั่น..ไอ้แอชตันจะต้องทำร้ายเฟรญ่าหนักหนาสาหัสมากแค่ไหน คนที่ไม่เคยทำร้ายคนอื่นแม้แต่ปลายเล็บอย่างเฟรญ่า ถึงได้ลุกขึ้นมาเพื่อจัดการหมอนั่นด้วยความเจ็บปวดมากมายขนาดนั้น“เรื่องนี้ไม่มีใครผิดหรอกพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทอย่าได้วิตกกังวลมากเกินไปเลย”มาร์เซลปลอบใจองค์จักรพรรดิที่กำลังโมโหตัวเองอยู่ เขาพบเจอสภาพของค่ายทหารที่อาบไปด้วยเลือด พร้อมก